|
||
พ่อครูจัดรายการที่สวนลุมฯชุมชนดูไป กทม.... ซึ่งพ่อครูว่า จริงๆเลย ซึ่งคนที่ไม่มีธรรมะ และจิตเป็นสัตว์แท้ๆ เป็นอธรรม เป็นเดรัจฉาน สัตว์นรก เปรต วินิปาต ต่างๆ ซึ่งความเป็นสัตว์ทางจิต ท่านเรียกว่า โอปปาติกสัตว์ การศึกษาธรรมพระพุทธเจ้า ต้องเข้าใจว่า ความเป็นคนนั้น มีสัตว์อยู่ ในจิตวิญญาณ ซึ่งเขาเข้าใจกันว่า เป็นสัตว์มีรูปร่าง มีหัวมีหาง มีสรีระ แต่ที่จริง อสรีระ แต่มันมีอาการ เป็นสัตว์นรก สัตว์เทวดา สัตว์พวกนี้ พาสุข พาทุกข์ หลงสุข หลงทุกข์ พระพุทธเจ้า ท่านรู้ครบ และพาดับเหตุ ถ้าเป็นสัตว์นรก ก็เป็นทุกข์ สัตว์เทวดา ก็เป็นสุข แต่สุขมันก็คือสัตว์ เป็นสุขหลอก เกิดจากการบำบัดเหตุ ที่บอกว่า อาริยสัจ ๔ คือเหตุอันนี้ ที่ต้องดับให้ได้ ศาสนาพุทธ ๙๕% ยังเข้าใจความเป็นสัตว์ ทางจิตวิญญาณนี้ไม่ได้ ซึ่งเป็นอยู่ตอน มีชีวิตเป็นๆ อยู่ในใจเรา เดี๋ยวนี้แหละ สัตว์ในอก นรกในใจเรานี่แหละ เราต้องหัดอ่าน อาการนี้แหละ สัตว์นรก เปรต เดรัจฉาน เทวดาเป็นสมมุติเทพ เป็นอาการอย่างนี้ หรือ เป็นอุบัติเทพ เป็นเทพที่เรียนรู้ เหตุแห่งโลกีย์ ส่วนสมมุติเทพ เป็นเทพเท็จๆ เรามาละเหตุ ละกิเลส ก็เป็นเทวดาอุบัติเทพ จนสะอาด สุดหมดจด ก็เป็นวิสุทธิเทพ เป็นความจริง ของปรมัตถ์ จิตเจตสิก แล้วมันจะอ่านรู้อาการ จะเกิดญาณ หยั่งรู้อาการเหล่านี้ได้ รู้สัตว์เหล่านี้ได้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส อาการคือลักษณะ ส่วน ลิงค คือมีความต่างกัน เช่น อิตถีหรือบุรุษ มีความหยาบกลางละเอียด ต่างกัน ท่านเรียกว่า ภาวรูป เกิดปรากฎ อ่านรู้ได้ อันนี้ เป็นเนื้อแท้ปรมัตถ์ ต้องเรียนรู้เหตุ คือ สัตว์ทาง จิตวิญญาณ แล้วดับมันได้ จึงมีภาวะเกิดเป็น อาริยะชน ตามลำดับ ถ้าไม่เรียนรู้ ก็มาเรียนธรรมะ เพื่อเพิ่มกิเลส ได้ลาภ ยศ สรรเสริญ เท่านั้น แต่ถ้าเราละล้าง กิเลสได้ โลกธรรมเหล่านี้ ก็ไม่มีปัญหากับเรา ๒. มนุษย์ทั้งหลาย ต่างความคิดความเห็นกัน ท่านจะกำหนดให้ทุกคน คิดเห็น เหมือนกันหมด เป็นไปไม่ได้ แผ่นดินนี้ ไม่อาจทำให้เรียบ เสมอกันหมดได้ ฉันใด มนุษย์ทั้งหมด จะทำให้เหมือนกันหมด ไม่ได้ฉันนั้น พ่อครูว่า...ก็มนุษย์แต่ละคน ก็ไม่มีจิตใจ เสมอเหมือนกันได้ แต่เราสมานกันได้ พ่อครูว่า...ต่อไปเป็น ประเด็น ของ โยมนักกฏหมาย ที่เห็นต่างพร้อมมีคำถาม คือ พ่อครูว่า... เท่าที่ชุนนุมมา ก็สงบดี มีเล็กน้อยๆ ก็มีคนมาก่อกวน ก็ไม่มีเรื่องราว อะไรมาก แต่ว่าพ่อครูเข้าใจว่า คุณนักกฎหมาย เข้าใจว่า พ่อครูบิดเบือนไปแล้ว และก็ขอตอบ นักกฎหมายว่า พ่อครูเห็นว่า ธรรมะเป็นธรรมชาติ นั้นจริงส่วนหนึ่ง ถ้ามันไป อย่างสมดุล ก็ไปได้ แต่มันไม่เที่ยง มีอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ส่วนพ่อครู เป็นลูก พระพุทธเจ้านั้น ปฏิบัติธรรม พ้นธรรมชาติ ของพ่อครู ธรรมะคือ สิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ คืออยู่กับธรรมชาติ อย่างไม่เป็นทุกข์ และธรรมะที่จะอยู่ดีหน่อย คือธรรมะ คือธรรมชาติ แต่ให้สมดุลอย่างไร มันก็ไม่เที่ยง แปรเปลี่ยนไปได้ ผู้บรรลุผล มีนิโรธของพุทธ จะอยู่เหนือ ธรรมชาติ อยู่กับธรรมชาติได้ แต่ไม่ทุกข์ มีความเที่ยงแท้ คือนิพพานในใจ ไม่เป็นไตรลักษณ์ แต่เป็นปัจจัตตลักษ์ สามัญลักษณ์ จิตวิญญาณไม่แปรปรวนไป ตามเหตุ ของธรรมชาติ ไม่ตกอยู่ใต้ อำนาจธรรมชาติ ส่วนประเด็นที่เห็นรวมกันคือ ประชาชนที่ยังมีกิเลส ก็ต้องทำมาหากิน แต่นักบวช ไม่มีกิเลสแล้ว ก็ไม่ต้องทำงาน ให้บิณฑบาต ให้เขาเลี้ยงไว้ก็จริง เป็นวิธีการของพระพุทธเจ้า ชีวิตเนื่องด้วยผู้อื่น แล้วเราก็ไม่กินมาก แล้วทำงานเพื่อนำทาง ให้คนพ้นทุกข์ ใช่ พ่อครูก็ทำงานอยู่ คือเรา ทำงานให้เขา ให้เขาเลี้ยงเรา เราก็ตอบแทนเขา พ่อครูก็พาพวกเรามาชุมนุม ใช้เหตุการณ์ของประเทศ มาชุมนุม พ่อครูก็มาสาธยาย คำสอนของพระพุทธเจ้า พวกเราก็ได้บ้าง เท่าที่สื่อได้ และมั่นใจว่า สื่อสิ่งที่ถูกต้อง แต่ประเด็นที่คุณนักกฎหมายว่า การชุมนุมนี้ เป็นเรื่องการเมือง เป็นความเห็นต่าง จากพ่อครู...ที่เขาว่า ทำผิดหน้าที่หรือเปล่า?.... เหมาว่าพ่อครู มาเป็นผู้นำ แต่พ่อครูว่า มาเป็น ผู้นำการรับใช้ อุดหนุน ผู้ที่มาชุมนุมการเมืองเต็มๆ พ่อครูไม่ปฏิเสธว่า มานำ แต่ไม่ได้นำการเมือง โดยตรง และก็ไม่ได้ลงน้ำหนัก เรื่องการเมือง อย่างแรงๆ ก็ไม่ได้พูดถึง ขนาดนั้น ไม่ได้ขัดแย้ง ก็เลยมาร่วม พ่อครูก็มารอง ไม่ได้มานำ เป็นพระรอง ไม่ใช่พระเอก ก็มาเสริม แต่พ่อครูหนักไปใน เนื้อหาธรรมะ และคุณธรรม จะทำงาน ก็ให้หนักไปทางนี้ พ่อครูอยู่ใน หน้าที่นักบวช แต่ในนัยละเอียดนี้ คุณนักกฎหมายว่า พ่อครูตอบเลี่ยง หรือตอบตรง แล้วดูปรากฏการณ์จริง ว่าตรงหรือไม่? ประเด็นสำคัญก็คือว่า การชุมนุมครั้งนี้ ที่มาชุมนุมการเมือง พ่อครูว่า มาเปลี่ยนแปลง อำนาจการเมือง ก็ใช่ ให้เปลี่ยนแปลงจาก อำนาจเผด็จการ พวกเรา ไม่หลงประเด็น และก็ต้องการให้แก้ไข อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ด้วย ให้เปลี่ยนแปลง การเมือง ก็ด้วย แต่ที่เขาว่า ไม่มีทางให้สงบสันติ อหิงสา ซึ่งอันนี้เป็นความต้องการ ของพ่อครูเต็มๆเลย และมั่นใจว่า ก็เป็นความตั้งใจของ คณะเสนาธิการร่วมฯ ด้วย มั่นใจว่า ท่านทั้งหลาย ต้องการสงบ สันติ อหิงสา แต่คุณนักกฎหมาย ไม่เชื่อว่า จะสงบ สันติ อหิงสา คุณไม่เชื่อ ก็มีสิทธิ์ไม่เชื่อ แต่เราก็พยายามทำ ให้เป็นไปได้ เราผิดหรือ เราผิดหรือ ที่จะทำให้สงบ สันติ อหิงสา ที่ทำมา ก็ไม่เกิดรุนแรง ใช่ไหม? ก็ไม่เป็นไร เราตั้งชุมชน ดูไปแล้ว ก็ดูไป ก็แล้วกัน เราจะพยายาม และมั่นใจว่า นอกจากพยายามแล้ว เราจะไม่เป็นเหตุ ให้ก่อความรุนแรง ใครจะมาก่อ ความรุนแรง ก็ผิดกม. ด้วย เราไม่ได้ตั้งใจ ให้เกิดความรุนแรง และเราต้องการให้เปลี่ยนแปลง ให้เปลี่ยนจาก อำนาจเผด็จการ และจะให้แก้ไข อย่างไร เราก็บอกอยู่ และที่การจัดการ ในที่ชุมนุมฯนี้ ก็จัดทำให้สงบ สันติ อหิงสา ก็ผ่านมา ๒๐ กว่าวัน ก็สงบนะ ไม่ใช่งานเล็กนะ แต่เป็นไปได้ตั้ง ๒๐ กว่าวัน ถือว่า สงบแล้ว มันมีอะไร ขาดตกบกพร่อง ก็เล็กน้อย ต้องถือเป็นความสำเร็จ ให้คะแนน ระดับ A เลย ยังไม่ให้ A+ แค่นั้น และประเด็นที่คุณนักกฎหมายว่า อย่าว่าแต่คุณเลย อาตมาก็ไม่อยากเห็น แล้วอาตมาจะทำทำไม ให้บิดเบือนคำสอน ของพระพุทธเจ้า แต่มนุษย์ทั้งหลาย ต่างความคิด ความเห็นกัน ท่านจะกำหนด ให้ทุกคน คิดเห็น เหมือนกันหมด เป็นไปไม่ได้ พ่อครูใช้มหาปเทส ๔ ว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ห้าม และไม่ได้อนุญาต แต่ว่า เป็นสิ่งที่ควร พ่อครูก็มาทำหน้าที่ ๑.ให้ธรรมะ ๒.มารับใช้ ๓.ในช่วยเหลือ คณะที่ทำงานการเมือง ในฐานะฆราวาส พ่อครูมีแนวคิด ทางการเมืองไหม? มี คือประชาธิปไตย และการเมืองก็มี คือให้สงบ สันติ อหิงสา การมาทำของพ่อครู ก็ต่างกันกับคณะที่ทำ ก็คือ พ่อครูไม่มุ่งหมายชนะ แต่ว่าชนะก็ดี ต้องการให้เกิดคุณธรรม ของความเป็น ประชาธิปไตย ให้ได้มากที่สุด ส่วนจะชนะหรือแพ้ พ่อครูก็ทิ้งไว้ ไม่ได้ขัดข้อง แต่ชนะได้ก็ดี ชนะสวยๆ ต้องการ ให้ธรรมะ กับประชาธิปไตย ตามอุดมคติ ชนะด้วยความสงบ ชนะด้วยคุณธรรม ชนะด้วยความถูก ชนะด้วยสัจจะ ที่ตรงที่สุด พ่อครูก็จะนำ สู่ประตูนี้ สุดท้าย จบด้วย ทางโน้นยอมแพ้ เอาความสงบ ความไม่รุกราน เขาจำนนว่า เราพาเป็นอย่างนี้ เยี่ยมเลย... ก็มีคนมองว่า พ่อครูอยู่ในโลก แห่งความเพ้อฝัน ก็ในโลก มันยังไม่เคยเกิดในไทย มา ๘๑ ปี มาแล้วของประชาธิปไตย มันยังไม่เกิด ไม่เป็นไร พ่อครูเป็นพวกเดียวกับ ไอสไตน์ คือ จินตนาการก่อน แล้วให้สำเร็จตามจินตนาการ ถ้าจินตนาการนี้ มันเป็นประโยชน์ จะช่วยพ่อครูไหม.. ก็ช่วย พ่อครูพาพวกเราทำนี่ มันมีผลอัตรา การก้าวหน้าไหม? อย่างน้อย ให้เข้าใจธรรมะ พระพุทธเจ้าเพิ่มขึ้น ก็ได้อัตราการก้าวหน้าแล้ว มันเกิดผล ทุกวาระเวลา จะอยู่ไป ๑๐๐ ปี ก็อยู่ไป ส่วนมันจะไปจบตรงไหน มันมีเหตุผลของมัน จบตรงไหน ก็เท่านั้น เราก็ต้อง มาทำอีก โลกไม่หยุดหมุน คนยังไม่หมดกิเลส พ่อครูไม่ได้สงสัย ไม่มีเอาชนะหรือแพ้ ก็ดูว่า ถ้ามันคงที่หรือเสื่อม พ่อครูก็จะหาเหตุผล ทำไมมันคงที่ ไม่เดินหน้า หรือทำไม มันเสื่อม ก็พยายามหาเหตุแล้วแก้ ถ้าแก้ไม่ได้ ก็ยอมแพ้เลิก ไม่ดันทุรัง เป็นไปไม่ได้แล้ว ก็ไม่ทำ แต่ตราบใดสามารถทำได้ ยังมีอัตราการก้าวหน้า พ่อครูก็จะทำ อย่าห้าม เสียให้ยาก และที่พ่อครู ตั้งใจทำนี่ ก็ต้องขอพูดอันนี้ มาทำ ไมได้เอาค่าจ้าง ไม่ได้เอา เงินทองของใคร มาทำฟรี ทำให้ด้วย ไม่ได้เอาอะไร คนมีปัญญา ก็จะไม่มีปัญหา กับพ่อครู นอกจากคนปัญญา น้อยหน่อย ก็จะมีปัญหากับพ่อครู ส่วนอีกข้อหนึ่งที่ว่า ธรรมะไม่สามารถบิดเบือนได้ ใครเข้าถึง ก็จะพ้นทุกข์ ในระดับปัจเจก ก็ถูก ให้พ่อครูพูดว่า ได้รับผลหลุดพ้น จากทุกข์ ในระดับปัจเจก เชื่อไหม... คนตอบว่าเชื่อ และหลายอย่าง เราต้องแก้ธรรมชาติ เราแก้น้ำเน่า ฝนตกก็แก้ไขกัน ธรรมะ จึงมีสถานะ ที่เหนือกฏหมายสังคม ส่วนที่ว่า ธรรมะคือธรรมชาติ นั้นไม่ถูก พ่อครูว่า ธรรมชาติคือสามัญโลกีย์ ดีที่สุดของธรรมชาติ คือสมดุล แต่มันก็ไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงได้ จะเจริญ - เสื่อม - คงที่ อยู่สามสภาพ แต่ธรรมะของ พระพุทธเจ้านั้น เที่ยงเลย ไม่ต้องหมุนไปกับโลกีย์ ไม่ไปอยากได้ อยากมีอยากเป็น ไปกับเขา พ่อครู เอามาบอกได้ เพราะมีจุดนั้น จึงเข้าใจได้ อย่างแท้จริง
ตอบ..พ่อครูก็ว่าเอาให้พอดี ฟังมาก จนความดันขึ้นก็ไม่มี ที่พ่อครูบรรยายไปนี่ พวกคุณ ไม่เครียดนะ แต่ว่าก็มีผู้ที่บรรยายก็มี ที่ทำให้คนเครียด คือปลุกเร้าเกินไป รู้ว่าสื่อไปนี่ ปลุกใจ คนฟังก็อินๆๆ ก็ประสาทเครียด ผู้ฟังก็ฝึกตน อย่าอินให้มากนัก ผู้ปลุกเร้า ก็เจตนาให้พวกเรา มีพลังร่วมที่สูง ก็ธรรมดา พ่อครูก็ว่า การปลุกเร้า ก็ไม่ว่า เป็นธรรมดา ของการชุมนุม แต่ว่าขอสองอย่าง คือ อย่าผิด และอย่าหยาบ ซึ่งไม่ผิด แต่ละคน ก็รับผิดชอบ ของตนนะ ผู้พูดรู้นะว่าหยาบไหม แต่จะดัง คอแตกอย่างไร ก็ไม่ว่า อย่าหยาบ อย่าลามก มันไม่ค่อยดี ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็คือ คุณอย่าอินมากไป ไม่ไประงับ ผู้ปลุกเร้าหรอก แต่อย่าหยาบ อย่าผิด พ่อครูก็มีการปลุกเร้า มีสุนทรีย์ แบบพ่อครู ของพ่อครูนี่ soft rock ใครจะ hard rock ก็ว่าไป
ตอบ...ก็เห็นอย่างคุณ ก็เขาเดือดร้อน แล้วรัฐบาลก็ช่วยไม่ได้ จะด้วยไม่มีฝีมือ หรือทุจริต เขาก็มีสิทธิประท้วง อยากรับหน้าที่บริหาร ก็ต้องเจอ จะหนีไปไหน เขาไม่ประท้วง พ่อครูหรอก เพราะไม่ได้ ไปรับเงินเดือน มากมายอย่างนั้นนี่
ตอบ.. ที่ยิงยาวก็เพราะว่า เข้าใจว่า ความบกพร่องในความรู้ เรื่องการเมืองของ ประชาชนไทย ยังบกพร่องอีกมาก ก็เลยจะมาพูด ให้คนรู้ คนเข้าใจฟัง ตามประสา ที่มั่นใจว่า ประชาธิปไตยและการเมือง คืออย่างไร แล้วจะพูดถึงเศรษฐศาสตร์ว่า ทำไม ต้องเอาแบบคนจน ตามในหลวง ไม่ใช่ดันทุรัง แต่เป็นเรื่องประเสริฐ แล้วความจน จะแก้ปัญหา บ้านเมืองได้อย่างไร และบอกให้ว่า การบริหารประเทศ ที่จะให้คน ไปรวยนี่ ยากมาก ไม่สำเร็จหรอก คนเรามีเงินล้าน แล้วลดลงนี่ง่าย แต่จะไปหา เงินล้านนี่ ยากนะ ฉันใดก็ฉันนั้น ให้คนมาจน ง่ายกว่าไปรวย แล้วไปรวยนี่ไม่จบ แต่ไปรวยนี่ไม่จบ ให้คนมาจน หมดเนื้อหมดตัว แล้วจบ คือจบที่ หมดอัตตาตัวตน คือสุขที่สุด สุดประเสริฐ อันนี้คือ ความรู้ของ พระพุทธเจ้า พ่อครูว่า ในหลวงนี่ เป็นพระโพธิสัตว์ พูดด้วย ความจริงใจ ไม่โหนกระแส เราพึ่งตนได้ ไม่ต้องโหนในหลวง พ่อครูไม่ต้องการ โลกธรรมเพิ่ม ทำไมต้องยิงยาว ก็เพราะว่า ต้องมาชุมนุมกับ ผู้ที่มีเป้าหมาย แต่พ่อครู ไม่ได้มีเป้า ตรงหลักเดียวกับเขา แต่ว่าการพูด ในที่คนมากอย่างนี้ มันดีกว่า พูดกับคน ไม่กี่คนนะ เป็นโอกาสที่ดี เหมาะสมแล้ว ก็ได้มาร่วมกับ กองทัพประชาชน ก็มาสมทบด้วย ก็รู้จักโอากาสอันดีนะ ตั้งใจว่า จะยิงยาวได้ จะจบเมื่อไหร ก็ได้ ตั้งใจพร้อมเสมอว่า ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมา ให้มากๆ หมดๆ
ตอบ..พ่อครูก็ว่า... ๑.เขาไม่เข้าใจว่า ประชาธิปไตยคือ ต้องออกมา ร่วมชุมนุม ประชาธิปไตย คืออำนาจของประชาชน แต่ละคน มีอำนาจในตัว หนึ่งคน หนึ่งอำนาจ หนึ่งเสียง ออกมาแสดงอำนาจ ร้อยคน ร้อยเสียง ล้านคน ล้านเสียง คนเขายังไม่เข้าใจว่า ประชาธิปไตยคือ ต้องออกมาร่วมชุมนุม ต้องการอะไร ตามกฎหมาย นิติรัฐ นิติธรรม คุณทำได้ ตามสิทธิ ประชาธิปไตย คือต้องออกมาประท้วง อย่างคนสวนยาง ที่ออกมา ประท้วงตอนนี้ แต่เราทำยิ่งกว่าเรื่องยาง เรื่องเดียว มันร้ายแรงกว่า มันเกี่ยวกับคุณ ที่นอนอยู่ที่บ้านนะ ร้อนตัวบ้างไหม รู้ตัวบ้างไหม ซึ่งมันไหม้ตัวบ้างไหม มันจะไหม้ เป็นตอตะโก จึงจะรู้ตัวหรือ ที่เขาไม่ออกมา เพราะไม่รู้ว่า ต้องออกมาชุมนุม ไม่ต้องออกมา ตลอดหรอก จัดสรรเวลามา เราก็ไม่ได้ทำตลอด เราทำมีจังหวะ ถ้าเข้าใจ จริงๆแล้ว ก็ออกมา ชัดเจนแล้วก็ออกมา วันแล้ววันเล่า ถ้าเพิ่มขึ้น ชัยชนะ ของประชาธิปไตย จะมี แม้เราไม่เอาแพ้เอาชนะ ก็ตาม เอาเวลาตอนเย็น ที่พีคที่สุด เวลาทุ่ม สองทุ่ม ยาวไปมากๆนักข่าว ก็จะแยแสเลย ล้นสวนลุม เป็นแสน เป็นล้านเลย นักข่าว จะตาเหลือกเลย แล้วมันเป็นความจริง ของประชาธิปไตย ไม่ต้องเอาอาวุธมา อาหารก็มี ไม่พอก็ช่วยกัน ทำเสริมสิ แค่ประเด็นเดียว คือเขาไม่เข้าใจว่า ประชาธิปไตย คือออกมาชุมนุม แต่อีกประเด็น คือเขารู้ แต่เขาเห็นแก่ตัว ใครจะเป็นจะตายอย่างไร ก็ช่าง อันนี้ร้ายกาจ เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ บ้านช่องเรือนชานบ้าง แล้วทำอย่างไร คือไขความรู้ ความจริง ออกมา ให้มากๆ หมดๆ ก็ช่วยกันอยู่ สุดฝีมือ ไม่ได้ออมมือเลยนะ แต่มันเก่งเท่านี้
ตอบ..พ่อครูก็เสนอว่า เรามีเป้าหมายหลัก ตรงกันหนึ่งเดียว ก็เชิญออกมา ใครไม่รู้ ก็ไม่ต้องมา หรือไม่เห็นด้วย ก็ไม่ต้องมา ส่วนใครมีสิ่งขัดแย้ง ก็เก็บไว้ก่อน ลั่นกุญแจไว้ เจ็ดดอก มาร่วมเป้าหมายนี้ก่อน ไอ้ที่ว่ากัน กระแนะกระแหนกัน เก็บไว้ก่อน เสร็จแล้ว ค่อยคุยกัน เสร็จแล้วใครจะแสดง อำนาจบาตรใหญ่ ก็ค่อยว่ากัน
ตอบ..อันนี้น่าคิดนะ บางคนแฝงมา ทำให้เกิดความแตกแยกได้ ให้ระมัดระวัง
ตอบ... การรู้อารมณ์ต้องรู้ เรียกว่า เวทนา เรียกว่าเป็นเจตสิก (อาการของจิต) โดยเฉพาะ อารมณ์ หรือเวทนานี่แหละ พระพุทธเจ้าท่านแจก เวทนา ๑๐๘ รู้โดย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส เราก็เรียนรู้ทั้งหมด แต่ไม่จำเป็น ต้องรู้ทั้งหมด เราเรียนรู้อันนี้ ก็จะรู้อันอื่นได้ มันคล้ายกัน
ตอบ...ถูกต้องเห็นด้วย
ตอบ...ใช่ ซักวันหนึ่งจะเทศน์ อนุปุพพิกถา ซึ่งพ่อครูไม่ได้เทศน์ไปตามหัวข้อ คือ ทาน ศีล สัคคะ กามาทีนวะ เนกขัมมะ
ตอบ...ก็ดีมีคนพูด และจะดี ก็ต้องทำด้วย
ตอบ...มีคนที่เวทีตอบว่า ปราสาทตั้งอยู่บนพื้นทราย พ่อครูก็ว่า มาถามผิดคน ถ้าจะถามบาลี ไปถามนักบาลี
ตอบ..ก็พยายามกันอยู่ ที่เราออกมา ก็พยายามกันอยู่ เหมือนที่คุณกลัว เป็นหน้าที่พลเมือง
ตอบ...ใครเอ่ยรวยมาก ๖ หมื่นล้าน หรือ สามพันกว่าล้าน
ตอบ..คำว่าถอดรหัสกรรม ดูเหมือนเท่ห์ แต่ไม่รู้เรื่อง คำว่ากรรม มันไม่มีรหัส เป็นเรื่อง ธรรมดา ไม่มีรหัสอะไรหรอก ใครทำกรรมดี ก็ได้ดี ทำชั่วก็ได้ชั่ว คุณเรียนรู้กรรม ของคุณสิ ที่คุณว่า ที่ว่าชาวพุทธ รู้จักกรรมนั้น พ่อครูว่า รู้แต่ตัวหนังสือ แต่ไม่รู้ จริงหรอกว่า กิเลสคืออย่างไร มันไม่ง่ายนะ อย่างคำว่า บุญ นี่คือ เสียกิเลสนะ ไม่ได้แปลว่า สิ่งที่ควรได้ แต่เป็นการชำระกิเลส ซึ่งกิเลสนั้น รู้ไม่ง่าย กรรมก็รู้ไม่ง่าย ยิ่งวิบาก ยิ่งรู้ยาก เป็นอจินไตย ผู้รู้จะเข้าใจไปเรื่อยๆ ทำกรรมสุจริต วิบากคือ ผลของกรรม จะดีขึ้นเรื่อยๆ
ตอบ...คำว่า วิถี ๗ นั้น ไม่เข้าใจว่า หมายถึงอะไร เพราะวิถี ๗ นั้น มีหลายอย่าง หลายหลัก โพชฌงค์ สังกัปปะ แต่กำเนิด ๔หมายถึง (อัณฑชโยนิ สังเสทชโยนิ ชราพุชโยนิ - โอปปาติกโยนิ) เป้าหลักของศานาพุทธ คือโอปปาติกโยนิ คือสัตว์นรก สัตว์เทวดาเก๊ เทวดาอุบัติเทพ วิสุทธิเทพ เป็นต้น
ตอบ...เอาเลย ได้ข้าวเมื่อไหร่หอบมา เราอยู่ได้เพราะน้ำใจพวกเรานี่แหละ ต้องการสังคม เช่นนี้ มาเป็นระบบสาธารณโภคี มากินใช้ส่วนกลาง นี่แหละสุดยอด
ตอบ...จะฝากแหวนเพชร ก็ไม่มีจะฝากไปนะ จะเอาอะไรฝากดีน้อ สมมุติว่าฟังอยู่ เอางี้ ใจจริงเลยนะ อยากฝากว่า อยากให้คุณทักษิณได้ตรวจสอบ กรรมที่ตนเองทำมา กรรมกิริยาต่างๆ ที่ได้ทำมา ทำใจให้อย่ามีอคติ อย่าเข้าข้างตนเอง จะรู้ตัวเองได้นะว่า ทำกรรมอะไรมาบ้าง กรรมเหล่านี้ ดีหรือชั่ว ถ้าตรวจรู้ว่าชั่วแล้ว พ่อครูก็ว่า คงจะมีอยู่นะ แล้วหยุดกรรมชั่วได้ไหม ด้วยจริงใจ คุณทำอยู่ ก็ของคุณเอง นี่มันของจริง ใครจะหลบเลี่ยง ไม่รับกรรมของตน ไม่ได้ กรรมทำแล้ว เป็นผลวิบากของตนเอง สุกฏทุกกฏานัง กัมมานัง ผลัง วิปาโก คุณก็อายุ ๖๔ แล้วมากแล้ว ระวังนะ อาตมากลัวว่า จะอายุไม่ยืนเท่าอาตมา พ่อครูนี่ ๘๐ แล้วยังแข็งแรง อยากให้อายุยืน อย่างพ่อครูบ้าง ด้วยความจริงใจ
ตอบว่า...ใช่ ไม่ได้อวดดิบอวดดีนะ พระพุทธเจ้าท่านตรัสใน อภิณหปัจจเวกขณ์ ว่าผู้ปฏิบัติดีจะได้มรรคได้ผลไหม แล้วมีผู้มาถาม เมื่อมีผู้มาถาม ท่านก็ตอบได้ จงตอบกัน จะได้ไม่มังกุ คือไม่เก้อเขิน กระมิดกระเมี้ยน ตราบใด มีผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ โลกไม่ว่างจากอรหันต์ ไม่ขอวิจารณ์ ท่านมหาบัว ทำประโยชน์ต่อชาติ แต่พ่อครู ไม่ถนัดสิ่งนั้น พ่อครูต้องสอนคน สร้างคน อธิบายธรรมะ ให้คนรับรู้ พอใจทำงานนี้ เป็นหลัก งานเรี่ยไร ตนไม่ถนัดจริงๆ ไม่ค่อยอยากทำ จึงขอทำ ต่างจากมหาบัว แบ่งกันทำ
ตอบ...แค้นมันไม่มี ศัพท์สมัยใหม่ เขาเรียกว่า แน่นอก ทำใจว่า คุณทักษิณ เขาก็มี กรรมของเขา จะดีชั่วก็กรรมเขา เข้าใจที่ว่า เขาทำแล้วกระทบต่อคนมาก แต่ถึงอย่างไร คุณก็ไม่ได้ไปทำ อย่างทักษิณ แม้เขาทำ จนกระทบคุณ แต่เขาทำ เขาก็รับวิบากเขา คุณก็วางใจเสียบ้าง อย่าไปยึดมั่นถือมั่น มาแบก คุณก็หนักก็ทุกข์ กรรมของเรา อย่าไปทำ อย่างทักษิณนะ หลายคนเอาทักษิณ เป็นไอดอลนะ จะโง่ไปถึงไหน ขอเตือนสติ พวกยกย่อง บูชาทักษิณ ขอให้ตั้งสติดีๆ คุณก็ขอให้คลาย อย่ายึดมั่นถือมั่น ต้องขอบคุณ ที่เขาเป็นตัวอย่างไม่ดี อย่าทำๆ
ตอบ..สะกดต่างกัน แต่ต่างกันด้วยทิฏฐิ พระพุทธเจ้าว่า ปฏิบัติต่างกัน ทิฏฐิต่างกัน มีศีลไม่เสมอสมานกัน เรียกว่า นานา ธรรมยุตก็เป็นพุทธ มหานิกายก็เป็พุทธ แล้วต่างกัน ที่ทิฏฐิและศีล ไม่เสมอสมานกัน ยึดคนละอย่าง เป็นสัจจะที่เป็น นานาสังวาสกัน ท่านไม่ได้ ประกาศ แต่ว่าเป็นโดยสัจจะ อย่างพ่อครูเป็นชาวอโศก มีทิฏฐิต่างจาก ธรรมยุต และมหานิกาย พ่อครูบวชทั้งสองนิกาย บวชธรรมยุตแต่ไม่ได้สึก แล้วบวช มหานิกายอีก สวดญัติ ทั้งสองนิกาย แล้วมาประกาศแยกเป็น นานาสังวาส ตามหลักวินัย พระพุทธเจ้า
ตอบ...ก็มาคบคุ้น อย่างน้อยมาที่นี่ ก็มีอาหารมังฯให้กิน ยินดีต้อนรับ ค่อยๆศึกษา ให้มีหมู่พาทำ ก็ง่าย ถ้าทำคนเดียวจะยาก ลองมาศึกษาดู
ตอบ..ก็ดูแลอยู่ให้เหมาะสม แต่ก็เปิดทางกันบ้าง
ตอบ..ก็ติดตามดูว่า การเมืองและประชาธิปไตย ที่พ่อครูจะค่อยๆพูด จะมีวิสัยทัศน์ ต่อไป ข้างหน้า มีปัจจัย มีเหตุมาก บางทีไปสร้างวิมาน อะไรหรูหรามากนัก เราทำตาม เหตุปัจจัย เราไม่เพ่ง ไปในอนาคต เพราะคนล้มเหลว เพราะอันนี้เยอะ เพราะทำไปแล้ว มีตัวแปร ไม่เป็นอย่างดีดลูกคิด ในรางแก้ว แต่ก็ทำไปโกงก็ได้ ล้มเหลวไปซะมาก เรามองไปไม่ไกล เพราะตัวแปร มันเปลี่ยนไปมาก up to seconds นะ วินาทีต่อวินาทีนะ มั่นใจว่า เหตุปัจจัย อยู่ต่อหน้าเท่านั้น...
จบ
|
||
|