|
||
พ่อครูจัดรายการที่สวนลุมฯโดยสัตตาหะ มาเป็นรอบที่สอง... พ่อครูว่า ก็ขอตอบที่ว่า พวกปัญญาอ่อน ประท้วงอยู่ได้ ไม่ทำมาหาแดก ก็คือ เขาไม่พอใจ ก็พูดออกมาแรงๆ อย่างนั้น เป็นธรรมดา ขนาดเราพูดอยู่ ในหมู่ของเรา คนไม่พอใจ ก็กระทบกันบ้าง ยิ่งต่างทิฏฐิ ก็ต้องชนกันบ้าง คนไม่ชอบใจ ก็อาจมีไม่น้อย แต่ไม่แสดงอะไร ออกมา คนชอบใจ แล้วไม่แสดงออก ก็มีอยู่ จิตวิทยา คือคนไม่ชอบใจ มักแสดงออก เร็วแรง แต่ถ้าคนที่ชอบใจ จะไม่ค่อยแสดงออกเท่าไหร่ นอกจาก ชอบใจมากๆ ก็อาจแสดงออกบ้าง แต่ยิ่งไม่ชอบใจ ยิ่งแสดงออกมามาก ที่ว่าเราปัญญาอ่อน ก็เพราะ เราเป็นพวก ปัญญาอ่อนโยน เราไม่แรงอย่างเขา พวกที่ มาประท้วง คือมาเสียสละ มาประท้วง เพราะเห็นแก่ชาติ เราก็ทำมาหากิน แต่กรรมวิธี การทำมา หากิน มันมีหลายวิธีมาก วิธีของอโศก คือทำงานสร้างสรร ผลิต แล้วมีงาน ที่ไม่ใช่ว่า สร้างผลิตเท่านั้น แต่ว่างาน ทำกับสังคม ก็มีอีก ไม่ใช่ว่า ทำงานผลิตผล อย่างเดียว หรือว่าทำงานแล้ว ต้องได้รายได้ ให้แก่ตนเอง เขาถือว่าอย่างนั้น คือทำมาหากิน แต่ที่เราทำมาหากิน แต่เราไม่ได้รายได้กลับมา แต่ทำเพื่อ ประโยชน์สังคม มนุษยชาติ ผู้มีปัญญา ก็รู้ว่าเป็นสิ่งดี ส่วนผู้ไม่มีปัญญา ก็จะไม่รู้ มองแต่โลกของตน ทำมาหากินท่าเดียว คนๆนี้ อยู่แต่ในภพตนเอง ก็เป็นสัจจะอย่างหนึ่ง ส่วนของคุณ ที่บอกว่า กองทัพธรรมทำอย่างนี้ กี่ปีก็โค่นทักษิณไม่ได้ ก็ขออธิบาย ตรงนี้เลยว่า จะโค่นทักษิณ ได้หรือไม่ เราก็ทำไป เรามีคนเห็น ตรงกันมาก ในสังคมว่า เห็นว่า ต้องโค่นทักษิณลง แต่ว่าไม่สำเร็จ เพราะมีอัตตา รวมตัวกันไม่ติด ไม่ใช่เรื่อง โลกธรรม หรืออามิสสินจ้าง ที่อื่นเขารวมตัวได้ เพราะเอาเงินจ้าง หรือบังคับ เขาจัดตั้งได้ แต่ของเรา เป็นเรื่องของ ประชาชน.แท้ๆ ที่ต่างคน ต่างเห็นว่า ควรร่วมกัน โค่นทักษิณ แต่อย่างว่า มันมีอัตตากัน แต่ก็พยายามกันอยู่ สักวันหนึ่ง คงถึงจุดรวมกันได้ พ่อครูขอตอบว่า น้ำลายของพ่อครู ไม่มีราคาหรอก เปลืองไม่เป็นไร พ่อครูไม่เคยคิด ราคาน้ำลาย จะเปลืองเท่าไหร่ ก็ยินดีเปลือง พ่อครูเห็นว่า สิ่งที่เรากระทำ มันเป็น การกระทำ ที่ดีมากเลย ดีมากอย่างไร ตรงที่ว่า เป็นโอกาส ที่มีเหตุปัจจัย ตรงกัน หลายอย่าง ทั้งการเมือง สังคม และธรรมะ สำคัญที่ธรรมะ สังคมคือ มนุษย์เป็นสัตว์โขลง เอื้อเฟื้อเจือจาน กันดีมาก สังคมทุกสังคม ต้องการ เราอโศก เป็นโอกาส ที่จะได้แสดง สังคมอย่างนี้ ตั้งชื่อว่า ชุมชนดูไป และทำอย่างเจตนา ใช้ปัญญาทำ การเป็นอยู่ที่นี่ เราเป็นลูกพระพุทธเจ้า เราอยู่ที่ไหน ก็ทำให้ดี พระพุทธเจ้า ท่านว่า อยู่ที่ไหน ที่นั่นก็เป็นทิพย์ จะลำบากอย่างไร ก็ไม่ทุกข์ คือ เราเป็นคนเลี้ยงง่าย บำรุงง่าย เรียบง่าย ติดดิน เป็นลูกพระพุทธเจ้าแท้ๆ เราคิดว่าอโศก เป็นคนเช่นนั้น เรามาเป็นมวล และมีพลเมือง เพิ่มเรื่อยๆในชุมชนดูไป และจะมาอยู่อย่างไร คือ อยู่แล้วสงบ สะอาด สบาย อยู่แล้วพัฒนาไหม คือพัฒนาทางโลก และทางธรรม คือ ทางโลกก็รู้ ทำกุศล คือความดี สิ่งไม่ดีเราก็เลิกละ หลายคนรู้สึกว่า มาอยู่ที่นี่ เราก็ได้ ปฏิบัติตน ไม่ตามใจ เหมือนอยู่ที่บ้าน อยู่นี่มันต้องระวัง หลายอย่าง คือมันได้ สังวรปธาน ได้พากเพียร ในสัมมัปปธาน ๔ และได้ปหานปธาน คือกำจัด สิ่งที่ไม่ควร กำจัดกาย วจี มโนกรรม ที่ไม่ดีออกไป ได้ทำมากหรือน้อย ก็ตามแต่ ถ้ามีสัมมาทิฏฐิ ก็จะได้เยอะเลย ทั้งผู้ใหม่ผู้เก่า ในการละล้างกิเลส ก็เชื่อมมาหาธรรม ทางโลกก็ได้ทำ อย่างน้อย ก็ได้เสียสละ อย่างมาแค่ชุมนุม ก็คือ หนึ่งเสียง หนึ่งคน แล้ว ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยๆไปฯ ส่วนทางธรรม ก็ได้ฟังธรรม ส่วนที่คนอยากฟังความรู้ พ่อครูก็ว่า ความรู้มันมากแล้ว แต่ธรรมะยังน้อย ใช่ไหม อันนี้ต่างหาก ก็ตั้งใจคิดให้ดี ลองฟังเพลง เมื่อไหร่ จะรู้สักที เอ้าเปิดเพลง .. จนอะไร หรือรวยอะไรฯ...ฯ พ่อครูว่า... จนอะไรหรือรวยอะไร ทุกวันนี้ คนเราจนธรรมะ แต่รวยความรู้ ความรู้ เฟ้อมากแล้ว คนเราเผลอสติ คิดให้ดีเถอะ ทุกคนเลย แม้คุณจะมีความรู้ มากเท่าไร แต่ธรรมะ คุณมีมากเท่าไหม พ่อครูที่ตามศึกษา ธรรมะพระพุทธเจ้า บอกได้เลยว่า คนยิ่งมี ความรู้มาก ยิ่งธรรมะ ถดถอย คือมหาวิทยาลัย ใดๆในโลก สอนธรรมน้อย หรือบางที ก็ไม่ได้สอน ให้รู้โดยปริยาย ไม่ได้เน้นเป็นหลัก เรียนจบ ป.เอก ก็ไม่ได้มี ธรรมะมาก แม้แต่มหาวิทยาลัยธรรมะ ก็เน้นความรู้ ไม่เน้นที่จะทำธรรมะ พ่อครูก็ว่า ยุคนี้ธรรมะ ขาดแคลนมาก ทำด้วยเจตนาเมตตา มีเหตุผล และหลักฐาน ยืนยันด้วย ผู้ที่หลงความรู้ ไม่เข้าใจธรรมะ ก็จะตีธรรมะทิ้ง เราถ่ายทอด ตั้งแต่ ๔ โมงเย็น ถึงสี่ทุ่ม มีเวลาหกชม. เวลาธรรมะ มีสองชั่วโมง ส่วนทางอื่น มีถึง ๔ ชม. ธรรมะแค่สองชม. ขอแค่นี้ ก็ฟังยาก สำหรับผู้ที่ มองเมินธรรมะ ก็ไม่ได้ว่ากล่าวหรอก แต่ว่าพูดให้เข้าใจ ก็สังเกตว่า เวลาที่เราบรรยายธรรม ก็สังเกตว่า คนเยอะ พอพ่อครู บรรยายเสร็จ มีเสวนาการเมือง ก็คนลดลง พ่อครูว่า เป็นเช่นนั้นนะ ความต้องการ ของคนชอบ พ่อครูก็รู้เข้าใจ แต่ว่าก็ควรทำ สิ่งที่ถูกต้อง มากกว่า คนที่ถูกใจนะ ก็ขอเถอะ ยังไงๆ พ่อครูก็ว่า ทำในสิ่งที่เหมาะสม กับกาละอยู่ ขออ่าน พุทธพจน์ที่ว่า คนพาลเหมือนทัพพี เข้าใกล้บัณฑิต ก็ไม่รู้รสธรรม เหมือนทัพพี ไม่รู้รสแกง แต่บัณฑิต หากเข้าใกล้บัณฑิต แม้เพียงครู่เดียว ก็รู้ธรรม เสมือนลิ้น ที่รู้รสแกง ต่อไปก็ขออ่าน ข้อคิดของไอสไตน์ที่ว่า... พ่อครูว่า ซึ่งไทยเรามีในหลวง ที่ทรงพระปรีชาสามารถมาก คือให้มาเอา แบบคนจน แต่ผู้มีทุนทางสังคม ก็ไปตีความย้อนแย้งกับ ของพระองค์ หลักตรวจสอบ ธรรมวินัย ของพระพุทธเจ้า เป็นไปเพื่อ ความไม่สะสม มามักน้อย อย่างที่พวกเราได้ทำ พวกเรา ได้ทำถูกต้อง ในคำพูดของ ไอสไตน์ก็ดี พระราชดำรัสของ ในหลวงก็ดี ของไอสไตน์ ชัดเจนว่า ต่อต้านพวกนายทุน ที่มักมาก กอบโกย ฉ้อฉล เรามีในหลวง ที่มีพระปัญญาธิคุณ มากขนาดนี้ แล้วไม่ปฏิบัติ ให้เกิดผลจริง ประเทศไทยเรา จึงเดือดร้อนอยู่อย่างนี้ ขออภัย ที่ต้องกล่าวถึงตัวเอง และอโศก ได้ปฏิบัติ สอดคล้อง ตามธรรมวินัย ของพระพุทธเจ้า ๑. เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด (วิราคะ) สังคมตอนนี้ เดือดร้อน เพราะสัตว์ร้าย เพราะมีแต่ความผูกสัตว์ไว้ และคนมามักน้อย คือ กล้าจน แต่เรามามักน้อย คือ กล้าจน มักน้อยลง ไม่สะสม จนไม่มีเลย พ่อครูว่า ให้รู้สัตว์ในตน ที่ตนขังไว้ ในตนเองนี่แหละ อย่างลืมตา ไม่ใช่หลับตา ถ้าสังคมไทยเรา ได้ธรรมะพระพุทธเจ้า ได้แค่ ๒๐-๓๐ % ก็เจริญเลย อย่างปาฏิหาริย์ เป็นโสดาบัน ก็ละได้ขั้นหนึ่ง พ้นอบายมุข จะเป็นโสดาบัน ต้องอ่านจิตใจตนเป็น ที่เป็นโลกีย์ ที่ยั่วย้อม มอมเมา เราก็อยู่กับ อบายมุข แต่จิตเรา เหนือมัน จิตสงบรำงับ สูงขึ้นไป ก็ลดกามคุณ ลดโลกธรรม ลดอัตตาได้อีก มาเรียนรู้ ให้สัมมาทิฏฐิ ตราบใด มีผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ตราบนั้น โลกไม่ว่าง จากอรหันต์ เป็น อกาลิโก โอปนยิโก ยุคนี้พ่อครู ไม่มีทุนทางสังคมเลย รูปไม่หล่อ พ่อไม่รวย แต่ว่ามีธรรมะ อย่างเดียว นี่แหละในชีวิต ก็นำมาเปิดเผย และมีผู้รู้ตามได้ แรกๆที่เผยแพร่ ก็มีพ่อแม่ ตามมาพกปืน จะมายิง พ่อครูเลย บอกเอาลูกชายเขามา พ่อครูก็บอกว่า เปล่านะ เขามาเอง ลูกคุณ คุณก็เอาไปสิ ใหม่ๆบอกว่า ลูกใครหาย ผัวใครหาย ก็ไปตามที่โพธิรักษ์ แต่พ่อครูว่า ไม่ได้ไปแย่งมานะ เขามาด้วยปัญญา ก็ทำมาเรื่อยๆ จนเกิดหมู่กลุ่ม ไม่ได้เอาอามิสล่อ ไม่ได้ให้มาใหญ่โต มีแต่จะให้มาชำระกิเลส คือทำบุญ พ่อครู มาเปิดเผยความจริง ส่วนคนเห็นต่าง แน่นอน ก็มีมาก แต่คนจะมา เอาอย่าง พ่อครู ก็ไม่มากหรอก แต่ไม่ท้อถอย ไม่มาก ก็ได้เท่าที่ได้ ไม่หวังมากหรอก แล้วมีคน ถามว่า เมื่อไหร่จะหยุด ก็บอกว่า เมื่อสุดทางไปไม่ได้ นั่นแหละ พ่อครูทำงานมา ก็ได้ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ไปในตัว เราไม่ได้ไป ทำลายท่าน ทำลายใคร ไม่ทำลายตนด้วย เราไม่ได้มาขูดรีด เอาเปรียบใครเลย เรามาทำประโยชน์ ก็ทำไปเถอะ จนกว่า มันจะมีเหตุปัจจัย ที่ทำไม่ได้ ก็วิเคราะห์ว่า เมื่อทำไม่ได้คือ เสียประโยชน์ ทั้งของตน และของคนอื่น ตราบใดยังมีอยู่ เราก็ทำ ไปเรื่อยๆ ส่วนผลพลอยได้ มันจะไปชนะ ทางการเมือง เศรษฐกิจสังคม มันก็เป็นผลดี ต่อมนุษยชาติ พ่อครูทำงานสร้างคน ไม่ได้มาสร้างโลกธรรม มาพัฒนาคน ให้เจริญ จะดูผลได้ คืออันนี้ ตราบใด มีคนเกิดประโยชน์ตน ท่านอยู่ ก็จะทำ นอกจาก จะมีเหตุให้ระงับ ต่อไปเป็นการตอบประเด็น
ตอบ...พ่อครูก็ว่าพอกันนะ เอาละมันจะมาก หรือน้อยกว่ากัน ก็บางเวลา
ตอบ...อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ มันถือพวกนะ เพราะการขึ้น ราคาแก๊ส เป็นพวกรัฐบาล แล้วพวกแดง เขาเป็นคู่หูของรัฐบาล ก็เลยไม่เห็นด้วยกับ การลดราคาแก๊ส
ตอบ...พ่อครูก็ว่า อะไรจะรุนแรงขนาดนั้น ขอจัดเถอะ วันอาทิตย์นี้ จะจัดตลาดอาริยะ ที่นี่ แล้วจะจัด ทุกปักษ์ ๑๕ วันที เราขายสินค้า จำเป็นต่อชีวิต ไม่มอมเมา และ ขายขาดทุน ไม่ใช่แกล้งทำด้วย เราทำมา ๓๐ กว่าปีแล้ว เราทำจริง เพื่อให้เกิดจริง ในสังคม เราก็ทำเป็นชีวิตประจำ แต่ว่าที่จะทำแบบรวมกัน ก็เป็นครั้งๆไป เราขอทำ เพื่อประชาชนเถอะ เห็นใจคนที่จนบ้าง
ตอบ...ก็เป็นความพยายาม พวกเราก็พยายามให้เขาเลิก หรือลาออกไป ทำมา ๘๑ ปีแล้ว แต่ครั้งนี้ เลวร้าย ซับซ้อนมากที่สุด ต้องยอมรับจริงๆเลยว่า วิธีการทำอำนาจ ทางการเมือง ของทักษิโณมิกส์ นี้คือ ระบบทักษิณ เขาทำได้เก่ง ฉิบหาย ต้องชมเขาว่าเก่ง แต่เก่งฉิบหาย เก่งไม่เจริญ เก่งไม่ดี มันร้ายกาจ ซับซ้อนมาก คือฉิบหายต้องชม ทำความฉิบหายได้ จนต้องชม มันสุดยอดเลย ก็ต้องพากเพียรทำไป ความเห็นประชาชน. ก็ตรงกันนะ มาลดอัตตา รวมกันทำ
ตอบ...พอๆกันนะ
ตอบ...อจินไตย แปลว่า เกินจะคิดจะคาด คือไม่คิดดีกว่า แปลว่า ไม่คิด อย่าคิด ทำไมล่ะ เพราะคิดอย่างไร มันก็ไม่ใช่ฐานะ แห่งความคิด ที่จะคิดออก คิดให้หัวแตก ก็ไม่ออก และ ใช้ในกรณี ผู้รู้ที่ได้ความจริง แล้วรู้โดย ไม่ต้องคิด เป็นความจริงลึกซึ้ง เป็นโลกุตรธรรม เกินสาธารณปุถุชน คนปุถุชน คิดไม่ออก คนอาริยะเท่านั้น จะคิดออก เช่น รู้จักกิเลส ลดกิเลสได้ โสดาบัน ลดอบายภูมิ เขาจะรู้จิตที่ติด เป็นอย่างไร แล้วเขา จะลดละได้ นี่คือ รู้อจินไตย ส่วนที่ว่า ใช้กับการตอบปัญหาไม่ได้ ก็ใช้อจินไตย ซึ่งไม่ใช่นะ บางทีไม่ตอบ เพราะว่า ประเมินว่า พูดไปเขาคงไม่รู้ และก็มีบางอย่าง ที่ไม่รู้ เพราะปฏิบัติ ยังไม่ถึง ก็มี
ตอบ...ท่านพ่อ นี่เป็นคำที่เขาจะใช้กับ ระดับเจ้านะ ตั้งแต่ระดับ หม่อมเจ้า เขาจะเรียกว่า ท่านพ่อ ส่วนคำว่า พ่อท่าน นี้เป็นคำเรียกพระ ที่เขาเคารพนับถือว่า พ่อท่าน ซึ่งคนมา นับถือพ่อท่าน แรกเขาเป็นคนใต้ จึงเรียกพ่อท่าน แล้วจึงเรียก ตามกันมา
ตอบ...ที่เครียดเพราะว่า อยากให้เขาได้ดี แต่เขาไม่เอา หรือว่า มันถือดีว่า ของดี ทำไมไม่เอา ไปลบหลู่ดูถูก ได้อย่างไร พ่อครูว่า... คนเรา ต่างจิตต่างใจ มันไม่เท่ากัน ประดาสัตว์ ต่างคน ก็ต่างจิตต่างใจ มนุษย์ทั้งหลาย ต่างความคิด ต่างความเห็นกัน ท่านจะกำหนด ให้คิดเห็น เหมือนกันหมด ไม่ได้
ตอบ...อย่างคนที่อยู่ข้างนอก กินมื้อเดียวไม่ได้ แต่มาอยู่กับอโศก ก็กินได้เลย จะปรับตาม แม่เหล็กแห่งความดี ชาวอโศก ก็เป็นสนามแม่เหล็ก แห่งความดี อยู่ท่ามกลาง สนามแม่เหล็กโลกีย์ ที่สูงมากเลย แต่พลังโลกุตระ มันอยู่เหนือได้ พลังโลกีย์ ที่จะดึง ไปสู่อบาย ก็ดูดไปไม่ได้ เพราะคนโลกุตระ จะมีพลังนิวทรอน
ตอบ...พ่อครูว่าไปที่กองอำนวยการ เขาบอกว่า ที่ชุมนุมนี้ มีผู้ชายมากกว่า ผู้หญิง อันนี้ เป็นนิมิตดี ถ้ามีกำลังผู้ชาย จะอบอุ่น แข็งแรง โดยสัจจะ อิตถีภาวะ จะอ่อนกว่า ปุริสภาวะ ผู้ชายรวมตัวมาก จะมีพลังแข็งแรง
ตอบ...ให้มีสติ อย่าออกไป ระงับไว้ก่อน จะพูด ให้คิดให้ดีก่อน แล้วระงับใจไว้ก่อน อย่ารีบตอบ แล้วฟังคำถามเขาให้ดี จะตอบอย่างไรดี จะมีพัฒนาการ
ตอบ...ไม่ใช่เรื่องสงฆ์ แม้มาบวช ยังต้องให้ลบ รอยสักด้วย
ตอบ...ก็ดูข้อมูลก็เห็นว่า เขาเดือดร้อน ก็มีสิทธิ์ประท้วง จะทำอย่างไร ก็ทำตาม นิติรัฐ นิติธรรม เต็มที่ ต้องต่อสู้ แต่ก็พยายาม อย่ารุนแรง อย่าไปทำร้ายทำลายกัน ไม่ต้องมีอาวุธ เอาหลักฐาน ความรู้ มาประกาศ ให้รัฐบาลฟัง ให้เป็นไปได้ ก็ให้กำลังใจ ช่วยกันทำ เห็นควรอย่างนั้น แต่กรุณา อย่าทำรุนแรง อย่าใจร้อน
ตอบ...คำว่าความว่างนั้น สำคัญมาก ความว่างคือ จิตของเรา ว่างจากกิเลส ต้องมี ญาณปัญญา รู้จักกิเลส ต้องรู้สักกายะก่อน คือกิเลส ตัวโตสุด แล้วก็กำจัด ให้มันลดลง ถ้าแค่รู้กาย คือองค์ประชุม ที่ทวาร กระทบรูป แล้วอ่านสังขาร ที่มีกิเลสปนอยู่ จับกิเลส ให้ได้ นั่นคือ สักกายะ แล้วรู้อย่าง พ้นสงสัย แล้วเรียนวิธี ที่ปฏิบัติ ตามศีลพรต อย่าสักแต่ว่ารู้ ให้พ้นศีลพตปรามาส คือไม่เอาจริง กำจัดมันไม่ได้ ถ้ากำจัดกิเลส ได้ถึงครึ่ง ก็ได้ผล ถ้าได้เพิ่มอีก จนได้หมดเลย ๑๐๐ % ก็คืออรหันต์ ดังนั้น ความว่าง คือ ว่างจากกิเลส ไม่ใช่ว่า ไปนั่งสมาธิหลับตา แล้วได้ว่างโล่ง อย่างนั้น แบบฤาษี แต่ที่พ่อครู พูดนี้คือ สัมมาสมาธิ ในมหาจัตตารีสกสูตร ทุกวันนี้ ปฏิบัติผิดไปจาก คำสอนของ พระพุทธเจ้า ที่ว่าไปนั่งสมาธิ แล้วไปเจอ ความว่างใสนั้น คือไม่ใช่ สัมมาสมาธิ แต่ว่าเอาไป ใช้ประโยชน์ได้ ใช้ทำเจโตสมถะ เอาไปทำเตวิชโช แล้วทำอย่างไร จะได้ความว่าง ก็ต้องทำความว่าง แบบพุทธ ทำได้แล้ว ทำได้เลย ไม่เปลี่ยนแปลง เพลงประกอบหนังเรื่องโทน พ่อครูแต่งเกือบหมด ยกเว้นเพลง โทนเอ๋ยโทนฯ เท่านั้น ที่ไม่ได้แต่ง
ตอบ...ก็มาบ้างเวลาที่มาได้
ตอบ..ปรมาณูแปลว่า สิ่งที่เล็กยิ่ง .. และคำว่าอนัตตา เป็นความหมาย ของธรรมะ แต่ปรมาณู เป็นคำเรียกทั่วไป และทางฟิสิกส์ ไม่ใช่มาเรียก ทางธรรม และคำว่า อนัตตา คือ ความไม่มีตัวตน ตั้งแต่สักกายะ คือตัวตนหยาบ ที่คุณต้องเรียนรู้ได้ก่อน จะเป็น โสดาบันก่อน คือต้องรู้อัตตา ตัวแรกก่อน คือ สักกายะ แล้วค่อยรู้ขั้นกลาง และปลายต่อไป ให้จิตว่าง จากกิเลสนั้น คืออนัตตา ส่วนปรมาณู คือ สิ่งที่เล็กที่สุด เท่าที่จะเล็กได้
ตอบ...พ่อครูว่าไม่เก่ง เรื่องนั้น แต่ว่ามาสร้างคน ให้มีความรู้ ความดี ถ้าคนมี ปัญหา ทางการเมือง ประเทศจะหมดไปๆ จริงๆ โดยเฉพาะ ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาสังคม เพื่อประชาชน ยิ่งใหญ่สุด ไม่ใช่โมเม เล่นลิ้น
ตอบ...เลวกว่ากันทั้งคู่ คือโง่แต่ขยัน หรือฉลาดแต่หน้าด้าน ซึ่งฉลาดแต่หน้าด้าน ก็เลวกว่า โง่แต่ขยัน
ตอบ...ถือว่าแน่นเต็มนะ ถ้าจัดคอนเสิร์ต ถือว่าคนดูเท่านี้ คุ้มนะ
ตอบ...ขอให้คุณสนธิ มีสติปัญญาดี รู้จักความถูกต้อง แล้วทำความถูกต้องนั้น อย่างฉับพลัน เพราะคนเขารอ คุณสนธิ อยู่เหมือนกัน ขอให้เกิด ภูมิปัญญาดี แล้วกระทำ ด้วยปัญญา อันดีฉับพลัน
ตอบ...คุณก็พูดผิด พ่อครูไม่มีม็อบ คนที่ฟังอยู่ที่นี่ ไม่มีม็อบ พวกที่มาชุมนุม ที่มีแฝง เลวร้าย เขาเรียกว่าม็อบ คุณมาถามว่า เอาพระมาเทศน์ให้ม็อบ พ่อครูไม่ทำ ดีแล้ว ที่ม็อบหายหมด แล้วหายงงหรือยัง สว่างหรือยัง พ่อครูเทศน์ ให้โพรเทสฟัง ไม่ใช่ม็อบ...
จบ
|
||
|