|
||
อ.กฤษฎาดำเนินรายการ... (๑๒ กันยายน ๒๕๕๖) วันนี้มีมะระจีน เป็นผลผลิต จากบ้านราชฯ พ่อครูว่า.. จะได้รู้ว่า มะระมันลูกขนาดไหน บางลูก ลูกละกิโลกว่า ปลูกบน แพปลูกผัก เป็นแพผัก เตรียมปลูกไว้ใช้ ในงานเจ อ.กฤษฎาว่า เมื่อวานได้ดูสปริงนิวส์ ออกรายการ ที่เขาสัมภาษณ์พ่อครู แต่รายการ เราไม่มีสคริป ไม่เตรียมไว้ก่อน ผมถาม ตามที่อยากจะถาม ตรงกับชื่อรายการ แล้วเรามาชุมนุมกัน เป็นเดือนแล้ว เราได้อะไรบ้าง? พ่อครูว่า.... พ่อครูว่า การมาชุมนุม เป็นการซับซาบ ทางจิตวิญญาณ ที่เป็นเรื่อง ละเอียด ในความเป็นสัตวโลก สัตว์มันไม่มีภาษาสื่อ แต่มันอยู่กัน ด้วยวิญญาณ การแสดงออก ทางวิญญาณ เป็นสิ่งเชื่อม ได้มากเลย แม้กิริยาอาการ ภาษาใบ้ ก็สื่อได้ ไม่มากหรอก เหมือนคน สมมุติตัวอักษร หรือใช้รูป เป็นตัวสื่อให้ได้ สัตว์ไม่มีเหมือนคน คนเก่ง แม้สัตว์พูดไม่ได้ ก็ใช้อย่างอื่นสื่อ แต่คนก็มีวิญญาณ เหมือนสัตว์อื่น ก็ใช้วิญญาณ สื่อกันได้มากเลย เรามาชุมนุมนี่ วิญญาณดีๆ มาชุมนุมกัน พระพุทธเจ้า ท่านไล่เรียงวิญญาณ ได้มากมาย ในรูป ๒๘ ก็มีจิตเกี่ยวข้องอยู่ แต่คนไป แยกรูป แยกนาม ออกจากกัน ไม่เชื่อมโยงกัน ในจิตวิญญาณพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ศึกษาเรื่องสัตวโลก อย่างสมบูรณ์แบบ โดยเฉพาะ ความเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์ประเสริฐในโลก ไม่ว่าโลกใด ที่เจริญ ก็พัฒนา มาเป็นมนุษย์ พอเจริญขึ้น แล้วก็เสื่อม แล้วหลงความเสื่อมว่า เป็นความเจริญ คือ หลงตัวฉลาด นึกว่าฉลาดคิดวัตถุ เก่งมากเลย เด็กสมัยใหม่ ไม่รู้ว่า วิทยุ โทรทัศน์ เกิดได้อย่างไร ถ้าคนอายุเลย ๕๐ ขึ้นไป เพราะว่าโทรทัศน์ มีมาแค่ ไม่กี่สิบปี แต่เขาเกิดมา ก็เจอคอมพิวเตอร์ ไอแพด เขาก็ไม่ว่าประหลาด แต่คนที่เกิดมาทีหลัง ไม่เคยเจอมา ก็จะรู้สึกแปลก ว่ามันเกิดได้อย่างไร แต่ความฉลาดเหล่านั้น ไม่เจริญทางจิตวิญญาณ ในจิตมีความฉลาด ทั้งแบบเฉกา และแบบปัญญา คำว่าเฉกา หายไปจากสารบบ ไม่ติดตลาดมนุษย์ ไม่ยอมฉลาดแบบนั้น เพราะมันเลว ฉลาดเต็มไปด้วยกิเลส เป็นพิษภัยซับซ้อน ฉลาดหมดเลย แต่วิญญาณเสื่อม พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ความฉลาดแบบปัญญา มีผู้เรียนรู้ ได้ประโยชน์จาก ความรู้พระพุทธเจ้า ขอพูดซ้ำ ย้ำอีกทีว่า พระพุทธเจ้า เป็นมนุษย์เหมือนเรา ท่านก็ไม่ได้ศึกษาอะไร ท่านศึกษาเรื่องมนุษย์ ท่านใช้เวลาเท่าไหร่ พวกเรานี่ ใช้เวลาศึกษา อย่างมากก็ ๒๐ ปี อาจจบ ดร. หลายใบ ก็แล้วแต่ ก็เท่านั้นเอง และก็ตายไป แล้วก็ไม่รู้ว่า ชาติต่อไป เป็นอย่างไร ไม่รู้เรื่องหรอกว่า เราจะศึกษา แล้วทำให้ จิตวิญญาณเรา เป็นจิตวิญญาณ ที่เข้าสู่มหาลัย อันสมบูรณ์เสียก่อน มันเป็นการเข้าสู่ มหาลัยชีวิต อัตตภาพ คนแต่ละคน มีจิตวิญญาณ เป็นอัตตภาพ เป็นทรัพย์ ทางเทวนิยม เรียกอาตมัน อาตมันที่สูงสุด เรียกปรมาตมัน สูงสุดคือพระเจ้า ในเทวนิยม ในสายอเทวนิยม อย่างพุทธ ก็เรียกอัตตา ปรมัตถา ต่างจากปรมาตมัน เพราะปรมัตถา คือความรู้อย่างยิ่ง ในปรมัตถ์ เข้าใจเนื้อหาสาระ อย่างยิ่ง ของจิตวิญญาณ ท่านไม่ใช่ศึกษาแค่ ๒๐ ปี แต่ศึกษา เป็นชาติๆ ต่อเนื่องกันเลย การเข้าเรียน จบแล้ว ก็เป็นอรหันต์ รอบแรก เอ็นทรานซ์เข้าได้ คือโสดาบัน เป็นอาริยะ เป็นโรงเรียน ที่เป็นรร.อาริยะ จิตวิญญาณ เริ่มรู้ความจริง ของปรมัตถ์ ให้ตนพัฒนา ขึ้นมาบ้าง แล้วก็ทำ ต่อไปเรื่อยๆ จิตเป็น โสดาปัตติมรรค โสดาปัตตติผล สกิทาคามีมรรค สกิทาคามีผล อรหันตมรรค อรหัตผล เป็นขั้นที่ ๔ ถือว่าจบมหาลัย เป็นป.ตรี ต่อจากนั้น เป็นโท เป็นเอก เป็นโพธิสัตว์ เป็นนิยตโพธิสัตว์ เป็นมหาโพธิสัตว์ จนกว่าจะถึง สัมมาสัมพุทธะ อ.กฤษฎาว่า การชุมนุมนี่คือ การสร้างคน พ่อครูว่า... คือเรามาชุมนุมนี่ เรามาเข้าโรงเรียน มาศึกษา เราได้อะไร ก็คือ เข้ามหาลัย เข้าไปเรียน เป็นอาริยบุคคล มีทั้งรัฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ ที่สมบูรณ์ หลักใหญ่ ในการบริหารประเทศ คือรัฐศาสตร์ นอกนั้นก็เป็น วิชาเทคนิค ทำการงานอาชีพ ให้เกิดเศรษฐศาสตร์ ในการกิน การใช้อาศัย หรือจะแยกเป็น สังคมศาสตร์ นิติศาสตร์ เป็นหลักเกณฑ์ ใช้ในสังคม ความรู้เหล่านั้น รวมในรัฐศาสตร์ ของมนุษยชาติ และสังคม อ.กฤษฎาว่า แล้วความสำเร็จอยู่ที่ไหน พ่อครูว่า... อาตมาก็บรรยายอยู่ ตลอดเวลาแล้ว เมื่อวาน ที่สปริงนิวส์ รายการ เผชิญหน้า ก็บอกเขาไปแล้วว่า อาตมาไม่พาพวกเรา มาชนะ ไม่ได้มาข่มใครแพ้ ไม่ได้ต้องการ เอาแพ้ชนะใคร แต่อาตมา มาทำงานการเมือง เพื่อให้มันเจริญ อาตมาก็พูด หยกๆเลย อาตมาไม่ได้ มานั่งเข่นฆ่า จะได้ไปชนะ จะต้องไป รุกรานใคร ไม่ อาตมา ไม่ใช่หน่วย รบราฆ่าฟัน ไม่เอาแพ้ชนะ เพราะเป็นเรื่องของคน ที่จะข่มกัน เท่านั้นเอง แต่เรามาสร้าง ความเจริญ ถ้าจะเอาชนะ ก็ชนะความเสื่อม ความชั่ว ความเลว แต่จะให้รบรา ฆ่าฟัน ข่มเบ่ง เราไม่ทำ เราจะจริงใจ เป็นคนตรง ไม่เอาเปรียบเอารัด สำคัญที่จิต มันลดโลภ ในคนที่ ไม่เรียนรู้ ไม่มีวิธี ลดละกิเลส กดข่ม มันไม่ยั่งยืนหรอก พระพุทธเจ้า เรียนรู้จิตวิญญาณ และแยกมันออก แล้วก็ฆ่ากิเลส ไม่ได้ฆ่า อย่างทารุณ โหดร้าย แต่ฆ่าอย่าง มันจำนน ให้มันตาย ด้วยปัญญา ด้วยความฉลาดของเรา ให้มันตาย เราเรียกว่า ฌาน ฌานแปลว่า ไฟกองใหญ่ มีพลังงานจิต มีความร้อน อุณหธาตุ มีความแรงสูงส่ง จนสามารถ ทำลายไฟตัวร้าย คือไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ นี่คือไฟ สามกองใหญ่ เป็นพลังงาน ที่เราจะเรียกไฟ ก็เป็นรูปธรรม ทางฟิสิกส์ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ พลังงาน จิตวิญญาณ แล้วสร้างพลังงานฌาน ให้มีประสิทธิภาพสูง จนไปทำลายไฟ ราคะ โทสะ โมหะ สามารถกำจัดได้ สูงยิ่งกว่า พลังงานนิวเคลียร์ หรือ ระเบิดชีวภาพ ฌานที่ทางโลกเขารู้ก็คือ ไปนั่งสมาธิ ให้มีพลังจิต สามารถใช้พลังงาน ให้วิเศษ ประหลาด ถ้าเป็นแสง เหมือนเลเซอร์ แต่ของพระพุทธเจ้า เป็นเชิงปัญญา ไปทำลาย เชื้อโรคของจิต คือไฟราคะโทสะโมหะ จะบอกว่า เป็นระเบิดอินทรีย์ก็ได้ ทำอย่าง ฌานลืมตา ทำตาม จรณะ ๑๕ มีศีล สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ จิตเกิดฌาน คือจรณะข้อต่อไป คือทำจรณะ แล้วจะเกิด ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหุสัจจะ วิริยะ ปัญญา แล้วจะเกิดฌานต่อไป จะเกิดคุณสมบัติเหล่านี้ คือ สัทธรรม ๗ แล้วรวมตัว เป็น ฌานที่ ๑ ฌาน ๒ ฌาน ๓ ฌาน ๔ เป็นจรณะข้อที่เหลือ แล้วก็จะเกิด วิชชา ๘ ศีลเป็นตัวปฏิบัติ ทำตามจรณะไป จนเกิดฌาน เป็นพลังงาน ที่พระพุทธเจ้า ตรัสรู้ ก็คือ มีวิชชาจรณะสัมปันโน ก็ได้ฌาน คือจิตที่เผาไฟราคะ โทสะ โมหะ ให้ตายไปเลย อ.กฤษฎาว่า... ดูเหมือนผู้เอามาขาย คือมาเสียสละ แต่ผู้ซื้อ เหมือนมีไฟ ราคะโทสะ มากขึ้นไหม พ่อครูว่า.. คนก็ท้วงติงว่า มาขายถูก เท่ากับว่าสร้าง ให้คนจิตขี้โลภ จริง ดูในมิติพื้นๆ ก็ใช่ คนขี้โลภ มาหาเชิงเอาเปรียบ เช่น พวกที่สามารถหาเพื่อน มาเข้าคิว ได้มากๆ เอาเปรียบ คนเหล่านี้ ก็จะรู้ว่าเขาทำชั่ว ทำผิด ผู้ขายก็จะเห็นพฤติกรรม เสียสละ มันก็จะเป็น พลังงานรวม คนที่มาซื้อ แล้วเกิดจิต อนุโมทนา เข้าใจว่า เราเสียสละให้เขา จิตจะสำนึก เราก็ให้เขาแบ่งกัน เขาจะสำนึกสังวร เขาก็จะมาทำจะเอา จะตะกละบ้าง เขาก็จะเกิด หิริโอตตัปปะ จะเกิด สัทธรรม ๗ เพราะว่า มันเป็นสัจธรรม คนเดียวทำ ก็มีพลังคนเดียว ถ้ามารวมกัน ก็เป็นพลังรวม ร้านค้าใหญ่ ที่ลดราคา แบบทุนนิยม ก็จะทำไม่ได้แบบนี้ เขาทำชั่วคราว ของเรา ถ้ามีแรง เราก็ทำเพิ่มขึ้น เราเองเราทำ ก็ต้องเตรียมการ เราไม่ได้มีทุนใหญ่ เหมือนแมคโคร เราไม่มีผู้คน และทุนรอน มากมาย สรุปคือ เป็นความจริงใจ และทำจริง เป็นวิญญาณ ซื่อสัตย์ จริงใจ คนมารับ ก็จะรับจิตซื่อตรง คนมีอุดมการณ์ เขาจะรู้ จะเข้าใจ ส่วนคนโกง จะมีพลังงาน แต่ไม่มาก จะเกิดปรากฎการณ์ สร้างพลังงาน เห็นเข้าใจเกิดหิริ โอตตัปปะ อ.กฤษฎาว่า... นี่คือกระบวนการ ซับซาบวิญญาณ พ่อครูว่า.. ถูกต้องที่สุด จะเกิดผลทางจิตวิญญาณ บอกแล้วว่า พ่อครูมาทำงาน ตั้งใจให้ดีๆ ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยๆไป ไขความจริงออกมา ให้มากๆหมดๆ ให้ประชาชน มีความเข้าใจ แม้แต่เราทำอาหารเลี้ยง ไม่ได้ทำโก้ทำโชว์ ดูเหมือนว่า เราต้องทำ ตามจำเป็น แต่ในความลึกซึ้งนั้น มันต่างกัน นัยซับซ้อน มีสองนัย เช่น พ่อครู แสดงความแข็งแรง พูดออกลีลา เหมือนมีอารมณ์ แต่จริงๆ อารมณ์ที่เหมือน รุนแรง ดุเดือด แต่ไม่มีความไม่ชอบใจ เป็นเจตนาสร้าง นัจจะ คีตะ วาทิตะ เป็นกิริยาวาจา อย่างนั้น แสดงให้ดุเดือด เป็นการแสดง ที่เรามาทำงานนี่ เจตนาสร้างคน เป็นเรื่องยาก แต่ก็ต้องพยายามทำ เพราะเป็นเรื่อง มุ่งมั่น ในชีวิต เพราะอาตมาศึกษา ตามรอยพระพุทธเจ้า อย่างแท้จริง เป็นโพธิสัตว์ มาทำงานแท้จริง ใครจะถาม ก็บอกอย่างนี้ คนจะหาว่า เพ้อฝัน ก็ดูเอาเถอะ มาทำงานนี่ ไม่ได้ทำงานเพื่อร้อน มาบวชแต่แรก ก็เป็นความเย็น แต่เริ่มต้นชุมนุม ก็พศ.๒๕๔๙ แต่ก่อนนั้น ก็ทำอย่างสงบๆ ที่มาทำนี่ ก็ไม่ได้ร้อนผ้าเหลือง ก็ถึงเวลา ก็ออกมาทำ ขออภัย ต้องพูดอย่างนี้ อย่าหาว่า ยกตัวยกตน บางเจ้า ทำงานไม่ได้ อย่างที่เราทำหรอก เรามีทั้งนักบวช และฆราวาส ฆราวาสก็เป็นอาริยะ เป็นมหาลัย ออกมาทั้งหมด มีพฤติกรรมใจจริงด้วย ถ้าไม่มีฆราวาส ไม่ได้หรอก อย่างเก่งงานนี้ นักบวช ก็มาแสดงตัวบ้าง มาแสดงธรรม มาบิณฑบาต ก็ตลาดอาริยะ เท่านั้น นอกนั้น ก็มีแต่ฆราวาสทำ จะยาวไป กี่วันกี่เดือน ก็ไม่มีปัญหา ฝนตกน้ำท่วม ก็อยู่ได้ ตอนนี้เวทีที่สวนลุมฯได้มีการยกระดับแล้ว เพราะน้ำมันท่วม ก็เลยยกระดับ หาอะไรมารอง ให้มันสูงขึ้น การชุมนุมที่เวที สูงขึ้นแล้ว เพราะน้ำมันท่วม เราก็ไม่มีปัญหา เราฝึกมาแล้ว น้ำท่วมแค่นี้ จิ๊บจ้อย น้ำท่วมบ้านราชฯ สูง ๕ เมตร ๖ เมตร เราก็อยู่ได้ อย่าให้มีเชื้อโรคในนั้น ก็แล้วกัน อ.กฤษฎาว่า นักการเมืองที่ทำไม่ถูกต้อง แล้วความไม่ถูกต้อง คืออะไร พ่อครูว่า.. แล้วความไม่ถูกต้อง คืออะไร คือทำด้วยจิต ที่มีกิเลส โลภ โกรธ หลง คนไม่เข้าใจง่ายๆหรอก สรุปเป็นคำเดียว คือเห็นแก่ตัว ทำให้แก่พรรคพวก รวมตัวเป็น อันธพาล ในไทยเรา กำลังเป็นตัวร้าย กิเลสเป็นตัวบงการ ๑๐๐ % ผู้มีปัญญา จะเข้าใจ และแสดงออก ทางกาย วาจา ใจ ผู้ที่แสดงออก เป็นนักเคลื่อนไหวในสังคม ไม่ว่าจะเป็น ผู้บริหาร ข้าราชการ (นักการเมืองประจำ) คือคนรับใช้ประชาชน ที่รับเงินเดือน ของประชาชน ตลอดชีวิต เป็นนักการเมืองตัวหลัก จนกระทั่ง นักการเมืองจร ที่มาทำงานเป็นสภาฯ เป็นบริหาร ก็เป็นผู้มารับใช้ประชาชน มาแสดงบทบาท ถ้าจะว่าไปแล้ว นักธุรกิจ เอกชน ทำงานเลี้ยงชีวิต ก็มีการเคลื่อนไหว แสดงบทบาท มีกิเลสประกอบ อยู่ทั้งสิ้น ไม่ว่านักธุรกิจ กรรมกร ผู้สร้าง ผู้ผลิต ในสังคม พ่อครูแบ่งเป็น ๑.ผู้ผลิต ๒.ผู้บริการ ๓.ผู้บริหาร ๔.นักบวช นักบวช ไม่ได้หมายถึง แต่ผู้มาบวชตามพิธี แต่หมายถึง ผู้เป็นอาริยบุคคล เช่น ผู้ผลิต ทำงานไปก็แจกจ่าย มาเป็นผู้บริการ ต่อพัฒนา เป็นผู้บริหาร สุดท้าย มาเป็น ผู้เข้าไปทำงาน ในระดับหัว ผู้เป็นเจ้าของโรงงาน จนกระทั่ง สร้างเก่ง สูงขึ้นไปเป็น เจ้าของหุ้น ก็จะแจก ให้ลูกน้องไป พอมีผู้รับช่วง สูงสุด ก็เป็นประธานใหญ่ จะไม่มีหุ้นเลย แจกให้ลูกน้องหมด แล้วจะเป็นผู้ได้รับ การนับถือ เป็นผู้ทรงธรรม ผู้ผลิต จะมีจำนวนมากสุด รวยที่สุด ผู้บริการ ก็จะรองลงมา ผู้บริหาร ก็จนลงมาอีก แต่ว่าผู้ทรงธรรม สูงสุด จะเป็นผู้ที่ไม่มีสมบัติ อะไรเลย เราทำมาแล้วสูงสุด คือผู้บริหาร ไม่มีรายได้เลย แล้วทำงานหนักที่สุด ทำวางแผน แล้วมีผู้รองลงมา รับถ่ายทอดปฏิบัติ สอดประสานกันอยู่ เป็นสังคมมนุษย์ ที่เจริญสุงสุด ของเรายังเล็กมาก ทั้งกิจการและทุนรอน จึงยังมีรูปธรรมไม่ชัดเจน ของเรามีการจัดลำดับชั้น ตามธรรมชาติ เราจะไม่ต้องแต่งตั้ง แต่จะรู้เหมาะควร ตัวเราเอง จะรู้ตัวว่า เราทำได้ดีกว่าคนนี้ๆ เราควรรับผิดชอบ เราไม่มีความขี้เกียจ แต่ขยัน เป็นสามัญของชีวิต ไม่ต้องเอาเงิน เอาสรรเสริญ เอากามมาล่อให้ขยัน ไม่มีอามิสทั้งสิ้น จะทำด้วยปัญญา รู้มีพลัง ๔ ของพระพุทธเจ้าแล้ว จะมีสิ่งนี้จริงเลย แล้วก็สังคหะ ทำเสร็จแล้ว แจกจ่าย เจือจาน ไม่ได้ยึดเป็นเจ้าของ สูงกว่าสัตว์ใดๆ เอาไปแจกจ่าย ไปเลี้ยงดูกันจริงๆเลย เป็นสังคมมนุษย์อาริยะ อยากเห็น อยากให้มันมีไหม อยากได้ไหม? อ.กฤษฎา ว่า รบ.ที่ทำไม่ถูก คือทำแบบมีกิเลส แต่ถ้าทำกลับกัน คือเอาภาษี ไปรับใช้ประชาชนจริง พ่อครูว่า.. ถ้าเอาแต่แค่ของ ทุนรอนสังคม เอามาจับจ่ายแจก ก็เจริญ เหลือหลายแล้ว อยู่ดีกินดีมากแล้ว แต่นี่ตะกละ ตะกรามกัน ไม่รู้จักวิบากกรรม กันจริงๆ อ.กฤษฎาว่า เมื่อวานเขาไปเจรจากัน เขาสงสารคนแดนไกล พ่อครูว่า... ก็สงสารคนนี้ จะตกนรกอย่างหนัก แต่ไม่ได้สงสารเขาไม่มีอยู่ ไม่มีกิน เขามีเครื่องบินหลายลำ มีคฤหาสน์ แต่สงสาร ที่เขาจะตกนรกหมกไหม้ อย่าให้เขา ตกนรก ไอ้ที่ทำอยู่ จะตกนรกเท่าไหร่ ก็ไม่รู้ แล้วก็น่าสงสาร ที่ให้เขาถอนหงอก ให้เขาด่าไป กลิ้งไป คนกลิ้งนี่คือ ปลาไหล ใส่สเก็ต คนมีปัญญาก็จะรู้ นอกจาก คนตามืด ตาบอด คนยิ่งชั่ว ยิ่งน่าสงสาร น่าช่วย แต่เขาก็ สะดีดสะดิ้ง ไม่ให้ช่วย เราก็ช่วย คนที่ช่วยได้ แล้วมารวมตัวกัน ช่วยคนอื่นต่อ อ.กฤษฎาว่า... คนที่จะต้องช่วย ก็อายุมากแล้ว พ่อครูก็จะมาทำ เพื่อบ้านเมือง แล้วจะทำอย่างไร จึงทำเพื่อบ้านเมือง พ่อครูว่า... ตนเองต้องสละวัตถุ ที่มีมาก มากินน้อยใช้น้อย ไม่สะสม ก็ทำตาม ขั้นตอนไป แบบอนุบุพพิกถา คือ มี ทาน ศีล สัคคะ อาทีนวะ เนกขัมมะ ทำทานก็จะได้สวรรค์ แต่สวรรค์นั้น มีสามอย่าง คือ ๑.สวรรค์เท็จแท้ๆ เป็นสวรรค์ลวง เป็นกามสุขขัลลิกะ มันหลงว่าพาสุข ใครแย่งลาภไป ก็ทุกข์ ใครมา แย่งอำนาจ ก็ทุกข์ ใครมาลบหลู่สรรเสริญ ก็ทุกข์ ใครมาแย่งกาม ก็ทุกข์ ใครแย่งอัตตา ก็ทุกข์ ทุกอย่าง ใหญ่ทั้งนั้น คนได้มา ก็สุขใจ นั้นคือสุขขัลลิกะ เราต้องมาเลิก สวรรค์ลวงนี้ เพราะทำให้คนทุกข์ ทำอย่างไม่อับอาย เอาสมบัติของประเทศ ของคนอื่น จะโลภมาเป็นของตัว หมดเลย ไม่ได้ใส่ความเลย เห็นรูปธรรม ชัดที่สุด คนตาบอด ยังเห็นได้เลย ในสภาฯ ก็ยกเลิก สว.สรรหา เขาทำอย่างไม่อายเลย มองคนอื่น เหมือนเขาไม่รู้ ไม่มีหิริโอตตัปปะเลย เขาไม่รู้มากกว่าว่า มันน่าเกลียด น่าอาย เขาไม่รู้หรอก เรามาสร้างคนที่ให้รู้ดี แล้วมาเปลี่ยนแปลง ไม่หลงสวรรค์ ส่วนการปฏิบัติ ศีลพรต ก็ไปนั่งหลับตา ติดภพ แต่มีกามอยู่ พอแก่แล้ว ไปเจออีหนู ก็เสร็จ คือ ไม่เรียนรู้กาม ไปเป็นลำดับ ไปสุขในภพ ก็มีอามิสแต่ละเอียด คือ ๒.มีสุขด้วยศีลพรต ไม่ได้ไปแย่งกามคุณ แต่สะกดจิตไว้ เป็นกามสุขขัลลิกะ เป็นภวตัณหา มาเรียนรู้ ลดจริงๆ จึงได้ ๓.สวรรค์อาริยะ เป็นสวรรค์แท้ ที่เห็นโทษในกาม ล้างกามล้างภพ เรียกว่า เนกขัมมะ ทุกคน ต้องติดพวกนี้ทั้งนั้น แล้วก็ล้างออกให้หมด ก็เป็นอรหันต์ จะเป็นคนขยัน สร้างสรร รวยได้ อย่างไม่เอาเปรียบใคร มีสรรถนะ มีคณะหมู่กลุ่ม รวยขึ้นมา เป็นกลุ่ม คนจนที่รวย คนเดียวก็รวยได้พอประมาณ ไม่มีรูปธรรมความรวย แต่จะรวย เพราะสร้างสรร อย่างอโศก เรามารวมตัว เป็นคณะ คิดดู อาตมาเพิ่งเคยเจอ มะระลูกโต ขนาดนี้ จริง บางลูกเขาบอกว่า กิโลกว่าก็มี แม้แต่ผลหมาก รากไม้ ก็แสดง ความอุดมสมบูรณ์ ความรวย เราได้เสกเป่าด้วยคาถา เป็นเรื่องธรรมดา เราใส่ปุ๋ยเรา เราสร้างแพขึ้น ที่บ้านราชฯ เป็นแพผัก เราทำดีเถอะ พระเจ้าจะช่วย ผู้ที่ช่วยตนเองก่อน นี่คือคำสอนของ ศาสนาพระเจ้า ของเราพยายามพึ่งตน สร้างสรรให้ได้ จะมีปาฏิหาริย์เอง ยิ่งจนยิ่งรวย ยิ่งเล็กยิ่งใหญ่ เรากำลัง จะมาสร้าง ความเล็ก เราเป็นคนจน ไม่ต้องสะสม สมบัติมาก แต่เราจะมี ส่วนกลางมาก เป็นสาธารณโภคี หวังลึกๆว่าเมืองไทย จะเกิดสาธารณโภคีได้ ตอนนี้ ชมพูทวีป ขณะนี้เลื่อนจาก เมืองอินเดีย มาอยู่ที่เมืองไทยแล้ว โลกขณะนี้ ยกให้เมืองไทย เป็นแหล่งกลาง พุทธศาสนาแล้ว เนื้อแท้พุทธ จะเกิดที่ไทยนี่ โลกุตรธรรม กำลังหยั่งลงแล้ว เกิดในประเทศไทย อารยธรรม ของพระพุทธเจ้า หยั่งลงแล้ว ในประเทศไทย ประเทศอื่นไม่มี เป็นเรื่องจริง ยิ่งเล็กยิ่งใหญ่ ยิ่งจนยิ่งรวย เชื่อไหมว่าที่นี่ คือ ที่รวมคนดี อย่าขี้เกียจ อย่าเฉยเมย อุตสาหะ มีน้ำใจบ้าง มารวมตัวกันบ้าง ถ้าไม่ระงับแล้ว จราจลต้องเกิด จะปล้นฆ่าแกงกัน ร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ เรามาทำตลาดอาริยะ ที่เป็นคนจนนะ แต่ยิ่งจนยิ่งรวย เป็นคนจนเศรษฐีเงินถัง แต่สตังค์ไม่มี อ.กฤษฎาว่า คนรวยแล้ว จะแจกแต่ละที ก็ต้องโฆษณา ให้เป็นข่าว พ่อครูว่า เราจะเป็นเมืองเล็กเมืองน้อย อย่างในหลวงตรัส เราจะเป็นประเทศ ที่ไม่รวย เป็นคนจนที่เป็นเศรษฐี มีเฉลี่ย แบ่งแจกโลก เพราะมีสุข ประเสริฐสุขจริง อ.กฤษฎาว่า นึกถึงโศลกว่า เลวที่สุดในแผ่นดิน คือหากินบนคำว่า ช่วยเขา พ่อครูว่า... คำว่าช่วยเขานี่แหละ คือภาษาประชานิยม เขาว่า นี่กำลังช่วยคนจนนะ พ่อครูว่า เอี๊ยะ คือคำล่อหลอก ประเล้าประโลม เขาเอามาช่วยนี่ ก็ไม่ได้ควักเงินเขาเอง เขาเอา เงินอนาคต ของลูกหลานคุณ ต้องตามใช้ไป ๕๐ ปี จะเสร็จหรือเปล่า จะสร้างรถเอาหน้า แค่ปัญญาก็ไม่รู้ว่า รถไฟความเร็วสูง เขาไม่ใช้ขนผักหรอก แล้วยังบอกว่า จะเอามา ขนผัก ไปขายต่างประเทศ แต่ปัญญาอย่างนี้ ก็ไม่รู้แล้ว ไอ้รถไฟ หัวกระสุนนี่ แพงกว่าเครื่องบิน แล้วคนจน จะได้ขึ้นอย่างไร ไปนั่ง เขาก็ไล่ลงแล้ว ราคาแพง เขาก็ต้องเอาเงิน คืนมาใช้หนี้ พูดอย่างนี้ หลอกเด็กทุกวันนี้ ไม่ได้นะ แต่นี่หลอก คนตาบอด อย่างนี้เป็นต้น หากินบนคำว่า ช่วยเขา เอ้า เลือกเรามาเป็นรัฐบาล เราจะทำให้ ราคาน้ำมัน ลดเท่านั้น เท่านี้ เลือกมาแล้ว อย่าหาว่า สมน้ำหน้า คนเลือกมา ต่างๆนานา ที่เขาโฆษณา เขาเอามาย้อนเกล็ด นี่จะแสบสันต์อย่างไร พูดไปเถอะ จะช่วย อย่างนั้นอย่างนี้ เลวที่สุดในแผ่นดิน คือหากิน บนคำว่า ช่วยเขา อ.กฤษฎาว่า นึกถึงเพศแม่ ทุกวันนี้ สังคมเอาสตรีเพศมาเล่น ประเด็นคือ ทำไมสังคม มันพลิกลิ้น พลิกความเป็นไป เอาสิ่งนี้ มากลบเกลื่อน หาว่าดูถูกกัน ทำไมสังคม เป็นอย่างนี้กัน กระแสสังคมบอกว่า ประชาธิปไตย แต่ถึงเวลาบอกว่า อย่าดูถูก สตรีเพศนะ พ่อครูว่า... พระพุทธเจ้า แบ่งภาวะรูป เป็นสองอย่าง คือ อิตถินทรีย์ และ ปุริสสินทรีย์ เป็นภาวะที่มีรูป มีกายวิญญัติ เห็นได้ บอกเพศว่า บุรุษหรือสตรี ไม่ใช่เฉพาะ ร่างกายมนุษย์ เพศหญิงชาย เรียกว่าลิงค เป็นสองอย่าง แต่ว่ามันมีลักษณะ ที่เป็นนามธรรม ลึกซึ้งกว่านั้น กิริยากายวาจา ก็เป็นวัตถุ ส่อให้เห็นว่า ภาษานี้ เป็นเชิง อิตถีเพศ มันไม่ใช่แบบผู้ชายๆเลย มีกิริยากาย แสดงออกมา คนก็ว่ากัน ก็เป็นการเข้าใจกันว่า ผู้ชายก็ควรเป็นผู้ชาย แต่ให้เอาผ้านุ่ง ไปใส่ซะ ก็เท่ากับลดค่า หรือดูถูก ข่มกัน ประชดแดกดัน สัจธรรมก็มี สิ่งประเสริฐสุด คือบุรุษเพศ อรหันต์แม้เป็นภิกษุณี เป็นอาริยบุคคลหญิง ผู้หญิงก็เป็น บุรุษภาวะได้ คือภาวะเอก เป็นหนึ่ง เป็นยอดได้ เป็นจิตวิญญาณเพศหญิง แต่เป็นชาย บรรลุอรหันต์ คือเป็นหนึ่ง เป็นเอกกัคคตา ในเพศหญิง ก็เป็นได้ คนบรรลุธรรม จึงอ่านอรหัตผลได้ ถ้าอ่านไม่ออก เราก็ทำไม่เป็น ผู้บรรลุธรรมได้ ก็จะมีดวงตาแห่งธรรม อ่านได้ ภาวะปุริสภาวะในจิต ที่เป็นเลิศ เป็นยอด เป็นหนึ่งได้ การประชดประชัน แดกดัน นี่คือ รู้กันว่า ไม่เป็นผู้ชายแท้ ก็สงสาร คนที่เอา woman touch ไปใช้ เป็นภาวะรองไปใช้ เป็นอิตถีภาวะ ไปแสดงประกาศ ไปใช้ในโลก อาตมาว่า เป็นการขายขี้หน้า ประเทศพุทธ เราควรใช้ปุริสภาวะ ไปใช้ต่างหาก ที่เขาจะยัดเยียด คุณอภิสิทธิ ก็คือใช้อิตถีภาวะ นายกฯผู้หญิง ของประเทศอื่น ก็แสดงปุริสภาวะได้ แต่ของเรา ไม่ได้เข้าใจ ภาษาเลย จะเอา woman touch ไปใช้ ผู้รู้ก็บอกว่า ไม่เข้าท่าเลย สรุปว่า... ถึงเวลาที่เรากำลัง มาช่วยกันสร้าง ก็ให้สัมภาษณ์ไปแล้ว คุณดนัย ก็สัมภาษณ์ เมื่อปีก่อน ก็สัมภาษณ์ เรื่องเก่าเลย คุณดนัย ก็ซักประเด็นเก่า พ่อครู ก็ตอบ เหมือนเก่า ขณะนี้ ถึงเวลาที่เรา ต้องมาทำงานกัน ทนไปอีกนิดเถอะน่า ชื่อนวนิยายของ พันตำรวจตรี ประชา เขาสำนวน หวือหวามาก เข็ดจริงๆ ให้ดิ้นตาย ก็สร้างเป็นหนัง ออกมา ได้เงิน แต่ไปฉายที่ลาว เขาฟังแล้ว ไม่รู้เรื่อง เลยเปลี่ยนชื่อเป็น หลาบคักๆ ซักแงกๆ คนไปดูมากมายเลย นวนิยายเขานี่ บรรทัดละ ๘ บาท ราคาค่าตัว ทนอีกนิดเถอะน่า นี่ก็เป็นชื่อเรื่อง นิยายของเขา พ่อครูว่าพวกเรา ทนอีกหน่อย แล้วพยายามฝึกฝน พากเพียรประพฤติ มาเป็นคนจนมหัศจรรย์ ยิ่งเล็กยิ่งใหญ่ อ่อนน้อม ถ่อมตน เป็นคนรับใช้ ช่วยมนุษยชาติ มีน้ำใจเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่กัน เราอยู่ในประเทศ สังคมที่สงบ ศานติกัน อย่างแท้จริง มั่นใจว่าวาระนี้สำคัญ ตอนนี้ มันสุดที่จะแน่นอก อย่างจัดเต็ม จริงๆแล้ว อ.กฤษฎาว่า การที่เรามาอยู่ตรงนี้ จะมารู้ทาง ที่เป็นรูปธรรม ที่นำไปสู่ การปฏิรูป การเมือง อย่างแท้จริง คือปราศจากิเลส มีแต่การให้ อย่างตลาดอาริยะ ถ้ามีการปฏิรูปจริง คนที่เข้าไป เป็นผู้นำ ก็ใช้ภาษีแจกจ่ายเจือจาน อย่างเหมาะสม พ่อครูว่า เราต้องได้คนอย่างนั้น เมื่อวาน คุณดนัย สัมภาษณ์พ่อครู ก็พูดว่า... คุณดูถูกคนเกินไป ว่าคนดีกว่านี้ ไม่มีอยู่ในสังคมโลก หรือสังคมประเทศ ก็คนดี ในสังคมประเทศ อาตมา ให้เกียรติเขาอยู่ว่า กลุ่มคนดีกว่านี้ และเราพอจะรู้ว่า คนในประเทศไทยนี้ ดีกว่านี้ มีจำนวนพอ ที่จะขึ้นไป บริหารประเทศได้ เราต้องพยายามพากันทำ เราไม่ได้มาย้ำเน้น กันอย่างนี้ คิดว่าคงไม่ผิด เท่าที่เคย ประสพมา ยังไม่เคยเห็น การชุมนุม ทางการเมือง เสร็จแล้ว ก็มานั่งพูดกันว่า จะเอาธรรมะ ไปบูรณะประเทศ ยังไม่เคยเห็น การชุมนุมประท้วง ให้ได้รับความเจริญ อย่างที่เรา ชุมนุมกันนี่ อาตมาว่า ครั้งนี้ เป็นครั้งแรกนะ เป็นนิมิตหมาย อันใหม่มาก หลายคนมา ก็พยายาม ให้มีธรรมะ เหมือนเวทีธรรมาส เทศน์เป็นมิติใหม่ ที่แปลกนี่คือ นีโอ โพรเทส เป็นการประท้วงแนวใหม่ ให้ตรงรัฐธรรมนูญ เพื่อเอาความถูกต้อง มาล้มล้าง สิ่งผิด สิ่งไม่ดีงาม แล้วมรวมกัน ทำสิ่งดีงาม ให้สำเร็จหน่อยเถอะน่า จะเป็นธรรมฤทธิ์จริง จะใช้คำว่าปฏิวัติ ด้วยธรรมฤทธิ์ จะดังไปทั่วโลก ไม่มีเลือดซักหยด เปลี่ยนแปลง การเมืองน้ำเน่า มาเป็นการเมืองใหม่เลย ประเทศไหนทำได้ ยังไม่มีสถิติ ประเทศไทย ทำให้โลกดูก่อน ได้ไหม ฟังให้ดี เมื่อเราบอก ให้มารวมตัวกัน พยายามให้พรักพร้อมเถอะ เราพยายามทำ ให้สุดวิเศษ ถ้าเมืองไทย ทำสิ่งที่ สวยสด งดงาม ที่จะปฏิวัติ การเมืองน้ำเน่า ให้มาเป็นการเมืองวิเศษ อย่างไม่เจ็บปวดไม่มีฆ่าแกง เลือดตก ยางออก ประเทศไทย จะสุดยอดขนาดไหน อยากได้ไหม จะว่าเป็นกิเลส ก็ไม่ว่า เป็นสิ่งควรเกิด แก่ประเทศไทย พฤติกรรมที่เราทำ เราพยายามให้เรียบร้อย งดงาม ให้มีคุณธรรมแท้จริง เราพากเพียร สิ่งนี้จะเป็นความหวังที่ ไม่สิ้นอุตสาหะ เมืองไทยนี่ยังมี พระสยาม เทวาธิราช ไม่เชื่อว่าไทย จะสิ้นไร้ไม้ตอก ทุกวันนี้ ก็เหลือรับ ให้มันเชือดเนื้อ เถือหนัง เป็นชิ้นๆ หรือไง ตอนนี้ เพื่อนบ้านเขมร เขานำไปแล้ว ฝ่ายค้าน นำประชาชน ออกมามากมาย ไทยเรา ไม่น่าแพ้เขมร น่าจะงดงามกว่า ตั้งแต่วันนี้ เป็นต้นไป ให้ทุกคนพยายามไตร่ตรอง ทบทวนให้ดีว่า ภาวะประเทศไทย เป็นอย่างไร อะไรก็แพงๆ ชีวิตพ่อครู ตั้งแต่เป็นเด็ก พศ.๒๔๙๕ อยู่แถวแม้นศรี กินข้าวจานละ ๕๐ สตังค์ เพราะเป็นเด็กจน สองจานก็อิ่มแล้ว สองจาน หนึ่งบาท สบาย แล้วมาดื่ม น้ำประปาที่บ้าน ไม่มีสตังค์ซื้อ น้ำอื่นกินหรอก แต่เดี๋ยวนี้ ข้าวราดแกง จานละ ๕๐ บาทแล้ว เปรียบเทียบ ในระยะ ๖๐ ปี ที่ผ่านมา มันขึ้นมา ขนาดนี้เลย เคยอยู่เมืองพิบูลฯ ตื่นเช้ามา ก็ซื้อไข่ไปขาย เราก็ซื้อมาได้ถูก เขาก็ขายให้ถูก มาขายตอนนั้น ไข่ลูกละ สามตังค์ สี่ตังค์ เดี๋ยวนี้ ปาเข้าไป ลูกละ ๓ ถึง ๕ บาท คือของ ราคามันไม่ไหวแล้ว เขาเอามาเปิดเผย ทุกมุม ทุกด้านไม่ว่าที่ดิน น้ำมัน มีสารพัดโกงกิน ที่เขาจะปู้ยี้ปู้ยำ ประเทศ พวกเราอยู่ ก็เดือดร้อนแล้ว ลูกหลาน ก็ยิ่งเดือดร้อนแล้ว.... จบ |
||
|