560922_รายการวิถีอาริยธรรม
เรื่อง รู้แจ้งชาติ ๕ ถึงธรรมาธิปไตย

        วันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๕๖ ส.เพาะพุทธ ดำเนินรายการที่สวนลุมฯ

วันนี้มาพร้อมกับสายฝน...
เริ่มด้วยบทกวี เพลงที่แต่งโดยพ่อครู

แม้นไกลปานไปฟากฟ้า... ข้ามสุริยาอีกดวง เลยจักรวาลทั้งปวง... อยู่สรวงหรือห้วงแดนใด..... หวงโลภหลงโกรธอยู่ใย
บุญไซร้ใครสร้าง ต่างเป็นของตน....

เป็นบทเพลง ที่ให้กำลังใจ พวกเราทุกคน เมื่อใจสะอาด ก็จะทำให้ชาติ สะอาดได้ สะอาดจาก ความสกปรก จากมนุษย์ที่มีปัญญา เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน เป็นคน ไม่สะอาด หรือเป็นคนอสุจิ

        ก่อนหน้านี้ มีพี่น้อง มุสลิมบ้านครัวมา พวกเราแสดงความยินดีปรีดา กันอย่างเต็มที่ พี่น้องมุสลิมบ้านครัว เป็นพี่น้องที่มี ความเข้มแข็ง สามัคคีรวมกลุ่ม รวมตัวกัน อย่างแข็งขัน สามารถป้องกันการรุกล้ำ ทางวัฒนธรรม ได้สำเร็จ ภาพที่เห็นที่บนเวทีนั้น เห็นได้ว่า พี่น้องบ้านครัว มีความเข้มแข็งสามัคคี และรักชาติ ถ้าพี่น้องชาติไทย มีการรวมกลุ่มกัน อย่างพี่น้องมุสลิม บ้านครัวแล้ว ชาติไทยจะยังคงอยู่ ไม่ถูกทำลาย จากทุนนิยมสามานย์ แน่นอน

        วันนี้เราจะได้มาฟัง คำอรรถาธิบาย เรื่องชาติ ซึ่งมี ๕ แบบ จากพ่อครู

        พ่อครู.... วันนี้ตั้งใจเอาคำว่า “ชาติ” ที่แปลว่าการเกิด มาอธิบาย และได้เคย แยกแยะคำว่า ชาติเป็น ๕ นัย แต่ก่อนหน้า ที่จะได้อธิบายนั้น มีจดหมายของ พลเรือตรีมินทร์ ว่า เมื่อปีก่อน ได้มีโอกาสไปในทำเนียบรบ. ได้พบสัตว์มีเกล็ดสี่เท้า ทักทายผม และผมได้ถามว่า คุณคือตัวเงินตัวทอง หรือตัวเหี้ย ใช่ไหมครับ นี่เป็นเรื่องจริงนะครับ สัตว์ตัวนั้น ได้แลบลิ้นแผลบๆตอบ พร้อมกับชายตา อย่างอารมณ์ดี มาที่ผมครับ …..

        และเมื่อเช้าวันนี้ มีสุภาพสตรีได้โทรฯ เข้าไปรายการช่อง ๑๓ สยามไท แจ้งว่า อยากให้ลดเวลา รายการธรรมะ ที่เวทีสวนลุมฯลง แต่ผมเห็นว่า รายการธรรมะนี้ เป็นรายการ ชั้นนำ ของเมืองไทย ไม่อยากให้ เปลี่ยนแปลงใดๆเลย

        พ่อครูว่า... เรื่องนี้ได้พูดหลายทีแล้ว ว่า ก็เห็นใจ คนที่ไม่ชอบธรรมะ โดยเฉพาะ โลกุตรธรรม ฟังแล้วไม่รู้เรื่อง เพราะเป็นเรื่อง ทวนกระแสโลกีย์ มันฟังแล้ว ไม่มีรสชาติ แต่พ่อครูก็ขออภัย ที่จะต้องดันทุรัง เพราะ พ่อครูมา ทำงานศาสนา มา ๔๐ ปีแล้ว ก็พยายาม นำเสนอ โลกุตรธรรม ลงไปในสังคมประเทศ ตลอด ๔๐ ปีก็ได้ผล มีคนที่รับได้ คนมีธุลีในดวงตาน้อยมีอยู่ และจะเห็นว่า มีผลสูงต่อสังคม ก็ต้องขอโอกาส แม้ในสนามนี้ เป็นสนามการเมือง แล้วพ่อครูก็ยืนยันว่า การเมืองต้องเอาธรรมะ สถาปนา ลงไปในการเมือง โดยเฉพาะโลกุตรธรรม ยิ่งจำเป็นที่สุด เข้าใจและเชื่อมั่น อย่างนั้น จึงพยายามทำ โดยมีเหตุผลหลักคือ การเมืองแก้ด้วยการเมืองมา ๘๑ ปีแล้ว ไม่มีผลสำเร็จ และยิ่งเป็นเผด็จการ หนักเข้าไปอีก ชาติประเทศ ยิ่งล่มจมหนัก ตลอด ๒ ปี ที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ บริหารประเทศ เป็นหนี้ไปแล้ว หลายล้านๆ และกำลังจะเป็นหนี้อีก ๒ ล้านล้าน เป็นฝีมือที่ห่วยที่สุด เท่าที่มีมา เป็นความสุรุ่ยสุร่ายมาก เราเป็นหนี้อยู่แล้ว ประชาชน จนยาก ก็หาเรื่องให้เป็นหนี้เพิ่ม จะต้องใช้หนี้ ไปอีกนานแค่ไหน ใจโหดใจดำ ที่ทำร้าย มนุษยชาติ นี่พูดตามเนื้อผ้านะ ขอยืนยันว่า ขอนำธรรมะ ที่มักน้อยสันโดษ ลดละ ไม่สุรุ่ยสุร่าย ไม่หรูหรา ไม่เอาก้าวหน้า อย่างเร็วอย่างแรง ที่ค้านแย้ง กับในหลวง ที่ตรัส ว่า เราไม่เอาก้าวหน้าอย่างเร็ว เพราะมัน จะถอยหลัง อย่างน่ากลัว

        มันยิ่งทำให้เสียหายหนัก ยังไงๆก็ขอเป็น อาริยะขัดขืน อย่างนี้แหละ ก็เคารพ ความเห็นแย้ง แม้ของน้อยคนก็ตาม ประชาธิปไตย เราต้องเคารพความเห็นแย้ง แต่ก็พิจารณาว่า จะทำหรือไม่ ด้วยความเข้าใจ ไม่ได้มาเอาชนะคะคาน และพิจารณา เหตุผลรอบด้านว่า ควรทำต่อ แต่ถ้าพิจารณาแล้ว ควรลด ก็ต้องเชื่อเขา ก็รับฟัง ความเห็นเขา ไม่ได้ตีทิ้ง และพ่อครูไม่ได้ทำคนเดียว แต่หมู่นี้เห็นว่า ควรทำเช่นนี้ คุ้มค่าอยู่ ต้องมาดูความจริงว่า ไม่ได้เสียหลาย ในการนำธรรมะ ใส่เข้าไป

        ทุกวันนี้พ่อครูพูดธรรมะ ก็มีการเมืองอยู่ แต่คุณพูดการเมือง ตั้งแต่เปิดเวทีแล้ว ก็ขอเวลาธรรมะแค่ ๒ ชม.นอกนั้น ก็ให้การเมืองหมด แต่หัวใจ ที่ไม่ชอบธรรมะ ก็กระไร มองไม่เห็น ความสำคัญ ของสิ่งประเสริฐเลย

        ก็มาพูดถึงประเด็นเรื่อง “ชาติ” ๕ ประเภท
.ชาติ คือ ความเกิดของสัตว์โลกหรือชีวิตทั่วไป เกิดมาแล้วก็ตายไป เป็นสามัญคน ก็เข้าใจโดยปริยาย

.ชาติ คือ ชาติทางจิตวิญญาณ เป็นการเกิดเป็นสัตว์ ทางจิตวิญญาณ ที่จะต้องศึกษา อย่างดีเลย มีชื่อเรียก ทั้งที่ร่างกายเป็นคน แต่จิตวิญญาณเป็นสัตว์ คำว่าสัตว์ คำนี้มีทั้ง สัตว์ชั้นต่ำ และสัตว์ชั้นสูง แต่ไม่ได้หมายถึง สัตว์เป็นตัวๆ สัตว์บกสัตว์น้ำ อะไร อย่างนั้นนะ แต่เป็นสัตว์ในร่างคน ต้องมีญาณหยั่งรู้เห็น ว่าอย่างนี้คือ สัตว์เทวดา ที่เห็นโลกียะ หรือสัตว์โลกุตระ ที่เรียกว่าสัตว์ เพราะมีชีวิต มีความรู้สึก แต่ว่าต้นไม้ อิฐหิน ดินปูนนั้น ไม่ใช่ชีวิต เพราะไม่มีความรู้สึก อย่างสัตว์เดรัจฉาน ก็มีความรู้สึก พระพุทธเจ้า ให้ศึกษาความรู้สึก ยังจำกัดอีกว่า ความรู้สึกของมนุษย์ ก็ยังเป็นสัตว์ ที่สอนไม่ได้ ภูมิธรรมไม่ถึง ฟังธรรมไม่รู้เรื่อง สังคมเดือดร้อน เพราะสัตว์ทางจิตวิญญาณ ตัวนี้แหละ ทั้งที่ร่างกาย เป็นมนุษย์
        บางคนรูปหล่อ น่านับถือทางกายภาพ แต่ทางจิตภาพ เป็นสัตว์ชั้นต่ำ เลวร้ายมาก ศาสนาพุทธเน้นเรื่องนี้ ให้สามารถอ่าน แจกแจงพลังงาน ทางจิตเหล่านี้

.ชาติ แบบ ลิงลมอมข้าวพอง....อันนี้เป็นเรื่องที่พ่อครู มีความรู้ รู้เอง คือการเกิด ทางจิตวิญญาณ พอเกิดมาได้ร่างกาย ก็อยู่กับโลก ยังไม่ตื่น คือจิตวิญญาณ ที่สูงเจริญแล้ว แต่พอเกิดมาในร่างมนุษย์ แต่ยังไม่ตื่นรู้ ถูกโลกมอมเมา ไปตามโลกเขาไป เหมือนคนเล่น ลิงลมอมข้าวพอง อย่างพระพุทธเจ้า เป็นต้น เกิดมาตอนแรก พระราชบิดา ก็มอมเมามากเลย ไม่ให้มีจิตอยากออกบวช เพราะมีผู้ทำนายแล้วว่า จะได้เป็น พระพุทธเจ้า พระราชบิดา ก็ไม่อยากให้เป็น พระพุทธเจ้า ก็มอมเมาไปตามโลก เหมือนลิงลม อมข้าวพอง ได้ระยะหนึ่ง แต่พอถึงเวลาวาระ ที่จะตื่นรู้ ท่านมี พุทธการกธรรม คือมีภูมิธรรม พร้อมที่จะเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ส่วนผู้ที่สูงระดับอื่น ก็ได้เท่าที่ ท่านมี ตามฐานะ พ่อครูก็ได้ภูมิ ระดับพระโพธิสัตว์ ไม่ต้องมาปฏิบัติอีก ในชาตินี้ คนอื่นก็มีบารมี เท่าที่มี

.การเกิดของประเทศชาติ เป็น รัฐ หรือ ชาติ เป็นการเกิดของประเทศชาติ จะมีองค์ประกอบ ตามที่มี ให้คนต้องรักษาประเทศ ตาม รัฐธรรมนูญ

.ชาติ ที่เป็นสัญชาติญาณ จิตวิญญาณที่มีอัตโนมัติ มีทิฏฐิ อัตตา ทุกคนเกิดมา โดยอวิชชา จะมีอัตตาโดยอัตโนมัติ ถ้าไม่ศึกษาแล้ว ทิฏฐิและอัตตา จะเป็นเหตุ ให้เกิดชาติ เราต้องมาละล้าง อัตตาและทิฏฐิ คนไม่รู้ ก็สะสมทิฏฐิ อัตตา มากไปเรื่อยๆ
       
        ย้อนมาอธิบาย การเกิดของสัตวโลก ซึ่งพลังงานมี ๕ อย่างคือ อุตุ พีชะ จิต กรรม ธรรมะ นี่คือธรรมนิยาม ๕ อย่าง ของพระพุทธเจ้า
        . อุตุ คือพลังงานสามัญ วัตถุทางฟิสิกส์ เช่นความร้อน แสงเสียง แม่เหล็ก เป็นพลังงาน ของมหาจักรวาล ของเอกภพ เป็นสามัญทั่วไป พลังงานเหล่านี้ ไม่เป็นชีวะ แม่จะพลังงานวิเศษ เท่าใดก็ตามก็ไม่เป็นชีวะ เช่นพลังงานนิวเคลียร์ พลังงานนาโน เราจับหยิบ มาใช้ได้ ไม่กี่อย่าง แม้สูงส่งแรง มีอำนาจพิเศษเท่าใด ก็ไม่ใช่ชีวะ เรียกว่า แค่อุณหธาตุเท่านั้น
        . พีชะ หรือพืช เป็นพลังงาน ในระดับที่ปรับตัว สูงกว่าอุตุ สามารถพัฒนา อัตโนมัติ ของตนเองได้ สามารถให้เกิด หรือดับเองได้ มันสามารถ สังเคราะห์เองได้ แล้วก็ดับไป ตามกำหนดได้ แต่ไม่มีความรู้สึก ไม่เจ็บปวด ไม่สุขทุกข์ ไม่ดีใจเสียใจ จึงไม่มีบุญหรือบาป ใครบอกว่า ไปพรากพืช ก็บาปสิ คนที่พูดเช่นนี้ ยังไม่เข้าใจ รายละเอียด มันไม่มีโลภโกรธหลง มันมีอัตโนมัติ มันมีสัญญา ของมันเองว่า จะเอาธาตุอันไหน มาสังเคราะห์ หรือสังขารได้

        . จิต นิยาม หรือวิญญาณ อันนี้พัฒนาตน สังเคราะห์มาเป็นขั้นที่ มีวิญญาณ เรียกว่า พลังงานที่มีวิญญาณครอง หรือกรรมครอง เรียกว่า อุปาทินกสังขาร มีกรรมบาป กรรมบุญ  เช่น สัตว์เดรัจฉาน ตั้งแต่สัตว์ชั้นต่ำ เซลล์เดียวไป มันก็มีของมันซื่อๆ แล้วพัฒนา มาเป็นสัตว์ชั้นสูง เป็นคน เป็นเดรัจฉาน เป็นคน

        คนที่เวียนตาย ไปเกิดเป็นเดรัจฉาน ไปใช้วิบาก ก็เป็นได้เป็นจริง สัตว์พวกนี้ มีเวทนา มีวิญญาณ มีรักมีชัง มีโลภ โกรธหลง มีมากน้อยตามระดับ สัตว์ชั้นต่ำ ก็มีน้อย สัตว์ชั้นสูง ก็ยิ่งมีมาก แค้นมาก รักมากก็ได้ ถ้าไม่ศึกษาธรรมะ ก็จะไปตามพลังงาน ไปตามกรรม

        จิต นิยาม จะเรียนรู้กรรมได้ มีกรรมด้วย ผู้ที่เรียนรู้เรื่องกรรมได้ เรียกว่า เวไนยสัตว์​ รู้ว่ากรรมนี้ พาเกิด พาเป็นไป แต่ละศาสนา ก็อธิบายไปตามภูมิ แต่พุทธเรียนรู้ เรื่องชาติ ตัวที่สองนี้แหละ
        สัตว์ที่เป็นจิตนิยามนี้ แบ่งเป็น เวไนยสัตว์ และอเวไนยสัตว์  พวกอเวไนยฯ คือพวกที่สอน เรื่องกรรมวิบากไม่ได้ ซึ่งแม้เป็นชาวพุทธ แต่ไม่สนใจ เรื่องกรรมวิบาก แย่งชิงทุจริต โดยไม่ใส่ใจ สัจธรรม ก็วนเวียน ไปตกนรกเยอะ แม้พระพุทธเจ้า ก็เป็นเพียง ผู้ชี้ทาง ไม่มีใครเก่ง แก้กรรมได้ แต่มีบางคน เก่งกว่าพระพุทธเจ้า บอกว่า แก้กรรมได้ คนนี้น่ากลัวจริงๆเลย แล้วคนพวกนี้รวยนะ ไปแก้กรรมวิบาก

        . กรรมนิยาม เป็นผลของกรรม หรือการกระทำ ทำชั่วทำดี ทางกาย วาจา ใจ ซึ่งเวไนยสัตว์คือสัตว์ที่ สอนให้ละชั่ว ทำดีได้ อาจจะกดข่ม อย่างบางศาสนา ได้เป็นนิสัย ที่สะสม แต่จะไม่ถึงขั้น วิสัย ของพุทธเท่านั้น จะทำถึงวิสัยได้

        เวไนยสัตว์ระดับกัลยาณชน ก็ทำดีละชั่ว แต่ไม่รู้โลกุตระ ส่วนเวไนยสัตว์ ระดับ รู้โลกุตระ จะรู้จักตัวกิเลส แล้วมีวิธีดับกิเลสได้ ดับชาติได้ ให้ชาติตัวนี้ตายจริง นี่คือ ศาสนาพุทธ มีตัวนี้ที่พิเศษ สามารถดับตัวชาติ ไม่ให้เกิด ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เป็นๆ นี่แหละ ก็จะเรียนรู้ได้ จากชาติที่เกิดจากกรรม โดยเฉพาะ ที่เกิดจากใจ นี่แหละ ใจเป็นประธาน ของทุกอย่าง

        . ธรรม นิยาม คือสิ่งทรงไว้ โดยเฉพาะในจิต จิตที่เป็นอกุศลจิต ก็ฆ่าให้ตายไปเลย ไม่ทรงไว้ ซึ่งอกุศลจิต หรืออกุศลธรรม ไม่ให้ตั้งหรือทรงไว้ ให้เหลือแต่ กุศลธรรม เป็นการทรงไว้ ซึ่งนามธรรม แม้จะเหลือ เล็กน้อยเท่าใด ก็รู้ ให้ดับหมด ไม่กลับ กำเริบอีก สุดเลยก็ได้ ยืนยันได้ว่า มันไม่เกิดอีก นี่คือพลังงาน ๕ อย่าง เราต้องดับชาติ ในธรรมะ ธรรมะพระพุทธเจ้า คือธรรมะที่ดับชาติ ถ้าไม่ดับถึงชาติ ก็ไม่ถึงโลกุตระ สิ่งที่ทรงอยู่ ก็มีแต่สัตว์ประเสริฐ ไม่มีสัตว์ชั้นเลวเลย

        มาอธิบาย เรื่องชาติ แบบลิงลมอมข้าวพอง.... ผู้ที่เป็นเช่นนี้ ต้องเป็น ผู้มีบารมีสูง มีชาติที่เป็น คุณธรรมดี ที่เกิดในตน อย่างรู้ๆเห็นๆ

        จิตเกิดคือจิตตาย เพราะทำให้ อกุศลจิต ในตัวเราตายไป แล้วทำให้จิต เกิดใหม่ เป็นกุศลจิต มันมีอกุศลจิต มาชักนำ สสังขาริกัง พอฆ่าอกุศลตาย จิตตนก็เกิดใหม่ มันเกิดจริง เพราะตายแบบไม่ฟื้นได้จิตใหม่ เป็นจิตที่ ไม่มีตัวชักนำทางร้าย เรียกว่า อสังขาริกัง
        ผู้มีของตน ก็เป็นปัจจัตตัง จิตมีเจโตเต็ม แล้วมีปัญญา อ่านจิตตนออก รู้ด้วยว่า จิตตนเกิดใหม่ ตนเป็น และตนรู้ความเป็น เริ่มมีของตน แล้วสั่งสม จิตอย่างนี้ หลายๆ ตัวไปก็เป็น ปัจเจก สั่งสมส่วนตัวของตน คนอื่นแย่งไม่ได้ แบ่งให้ใคร ก็ไม่ได้ 

        สั่งสมปัจเจกไปเรื่อยๆ ก็เป็น สยังอภิญญา แล้วสั่งสมต่อไป ก็เป็นขั้นสุดยอด คือ สยัมภู

        คนที่มีปัจเจกน้อย ถ้าไม่พบมิตรดีสหายดี ก็เป็นลิงลมอมข้าวพอง ไปตลอดชาติ ไม่ได้แสดงออก ภูมิธรรมในตน ที่มีเลย เป็นโมฆะบุรุษ เสียชาติเกิดได้นะ เพราะไปคบ คนโลกีย์ มันดึงแรงและมันพยายาม หาพวกด้วยนะ ต้องพยายามศึกษาดีๆ

        ผู้มีพลังงานสูง แม้ไม่มีใครช่วย ก็ตื่นรู้เองได้ ต้องขั้นสยังอภิญญาขึ้นไป แต่ถ้าขั้น ปัจเจก ก็จะถูกสนาม แม่เหล็กโลกีย์ ดึงไป ต้องพากเพียร เอาจริงเอาจังนะ

        หลายคน จะรู้ตัวเองว่า ตนเองไม่ได้อยากมานะ แต่ว่ามันมีปัจเจก มากพอ ก็จะมาเอง ถึงเวลาวาระ น้ำไหลไปหาน้ำ น้ำมันไหลไปหาน้ำมัน

        ชาติที่ ๔ ที่เป็นรัฐประเทศชาติ เป็นองค์รวมเผ่าพันธ์ ของประเทศชาติ มีหัวหน้าเผ่า ไปจับจองพื้นที่ บริหารปกครองกันไป เป็นชาติๆ ทุกวันนี้ ก็มากมาย แตกไป ถูกกลืนไป ก็มีมาก เช่นธิเบต ถูกจีนดึงไปเป็นชาติจีน หรือชาติเกิดใหม่ก็มี เป็นเรื่องของ มนุษยชาติ

        ไทยเราเกิดมา เป็นพันกว่าปีแล้ว จากสยามประเทศ มาเป็นประเทศไทย เรามาย้ำ ปัจจุบัน ใครคงไม่อยาก ให้ไทยเรา เปลี่ยนเป็นประเทศอื่น หรือถูกชาติอื่น ครอบครอง... คงไม่มีใคร อยากให้ชาติไทยสูญไป

        ขณะนี้ดินแดนไทย จะถูกขายถูกเซ้ง ถูกเปลี่ยนไป มันมีไหม?... ก็มีแล้ว หลายแห่ง แม้เป็นประเทศไทย แต่ต่างชาติถือครอง นี้เป็นนัยหนึ่ง มาซื้อหาจับจองไว้ ก็เลี่ยงกฎหมายไป หรือโกงกันดื้อๆ แย่งกันเห็นๆ ก็มีแล้ว แผ่นดินไทย กำลังถูกกลืน
        แม้วัฒนธรรม ความเป็นอยู่ อย่างไทยๆ มันมีอยู่แล้ว แต่นึกวันนี้ ก็เสียดาย นึกถึงตอนเด็ก พ่อครูบ้าน อยู่ อ.พิบูลมังสาหาร ทวดของทวด เป็นเจ้าเมืองพิบูลฯ ทวดของทวด จริงๆ เป็นอุปราช พี่ของทวดของทวด เป็นเจ้าเมือง ตอนเด็ก อยู่เมืองพิบูลฯ ก็อบอุ่น ไปเก็บเห็ด หรือแกงเห็ดได้ ก็ไปแบ่งบ้านโน้นบ้านนี้ เป็นวัฒนธรรม ที่อบอุ่น ไม่โลภ เขาให้ก็ไม่ตะกละเอาไปขาย ไม่มีลักษณะ เห็นแก่ตัว หวงแหน แต่เป็นคน มีคุณธรรมจริงๆ ไปบ้านไหน ก็กินบ้านนั้นได้ เหมือนลูก เหมือนหลาน ไม่ได้อดได้อยากอะไร

        ยายชื่อ ประภาวันดี ต่อมาก็เปลี่ยนเป็น ประภาวดี ก็อยู่มาอย่างนั้น เป็นชีวิต วัฒนธรรมไทย มันอบอุ่นเป็นสุข เดี๋ยวนี้พ่อครู ดึงเอาวัฒนธรรมนั้น กลับมาเป็น สาธารณโภคี มันสุขฉะนี้ มีหรือจะลืม แต่น้ำใจคนสมัยนี้ มันแล้ง จนหาน้ำใจ ได้ยากมาก

        ในสมัย พ่อขุนราม ก็ปกครอง อย่างพ่อลูก ใครเดือดร้อน ก็มาร้องได้ แต่เดี๋ยวนี้ เขาใช้อำนาจ บาตรใหญ่ กดข่ม มีช่องว่าง ระหว่างชนชั้นอีก

        จิตวิญญาณ ของชาติประเทศที่ตกต่ำ ก็เพราะคนในชาติ มีจิตวิญญาณ ตกต่ำ เราก็ต้องกู้ ให้คืนมาแม้ไม่ได้เท่าเดิม แต่ก็ให้ดีขึ้น กว่านี้ให้ได้ เราต้องมาร่วม กอบกู้ ประเทศชาติ ให้คืนมา

        ส.เพาะพุทธว่า เป็นการกอบกู้ จิตวิญญาณเดิมๆ คืนมา คือให้เป็น เก่าเอี่ยม เก่าสมัย ใหม่เสมอ หรือแบบ โบราณนวทัศน์ ถ้าเราจะสร้าง รัฐชาติให้ดี เราไม่ปฏิเสธ ของใหม่ แต่เราก็ต้อง รักษา ของเก่าที่ดี วัฒนธรรมดีๆ สมัยก่อน ผมจำได้ว่า แม่แกงไปวัด อย่างหนึ่ง หลังจากตักถวายพระแล้ว แม่ก็ตักแบ่งให้น้า ให้ป้าอีก แล้วป้ากับน้า ก็แบ่งแกงอื่น มาให้เรา เราก็ได้แกงหลายอย่าง อีกต่างหาก หรือตอนเด็กเอากับข้าว ใส่ปิ่นโต ไปกินกับเพื่อน ก็ได้ล้อมวงกินกัน ได้หลายอย่าง

        สู่แดนธรรมถามคำถามว่า ปลาอะไรเอ่ย กินได้ทั้งปี คือปลาที่แลกเปลี่ยนกันไปมา

        ชาติที่ ๕ เป็นชาติทางจิตวิญญาณ ที่เป็นทิฏฐิและอัตตา รวมคืออัตตา ที่ยึดเป็น ตัวเรา ของเรา ยึดกาม ก็เป็นกามุปาทาน ยึดศีล ก็เป็นศีลพตุปาทาน ยึดทิฏฐิ ก็เป็น ทิฏฐุปาทาน ยึดวาทะ ก็เป็นอัตตวาทุปาทาน ถ้าไม่ได้ศึกษา ละล้างอัตตา แต่ละชาติ ก็มีอัตตาทิฏฐิ ที่โตไปเรื่อยๆ

        ศาสนาให้ล้างทิฏฐิ ล้างอัตตา และอัตตาที่ดีก็มี อัตตาที่ดีที่สุดคือ อรหัตตา คือรู้แจ้ง อัตตาหมดสิ้น หมดกิเลสแล้ว เป็นผู้ อตมยตา คืออาศัยอัตตา โดยไม่ได้ยึดอัตตา เป็นคน อมตะ ไม่ตายไม่เกิด หรือจะตายก็ได้ เกิดก็ได้ ไม่มีกิเลสอย่างพุทธ กิเลสเข้าจิตไม่ได้

        ชาติสุดท้ายนี้ อย่างน้อย ต้องรู้ทิฏฐิรู้อัตตา แล้วอย่าให้มันโต ไม่ให้มิจฉาทิฏฐิเจริญ ต้องให้ สัมมาทิฏฐิเจริญ เราต้องยึด อย่างสมาทาน ไม่ยึดอย่าง อุปาทาน ต้องยึดแค่อาศัย ไม่ได้ยึดเป็นเรา เป็นของเรา ไม่ใช่ของข้าใครอย่าแตะ เกิดมาอย่างน้อย ต้องรู้ทิฏฐิ รู้อัตตา อย่าให้มันโต มันมาก ในแต่ละชาติ ที่เกิดมา

        ถ้าเรียนรู้ต่อไปก็ย้อนมา ชาติแบบที่ ๒
       
        ชาติ คือการเกิดทางจิตวิญญาณ​ พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องชาติ ในปฏิจจสมุปบาท เริ่มจาก อวิชชา คือความไม่รู้
        อวิชชา ไม่ใช่ไม่รู้วิชาทำขนม ไม่รู้ในการเล่นหุ้น หรือเรื่องโลกๆทั้งหลาย ที่ไปเรียนทาง ป.ตรีโทเอก ความรู้เหล่านั้น ไม่เรียกว่าวิชชา หรืออวิชชา
        แต่อวิชชา คือความไม่รู้ ในสายของ ปฏิจจสมุปบาท ไม่รู้ในสังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ โศกะปริเทว ทุกข โทมนัส อุปายาส
        ตัณหา และอุปาทาน เป็นตัวการ ของการเกิด โอปปาติกสัตว์ (สัตว์นรกเทวดา) เมื่อไม่รู้ ก็เกิดเป็นภพ มีชาติ ต่อไป
        พระอรหันต์ ไม่ดีใจไม่เสียใจ รู้ว่าอะไรดีก็ดี รู้ว่าอะไรไม่ดีก็รู้ ท่านรู้ว่า อะไรควรยินดี อะไรไม่ควรยินดี อะไรควรได้ อะไรไม่ควรได้ ได้หรือไม่ได้ ก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น

        ผู้ศึกษาธรรมะของพุทธ ถ้าไม่รู้ปฏิจจสมุปบาท ก็เป็นอวิชชา ข้อที่ ๘
        ในอวิชชา ๘  
๑.     ไม่รู้ใน..ทุกข์  (ทุกฺเข อญฺญาณํ)
๒.     ไม่รู้ใน..ทุกขสมุทัย  (ทุกฺขสมุทเย อญฺญาณํ)
๓.     ไม่รู้ใน..ทุกขนิโรธ  (ทุกฺขนิโรเธ อญฺญาณํ) 
๔.     ไม่รู้ใน..ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (มรรคองค์๘)  
๕.     ไม่รู้ในส่วนอดีต (ที่ไม่เที่ยง)   ปุพพันเต อัญญาณัง
๖.     ไม่รู้ในส่วนอนาคต (ที่ไม่เที่ยง)  อปรันเต อัญญาณัง
๗.     ไม่รู้ทั้งส่วนอดีต -ส่วนอนาคต  (ไม่รู้สิ่งที่เที่ยงแท้เท่ากัน หมดแล้ว) (ปุพพันตาปรันเต  อัญญาณัง) 
๘.     ไม่รู้ในธรรมทั้งหลาย ที่อาศัยกันเกิดขึ้น เป็นห่วงโซ่ แห่งการเกิดทุกข์ หรือดับทุกข์  ตามหลัก ปฏิจจสมุปบาท  (หรืออิทัปปัจจยตา) 

        ชาติ พระพุทธเจ้าแจกไว้เป็น ๕ คำ เป็นลักษณะของข้อ หรือตัวหมาก ในกระดาน หรือ content หรือสารบัญ ในนั้น ต้องแจกแจงอีก ลงรายละเอียดไป เป็น ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ

        .ชาติ ารเกิดใดๆเป็นทุกข์ แม้อรหันต์ ก็มีการเกิดของขันธ์ ๕ ก็เป็นภาระ แต่อรหันต์ หมดอุปาทาน ในขันธ์ ๕ แล้ว แต่มีทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ คือทุกข์ทางกาย แต่อรหันต์ หมดทุกข์ทางใจ อรหันต์เลี่ยงทุกข์ เพราะแก่เจ็บตายไม่ได้ อรหันต์

. ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ (กายิกทุกข์ อันเกิดจากกาย)
๑.     สภาวทุกข์ ทุกข์ประจำสังขาร เกิด แก่ เจ็บ  ตาย
๒.     นิพัทธทุกข์ ทุกข์อยู่เนืองนิตย์ คือ หนาว ร้อน  หิว  กระหาย  ปวดอุจจาระ  ปวดปัสสาวะ
๓.     อาหารปริเยฏฐิทุกข์  ทุกข์ในการหากิน -การทำงาน
๔.     พยาธิทุกข์  อวัยวะเจ้าการ ทำหน้าที่ไม่เป็นปกติ
๕.     วิปากทุกข์ ทุกข์เพราะผลกรรม เลี่ยงวิบากเก่าไม่ได้
๖.     ทุกขขันธ์ ทุกข์รวบยอด เพราะการประชุม แห่งขันธ์ ๕  อันยังอาศัย มีชีวิตอยู่

. ทุกข์ที่เลี่ยงได้ (เจตสิกทุกข์ อันสามารถดับได้แท้) อรหันต์ไม่มีทุกข์แบบนี้แล้ว
๗.     ปกิณกทุกข์ (ทุกข์จรแห่งกิเลส คือ โศก ปริเทวะ  ทุกข  โทมนัส  อุปายาส  เมื่อพราก จากคนที่รัก  หรือสิ่งอันเป็นที่รัก เป็นต้น)
๘.     สันตาปทุกข์ (ทุกข์ คือ ความร้อนเผาใจ อันนื่องมาจาก กิเลสไฟราคะ  ไฟโทสะ  ไฟโมหะ  แผดเผา)
๙.     สหคตทุกข์  (ทุกข์ไปด้วยกันกับโลก  เช่น  ลาภ  ยศ สรรเสริญ โลกียสุข)
๑๐.    วิวาทมูลกทุกข์ (ทุกข์มีสงครามวิวาทะ เป็นรากเหง้า)

        .สัญชาติ  คือมีทั้งสัญญา และการกระทำปัจจุบันกำหนด การเกิดคือรวมๆ คือชาติ แต่สัญชาติ คือ การใชัสัญญะ คือ ๑ ความจำ ๒ การกำหนดหมาย ประกอบกับ การเกิด ที่ต้องเป็นผู้ที่ มีความจำ และการกำหนด มาจากเจตสิก คือสัญญา ที่เป็นคลังข้อมูล และสัญญา ที่กำหนดรู้ ในปัจจุบันด้วย เป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ ทั้งสองอย่าง เราต้องปฏิบัติ เพื่อดับความเกิด เราต้องเริ่มทำ ให้เกิดความดับ อย่างคำว่า สัญชาตญาณ คือมันไม่ต้องคิด ต้องนึกเลย มันทำได้เลย อย่างจิงโจ้ มันคลอดลูก แล้วก็เข้าไปอยู่ ในกระเป๋าแม่ได้ คนก็มีสัญชาตญาณ มันเป็นจริง ไม่ต้องจำ

                . โอกกันติ คือการหยั่งลง มันมีลักษณะการเกิดใหม่ เช่นอกุศลจิต ของคุณ เกิดใหม่ คุณไม่อยากได้ แต่มันเกิดเพราะไม่ได้เรียน ดีไม่ดีเข้าใจว่า มันเป็นสิ่งดีอีก เราต้อง เรียนรู้การเกิด ในปัจจุบัน มีผัสสะ ทำให้เราเกิดกิเลส มันเป็นอกุศล มันก็หยั่งลงๆ เราต้องเรียนรู้ หยั่งให้ทัน ถ้าไม่ทัน มันก็สะสมตกผลึกเป็นปุถุชน หนาใหญ่โตอ้วน ทุกวัน นั่นคือกิเลส คนไม่เรียนรู้ ก็ไม่เข้าใจ ทำไมพระพุทธเจ้า ตรัสว่า คนเราเกิดมา แล้วตายไป จะได้เกิดในสวรรค์ หรือกลับมาเป็นคนนั้น น้อยเท่ากับดิน ที่ขี้เล็บ แต่คนที่ ตกนรก เท่ากับดินทั้งหมด

                ส.เพาะพุทธว่า พ่อครูเคยอธิบายว่า นรกจะดึงความจำไปมาก จึงเกิดมา จำอดีตชาติไม่ได้ เพราะสวรรค์จะสั้น ลงนรกจะนาน เคยได้ยินไหมว่า มีเทวดานางฟ้า ไปเก็บดอกไม้ในสวน เสร็จแล้ว เพื่อนคนหนึ่ง หายไปวับหนึ่ง แล้วสักพัก ก็กลับมา ถามว่าไปไหน ก็บอกว่า ไปเกิดในโลกมนุษย์มา ๘๐ ปี มีลูกมีเต้า แล้วก็กลับมาที่เก่า

                พ่อครูว่า ทำไม นรกจึงนาน สวรรค์สั้น เพราะมันลวง สวรรค์มีแค่เข็ม จิ้มแวบ แล้วก็หมดไป มีอันใหม่อีก แต่อุปาทาน คุณฝังนาน ไม่ใช่แค่แวบเดียว สัญญาเป็น สวรรค์ของแห้ง ไม่สดด้วย ตายไป มีแต่สวรรค์แห้ง ไม่ค่อยเหมือนจริง แต่นรกจริงเลย ดิ้นไปไม่รู้ตัวเลย สวรรค์ก็ไม่รู้ตัว มันแห้งๆ คุณเสพในอารมณ์ นึกถึงสุข ก็ปั้นสวรรค์แห้ง แต่ตัวพาดิ้นนี่นรก มีนานกว่า ตลอดเวลา

                โอกกันติ คือเกิดเมื่อผัสสะ แล้วก็หยั่งลง อย่าให้อกุศล หยั่งลงเป็น อุปาทานได้ แม้รู้ว่า อกุศล ก็อย่ายึดมั่น ถือมั่นไว้ อย่าให้มันเกิดอีก ถ้าศึกษาธรรม ก็จะรู้ ว่าอกุศล เกิดในจิตแล้ว มันจะออกทางวาจา และกายแล้ว เราต้องทำให้การเกิด ทุกโอกกันติ เป็นโอปปาติกโยนิ อ่านให้เป็น แล้วดับเป็น ทำลายเป็น สิ่งที่เกิด สั่งสมเป็น กิเลสแล้ว ไปทำอะไร มันไม่ได้ แต่ในปัจจุบัน ที่คุณสัมผัสใหม่ มันก็จะเกิดวิญญาณ เป็นผี แล้วคุณกำจัดได้ ก็เป็นการเกิดใหม่เป็น

                .นิพพัตติ คือทำให้จิต เป็นจิตเกิดใหม่ ไม่มีอกุศลจิตหยั่งลง หรือโอกกันติ ในจิต เรียนรู้มากก็ชำนาญ ในการทำการสั่งสมจิต ที่เป็นโสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ คุณต้องทำ ตั้งแต่อบายภูมิก่อนกำจัดได้ ก็เป็นอาริยบุคคล เป็นโสดาบันฯ สกิทาฯ อนาคาฯ ​อรหันต์จ้อย

                แม้โสดาบันก็ มีผลยิ่ง คือยิ่งกว่าเอกราช ทั่วทั้งแผ่นดิน ไม่ว่าจะไปไหนๆ ไม่ว่าที่ไหน ในไทยหรือในโลก ไปมาเก๊า ก็ไม่เล่นพนัน ไม่ว่าจะเป็นลาสเวกัส ปอยเปต ก็ทำอะไรเรา ไม่ได้ เป็นเอกราช ทั่วทั้งแผ่นดิน อิสรเสรี จิตอยู่เหนือมันหมด สิ่งเหล่านั้น ครอบงำเรา ไม่ได้ ยิ่งกว่าสวรรคาลัย

                สวรรค์มี ๒ อย่าง คือสวรรค์โลกีย์ บำเรอกิเลส เป็นสุขเท็จ แต่สวรรค์ ที่ไม่บำเรอกิเลสนี่ ไม่ต้อง ตกนรกขึ้นสวรรค์อีก เป็นสวรรค์ เหนือสวรรค์

                แล้วยิ่งกว่าอธิปไตยใดๆในโลกทั้งปวง ตอนนี้ เราพยายามสร้างประชาธิปไตย ในเมืองไทย พวกเราจะมี ธรรมธิปไตย พระพุทธเจ้าสอน อธิปไตย ๓

                .โลกาธิปไตย คือตกอยู่ในอำนาจโลก ทั้งลาภ ยศ สรรเสริญ เห็นไหม มีคนเสียศักดิ์ศรีกัน ไม่เป็นผู้คน เพราะถูกอธิปไตยโลก ครอบงำเหยียบหัว พวกเราต้องมาล้าง โลกาธิปไตย จะได้เอกราช

                .อัตตาธิปไตย คือเป็นทาสอัตตา คือกิเลสตน ตั้งแต่โอฬาริกอัตตา (กิเลสหยาบ)  ต้องล้างกิเลสหยาบได้ ในกามภพ อบายภพ ก็เป็นโสดาบัน ความเป็นอัตตา คือความโง่ ที่เป็นทาสโลก เราต้องเรียนรู้อัตตา ต้องเข้าถึงอัตตา เป็นแสงอรุณ ข้อ ๔ ในการมีมิตรดี มีศีลสัมปทา แล้วมีอัตตสัมปทา มาล้างอัตตาได้ ก็เป็น
                .ธรรมาธิปไตย ยิ่งกว่าอธิปไตยใดๆในโลก แล้วมาทำงานใดๆในโลก ก็เป็นผู้มีธรรมาธิปไตย เพราะไร้อัตตา

                ส.เพาะพุทธว่า อัตตาคือการตกเป็นทาสของตนเอง เรียกว่า ไปไหน ก็ต้องไปด้วย หลบไม่ได้ จะเข้าถึงธรรมาธิปไตย ต้องไร้อัตตา

                อัตตามีตั้งแต่ ใคร่อยากในอบายก็อัตตา ใคร่อยากในกามก็อัตตา ใคร่อยาก ในลาภยศโลกธรรมก็อัตตา คนไปนั่งสมาธิหลับตา ก็ไม่ได้ล้างอัตตา แต่ไปกดข่ม ทำลืม ลืมโอฬาริกอัตตา ลืมกามภพ แต่ไม่ได้ล้างอัตตาเลย แต่ไปนั่งสร้าง รูปภพ อรูปภพ ไปสร้างชาติ ในนั้นอีก ยิ่งเป็นอรูปฌาน ก็ติดหนักอีก เป็นกันอยู่ หนักเลย พูดนี่ก็หาว่า ไปล้มล้างคำสอน พระพุทธเจ้า ซึ่งสมัยพระพุทธเจ้า มีแต่คนติดภพ อย่างนั้น แต่พระพุทธเจ้า ก็ต้องพยายามทำ อย่างประมาณมาก แต่ขนาดนั้น ลูกศิษย์เอก อย่างพระโมคคัลลานะ ก็ยังต้องถูกฆ่าเลย

                พ่อครูพาสอนนี้ ก็ใช้พระไตรฯ ของพระมหากัสสปะ ซึ่งเป็นพระป่า เป็นผู้สังคายนา ก็หนักไปทางประป่า ซะมากเลย เถรวาทก็ยึดไตรปิฎก ของพระป่า พลความคำ จึงเอียงไปทางพระป่า อ่านไม่เป็นรายละเอียดไม่พอ นี่คือสิ่งสำคัญ ที่ไขความให้ฟัง …...

จบ

 

 
๒๒ กันยายน ๒๕๕๖ ที่สวนลุมพินี กทม.