|
||
พ่อครู...ได้เล่าถึงประวัติที่ชาวอโศก สามารถอยู่กับน้ำได้ อย่างปกติ ได้เล่าถึงประวัติ การใช้เรือ ที่บ้านราชฯ... ตั้งแต่มีเรือแจว เรือพาย จนบัดนี้ มีเรือเอี้ยมจุ๊น เกือบ ๓๐ ลำ เป็นเรือใหญ่ ... พอน้ำท่วม ก็มีการฉลองน้ำ สนุกสนานกันมากเลย ไม่มีกลัวน้ำ จนบัดนี้ ทางอบต. อบจ. มายืมเรือเราไปใช้ ก็ให้ใช้เลย อ.กฤษฎาว่า... คราวที่แล้วกระบวนการคิด วิธีการแก้ปัญหา พุทธจะสอน ให้ใช้ปัญญา พ่อครูว่า... เราไม่หนี เราจะอยู่เหนือมันให้ได้ อ.กฤษฎาว่า... วิธีคิดแบบพุทธ คิดแบบมรรคองค์ ๘ จะสามารถแก้ปัญหา ในมิติต่างๆได้ พ่อครูว่า... ตัวหลักของศาสนาพุทธ คือใจวาง แต่วางอย่างลึกซึ้ง ในโสฬสญาณ ถ้าไปสู่ระดับที่จิตเจริญจริง ข้อที่ ๖ มุลจิตตุกัมญญาณ ไม่ต้องบีบคั้นอะไร ปัญญา มันจะเกิดรู้จริงๆ จะปล่อยวาง โดยภูมิปัญญาเอง โดยวิปัสสนาญาณ ไม่ใช่ภูมิสมถะ ที่วางแต่ไม่วาง มีคนส่งจดหมายน้อยมา บอกว่า โยมเป็นญาติธรรมหน้าจอมา ๓ ปี เป็นผู้ฟังรายการ ทุกข์ปัญหาชีวิตมาแต่ปี ๔๗ ก็คิดว่าได้สัมผัส หมู่กลุ่มดีๆ โยมคิดว่า การจัดตลาดอาริยะ เดือนละ ๒ ครั้งนั้น ถี่เกินไป โยมคิดว่า ควรจัดเดือนละ ๑ ครั้ง พ่อครูว่า... ก็ได้เคยพูดคุยกันแล้ว ว่าตลาดอาริยะ เป็นทั้งสังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ แล้วเราทำนี้ เราฝืนเกินไป ไม่มีเตี้ยอุ้มค่อม อยากดังหรือเปล่า หรือ เราเหนื่อยเกินไปหรือเปล่า และมวลที่ร่วมจัด กระเบียดกระเสียน เกินไปหรือเปล่า แต่เราทำมา ๓ ครั้งแล้ว ก็เป็นไปได้ ผู้มาร่วม ก็เพิ่มอีก ไม่ใช่ถอยไปๆๆ ก็ขอบคุณ เป็นอย่างยิ่ง ที่เห็นใจพวกเรา เราก็ขอทำไป อย่างนี้ก่อน แล้วถ้าทำไม่ไหว ก็จะลดลง ตอนนี้ทำ ๒ ครั้งไปก่อน ดีไม่ดี ก็ทำ ๓ ครั้งได้ เราก็เพิ่ม อันนี้เราไม่ฝืน ก็ขอบคุณ อย่างมาก อีกเจ้าหนึ่งบอกว่า...ตอนนี้เข้าใจธรรมะแจ่มแจ้ง เคยสงสัยว่า ทำไมพ่อครูพาเรามา ทวนกระแสโลกนะ จนมาเจอคำ ในพระไตรฯ อยากให้ทุกคนรู้ว่า สิ่งที่พ่อครูสอน คือคำสอน พระพุทธเจ้าแท้จริง ให้เราเสียสละ อย่างมีพรหมวิหารแท้จริง ไม่สงสัยแล้ว เมื่อเจอการเห็นของ พระอาริยเจ้าทั้งหลาย ย่อมเป็นข้าศึกกับ ชาวโลกทั้งปวง บุคคลอื่น สิ่งใดว่าทุกข์ พระอาริยเจ้าว่าสุข จงเห็นธรรม ที่รู้ได้ยากนี้เถอะ เพราะคนพาลผู้หลง ย่อมไม่รู้แจ้ง ในการดับกิเลส พ่อครูว่า... การเกิดดับ ก็วนเวียนสุขทุกข์ การตัดวัฏฏะสงสาร คือตัดความวน ในโลก ระดับไหนก็ตาม ที่เราวนเวียน ดับได้เป็นรอบๆ ตั้งแต่อบายภพ กามภพ อรูปภพ เป็นคนไม่มีโลก อยู่กับโลก แต่ไม่ได้วนกับเขา อยู่อย่างลอยตัว อ.กฤษฎาว่า... สภาวะนิพพานนั้น เราต้องอ่านความรู้สึก อารมณ์ของตนได้ เช่น เราต้องการให้จิตนิ่ง ไม่กระเพื่อมอีก พ่อครูว่า... นั้นคือการกดข่ม ของพระพุทธเจ้านั้น ใช้ปัญญา ไม่กดข่ม เราใช้ปัญญา ตัดสินว่า เราควรออกไป ร่วมชุมนุม กับเขาหรือไม่ เป็นต้น มี sms พ่อครูว่า... คนที่ได้ฟัง แล้วเห็นตัวเองว่า เราบ้ากว่า มิสป่าตอง... พ่อครูก็ว่า มิสฯ เขาก็หลง ความสวยเขา คนๆหนึ่งในประเทศ เขาก็หลงความสวย ของเขาเหมือนกัน แต่คนละอย่าง เท่านั้น ก็คนเห็นตัวเอง ก็สาธุ อนุโมทนา คนไหนไม่เห็น ก็เห็นด้วยกันบ้าง มีข่าวประชาสัมพันธ์ สำนักพิมพ์กลั่นแก่น ขออนุญาตเสนอพ่อท่าน พิจารณา ประชาสัมพันธ์ "ท่านใดที่ต้องการ รับหนังสือ เราคิดอะไร ฉบับก้าวสู่ปีที่ ๒๐ พร้อมหนังสือแถม "รู้คนขังสุข รู้คุกขังสัตว์ กรุณาส่งแสตมป์ จำนวน 35 บาท ต่อหนังสือ 1 ชุด สอดซองจดหมาย มาที่ สำนักพิมพ์กลั่นแก่น ๖๔๔ ซอยนวมินทร์ ๔๔ แขวง คลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ ๑๐๒๔๐" อ.กฤษฎาว่า... คุณค่าหรือคุณภาพของคน ควรเป็นเช่นไร.. พ่อครูว่า... คุณค่าของคนอยู่ที่ไหน ... อยู่ที่คุณธรรม อย่าเข้าใจว่า คุณค่าของคน อยู่ที่มี ยศลาภสูงๆ ไปไหน มีคนชมชื่น อยู่เยอะแยะ เพราะไม่ใช่คุณธรรม ไม่ใช่คุณค่า เป็นโลกค่า หรือค่าทางโลก ราคาทางโลก ไม่ใช่คุณความดีงาม ใครเคยได้ยินคำว่า ทาน ศีล ภาวนา นั่นแหละคือ คุณธรรมของคน ผู้ใดมีพฤติกรรม มีใจเป็นทาน ยึดถือศีล มาเป็นเครื่องประพฤติ พอบรรลุแล้ว ก็เป็นคนมีศีล ศีลเป็นหลักเกณฑ์ ถ้าเริ่ม ทาน ศีล ภาวนา ศาสนาไหน ก็เหมือนกัน มีหลักวัด คือศีล ก็ปฏิบัติตามหลักของ ศาสดาบัญญัติ ส่วนภาวนา คือการเกิดผล ผู้ใดปฏิบัติ แล้วเกิดผล ถ้าได้ผลทางกาย วจี ก็แค่ภายนอก ไม่ทำผิดศีล ๕ ได้ แต่ใจยังมีกิเลส จิตยังไม่สะอาด แม้กายวจีไม่ทำ ก็ถือว่า มีศีลอยู่ ระดับหนึ่ง เป็นคนมีคุณค่า แต่ผู้ใดปฏิบัติศีล แล้วทำให้กายวาจา ไม่ละเมิด แล้วใจ ทำได้ด้วย จิตหลุดพ้นได้ จากกิเลสที่มาบังคับ ล้างกิเลสได้เป็นอธิจิตสิกขา ก็คือ ความบริบูรณ์ของศีล ทำให้จิต เกิดหลุดพ้น ให้มันหมดจากจิตจริง และมีปัญญาด้วย อ.กฤษฎาว่า... พ่อแม่ บางครั้งดูแลลูก แล้วก็ทวงบุญคุณลูกอีก พ่อครูว่า... พ่อแม่ลูกนั้น เกิดมาใช้หนี้วิบาก ด้วยโกรธ พยาบาท ด้วยรักก็ตาม พยาบาท เข่นฆ่ากัน ก็ทุกข์ เกิดมาเป็นลูกเป็นพ่อเป็นแม่ ก็ทุกข์ทรมาน บางคน ก็เกิดมารักกัน อะไรนิดหน่อยก็ทุกข์ ถ้าไม่ศึกษาธรรมะก็ทุกข์ แต่ถ้ามีแล้ว ก็ต้องทำใจ ใช้หนี้ วิบากกันไป เกลียดมาก็ทุกข์ ทำดีมากเกินก็ทุกข์ จะมาเป็น พ่อแม่ลูก หรือ มิตรสหายกัน ก็ต้องเรียนรู้ จิตวิญญาณ อย่าไปผูกพันธ์ ด้วยโกรธ ด้วยรัก ถ้าเราเรียนรู้ จนสามารถ ทำจิตไม่ให้เกิด อาการดูดผลัก ทั้งที่เรามีสัมผัสอยู่ เราก็ไม่เกิดรัก เกิดชัง คนที่สร้างรักชังใส่จิต ก็คือโมหะอวิชชา เราต้องล้าง ทั้งพยาบาท ทั้งกาม เราไม่ทำอันใหม่ เราจะมี อานิสงค์ของ พลังปัญญา เผาอกุศลจิต เป็นอจินไตย ทำได้จริง จะมีสมบัติทางจิต พ่อครูว่า... เอาตามฐานะ เช่นศีล ๕ ก่อน เช่นศีลข้อ ๑ ไม่ฆ่าสัตว์ กระทั่ง ไม่กินเนื้อสัตว์ จะเห็นกิเลส ในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ในการกินเนื้อสัตว์เลย คุณก็ได้เรียนรู้ ลดกามไปด้วย อ.กฤษฎาว่า.. ศีลนี้ต้องมีทุกระยะ ทุกลมหายใจ หรือเราต้องมีศีล เมื่อไปรับศีล แล้วจริงๆ ควรเป็นเช่นไร พ่อครูว่า... ศีลข้อ ๑ ล้างโทสะ ศีลข้อ ๒ ล้างราคะมูล ศีลแปลว่าปกติ คือ กาย วาจา เราไม่ทำ บางทีใจเราก็ต้องสู้ ใจมันอยาก ละเมิดศีล พอทำแล้ว กิเลสมันลด จิตหมดกิเลสจริง ปกติทั้งกาย วาจา ใจ ยังไงมันก็ไม่ละเมิด แม้มาแรง มาเบาอย่างไร ก็ไม่มีเลย หมดเชื้อกิเลส คุณก็เป็นปกติ คือคนมีศีล เป็นศีลปกติแล้ว เป็นศีลบุคคล ไม่ต้องปฏิบัติแล้ว แม้แต่กิเลสกาม ราคะก็หมดแล้ว ถอนอาสวะเลย ไม่มีทุกข์สุข กับมันเลย มันหยุดเลย แต่จิตไม่ได้นิ่ง มันไม่มีกิเลส ที่มาทำงาน เป็นสมาธิพุทธ มีลักษณะ อ.กฤษฎาว่า...ที่พ่อครูพูดมานี้ คือ สัมมาทิฏฐิ ๑๐ ในพระไตรฯล.๑๔ มหาจัตตารีสกสูตร (๑๑๗) ยัญพิธีก็คือศีลพรต คือคุณต้องทำ อย่างอ่านจิตเป็นว่า จิตคุณได้เสวยผล ได้ลดกิเลสหรือไม่ มีภาวนามัย หรือไม่ ถ้าไม่ได้ลดกิเลส ก็ต้องรู้หุตังของคุณว่า ไม่ได้ผล คุณอ่านจิตคุณ หรือไม่? บุญนี่คือ เขาให้เอาออก ให้ล้างทิ้ง แต่ถ้าคุณไปทำอะไรมาแล้ว ก็เอาบุญมาฝาก ทั้งที่ท่านให้ทิ้ง ทั้งที่กรรม เป็นของๆคุณ แบ่งใครไม่ได้ ที่คุณทำนั้น เกิดจากกรรมทั้งนั้น จะได้ผลอย่างไร ก็คือผลเป็นวิบาก จะดีหรือชั่ว ถูกหรือผิด เป็นโลกียะหรือโลกุตระ ก็ฝากไว้ก่อน วันต่อไป จะอธิบาย ๔. ผลวิบากของกรรม ที่ทำดีทำชั่วแล้ว มีแน่ (อัตถิ สุกตทุกกฏานัง กัมมานัง ผลัง วิปาโก) สรุปว่า.. ถ้าสามารถรู้จัก สมณพราหมณ์ คุณเจอไหม ท่านที่ประกาศ โลกนี้โลกหน้า ให้รู้แจ้งตาม ว่าสัมมาสมาธิ เป็นเช่นนี้หรือ ไม่ใช่ไปนั่งให้ก้นแตก อย่างนั้นหรือ? จะได้รู้กันว่า การทำสมาธิ ทั่วบ้านทั่วเมือง ทำนั้นไม่ถูก ทำทาน ศีล ไม่เป็น ก็ไม่มีผลไม่มีภาวนา คุณอ่านจิตไม่เป็น ก็ทำอย่างงมงาย ผู้ตั้งใจ จะได้สิ่งประเสริฐ อยากได้นิพพานจริงๆ ก็ตั้งใจฟัง คุณจะเจอ ต้องขอประกาศว่า ตนเป็นโพธิสัตว์ เป็นสยังอภิญญา อย่างไม่ได้มี สาเฐยยะจิต ไม่ได้อยากให้ใคร มาเป็นบริวาร ให้ใครมายกย่อง อธิบายด้วยความจริงใจ ปรารถนาดี ให้คุณเห็น และได้ตาม คุณจะไม่เห็นด้วย ไม่เอาก็ไม่เป็นไร แต่ใครจะมา ยินดีเห็นดีก็อนุโมทนาด้วย ทุกวันนี้ เขาเห็นกันว่า ไม่มีอาริยะแล้ว ก็ปิดประตูบรรลุธรรมเลย ซึ่งค้านแย้ง คำสอน พระพุทธเจ้า ท่านว่า ตราบใดมี ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ โลกไม่ว่างจากอรหันต์ คุณคิดเองไม่ได้ เป็นสาวก คุณต้องฟังจาก ผู้มีภูมิ ผู้เป็นบุคคล ๔ บุคคล ๘ คุณต้องฟังก่อน แล้วปฏิบัติตาม ธรรมะพระพุทธเจ้า ไม่มีใครรู้เองได้ ต้องสืบทอด จากผู้รู้ พระพุทธเจ้า ก็ต้องรับจากองค์ก่อน พ่อครูก็รับมา จากองค์ก่อน จบ |
||
|