_560930_รายการเรียนอิสระ ที่สวนลุมฯ
เรื่อง สมาธิที่เป็นสัมมาสมาธิของพระอาริยะ ตอน ๒

อ.กฤษฎาดำเนินรายการ ... (วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖)

ตอนนี้เราอยู่มา สองเดือนแล้ว รายการ อ.ประมวลที่ผ่านมานี้ ทำให้เห็นภาพ การต่อสู้ ของทิเบต เขาต่อสู้ ยาวนานกว่าเรามาก

พ่อครูว่า... เรื่องของจิตวิญญาณ ศาสนาพุทธที่ได้ปรับตัว จากสมัยพระพุทธเจ้า ก็ได้แปรรูป มาเรื่อยๆ จนกลายสภาพ เป็นแบบหนึ่ง ที่เรียกว่า นิกายทิเบต เขาทำได้ถึงขั้น ผู้ที่ยิ่งใหญ่จริงๆ คือทะไล ลามะ องค์เดียวเสร็จเลย ทั้งการเมืองรัฐศาสตร์ และศาสนา องค์เดียวเลย ไม่แยกว่าการเมือง อย่าเอาศาสนามาด้วย พูดไม่ได้เลย นี่คือ พุทธชนิดหนึ่ง ที่น่าทึ่ง เพราะคุณสมบัติ การเมืองและศาสนา คืออันเดียวกัน ไม่ว่าการเมืองหรือธรรมะ ผู้นำหรือผู้สูง คือมีธรรมะ มักน้อยสันโดษ สมถะไม่มีกิเลส ไม่เห็นแก่ตัว ทำงาน รับใช้ผู้อื่น เป็นแต่เพียงลักษณะ ต้องเข้าใจสังคม ท่านสูง ประชาชนก็ยกให้ท่าน แต่ท่าน ก็ยิ่งไม่เอา เป็นสัจจะย้อนสภาพ เมืองไทย ประชาชนยกให้ในหลวง แต่ในหลวง ไม่ใช้อิทธิพล อย่างรัฐบาลนี้ใช้เลย ซึ่งเขาใช้อำนาจ หลายอย่าง แต่ในหลวง ท่านไม่ใช้เลย ท่านก็ทำงาน รับใช้ประชาชนไป แต่ท่านเป็นสิ่งสูง ภาษาพระเรียกว่า สมณสารูป หรือจะเรียกว่า ราชาสารูป ทางนักบวช ก็ต้องเรียกว่าสมณสารูป คือมีรูปสถานะ ที่ต้องยกไว้ ระดับหนึ่ง ไม่ใช่ว่า จะเหมือนกันหมด ต้องนอน ต้องกิน ต้องนั่งอยู่ อย่างเดียวกันหมด ประชาชนก็ให้ท่าน ไม่เอาก็ไม่ได้

พระสารีบุตร ถามพระพุทธเจ้าว่า เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพาน จะให้จัดการ พระศพ อย่างไร คนอื่นๆ เขาก็สั่งไว้ แต่พระพุทธเจ้าไม่สั่งไว้ แม้แต่ท่านพุทธทาสก็สั่งไว้ แต่พระพุทธเจ้า ไม่สั่งไว้ ท่านบอกว่า เธอไม่ต้องกังวล เขาจะจัดการเอง เขาจะทำพระศพ อย่างเต็มที่เลย ไม่มีใครห้ามกันได้ ประชาชน ต้องแย่งกันทำ เทิดทูลกันทำ แต่ท่าน ไม่ได้สั่งห้าม ไม่ให้ทำอย่างเลิศ นี่คือ ที่สังคมยกให้ แต่ตอนที่ท่าน ทรงพระชนชีพ ท่านก็ว่าไป แต่ท่านปรินิพพาน ก็ให้เป็นเรื่องของโลกไป

จิตวิญญาณที่มีศาสนานำ อย่าง อ.ประมวลมาเล่าก่อน ก็ดีเลย อย่างที่ อ.ประมวล มาสัมผัสที่นี่ ก็ได้ยินโศลก ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยๆฯ อ.ประมวลก็เข้าใจเลย อ.สอน ลูกศิษย์ลูกหามา เรื่องปรัชญาศาสนา มากมายเลย เมื่อกี้นี้ ก็พลาดไป อย่างไรไม่รู้ พลาดเวลากัน รายการอ.ประมวล ก็เลยล่าไป ที่จริงจะออก ตอนสี่โมง จนกระทั่ง เกือบหกโมง ก็มาออกรายการ พ่อครูเลยบอกว่า ยกรายการ ของพ่อครูนี้ ให้ทาง อ.ประมวลเลย แต่ อ.ประมวล ก็ตั้งใจว่า ยังไม่พร้อม เพราะว่ามีข้อมูล ที่จะใช้อินเสิรท พ่อครูก็เลย ต้องมาตามเดิม ก็นัดกันวันหลังเลย พ่อครูก็อยากฟัง เพราะจิตวิญญาณ ศาสนานี่ อย่างญี่ปุ่น สายปัญญา แต่ธิเบตเป็นสายเจโต เหตุปัจจัยที่ พอเหมาะ พอดี นั้นยาก ต้องอาศัย มหาปเทส ๔

อ.กฤษฎาว่า... ครั้งที่แล้ว เราค้างเรื่อง สัมมาทิฏฐิ แต่ก่อนไปประเด็นนั้น ผมมีประเด็น เรื่อง...พุทธศาสนาเรา มีคำพูดว่า พุทธกับพราหมณ์ ไปด้วยกัน พราหมณ์มาก่อนพุทธ แล้วกระบวนการ พุทธแท้ เป็นอย่างไร แต่ปัจจุบัน มีคำพูดกันว่า ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่

พ่อครูว่า เรื่องนี้ลึกซึ้งถึง อจินไตย เกินคิด แต่ผู้มีภูมิจะพอรู้บ้าง ก็ขออธิบายว่า... เรื่องพราหมณ์ กับเรื่องพุทธ เป็นเรื่องศาสนา ที่แยกกันไม่ออก แต่มันต้องรู้ว่า จะต้องใช้ เหมือนเหรียญสองด้าน ผู้ที่เข้าใจชัด ก็ใช้เหรียญสองด้าน จะใช้ด้านไหนเด่น ในกาละไหน ยุคไหน ถ้ายุคไหนเป็นพุทธ ก็ใช้อย่าง อเทวนิยมเป็นด้านหน้า เทวนิยม เป็นด้านหลัง แต่ยุคไหนเป็นพราหมณ์ ก็ใช้เทวนิยมเป็นด้านหน้า

พราหมณ์เป็น จิตเทวนิยม สมัยนั้น มนุษย์เหมาะสมจะใช้ จิตวิญญาณอย่างนั้น ฮินดูบริหารเต็มๆ เขาก็อยู่เป็นสุข เป็นประเทศที่ใหญ่มาก ประชากร น่าจะมากกว่า จีนด้วย พลเมืองเขาก็อยู่สงบ แต่มันกลับไปกลับมา โดยจิตวิญญาณมนุษย์ จิตวิญญาณ ที่รับอันไหนได้ ก็สมสมัย เช่นยุคเจโต ก็เป็นศาสนาพราหมณ์ มีพระเจ้า แต่ในช่วง วาระศาสนาที่ พราหมณ์หรือฮินดูเสื่อม จนพราหมณ์กลายเป็น พราหมณ์มหาศาล คือพราหมณ์ ที่หลงโลก หลงโลกีย์ ฟู่ฟ่าอู้ฟู่เลย คือความเสื่อม ของนักบวช ในยุคที่ต้องใช้ พราหมณ์อยู่ด้านหน้า เป็นพราหมณ์รวยมหาศาล ได้รับยกย่อง และยุคนั้น พราหมณ์มีอำนาจ สูงกว่ากษัตริย์ มาอยู่วรรณะที่ ๑ นั่นคือ ความเสื่อม

ที่นี้พุทธล่ะ เมื่อถึงยุคพุทธ ประชาชน ก็ต้องเปลี่ยนมาเป็น อเทวนิยม พุทธเกิด ก็ทำให้ประชาชนบริสุทธิ์ จนพุทธเสื่อม พระก็กลายเป็น พระมหาศาล พระเต็มไปด้วย อำนาจ ทรัพย์สมบัติ ฉันเดียวกัน ศาสนาพุทธกับพราหมณ์ เป็นแฝด เหมือนเหรียญ สองด้าน ยุคนี้เราเอาพุทธมาใช้ ไม่เอาพราหมณ์มาใช้ ยุคก่อนเป็นยุค จิตวิญญาณ ซื่อบริสุทธิ์ ผู้ที่เป็นศาสนา ก็ต้องรู้เหมือนกันว่า จะใช้เจโตพราหมณ์ ก็ต้องใช้ อย่างธิเบต เป็นต้น

อ.กฤษฎาว่า... เมื่อเปรียบเทียบ เป็นเหรียญสองด้าน ก็เข้าใจชัด เป็นการเกริ่นนำว่า เราต้องมีสัมมา และกระบวนการ สัมมาสมาธิ มองอย่างไร รู้มิจฉา รู้สัมมา ว่าเป็นอย่างไร มี ๑๐ ประการ ก็เข้าประเด็นเลย

พ่อครูว่า... สำทับอีกว่า ในยุคนี้กัปป์นี้ ยุคปลายแล้ว ศาสนาก็เสื่อม ที่จริงธรรมะ ไม่เสื่อม แต่คนเสื่อม ก็เป็นไป ที่นี้พอมาถึงยุคนี้ ครึ่งพุทธกาล คือครึ่งของ ๕๐๐๐​ปี ก็เลย เสื่อมไปมาก เพี้ยนไปมาก ก็พูดด้วยจริงใจ ไม่ได้ยกตนข่ม พูดด้วยจริงใจ ก็ไปเจอ มหาจัตตารีสกสูตร ที่มีพลความชัดเจน คือหัวใจศาสนาพุทธ คือ มรรคองค์ ๘

จิตเป็นประธาน ปฏิบัติธรรมเอาที่จิต แล้วทำจิตได้ผลอย่างไร พระพุทธเจ้าสอน อย่าง อเทวนิยม แต่ก็ไม่ตีทิ้ง เทวนิยม เอาแบบเหรียญสองด้าน ต้องเข้าใจชัดเจน

ในสูตรนี้ ท่านอธิบาย อธิจิตสิกขา อธิบายสมาธิ จิตที่เป็น เอกัคคตา คือกำจัด สิ่งที่เป็น กิเลสออกไป จนเป็นหนึ่ง เป็นเลิศ เป็นยอด ไม่มีอะไร มายอดกว่านี้แล้ว แต่ไปแปล เอกัคคตาว่า เป็นหนึ่งเดียว และไปอยู่เดี่ยวๆ ที่จริง เอกัคตา คือ จิตไม่มีเพื่อนสอง คือ กิเลสตัณหา

สัมมาสมาธิ คือจิตเป็นหนึ่ง เอกัคคตา ที่เกิดจากมรรค ๗ องค์ แต่ไปนั่งหลับตา เข้าภวังต์ ก็เลยไปได้มิจฉาสมาธิ คือไม่มีสัมมาทิฏฐิ แล้วปฏิบัติเหมือน ประธานที่ไม่สัมมา ก็พาไม่ได้มรรคผล หรือเป็น มิจฉาผล และ สัมมาทิฏฐิ มี ๑๐ ข้อคือ

สัมมาทิฏฐิ ๑๐ (ที่ยังเป็น “สาสวะ”)
. ทานที่ให้แล้ว มีผล (ให้กิเลสลด) (อัตถิ ทินนัง)
. ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว มีผล (อัตถิ ยิฏฐัง)
. สังเวย (เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว มีผล (อัตถิ หุตัง) คือปฏิบัติแล้ว ไม่ว่าทำทาน หรือ ทำยัญพิธี หรือศีล ก็ย่อมได้เกิดผลที่จิต เมื่อทำแล้ว มีผลหรือไม่? คือสาระสัจจะ คือ คุณทำทาน ทำศีลพรต คือสังเวยที่บวงสรวงแล้ว จิตคุณได้รับผลไหม ท่านเรียกสั้นๆว่า หุตัง
. ผลวิบากของกรรม ที่ทำดีทำชั่วแล้ว มีแน่ (อัตถ สุกตทุกกฏานัง กัมมานัง ผลัง วิปาโก)
. โลกนี้ มี (อัตถิ อยัง โลโก) หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ
. โลกหน้า มี (อัตถิ ปโร โลโก) หมายถึง โลกโลกุตระ
. มารดา มี (อัตถิ มาตา)
. บิดา มี (อัตถิ ปิตา)
. สัตว์ที่ผุดเกิดอุปปัติเอง มี (อัตถิ สัตตา โอปปาติกา)
สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ -ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้ -โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกน มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ)

เขาแปล และเข้าใจกับปฏิบัติไม่ได้ ก็เลยทิ้ง มหาจัตตารีสกสูตรไป
ในมรรคองค์ ๘ มีกรรม ทั้งกาย วาจา ใจ และต้องอ่าน สภาวธรรม ว่าจิตเรา ได้โลกุตรธรรม หรือ โลกียธรรม ต้องชัดเจน ไม่งมงาย สรุปคือ การปฏิบัติ ทำสัมมาสมาธิ คือลืมตา ทำกรรมกิริยา ปกติ นี่คือ สัมมาสมาธิ ของพระอาริยะ ถ้าไปนั่ง หลับตา ทำสมาธิ ก็มีแต่จม หนาวยะเยือก ดิ่งไปใต้ก้นทะเลเท่านั้น

ต่อไปจะอธิบาย สัมมาทิฏฐิ ข้อที่ ๕ และข้อ ๖ ต่อไปจากครั้งก่อนๆ
. โลกนี้ มี (อัตถิ อยัง โลโก) หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ
. โลกหน้า มี (อัตถิ ปโร โลโก) หมายถึง โลกโลกุตระ

ต้องพูดคำว่า ปโรโลโก คือโลกหน้า โลกอื่น หรือโลกใหม่ ไม่ใช่โลกที่คุณอยู่นี้ ที่คุณเป็นทาสโลกียะ ผู้ใดเนกขัมมะ ออกจากโลกของโลกีย์ ที่วนเวียนอยู่ มันเกิดกิเลส แล้วก็บำเรอกิเลส แล้วก็ดับไปเกิดใหม่อีก เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป แค่นั้น เช่น จิตคุณ ติดอบายมุข ติดความอร่อย สนุกสนาน ลาภยศ เป็นอบายมุข ที่ตนไม่ค่อยรู้ คือ พวกโกง ระดับ นักธุระกิจ นักการเมือง ข้าราชการระดับสูง ที่มีช่องทางการโกง พวกนี้ พวกผีปอบ ผีโขมด ดูดเลือดประชาชนไป พวกนี้ มหาอบายมุข นักธุระกิจ เล่นหุ้นการเงิน จอร์สโซรอส ใช้เชิงชั้น ที่คนไม่รู้ทัน หลอกคนกิน

อย่างเผด็จการทางสภา ตอนนี้กำลังสร้างหลุมนรก ให้กับตนเอง ก็บอกให้เขารู้ เท่านั้นเอง พอนิดๆ หน่อยๆ ให้คนได้เข้าใจ อบายมุขให้ดี คนที่ตกในอบายมุข สุขทุกข์ เพราะอบายเหล่านี้ สมบัติผลัดกันชม ได้มาก็ไม่เที่ยง มันก็จากคุณ คุณก็จากมัน แต่ก็แย่งกัน มากมาย นึกว่าเราได้ เขาก็ใช้ทุกอย่างโกงกิน แต่สัจจะ กรรมวิบากมีจริง สุกตทุกกฏานัง กัมมานัง ผลัง วิปาโก ไม่ว่าศาสนาไหน จะเอาศาสนาหรือไม่ ก็ทำกรรม แล้วได้รับผลกรรม ของตนทั้งสิ้น คนไม่รู้เรื่อง ก็ไม่เข้าใจ แต่บางคน แม้เข้าใจ แต่กิเลสไม่ยอม เขาเข้าใจได้ ไอคิวเข้าใจได้ แต่ไม่ยอมทำดี อย่างที่เข้าใจ

โลกนี่คือจิตที่วนเวียน ตามกิเลส แต่โลกหน้า คือเริ่มจัดการทำลายกิเลสได้ เริ่มก็เรียกว่า โสดาปัตติมรรค .. ไปตามโลกุตรธรรม ๙ ขั้นคือ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามีมรรค สกิทาคามีผล อนาคามีมรรค อนาคามีผล อรหัตมรรค อรหัตผล นิพพาน

ผู้ที่ไม่เข้าใจโลกนี้โลกหน้า คุณจะปฏิบัติอย่างไร คุณจะไปถูก ได้อย่างไร ไม่รู้ว่า จะไปโลกไหน กุศลโลกียะกับกุศลโลกุตระ คุณแยกออกไหม ต้องเข้าใจ สังโยชน์ ๓
. พ้นสักกายทิฏฐิ (มีญาณรู้เห็นตัวกิเลสหยาบว่าไม่ใช่เรา) .
. พ้นวิจิกิจฉา (พ้นความสงสัยในตัวตนสักกายะกิเลส ) .
. พ้นสีลัพพตปรามาส (ไม่ปฏิบัติย่อหย่อนในศีลพรตแบบ ลูบๆ คลำๆ ทำเหยาะๆ แหยะๆ ไม่เอาจริง ยังอสุรกายอยู่)

สักกายะคือโจร ต้องฆ่าโจรให้ถูกตัว แต่วิธีนั่งสมาธิ คือไปฆ่าคน ทั้งประเทศ เผาประเทศ เพื่อฆ่าโจร แต่ของพระพุทธเจ้า จับโจรให้ได้ เมื่อจับโจรได้แล้ว อย่าเลี้ยงมันไว้ ลูบๆคลำๆ ไม่ใช่แค่ศีลพตปรามาส รู้โจรจับโจรได้แล้ว ก็ต้องกำจัดโจรสิ แต่ถ้าเลี้ยงมันไว้ ก็เป็นศีลพตปรามาส แต่ก็ดีกว่า ศีลพตุปาทาน ที่เขาพาไปทำอะไร ก็ทำตาม จารีตประเพณี ตามอาจารย์ ถูกหรือผิด ไม่รู้
ต้องแยกโลกียะ กับโลกุตระได้ โลกียะนั้นแค่ทำดี แต่ไม่รู้จักปรมัตถ์ สักกายะ คือตัวกิเลส ต้องแยกจากจิต แล้วจับให้ได้ แล้วก็ทำ ปหาน ๕ และต้องรู้ว่า โลกนี้ โลกหน้า คืออะไร แต่ไปรู้แค่ว่าโลกหน้า คือตายไปแล้ว จะไปสวรรค์นรก อย่างนี้ ก็พิสูจน์ไม่ได้สิ ต้องตายไปพิสูจน์ อย่างนี้ไม่เป็นเรื่องพิสูจน์ได้

ในสัมมาทิฏฐิ ๑๐ ข้อที่ ๔ เป็นเรื่องของกรรม เรื่องวิบาก เราต้องแยกได้ว่า เป็นกุศลโลกีย์ หรือโลกุตระ ถ้าไม่รู้โลกุตระธรรม ก็แยกไม่ออกหรอก ต้องรู้ จิตเจตสิก
. มารดา มี (อัตถิ มาตา)
. บิดา มี (อัตถิ ปิตา)
คือแม่พ่อทางจิตวิญญาณไม่ใช่แม่พ่อทางร่างกาย ต้องรู้แม่ที่คลอด สัตว์อบาย คือ แม่ไม่มีศีล ทำคลอดออกมา มีแต่สัตว์นรก ปัญญากับศีล จะช่วยกัน ศีลเป็นแม่ ปัญญาเป็นพ่อ ปัญญาอันศีลชำระ ให้บริสุทธิ์ (โสณทัณฑสูตร ศีลอันปัญญาชำระ ให้บริสุทธิ์ ล.๙ ข.๑๙๓)
ศีลมีในบุคคลใด ปัญญาก็มีในบุคคลนั้น ปัญญามีในบุคคลใด ศีลก็มีในบุคคลนั้น
ปัญญาเป็นของ บุคคลผู้มีศีล และศีลก็เป็นของ ผู้มีปัญญา นักปราชญ์ย่อมกล่าว ศีลกับปัญญาว่า เป็นยอดในโลก เหมือนบุคคล ล้างมือด้วยมือ หรือ ล้างเท้าด้วยเท้า ฉะนั้น
. สัตว์ที่ผุดเกิดอุปปัติเอง มี (อัตถิ สัตตา โอปปาติกา)
สมณพราหมณ์ ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ -ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้ -โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ)

มีสติวินัย พระพุทธเจ้าให้ยกไว้ ในพระอรหันต์ แม้แต่ปาจิตตีย์ ท่านมีสติรู้ว่า ท่านจะทำอะไร มุ่งหมายทำอะไร พ่อครูไม่ได้ทำผิด พ่อครูเป็น สมณพราหมณ์ผู้นั้น กรณีปาจิตตีย์คือ แม้มีอุตริมนุสธรรม แล้วอวดแก่ ผู้ไม่เหมาะควร รับธรรมะไม่ได้ แต่พ่อครูได้อวด อย่างละเอียดละออ กาละนี้ได้พูดต่อหน้า สาธารณะ เป็นจำนวนมาก พวกคุณ ก็ฟังกันได้ส่วนมาก หลายคน อาจตะหงิด แต่ก็มีธรรมรสก็มี

ใน ๑๐ ข้อนี้ ถ้าคุณไม่เข้าใจ มิจฉาเป็นมิจฉา สัมมาเป็นสัมมา ผู้นี้ก็มิจฉาทิฏฐิ แต่ผู้แยกออกได้ว่า อย่างนี้สัมมา อย่างนี้มิจฉา ก็เป็นสัมมาทิฏฐิ เช่นทาน คุณแยกออกว่า อย่างนี้สัมมา อย่างนี้มิจฉา คุณก็สัมมาทิฏฐิ คุณแยกออก ในแต่ละข้อ สัมมาทิฏฐิว่า อันไหน สัมมา อันไหนมิจฉา ก็คือคนสัมมาทิฏฐิ แยกออกว่า สัตว์ทางจิตวิญญาณไหน เป็นนรก เป็นเทวดา เป็นสมมุติเทพ เป็นอุบัติเทพ เป็นวิสุทธิเทพ ก็ไล่กันไป เป็นลำดับ มีปฏิพัทธ์สัมภาคทวี มันลึกซ้อน มีหลายมิติ ซ้อนกัน ยกตัวอย่างเช่น ญาณ ๑๖
.() อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ ญาณตามเห็นความเกิด - ความเสื่อมไปของกิเลส ของชาติ เวทนาสุขทุกข์ต่างๆ
.() ภังคานุปัสสนาญาณ ญาณตามเห็นความสลายไปของสังขารธรรม-ตัณหาปรุงแต่ง ทั้งหลาย
.() ภยตูปัฏฐานญาณ ญาณอันเพ่งเห็น กิเลสสังขาร เป็นภัยอันน่ากลัว.. เพราะล้วนแต่ ต้องสลายไป
๑๐. () ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ ญาณพิจารณาทบทวนถึง การปฏิบัติที่ปลดปล่อยได้ ก็ทำซ้ำอีก จนสำเร็จยิ่งขึ้น
๑๑. () สังขารุเปกขาญาณ ญาณอันเป็นไปโดยความเป็นกลาง วางเฉยต่อสังขาร ปรุงแต่ง ทั้งหลาย
๑๒. () สัจจานุโลมิกญาณ หรืออนุโลมญาณ ญาณอันเป็น ไปโดยอนุโลม ต่อชาวโลก ต่อสมมุติสัจจะ ทั้งหลาย โดยใช้ สัปปุริสธรรม ๗ ที่รู้จักประมาณ สัดส่วนต่างๆ

ต้องรู้สังกัปปะ ๗ คือ
. ความตรึก-แรกเริ่มนึกคิด (ตักกะ) .
. ความตรอง-คิดวิตกยิ่งขึ้น (วิตักกะ) .
ความดำริ -มีความคิดปรุง (สังกัปปะ) (ผลที่ดี ย่อมมีชำนาญ ในครรลองแห่งใจ จะคิด-ไม่คิด ก็ย่อมทำได้ ตามประสงค์ เพราะมี “เจโตวสิปัตตะ”)
. ความแน่วแน่ (อัปปนา) . .
. ความแนบแน่น (พยัปปนา)
. ความปักใจมั่น (เจตโส อภินิโรปนา) .
. วจีสังขารเตรียมจะพูด (วจีสังขาโร)

มีคนส่งข้อความว่า รู้แล้วว่าฟังพ่อครู ก็รู้สึกเข้าใจปล่อยวาง แม้ฟังไม่เข้าใจ ทั้งหมด

พ่อครูว่า.. พอปฏิบัติ มันก็จะมี อินทรีย์ ๕ พละ ๕ มันจะยินดี พึงใจ มีสติตื่นรู้ ยิ่งจะเกิด จิตตั้งมั่น
. สัทธา (ความเชื่อที่ปักมั่นยิ่งขึ้น เป็นสัทธินทรีย์ ฯ) .
. วิริยะ (ความเพียรที่มีพลังขึ้น เป็นวิริยินทรีย์ ฯ)
. สติ (ความระลึกรู้ตัวแววไวขึ้น เป็นสตินทรีย์ ฯ) .
. สมาธิ (ความมีจิตตั้งมั่นแข็งแรง เป็นฌานยิ่งขึ้น ฯ)
. ปัญญา (ความรู้จริงในความจริงแห่งธรรม ฯ) #

อ.กฤษฎาว่า...มีคนบอกว่า พ่อครูคิดเอาเอง

พ่อครูว่า... สมัยที่มีพระพุทธเจ้าอยู่ ก็ต้องปรึกษาพระพุทธเจ้า แต่สมัยนี้ ไม่มีพระพุทธเจ้าอยู่ ก็ต้อง ตัดสินใจเอง

อ.กฤษฎาว่า... พอเราเริ่มเข้าใจสัมมาทิฏฐิ จะนำไปสู่ การสะสมปัญญา เพื่อพัฒนา การปฏิบัติธรรม แต่คนทั่วไป ไปนุ่งขาวห่มขาวมา ก็ว่าไปปฏิบัติธรรม อย่างนี้ถูกไหม

พ่อครูว่า... คนใดอาจารย์ใด ก็ต้องเชื่อว่า ของท่านถูก ส่วนคนไหน จะเป็น คนถูกจริง ก็สัจจะตัดสิน ให้คนแต่ละคนคัดสรร ตัดสินใจเอง พระพุทธเจ้า จึงแยก สุดท้ายว่า เมื่อมีคนขัดแย้งกัน คุณก็ฟังทั้งสองสำนัก แล้วแยกแยะ อันไหนเป็นธรรมวาที อันไหนเป็นอธรรมวาที ก็เลือกเอง ไม่มีใครครอบงำ ความคิด

คุณต้องทำสังโยชน์ ๓ คือ
. พ้นสักกายทิฏฐิ (มีญาณรู้เห็นตัวกิเลสหยาบว่าไม่ใช่เรา) .
. พ้นวิจิกิจฉา (พ้นความสงสัยในตัวตน สักกายะกิเลส )
. พ้นสีลัพพตปรามาส (ไม่ปฏิบัติย่อหย่อน ในศีลพรตแบบ ลูบๆ คลำๆ ทำเหยาะๆ แหยะๆ ไม่เอาจริง ยังอสุรกายอยู่)

ไอคิวนี้คือพรสวรรค์เพิ่มยาก แต่อีคิวนี้เพิ่มได้ คือพรแสวง จะฉลาดรู้ข้างใน และ ข้างนอกด้วย เป็นสิ่งใหม่ รวมเหตุปัจจัยสู่จิต เป็นความฉลาดทางอารมณ์ ที่สำคัญกว่า ความฉลาดไอคิว

อ.กฤษฎาว่า...การฟังธรรม จะมีการพัฒนาอีคิว แล้วจะเข้าใจเข้าถึง และพัฒนาได้ จะเป็นคำตอบได้ ต่อการออกมาชุมนุมได้

พ่อครูว่า...วันนี้อธิบายสัมมาทิฏฐิ ๑๐ แค่นี้ก่อน

พ่อครูว่า...เราจะสามารถสร้างเสริมมวล ทำให้ประชาชน เกิดอีคิว ที่สร้างได้ หรือพรแสวง ส่วนไอคิว คือต้นทุน ของแต่ละคน ก็ไปแย่งเอายาก แต่เอาได้คืออีคิว Emotional Quotient

อ.กฤษฎาว่า...มีคนพยายามตั้งประเด็นว่าคนน้อยลง

พ่อครูว่า...ไม่มีปัญหา คนน้อยคนมาก แต่มั่นใจว่า การเมืองขาดธรรมะไม่ได้ แต่เพราะ ไปแยกธรรมะ ออกจากการเมือง ประเทศก็เลยซวย แต่ก็เห็นใจว่า ถ้าธรรมะ อ่อนแอ และการเมืองแข็ง ส่วนมาก ธรรมะจะสู้การเมืองไม่ได้ การเมือง ฉลาด แกมโกงกว่า หากปล่อยให้นักธรรมะ มาเกี่ยวกับการเมือง นักการเมือง ก็ใช้เจ้าอาวาส เป็นหัวคะแนนหมด ธรรมะก็เป็นเครื่องมือ การเมืองหมด เขาก็ต้องกันไว้ แต่ที่พ่อครู ออกมานี่ ก็มั่นใจหมู่กลุ่ม ก็ค่อยๆออกมา จนทำได้ขนาดนี้ คนกลัวพ่อครู พาทำเสื่อม แต่พ่อครู ก็ระมัดระวัง พ่อครูทำมาด้วยมือ ยากแสนยาก เลือดตาทะลัก พ่อครูระมัดระวัง ผู้ที่ไม่สามารถ ก็อย่าบังอาจมาทำ ในวงการเมือง มันเคี่ยวจริงๆ นักการเมืองวันนี้ ด้านตาใส จริงๆ

การเมือง เอาการเมืองแก้ไม่ได้หรอก ทำมา ๘๑ ปีแล้ว การเมือง ต้องแก้ด้วยธรรมะ แต่เอาธรรมะโลกียธรรม มาแก้การเมืองไม่ได้ทั้งโลก ต้องเอาโลกุตรธรรม มาแก้ แบบที่คนมี พลัง ๔ แท้จริง ที่คุณว่า คนน้อยลง นั่นคุณตะกละ แต่คนที่มาชุมนุม พ่อครู แทรกโอสถทิพย์ เข้าสู่รูขุมขนนะ แต่ก่อนให้เบาๆ ไม่ให้รู้สึกตัว แต่ตอนนี้ ให้ยาแรงขึ้น และหลายคน ก็รับยาแรงได้มากขึ้น แต่ก่อนนี้ไม่เอา ก็ค่อยๆ แทรกยาทิพย์ เข้ารูขุมขน มาถึงวันนี้ ก็บอกยาเลย ว่าขนานนี้เอา ขนานนี้ไม่เอา ก็ก้าวหน้าเรื่อยๆ

เมืองไทยเป็นเมืองปัญญา ก็เข้าใจง่าย ส่วนถ้าเป็นแดนเจโต ต้องแสดงขลังๆๆ แต่แดนปัญญา ต้องแสดงปัญญา เปรี้ยงๆๆๆ สักวันหนึ่ง ดอกไม้บานสะพรั่ง สักวันหนึ่ง คนจริงจัง จักหลากหลาย สักวันหนึ่ง คนดีทั้งหญิงชาย จักเกิดขึ้นมากมาย เต็มแผ่นดิน เป็นคำประพันธ์ของ อ.สุเทพ อัตถากร

ขอสรุปว่า ที่เราทำนี่ ค่อยเป็นค่อยไป ก็ยาวให้เป็นฯ จะมีเหตุปัจจัย ให้ค่อยๆเห็น ผู้รู้เขาจะรู้ อย่าง อ.ประมวล มีเจโตคู่กับปัญญาด้วย และก็หนักไปทางเจโต คุณมาฟัง อ.ประมวล ต้องเอาผ้าเช็ดหน้า มาเช็ดน้ำตา

พ่อครูทำงานมา ๔๓ ปีแล้ว บวชปี ๑๓ ก็เห็นอัตรา การก้าวหน้า ว่าเอาอภิธรรม มาอธิบาย ต่อสาธารณะ ก็ก้าวหน้าอย่างดีเลย แล้วมีคนบอกว่า คนหนีหมด เพราะเขา อยู่แต่ที่บ้าน เห็นภาพไม่หมด ก็เป็นธรรมดา ของคนเพ่งโทส จับผิด ไม่ศรัทธา ส่วนคน เข้าใจเพิ่มขึ้นก็มี ไม่ต้องบังคับหรือขอร้อง เป็นเรื่องของจริง อย่างพระพุทธเจ้า ที่ว่า

ภิกษุทั้งหลาย ! พรหมจรรย์เราประพฤติ มิใช่เพื่อ... หลอกลวงคน ให้มาเคารพนับถือ (น ชนกุหนัตถัง) มิใช่เพื่อเรียกคน มาเป็นบริวาร (น อิติ มังชโน) มิใช่เพื่ออานิสงส์ เป็นลาภสักการะ และเพื่อเสียงสรรเสริญ มิใช่เพื่อจะได้เป็นเจ้าลัทธิ หรือค้านลัทธิอื่นใด ให้ล้มไป # มิใช่เพื่อให้มหาชนเข้าใจว่า.. เราได้เป็นผู้วิเศษอย่างนั้น ก็หามิได้ ภิกษุทั้งหลาย ! ที่แท้ พรหมจรรย์นี้ เราประพฤติเพื่อสำรวม เพื่อละ, เพื่อคลายกำหนัด, เพื่อดับทุกข์สนิท ฯ

พ่อครูว่า... เราทำทั้งธรรมะ การเมือง และสังคม ตอนนี้กำลังเคี่ยวงวดแล้ว เพราะเขา ด้านตาใส มากเลย พ่อครูก็พาทำ ปิดทองลำไส้พระ เข้าไปปิดในที่ลึกๆ ในใจ ไม่ได้อยากออก แต่ก็ต้องทำ อย่างที่ควร ปางนี้พ่อครูว่า เป็นปางหมาจรจัด ก็หลบปังตอ หลบน้ำร้อน หากินตามประสา หมาจรจัด หนีไม่ทัน ก็โดนตี โดนปังตอ โดนน้ำร้อน เหมือนแอบหากินไป โดยตนเอง ไม่มีอลังการอะไร รูปไม่หล่อ พ่อไม่รวย ศักดิ์ศรีไม่มี ยิ่งธรรมะแล้ว ไม่มีสำนักไหน รับรองเลย

พ่อครูเคยบรรยาย ตอนอยู่วัดมหาธาตุ ว่าจะแสดงธรรม ให้ตายภายใน ๕ วันได้ เหมือนพระโมคคัลลานะ ก็ถูกเขาฆ่าตาย ขนาดมีฤทธิ์ แต่พ่อครูไม่มีฤทธิ์ ก็ได้ขนาดนี้ รอดมาขนาดนี้ ก็ต้องชมแล้ว ใครไม่ชม ก็ชมตัวเองแล้วกัน

จบ

๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ ที่สวนลุมพินี กทม.