561003_รายการเรียนอิสระ ที่สวนลุมฯ สมณะโพธิรักษ์
เรื่อง พระโพธิสัตว์บันลือสีหนาท

 อ.กฤษฎาดำเนินรายการ...วันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๖)

มีประเด็นปัญหา ที่มีผู้ส่งมา เพื่อให้พ่อครูตอบ ให้คลายสงสัย

คำถามมีอยู่ว่า... ปัญหาที่กระผมนมัสการถาม เป็นปัญหาที่ท่านโพธิรักษ์ ถูกโจมตี ในต่างกรรม ต่างวาระครับ ส่วนตัวกระผม ศรัทธาในสันติอโศก ที่เชื่อคือเชื่อในปฏิปทา คือเชื่อว่าชาวอโศก มีสัมมาปฏิปทา แต่สัมมาทิฏฐิ ต้องช่วยกันระวัง ช่วยกัน โยนิโสมนสิการครับ ฉะนั้น จึงหยิบปํญหา ขึ้นมาตั้งให้เป็นโอกาส ท่านโพธิรักษ์ ได้ขจัด ความเคลือบแคลง สงสัยนั้นเสียจาก ผู้ที่มีปฏิฆะ ท่านโพธิรักษ์อยู่ (ถ้ามีการตอบ ใน face ด้วย จักเป็นพระคุณ จะได้ไม่ตกข่าวครับ มาถึงข้อ นมัสการ เรียนถาม
1.ท่านโพธิรักษ์ระลึกได้ว่า ท่านเป็นโพธิสัตว์จากอะไร
1.1ถ้าจากญาณ 1.1.1จากอภิญญา หรือ 1.1.2วิปัสนาญาณ
1.2ญาณนั้นยังจะต้องโยนิโสมนสิการ คือ มีทั้งที่ผิดที่ถูกอยู่ ท่านโพธิรักษ์อาศัยอะไร ทำให้ท่านเองเชื่อว่า ที่ท่านรับรู้นั้น ถูกต้อง

พ่อครูว่า....ฟังคำถามแล้ว ก็เข้าใจเขา และผู้ที่จะถาม ซอกแซกอย่างนี้ ก็ไม่ใช่ธรรมดานะ และท่านผู้นี้ ยังติดใน ภาษาบัญญัติ เช่นคำว่า วิบาก คำว่ากิเลส เป็นลักษณะคำพูด หรือวาจา ซึ่งยึดได้แค่วาทะ เป็นอุปาทาาน ยังไม่ลงถึง เนื้อหาสาระ ของสภาวธรรมที่แท้ ขออภัย ไม่ได้ว่าคุณนะ แต่กล่าวสัจจะ ความจริงให้รู้

คุณสมัญญา มีข้อความส่งมา หลายวันแล้ว ก็เจตนาอยากให้พ่อครู ตอบจริงจัง ไม่ได้ถามเล่น ให้เกิดประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน คำถามมีอีกว่า
นมัสการท่านโพธิรักษ์ ท่านกล่าวในทำนองว่า ท่านเอง เป็นพระโพธิสัตว์มาเกิด
(ผมอาจนำ คำพูดจากท่าน ไม่ตรงนัก) ข้อนั้นผมไม่ติดใจ แต่ด้วยความเคารพท่าน เกรงท่าน จะถูกกล่าวว่า เป็นพวกสัสสตทิฏฐิ เพราะตาม พระพุทธธรรม นอกจากกิเลส และวิบาก ที่จะสืบเนื่องแล้ว ไม่มีอะไร ข้ามภพข้ามชาติ แม้แต่รูปนาม - จิต เกิดพร้อมกัน เกิดที่ไหน ดับที่นั่น มนุษย์นอกจากขันธ์ 5 อย่างอื่นนั้นไม่มี พูดตามภาษา ชาวบ้านว่า เมื่อตาย แตกดับ ไม่มีดวงวิญญาณ ลอยไปเข้า ในครรภ์มารดา เพื่อเกิด ถ้าท่านอธิบาย โลกุตรธรรมนี้กระจ่าง จักเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง กราบนมัสการ

พ่อครูว่า... คำว่าวิญญาณ ลอยไปเข้าครรภ์มาดานั้น พระพุทธเจ้าไม่สอน เรื่องวิญญาณ ล่องลอย พระพุทธเจ้า ตรัสบริภาษไว้เยอะ คนที่เข้าใจ เรื่องวิญญาณล่องลอย ในภาคปฏิบัติ ส่วนภาคอื่น นอกจาก ภาคปฏิบัตแล้ว จะมีจิตวิญญาณ จะล่องลอย ไปไหนมาไหน ก็พิสูจน์ไม่ได้ เพราะจิตวิญญาณ เป็นธาตุส่วนตัว เป็นเอกจรัง ไปไหนมาไหนของตน จะตกนรก ขึ้นสวรรค์ ก็ของตนเอง ไม่เกี่ยวกับใคร คนมิจฉาทิฏฐิ จะพูดเข้าใจกันว่า ตกนรกก็ไปเจอกัน ขึ้นสวรรค์ก็ไปเจอกัน หรือชาวสวรรค์ ไปเจอชาวนรก ยิ่งพวกจีน ก็มีเง็กเซียนฮ่องเต้ เป็นผู้ยิ่งใหญ่ และมีเซียนอื่นๆ อีกมากมาย พ่อครูยืนยันว่า นั้นคือ เทวนิยม ที่สร้างภาพชาติ เรื่องเหล่านั้น คนอื่น ที่ไม่ได้เข้าใจ ไม่บรรลุ อย่างพ่อครู เขามีสิ่งนั้นเหมือน อยู่หรือเปล่าก็มี เช่น คนก็มีทุกข์อยู่ แต่ทุกข์ มันไม่มีจริง อรหันต์หมดทุกข์แล้ว แต่ท่าน ก็เป็นคน เหมือนคุณ แต่เป็นอรหันต์ แต่ไม่ทุกข์ ดับเหตุแห่งทุกข์ ได้แล้ว ยิ่งแข็งแรง คำพูดว่า มีกับไม่มี เป็นเรื่องยิ่งใหญ่

ที่ว่านรกสวรรค์ อย่างมีตัวตน เช่นมีเง็กเซียน มีไหม แต่ก็มีอยู่ในภพชาติ ของคนที่ยึด พวกนั่งสมาธิหลับตา ก็ปั้นเป็น มโนมยอัตตา ของคุณ คุณก็เห็นจริงๆว่ามี มีตัวตน สีสัน เรื่องราว ก็มี พ่อครูก็เคยมี สมัยที่ยังไม่หมด เคยหลงเคยเชื่อ เคยยึดว่ามันมี แต่เมื่อหมด อุปาทานได้ ก็ไม่มี มันไม่มีก็คือไม่มี คนที่ยังไม่หมด เขาก็ต้องยืนยันว่ามี

มาเข้าเรื่องว่า พระพุทธเจ้าตรัสกับภิกษุสาติ ที่เข้าใจว่า วิญญาณล่องลอย.... จะบอกว่า มีหรือไม่มีดวงวิญญาณ เป็นเรื่องที่ อธิบายได้ยาก ซับซ้อนลึกซึ้ง วิญญาณ เป็นภาษา พยัญชนะ วิญญาณก็ดี กิเลสก็ดี วิบากก็ดี ขันธ์ ๕ ก็ดี ตายแล้ว ไม่มีรูปขันธ์ แต่มีเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แม้เป็นอรหันต์ ยังไม่ปรินิพพานรอบถ้วน ยังพัฒนาไปสู่ พุทธภูมิต่อ ก็ยังมีขันธ์ ๔ แม้ตายไป ไม่มีรูป ก็มีขันธ์ ๔ แต่เวทนา ท่านไม่มีทุกขเวทนา โลกีย์แล้ว แล้ววิญญาณล่องลอย ไม่มีทาง จะเอามาศึกษา ภพใคร ภพมัน ของใครของมัน คำว่า วิญญาณจะเกิดได้ ต้องมีเหตุปัจจัย เรียกว่า สัมผัส ๓ ...พระพุทธเจ้า ตรัสไว้ว่า

. มหาตัณหาสังขยสูตร ว่าด้วยสาติภิกษุมีทิฏฐิลามก
พระผู้มีพระภาค ตรัสถามว่า ดูกรสาติ ได้ยินว่า เธอมีทิฏฐิอันลามก เห็นปานนี้ เกิดขึ้นว่า เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงว่า วิญญาณนี้ นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น ดังนี้ จริงหรือ? สาติภิกษุทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ย่อมรู้ทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงว่า วิญญาณนี้แหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น ดังนี้ จริง.

พระผู้มีพระภาค ตรัสถามว่า ดูกรสาติ วิญญาณนั้นเป็นอย่างไร? สาติภิกษุทูลว่า สภาวะ ที่พูดได้ รับรู้ได้ ย่อมเสวยวิบาก ของกรรมทั้งหลาย ทั้งส่วนดี ทั้งส่วนชั่ว ในที่นั้นๆ นั่นเป็นวิญญาณ#

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรโมฆบุรุษ เธอรู้ธรรมอย่างนี้ ที่เราแสดงแก่ใครเล่า
ดูกรโมฆบุรุษ วิญญาณอาศัยปัจจัย ประชุมกัน เกิดขึ้น เรากล่าวแล้ว โดยปริยายเป็นอเนก มิใช่หรือ ความเกิดแห่ง วิญญาณ เว้นจากปัจจัย มิได้มี
ดูกรโมฆบุรุษ ก็เมื่อเป็นดังนั้น เธอกล่าวตู่เราด้วย ขุดตนเสียด้วย จะประสพบาป มิใช่บุญมากด้วย เพราะทิฏฐิ ที่ตนถือชั่วแล้ว … ฯลฯ

[๔๔๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย วิญญาณอาศัยปัจจัยใดเกิดขึ้น ก็ถึงความนับด้วย ปัจจัยนั้นๆ
วิญญาณอาศัย จักษุและรูป ทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า จักษุวิญญาณ#

วิญญาณอาศัย โสตและเสียง ทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า โสตวิญญาณ ..
วิญญาณอาศัย ฆานะและกลิ่น ทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ฆานวิญญาณ ..
วิญญาณอาศัย ชิวหาและรส ทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ชิวหาวิญญาณ ..
วิญญาณอาศัย กายและโผฏฐัพพะ ทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า กายวิญญาณ ..
วิญญาณอาศัย มโนและธรรมารมณ์ ทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า มโนวิญญาณ ..

เปรียบเหมือนไฟ อาศัยเชื้อใดๆ ติดขึ้น ก็ถึงความนับด้วย เชื้อนั้นๆ
ไฟอาศัยไม้ติดขึ้น ก็ถึงความนับว่าไฟไม้ ..
ไฟอาศัยป่าติดขึ้น ก็ถึงความนับว่าไฟป่า
ไฟอาศัยหญ้าติดขึ้น ก็ถึงความนับ ว่าไฟหญ้า ฯลฯ
(ล.๑๒ ข.๔๔๔ มหาตัณหาสังขยสูตร)


พ่อครูว่า...คุณสมัญญาถามมาว่า
...นอกจากกิเลส และวิบาก ที่จะสืบเนื่องแล้ว ไม่มีอะไร ข้ามภพข้ามชาติ แม้แต่รูปนาม-จิต เกิดพร้อมกัน เกิดที่ไหน ดับที่นั่น มนุษย์นอกจาก ขันธ ๕ อย่างอื่นนั้นไม่มี พูดตาม ภาษาชาวบ้านว่า เมื่อตายแตกดับ ไม่มีดวงวิญญาณ ลอยไปเข้า ในครรภ์มารดา เพื่อเกิด

พ่อครูว่า...อันนี้แหละ ที่คุณสมัญญา ติดในบัญญัติ พ่อครูก็ขอถามอีกว่า ถ้าข้ามชาติไป ไม่มีอะไร นอกจา กิเลสและวิบาก ที่จะสืบเนื่อง ที่สุดแม้ข้ามชาติ แต่คุณสมัญญาว่า ไม่มีอะไรข้ามชาติ แม้รูป นาม จิต ดั้งนั้น ก็ขอถาม คุณสมัญญาว่า บัญญัติคำว่า กิเลส นี้คืออะไร แล้วกิเลสคือจิตไหม เป็นอกุศลจิต และวิบากคือจิตไหม เป็นตัวเก็บสะสม ก็คือจิต เป็นตัวเก็บ วิบากคือผลของกรรมไว้ ไม่ว่าจะปุถุชน หรือพระอาริยะ หรือ อรหันต์ แม้พระพุทธเจ้า ก็ไม่หมดวิบาก จนกว่า จะปรินิพพาน สิ้นขันธ์ ๕ ไป ถ้ายังมี ขันธ์ ๕ ก็ยังไม่หมดวิบาก แต่ว่าคุณคนนี้ บอกว่า ไม่มีอะไร ข้ามภพข้ามชาติ แม้แต่ รูปกับนาม

คำว่า รูป กับนาม คือคำที่ใช้ในการปฏิบัติ คำว่ารูปคือสิ่งที่ถูกรู้ ส่วนคำว่า นามคือตัวรู้ ถ้ามันถูกรู้ เรียกว่า “นามรูป” เมื่อมันรู้ เรียกว่า นามธรรม เมื่อนามถูกรู้ เรียกว่า นามรูป เมื่อมีองค์ประชุมเรียกว่า “นามกาย” แม้ที่สุด เหลือแต่นาม คุณก็มีนามของคุณ ไปรู้นามของคุณ ก็ได้ คือกำหนดรู้ในอรูป มันไม่ใช่รูปร่างแล้ว ไม่ใช่กามภพ ที่ใช้ทวารนอก เป็นภวภพแล้ว ในภวังค์ คุณก็ใช้นาม ดึงมารู้ได้ แม้ไม่มีทวารนอก ถ้าคุณตาย ไม่มีตาหูจมูกลิ้นกาย ถ้าคุณมี สติมันโต คุณก็ระลึก รู้ตัวได้ ในภพในภวังค์ คือผู้มีอินทรีย์พละสูง ตายแล้วจะรู้จักว่า ตนเองตาย จะรู้จักว่า ตนเองสามารถปฏิบัติ ตามบารมี แม้ตายไปแล้ว ได้อีก

สรุปแล้ว ที่คุณสมัญญา สงสัย นั้น ในโลกุตรธรรม ผู้ที่มีจิตโลกุตระ ก็จะสามารถสร้าง จิตเจตสิก ของตน ให้เจริญ เป็นโสดาฯ เป็นสกิทาฯ เป็นอนาคาฯ เป็นอรหันต์ แล้วก็เป็น สูงขึ้นไป ตามลำดับพุทธภูมิ เป็นโพธิสัตว์ อนิยตโพธิสัตว์ นิยตโพธิสัตว์ เป็นมหาโพธิสัตว์ จนถึงสัมมาสัมพุทธะ ก็จิตวิญญาณของตนเอง ที่จะบำเพ็ญ ข้ามภพข้ามชาติ สั่งสม เป็นไม่รู้กี่ล้านๆชาติ ถ้าไปเข้าใจว่า จิตหรือวิญญาณ ที่เรียก โดยบัญญัติ ไม่เรียกว่ากิเลสหรือวิบาก ข้ามชาติไม่ได้ คุณเอง ก็บอกมาว่า ทุกคนตายลง ไม่มีอะไร ข้ามภพชาติ แม้แต่รูป นาม จิต ว่างั้นนะ เอาพยัญชนะ อยู่ในพระไตรฯ เล่มไหนไม่รู้ แต่พ่อครู เข้าใจได้ จะพูดอย่างนี้ก็ไม่ว่า

ดีที่คุณสมัญญา ยังไม่เข้าใจผิดว่า มันยังมีอะไร ต่อเนื่องไปอยู่ แม้ตายก็ยังมี กิเลสกับวิบาก สืบเนื่องไปอีก สืบเนื่องแล้ว คือมันไม่ขาดสูญ มีสันตติ เรียกว่า contnuum

และเขาพูด ขัดขาตัวเองว่า แม้แต่รูปนาม-จิต เกิดพร้อมกัน เกิดที่ไหน ดับที่นั่น มนุษย์นอกจาก ขันธ์ ๕ อย่างอื่นนั้นไม่มี

ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อยู่แล้ว ก็ต่อเนื่องกันอยู่แล้ว และก็เป็นกิเลส วิบากในผู้ที่ ไม่หมดกิเลส แม้หมดกิเลส ก็ยังมีวิบาก แม้ไม่มีรูปขันธ์ เหลือแต่นาม ก็ยังข้ามภพชาติไป แอย่างพระพุทธเจ้า เพราะท่านสั่งสม สัมมาสัมพุทธะ มานานนับชาติ แม้เหลือแต่ นามขันธ์ พระพุทธเจ้าได้ร่างเป็น เจ้าชายสิทธัตถะ ก็ไม่ได้ ปฏิบัติธรรมอะไร ท่านมีธรรม ที่เป็นพระพุทธเจ้า สมบูรณ์แล้ว เป็นสยัมภู ก็พัฒนา ในขันธ์ทั้ง ๔ ข้ามชาติมาแล้ว ส่วนคนที่ไม่มี ก็เอาไป ข้ามชาติไม่ได้ แต่พระพุทธเจ้า ท่านมี สัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ท่านมาเกิดใหม่ ก็มีของท่านแล้ว ท่านนั่งใต้ต้นโพธิ์ ตรวจตอน วันตรัสรู้ ก็พบว่า ท่านมีหมดแล้ว ท่านใช้เตวิชโช ระลึกย้อนไป ได้นานมาก สังวัฏกัปป์ วิวัฏกัปป์ ท่านก็เห็นว่า ท่านปฏิบัติมาได้แค่ไหน ความรู้พุทธรรม ท่านมีหมดแล้ว และยืนยันว่า ๖ ปี ที่ท่านปฏิบัติ อยู่ในป่า ไม่ใช่การปฏิบัติธรรม ที่เป็นพระพุทธเจ้า เป็นธรรมะนอกพุทธ เป็นทุกรกิริยา ยังไม่มีพุทธเกิดขึ้น เพราะท่าน ยังไม่ฟื้น เป็นลิงลม อมข้าวพอง พอตื่นจาก ลิงลมอมข้าวพอง ถึงรู้ได้

และขอตอบ คุณสมัญญา ที่ถามว่า

1.ท่านโพธิรักษ์ระลึกได้ว่า ท่านเป็นโพธิสัตว์จากอะไร?
ก็พระพุทธเจ้า ระลึกได้จากอะไร พ่อครูก็ระลึกได้ อย่างพระพุทธเจ้า แต่คนละฐานะ พ่อครูไม่ใช่ พระพุทธเจ้า พ่อครูยังไม่มี พุทธการกธรรม พ่อครูไม่เคยบอก ประกาศว่าเป็น พระพุทธเจ้า แต่คนมา ประชดประชัน แดกดัน พ่อครูว่า เป็นพระพุทธเจ้า ไม่ได้หลงตัว หลงตนขนาดนั้น ไม่เคยพูด ไม่เคยคิด ไม่บังอาจ มีคนประชดประชันมา ก็เข้าใจเขา เขาไม่เข้าใจว่า นอกจาก สยัมภู ที่รู้เอง แล้วมีระดับ รองลงไปไหม ก็มีสยังอภิญญา ในมหาจัตตารีสกสูตร ที่ยืนยันว่ามี สมณพราหมณ์ ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ - ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้ - โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ)

และคำถามที่ว่า วิปัสสนาญาณคืออะไร? วิปัสสนาญาณคือ วิธีรู้ วิธีเห็น จะระลึกชาติ บุพเพนิวาสานุสติญาณ จะระลึกชาติ ก็รู้ของตนเอง อย่างเห็นๆ ที่เกิดผ่านมาแล้ว มีแล้ว เป็นแล้ว ไม่ใช่สร้างใหม่ เป็นความคิด ปั้นมาเองใหม่ ที่คนส่วนมาก ไปสร้างของใหม่ แล้วนึกว่า ตนประสพผลสำเร็จ เป็นมโนมยอัตตา อัตตาที่สำเร็จด้วยจิต สวรรค์ นรก เทวดา อะไรก็แล้วแต่ ปั้นจนสำเร็จ นึกว่าตนเป็น ร.๕ นึกว่าตนเป็น พระนเรศวร เป็นอะไรดังๆ ทั้งนั้น เป็นอุปาทาน ปั้นเอง

ดังนั้นข้อที่ 1.ท่านโพธิรักษ์ระลึกได้ว่า ท่านเป็นโพธิสัตว์จากอะไร
ถ้าจากญาณ ก็คือ อภิญญา คำว่าอภิญญากับวิปัสสนาญาณ ต่างกันอย่างไร เขาไม่เรียกต่างกันหรอก คำว่า อภิญญาทั้งหลาย ก็คือ วิปัสสนาญาณ
วิปัสสนาญาณ มีความหมายอย่างไร เอาชัดๆ วิปัสสนะ คือสัมผัสเห็นๆ มีสิ่งหนึ่ง สัมผัสกับ อีกสิ่งหนึ่ง แล้วเห็น ไม่ใช่เรื่อง สร้างความคิด ปั้นเอง เห็นเอง แต่วิปัสสนาญาณ คือญาณที่เห็น ตอนมีเหตุปัจจัย ผัสสะหรือสัมผัส อยู่หลัดๆ รูปกาย ก็สัมผัสชัด มีรูปรูปัง (ข้างนอก) แต่ถ้ามีแต่ข้างใน เรียกว่า นามรูป ถ้ามีแต่รูป ไม่มีนาม เรียกว่า รูปรูป

ถามว่า พ่อครูรู้ได้อย่างไรว่าเป็นโพธิสัตว์ ก็รู้ได้จาก สิ่งที่เคยเกิด เป็นอดีตกับปัจจุบัน ที่ได้สั่งสมมาแล้ว ในเวทนา ๑๐๘ เมื่อปฏิบัติแล้ว เราจะได้ปฏิบัติเวทนา ที่มีการกำหนด อดีต ๓๖ ปัจจุบัน ๓๖ และ อนาคต ๓๖ รวมเป็น ๑๐๘ อนาคตนั้น ไม่เคยมีหรอก อนาคต เดินทาง มาถึงเราเมื่อไหร่ มันเป็นปัจจุบันทั้งนั้น ความเป็นอนาคต ก็หายไป กลายเป็น ปัจจุบัน ดังนั้น สิ่งที่มีจริงเป็นจริง ก็จะมีได้ เป็นจริงได้ สัมผัสได้รู้ได้ ก็จะมาจาก อดีตกับปัจจุบัน เท่านั้น ที่เป็นเหตุปัจจัย พ่อครู ก็รู้ได้ จากเหตุในอดีต กับเหตุในปัจจุบัน ที่ได้สั่งสมมา เหมือนพระพุทธเจ้า ก็ระลึกถึง สองอันนี้ แล้วท่าน ก็เอามาประมวล คนที่ แม้ไม่รู้ทั่วถึง เท่าพระพุทธเจ้า เช่นพ่อครู รู้ไม่มากมาย นิดๆหน่อยๆ ก็รู้ได้ แต่ไม่เท่าเทียม พระพุทธเจ้า แต่นัยเยี่ยงเดียวกัน พ่อครูรู้อนาคต จากอดีตกับปัจจุบัน

อนาคตรู้ได้ เมื่ออดีตกับปัจจุบัน มีเหตุปัจจัยเพียงพอ เช่น พระพุทธเจ้า ทำนายแม่นที่สุด พระพุทเจ้าทำนายว่า พระโพธิสัตว์องค์นี้ จะได้ตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้าองค์นั้น ชื่อนั้น กาละนั้น มีสาวกชื่อนั้นๆ ท่านตรัสพยากรณ์คนไหน ก็ไม่มีผิดพลาด รู้อนาคต ท่านคำณวนได้ ก็จากอดีตกับปัจจุบัน เพราะเอาจาก อดีตของเขา ที่ท่านรู้จัก ท่านก็เอา อดีตและปัจจุบัน ขณะที่เจอกัน มาเป็นเหตุปัจจัย ในการพยากรณ์ และแม่นด้วย เป็นอจินไตย พ่อครูไม่ได้เอามา จากตำรา ใครเห็นที่พูดนี้ อยู่ในตำราเล่มไหน เชิญเอามาให้ดู จะได้มีหลักฐาน ยืนยันด้วยกัน นี่มันผู้เดียว ก็จำนน ไม่มีใครเชื่อ พ่อครูเลย พ่อครูก็อ้างอิง พระพุทธเจ้า อย่างนี้แหละ ใครฟังขึ้นก็ขึ้น ใครฟังไม่ขึ้น ก็แล้วไป ไม่รู้จะไปบังคับ ความเชื่อ ความคิดอย่างไร

สรุปแล้ว พ่อครูก็รู้ด้วย​ญาณ อภิญญา หรือวิปัสสนาญาณก็ได้

แล้วคุณถามอีกว่า 1.2 ญาณนั้นยังจะต้อง โยนิโสมนสิการ คือ มีทั้งที่ผิดที่ถูกอยู่ ท่านโพธิรักษ์ อาศัยอะไร ทำให้ท่านเอง เชื่อว่าที่ท่านรับรู้นั้น ถูกต้อง

คุณทำใจในใจของคุณให้ถูก ให้ถ่องแท้ สิ่งที่ยังไม่สำเร็จ ยังไม่บรรลุผล จนกระทั่ง ยังไม่จบกิจ ก็ต้องทำอยู่ แม้มันผิดอยู่ ก็ต้องทำผิดนั้น ให้เป็นถูก ทำให้สมบูรณ์ มันมีกิเลสอยู่ ก็ต้องล้างกิเลส ให้มันหมด เรียกว่า มนสิการ การทำใจในใจ ทำใจของตน ให้สะอาด ถ่องแท้ แยบคาย ลงไปถึงที่เกิด ลงไปถึงสัมภวะ (แดนเกิดหรือที่เกิด) ให้ลงไปถึง แล้วก็หยั่งรู้ เหตุปัจจัย แล้วก็จัดการกับตัวการ กิเลสออกให้เกลี้ยง

แล้วท่านโพธิรักษ์อาศัยอะไร ทำให้ท่านเองเชื่อว่า ที่ท่านรับรู้นั้น ถูกต้อง
ส่วนประเด็น สุดท้ายนี้ ถามเกือบจนแต้มเลยนะ ส่วนประเด็นอื่น ตอบหมดแล้วนะ

พ่อครูว่า... อันนี้มันน่าจะต้องมีอะไร เป็นหลักฐานที่ถูกต้อง... พ่อครูเปิดเผยว่า... พ่อครูรู้ตัวว่า ตนเป็นโพธิสัตว์ ตอนแรก ก็งง นึกเหมือนกันว่า จะประกาศอย่างไร เอาหลักฐานอะไร ไปยืนยันเขานะ ?....
เมื่อรู้ตัวแล้ว ก็งง คนก็ถามเยอะนะ ตอนนั้น ก็ประกาศตน ก็ต้องเล่ายาวนิดหนึ่ง เพราะพ่อครู ออกมาปฏิบัติธรรม มาออกบวช เพราะอะไร คนก็ถามว่า ทำไมออกมาบวช ? เพราะพ่อครู กำลังมีชื่อเสียง เป็นดารา หารายได้ ได้มากมาย คนอยากจะเป็น อย่างพ่อครู ก็เยอะไป คนอยากเป็นนะ เป็นดารา มีเงินทอง หารายได้ดี พ่อครูก็บรรยาย ที่วัดธาตุทอง มีคนเขามาบอกว่า มีผู้ชายคนหนึ่งว่า “บ้าอะไรเป็นดาราอยู่ดีๆ มีเงินเดือน มากมาย เอามาให้กูเสียก็ดี ” เขาก็บ่นมา เขาว่า อย่างนั้นเลยนะ พ่อครูก็ขอยืนยัน บอกไปว่า มานี่เพราะบรรลุธรรม พ่อครูตอบอย่างนี้ กับคนแรก ที่ถามว่า มาบวชทำไม? ก็เพราะอันนี้ มันดีกว่า ต้องเลิกอันนั้น อาตมามาเพราะบรรลุธรรม บอกอย่างนี้จริงๆ ไม่ได้เจตนาอวด แต่คนหาว่า อวดอุตริมนุสธรรม อวดตัว อวดตน ก็เข้าใจเขา ก็ไม่มีใคร จะมาพูดแบบนี้ พอได้บอกว่า บรรลุธรรม คนก็ถามต่อว่า บรรลุธรรมแค่ไหน อย่างไร

ถ้าพ่อครูจะตอบว่า อะไรก็ไม่ได้ ถ้าจะบอกว่า อาตมาบรรลุอรหันต์ ฉิบหายเลย ตั้งแต่บัดนั้น อาตมาตายทันทีเลย เพราะเถรวาท เขาจะยึดถือ ใครมาอวดอุตริ เป็นอรหันต์ พ่อครูตายแน่เลย ก็เลยเลี่ยง ไปตอบว่า อาตมาเป็นโพธิสัตว์ เพราะเถรวาท เขาไม่เข้าใจ โพธิสัตว์ ไม่ได้ติดใจ ในโพธิสัตว์เลย แม้แต่ที่สุด เขาหลงว่า โพธิสัตว์ คือปุถุชน ก็เลย ออกประตูนี้ ให้เขาเข้าใจว่าโพธิสัตว์ ตั้งแต่รู้ตัวเอง และพูดไป ก็มานึกทีหลังว่า ไม่น่าพูดเลย พูดแล้ว ก็ต้องมาอธิบาย พูดไปแล้ว หลายคนก็มา ซักไซ้ต่อ พ่อครู ก็ไม่ได้เหนียม ไม่ได้มังกุอะไรนี่ เป็นเรื่องจริง พูดได้เท่าที่รู้ โดยไม่คิดว่าผิด พูดแล้ว ก็รู้สึกว่า ไม่น่าพูดเลย หลังจากนั้น ก็เลยไม่ค่อยพูด แต่มาตอนหลังๆ ก็ยิ่งงง ก็ยิ่งอยากรู้ มากขึ้น พอมีเหตุปัจจัย ที่จะพูดอธิบายได้บ้าง ก็ต้องยอมรับ และพูดมากขึ้น อธิบายมากขึ้น ดังที่ได้ทำมาเป็นระยะๆ จนถึงบัดนี้ ไม่ได้ปิดบังว่า เป็นโพธิสัตว์ ระดับไหน อย่างไร มีความรู้อย่างไร ก็พาทำมา ตัวเอง ก็พิสูจน์ตัวเอง
ผลงาน ที่พ่อครู ทำมานี่แหละ คือสิ่งที่ยืนยันว่า สิ่งที่พ่อครูทำ ถูกต้อง

เขาถามว่า ท่านโพธิรักษ์อาศัยอะไร ทำให้ท่านเองเชื่อว่า ที่ท่านรับรู้นั้น ถูกต้อง

ผลงานไง... ผลงานไง...

ก็ขออธิบายผลงานบ้าง... ผลงานนี้เป็นโลกุตรธรรม เป็นอาริยธรรม ไม่ใช่เรื่องโลกธรรม ไม่ใช่ลาภยศ สรรเสริญ โลกียสุข เพราะฉะนั้น คนที่มาฟังธรรมพ่อครู รู้เรื่องแล้ว มีคนทิ้ง โลกีย์ออกมา อยู่เป็นหมู่กลุ่ม พ่อครูไม่ได้เอา ลาภยศ สรรเสริญ มาหลอก มาล่อ มาอ่อยเลย ใช่ไหม แล้วพวกคุณ ก็อยู่กันไป จนกระทั่ง ทุกวันนี้ หลายคน อยู่กันจนตาย นี่หลายคน ก็ยังไม่ตาย ก็แก่ไปเรื่อยๆไป ก็ยังไม่ตาย ก็อยู่อย่างนี้ ก็ไม่ได้บอกว่า อยู่ไปนะ เดี๋ยวจะเอาลาภ เอายศ เอาโลกธรรม พ่อครู ไม่ได้เอาโลกีย์มาล่อ ก็ให้ไปโลกุตระ ไปหาสูญ​ จนไม่มีตัวมีตน โน่นแหละ คนเหล่านี้ พ่อครูไม่อ่อย ไม่ล่อ ไม่หลอก ไม่ลวง ไม่มีอามิสล่อ ไม่มีสัญญาว่าจะได้ และไม่ได้แปลบุญว่า คือสิ่งที่คุณจะได้ บุญคือคุณจะได้,

แต่บุญคือ การชำระออก ล้างออก มีแต่เอาออกๆๆๆ หมด ไม่ได้ปิดบังเลย พูดตรงอย่างนี้แล้ว พวกคุณก็ยังอยู่ อย่าว่าแต่อยู่เลย ไล่ก็ยังไม่ไป นอกจาก จะผิดมากๆ จนคณะเขาไม่ยอม คณะเขาไม่ยอม ก็จำเป็นต้องไป

เป็นระบบบุญนิยม คือสิ่งยืนยันว่า ทำไมถึงรู้ว่า ถูกต้อง คือมันเป็นโลกุตระ อยู่เหนือ โลกีย์ เหนือโลกธรรม เหนือความสุขในโลก ในอัตตา ยืนยันโต้งๆ เอหิปัสสิโก คุณก็มาดูสิ นี่คือความจริง ที่เป็นหลักฐาน ยืนยัน ให้พ่อครู เชื่อมั่นว่า ถูกต้อง

ถึงวันนี้ ๓๐ ถึง ๔๐ ปีมาแล้ว ที่พ่อครูมีผลงาน ตลาดอาริยะ ก็เป็นหนึ่งในผลงาน และที่ออกมานั่ง คืนแล้ววันเล่า ที่นี่ ก็เหมือนกัน ถามกันต่อว่า จริงๆ เราจะอยู่ไป ๕๐๐ วันไหม ดูสิว่า มันจะถึงหรือไม่ถึง ใครทำอย่างนี้บ้างล่ะ มันมีง่ายนักหรือ? แล้วมัน สอดคล้อง กับธรรมะ ของพระพุทธเจ้าไหม?

เอาหลักตัดสินธรรมวินัย ๘ มาตรวจ
๑. เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด (วิราคะ) คือทำให้กิเลสจางคลาย
๒. เป็นไปเพื่อความไม่ผูกมัดรัดรึงสัตว์ไว้ (วิสังโยคะ) ดับความเป็นสัตว์ ทางจิตวิญญาณได้ มีญาณเข้าใจสัตว์ โอปปาติกะ รู้สัตว์อบาย รู้เทวดาสมมุติเทพ อุบัติเทพ วิสุทธิเทพ ให้พวกเราปฏิบัติ ก็ได้ผล จึงมาเป็นเช่นนี้
. เป็นไปเพื่อความไม่สะสม (อปจยะ) แต่ก่อนคุณสะสม แต่ตอนนี้ ไม่ได้สะสม มาอยู่ที่นี่ ก็ไม่ได้สะสม ถ้ามาหลอกกัน ก็อยู่จนตายเลย หลายคนตายไป ก็ไม่ได้สะสมอะไร
๔.เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย กล้าจน (อัปปิจฉะ) ก็เข้าใจว่าเรามาจนๆๆๆ น้อยลงๆๆ จนไม่มี แม้ไม่มี เราก็มีเครื่องอาศัย เกื้อกูลกัน สาธารณโภค
๕. เป็นไปเพื่อความสันโดษ ใจพอ (สันตุฏฐิ) แค่นี้ก็พอ พอก็สุข ส่วนคนไม่พอ ก็ไม่สุขหรอก อยากได้เงิน อยากได้อำนาจ อยากได้บ้าน ได้เมือง อยากได้ สองล้านๆ ไม่มีความสุขหรอก เอาชนะคะคาน ดันทุรัง อย่างนี้ไม่สุขหรอก เขาด่าว่าอย่างไร ก็จะเอา อย่างนี้ไม่สุข มันทุกข์
๖. เป็นไปเพื่อความสงัด สงบจากกิเลส (ปวิเวกะ) ไม่ระรานรุนแรง แย่งชิงกับใคร
๗. เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร (วิริยารัมภะ) เป็นคนขยันเพียร สม่ำเสมอ เพียรเสมอ ต่อเนื่อง
๘. เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย (สุภระ) อยู่ง่ายกินง่ายเลี้ยงง่าย แต่ไม่มักง่าย เรื่องไม่มาก

นี้เป็นธรรม เป็นวินัย เป็นคำสั่งสอน ของพระศาสดา

เอาอันอื่น มาตรวจอีกก็ได้ เช่นวรรณะ ๙ สาราณียธรรม ๖ พุทธพจน์ ๗ เป็นต้นว่า เข้าเกณฑ์ พระพุทธเจ้าไหม

คนอโศก มีเมตตากายกรรม - วจี - มโนกรรมไหม? แต่อาจมีบกพร่องบ้าง แม้จิตไม่หมด ก็พยายามแสดง กายกับวจี ให้ดี ถ้ามโนเมตตา อีกก็ยิ่งดีเลย

สาราณียธรรม ๖ มี
๑. เข้าไปตั้งกายกรรม ประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง
๒. เข้าไปตั้งวจีกรรม ประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง
๓. เข้าไปตั้งมโนกรรม ประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง
๔. แบ่งปันลาภผล ให้กับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย (ลาภธัมมิกา -มีลาภตามธรรม แห่งสาธารณโภคี)
๕. มีศีลเสมอสมานกัน กับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย (สีลสามัญญตา)
๖.มีความเห็นเสมอสมานกัน กับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย (ทิฏฐิสามัญญตา)

พุทธพจน์ ๗
๑. สาราณียะ (รู้จักระลึกถึงกัน คำนึงถึงคนที่ควรเอื้อ)
๒. ปิยกรณะ (รักกันสัมพันธ์ดี-ปรารถนาดีต่อกัน)
๓. ครุกรณะ (เคารพกัน รู้จักฐานะ รู้จักคุณวุฒิ)
๔. สังคหะ (สงเคราะห์เกื้อกูล ช่วยเหลือกัน)
๕. อวิวาทะ (ไม่วิวาทแตกแยกกัน)
๖. สามัคคียะ (พร้อมเพรียงกัน มีพลังรวมยิ่งใหญ่)
๗. เอกีภาวะ (เป็นปึกแผ่น มีน้ำหนึ่ง ใจเดียวกัน)

หรือจะใช้คำสอน พระพุทธเจ้า สูตรอื่น มาวัดก็ตรง เช่น วิชชาจรณสัมปันโน เป็นต้น
พ่อครูจึงมั่นใจว่า อะไรทำให้เชื่อว่า สิ่งที่รับรู้ และได้ทำนี้ถูกต้อง ก็มีสิ่งยืนยันชัดเจน ก่อนนี้ พ่อครูยังไม่ได้มี เครื่องพิสูจน์ ยังไม่ได้พาทำ ไม่มีหลักฐาน ที่เกิดจริงเป็นจริง ตามมา อย่างทุกวันนี้ แต่มาถึงวันนี้แล้ว พ่อครูยืนยันได้ว่า เอาอดีตกับปัจจุบัน มาเป็น ตัวหลัก เดินทางสู่อนาคต ไปเรื่อยๆ ตั้งแต่วันแรกมา จนถึงวันนี้ ๔๐ กว่าปีมา ก็เกิด อนาคต ที่เดินทางมา เป็นปัจจุบัน จากปัจจุบันมาเป็นอดีต ขณะปัจจุบันนี้คือ อนาคตของ เมื่อ ๔๐ กว่าปีก่อน อันนี้คือ เครื่องยืนยัน คุณสมัญญา

ตอนนี้เรามี พุทธสถาน สังฆสถาน ทั้งหมด ๙ แห่ง นอกนั้นก็เป็นชุมชน ที่ยังไม่ครบ บ้าน-วัด-โรงเรียน (บวร) ส่วนสังฆสถาน ก็ถือว่าเป็น บ้าน-วัด แต่มีสมณะอยู่ประจำ แต่ยังมีน้อย คือสมณะเราเกิดยาก เพราะต้องมา ปฏิบัติจริง กว่าจะได้เป็น ก็อย่างน้อย ๒ ปี บางคนก็ ๕ ปี หรือ ๑๐ ปี บางคนก็ช้าและนาน ดีไม่ดีก็ Retriedไป บางคน แม้ได้เป็นแล้ว ก็สึกไป บางคน เราให้สึกไปก็มี จึงปริมาณไม่มาก เราเน้นคุณภาพ

สรุปแล้ว คำตอบวันนี้ ตั้งใจตอบ สิ่งที่ไม่ได้พูดกันง่าย สิ่งที่ตอบกันไม่ง่าย สิ่งท ี่ไม่ได้มีกันได้ง่าย เอามายืนยัน จะหาว่าอวด ก็ยืนยันว่า พ่อครูตอบ ตามที่พระพุทธเจ้า สอนไว้ใน อภิณหปัจจเวกขณ์ ข้อที่ ๑๐. ญาณทัสนะวิเศษ อันสามารถกำจัดกิเลส เป็นอริยะ คือ อุตริมนุสสธรรม อันเราได้บรรลุแล้ว มีอยู่หรือหนอ ที่เป็นเหตุให้เรา ผู้อันเพื่อน พรหมจรรย์ ถามแล้ว จักไม่เป็นผู้เก้อ (เคอะเขิน) ในกาลภายหลัง (อุตตริมนุสสธัมมา อลมริยญาณ ทัสสนวิเสโส อธิคโต โสหัง ปัจฉิเม กาเล สพฺรหฺมจารีหิ ปุฏฺโฐ น มังกุ ภวิสฺสามีติ) #

คิดว่าได้ตอบคำถาม ให้คนที่คิดว่า ควรได้ฟัง ก็ตอบไป อย่างจริงใจ ไม่มีมังกุ ไม่เคาะเขิน ก็ตอบอย่างสบายๆ ไม่มีกิเลส อยากอวด จะบอกว่า อุทธัจก็ไม่ใช่ ไม่ใช่ขวยเขิน แต่มัน ไม่มีอะไร กระดุกกระดิกในใจ ไม่ผลัก ไม่ดูด มันชัดเจน มันจริงใจ ไม่ขัดแย้งคำสอน พระพุทธเจ้าด้วย ท่านไม่ได้ห้ามด้วย มีคนท้วงว่า แสดงอุตริมนุสธรรม อย่างนี้ อาบัติ แต่ฟังขนาดนี้แล้ว ก็น่าจะรู้ได้ว่า พ่อครูนั้น เลยที่จะอาบัติแล้ว มีสติวินัยแล้ว ท่านจะแสดง อย่างไร ก็ไม่ต้อง ไปถือสาท่านแล้ว ยกไว้ ไม่ต้องอาบัติหรอก

บางทีพ่อครู อาจใช้พยัญชนะว่า พวกคุณอาจ ยังไม่เข้าใจได้ หรือว่าโง่ ก็เป็นพยัญชนะ แต่ว่าใจ ไม่ได้คิด ดูแคลน เป็นความเมตตาด้วย อย่างคุณปูน ี่ก็เห็นใจ เมตตา พ่อครู ก็กระทุ้ง กระแทก ให้รู้ตัว ทำไม ด้านตาใสมากเลย อย่าว่าแต่คุณปู คุณทักษิณเลย พวกลิ่วล้อ ก็เหมือนกัน คุณรู้ไหมว่า ทำกรรมอะไร กุศลหรืออกุศล แล้วคุณไม่เชื่อ กรรมวิบาก หรืออย่างไร

แม้บางคน ไม่นับถือศาสนาพุทธ ไม่ใช่คำสอน ในศาสนาคุณ แต่คุณฆ่าสัตว์ คุณมีวิบาก แน่นอน คุณไม่สมาทานศีล ข้อ ๒ แต่คุณไปเอา ของผู้อื่น ในฐานะขโมย คุณก็บาป คุณไปผิดผัว ผิดเมียใคร ก็บาป นี่คือสัจธรรม ชีวิตคือ กรรมกับกาละ กรรมของคุณ มีวิบาก อย่างไร ถ้าคุณทำกรรม ปัจจุบันกับอดีต ไม่มีบาปแล้ว คุณก็ทำแต่กุศล คุณก็ทำกุศล ไปลดวิบาก ในอดีต ที่เปลี่ยนไม่ได้ ให้จางลงได้ เช่น พระพุทธเจ้า ในอดีตเคยทุ่มหิน ทับหัวน้องชาย ก็มีวิบาก แต่มีกุศลมาหักล้าง ในชาติเป็น พระพุทธเจ้า ให้เทวฑัต กลิ้งหินทับพระบาท ห้อพระโลหิต วิบากเป็นเรื่องอจินไตย ตีความเป๊ะๆไม่ได้ จะบอกว่า ฆ่าอรหันต์แล้ว ชาติหน้า เราจะไปเป็นอรหันต์ อย่างนี้พาซื่อเกินไป

อ.กฤษฎาว่า... คนส่วนใหญ่ย่อมมีของเก่าอยู่ ศูนย์กลางพุทธ คือเมืองไทย คือกรรมดี ที่ติดคนไทยมา มีฐานเดิมอยู่แล้ว

พ่อครูว่า... อันนี้เป็นอจินไตย พ่อครูตอบไม่หมด แต่ว่าก็บอกได้ว่า เมืองไทย มีดีเอ็นเอ พุทธมา ตั้งแต่สร้างเมืองไทยมา ยกตัวอย่างเช่น ในเมืองไทยนี้ ระบุไว้ว่า พระเจ้าแผ่นดิน ต้องนับถือ ศาสนาพุทธ เท่านั้น

ศาสนาพุทธในไทย จึงยาวนานมา แม้ศาสนาอื่น จะเข้ามา เช่น คริสต์ หรืออิสลาม แม้แต่ พราหมณ์ฮินดู ตอนนี้ก็แทบ ไม่เหลือแล้ว ตั้งแต่ยุค พระนารายณ์ ก็มีคริสต์เข้ามา แต่ก็ได้ ไม่มาก เขาตีพุทธไม่แตก พุทธยังมีมาก แข็งแรง ยกตัวอย่าง ง่ายๆนี้

อ.กฤษฎาว่า... อย่างนี้ จึงเป็นความเชื่อที่ว่า พระสยามเทวาธิราช มีจริง

พ่อครู... พระสยามเทวาธิราช หมายถึง คุณธรรมที่มีฤทธิ์ ปกป้องเมืองไทยไว้ ทำไมพ่อครู ต้องเกิดมาเป็นคนไทย แล้วเอาโลกุตรธรรม มาเปิดเผย ในขณะที่พุทธธรรม เกือบจะหมดแล้ว ในเมืองไทย แม้ไม่หมด แต่ว่ามีน้อย จนไม่สามารถ มาโดดเด่นได้ ไม่มีพฤติภาพ เป็นหมู่กลุ่ม อย่างพ่อครูพาทำ

พุทธศาสนิกชน คือ คนทั่วไปที่บอกว่า ตนเป็นพุทธตามบรรพบุรุษ นับถือมา ไม่ได้ตั้งใจปฏิบัติ ใจไม่ได้เป็นจริง
พุทธมามกะ คือคนที่ใส่ใจ ตั้งใจเป็นพุทธ ตั้งใจศึกษา ปฏิบัติจริง
พุทธบริษัท คือ บุคคล ๔ บุคคล ๘ ที่ท่องในบทสวดมนต์ คือ สาวกสังโฆ เป็นฆราวาส หรือภิกษ ุที่บรรลุธรรม ตั้งแต่ โสดาปัตติมรรค - โสดาปัตติผล... เป็นบุคคล ๘ หรือบุคคล ๔ ที่มีอาริยธรรม ได้ผลแล้ว ต่างจาก พุทธศาสนิกชน หรือ พุทธมามกะ

พุทธบริษัท มี ๔ คือ
๑. อุบาสก คือผู้บรรลุตั้งแต่ โสดาปัตติมรรค เป็นต้นไป ที่เป็นผู้ชาย
๒. อุบาสิกา
๓. ภิกษุ
๔. ภิกษุณี

พวกคุณตั้งใจฟังนี่ คุณอาจบรรลุธรรมได้ ชาวอโศกส่วนใหญ่ เป็นผู้บรรลุ ตั้งแต่ โสดาปัตติมรรค เป็นต้นไป อยากให้มีคน มาตรวจสอบ แต่ผู้ตรวจสอบ ต้องมีภูมิธรรม

พ่อครูว่า... พ่อครูเขียนหนังสือ หรือแต่งนิยายประกวด ไม่เคยได้รางวัล เสียซักที พ่อครู ก็อ่าน ผู้ได้รางวัล แต่ก็ว่า ไม่เห็นเข้าท่า สู้ของเรา ที่มีเนื้อหาสาระดีกว่า ทำไม.. แต่มารู้ ทีหลังว่า กรรมการ ไม่มีปัญญา ตัดสินของเรา มันเป็นโลกุตระ มีเกินภูมิเขา เช่น เรื่องสั้น เรื่องหนึ่ง ที่พ่อครูเขียน เขาเข้าไม่ถึง เชิงจิต

ตั้งชื่อเรื่องว่า เขียง...มีเริ่มต้นด้วย เพื่อนสองคน เป็นแพทย์ สองคน คนหนึ่งอยู่ในคลินิค ในตู้เครื่องมือแพทย์ มีเขียงไม้อยู่ เมื่อเพื่อนมาเห็น ก็ถามว่า ทำไมมีเขียง ในตู้ เครื่องมือแพทย์ เจ้าของเขียงเป็นแพทย์ ก็ไม่อยากพูด ก็ว่า เรารักของเรา ก็เอาไว้ แต่เพื่อน ก็เซ้าซี้ เลยเล่าว่า.. .เขียงนี้ได้แต่ใดมา....

สรุปว่า... เขียงนี้ได้มา เพราะออกมาเป็นแพทย์ ออกทำงานอาสา วันหนึ่ง ก็ไปเจอ เหตุการณ์ ผู้ชายคนหนึ่ง ต้นไม้ล้มทับ บาดเจ็บหนัก เมียก็ว่า ให้ช่วยผัวเขาหน่อย เขาก็ไปรักษา พยาบาลให้ แล้วก็นำไปรักษา ที่สุขศาลา ต่างจังหวัด เขาเป็นหมอ มีอุดมคติ เสร็จแล้ว ก็รู้เรื่องทีหลังว่า ผู้ชายคนนี้ ไปตัดต้นมะขาม แล้วมันล้มทับ เขามีอาชีพ ทำเขียง พอรักษาเสร็จ หาย เขาก็กลับไป แล้วมาอีกทีหนึ่ง เมียพาผัว กลับมาหาเขาอีก ตอนนี้เป็นไทฟอย หมอก็รักษา พอรักษาเสร็จแล้ว เมียก็ตอบแทน คุณหมอ โดยมอบเขียงที่ดีให้หมอ เขาก็ซาบซึ้งใจ จึงเอาเขียงไปไว้ ในตู้เครื่องมือ เป็นเรื่อง จิตวิญญาณ ทำไมคนไม่เข้าใจ เขาหาเขียงที่ดีที่สุด ทำมาตอบแทนบุญคุณ มันมีรายละเอียด

และมีเรื่องอื่น อีกหลายเรื่อง เช่น ผัวเมียคู่หนึ่ง รักกันมาก แล้วก็แต่งงานกัน เมียก็เอาใจผัวมา กินอะไรทำให้ จนผัวรำคาญ พอแต่งงานแล้ว ก็ทุกอิริยาบท ผัวก็รำคาญ ก็หนีไป ขับสามล้อ สามล้อเกิดไปถูกรถชน เมียก็ไปตามหา พอไปตาม ก็ถูกรถชนอีก เสร็จแล้ว ก็มีพล็อตไปอีก จำไม่ได้ แต่เรื่องนี้จบโดยที่ว่า... มีเจ้าหน้าที่ ตื่นเช้ามาตกใจ ทำไมมีผู้หญิงผู้ชาย กอดกันตาย

คือเรื่องของเรื่อง คือสองคนนี้บาดเจ็บ แล้วก็ไปรพ. ด้วยอาการโคม่าทั้งคู่ ไปรพ. เดียวกัน กอดกันตาย ที่จริงรักกัน แต่ต้องการ อยู่ด้วยกัน แต่รำคาญเล็กๆน้อยๆ

 อีกเรื่องหนึ่ง ผู้ชายคนหนึ่ง ต้องการมีลูก แต่ก็ไม่ต้องการมีเมีย สุดท้าย ก็มีผู้หญิงมารัก ก็แต่งเพื่อมีลูก แล้วค่อยหย่าทีหลัง พอทำเสร็จ ก็ได้ลูก แล้วก็หาเรื่อง หย่าขาด จากเมียให้ได้ สุดท้าย ก็อยู่กับลูก อย่างว้าเหว่ สุดท้าย ก็ต้องจำนน ที่ลูกไม่มีแม่
ส่วนใหญ่ เป็นเรื่องจิตวิญญาณ ​หรือมีอีกเรื่องหนึ่ง มีผู้หญิงสองคน เป็นเพื่อนกัน รักกันมา แต่คนหนึ่ง เป็นโสเภณี แล้วพลาดมีลูก แต่ก็มอบลูก ให้เพื่อนเลี้ยง และ บอกเพื่อนว่า อย่าให้ลูกรู้นะ แล้วก็ตอนจบมาที่ สองคนนี่ เกิดทะเลาะกัน พอทะเลาะกัน เสร็จ ลูกก็โตพอสมควร แต่ยังไม่เดียงสาเท่าไหร่ พอทะเลาะกัน ตบตีกัน แม่เลี้ยง สู้แม่จริง ไม่ได้ แม่จริง ก็ไปนั่งคร่อม ตบตี ลูกโผล่มา คว้ามีดได้ ก็จ้วงแทงน้า ที่จริง แทงถูกแม่จริง ของตัวเอง …. เรื่องนี้ได้เข้ารอบ พอฟังรู้เรื่อง

อ.กฤษฎาว่า... ก่อนหน้านี้ มีคนส่งข้อความว่า พี่น้อง ฟังธรรมกับฟังเพลง ก็ชนะแล้ว ไม่ต้องทำอะไรหรอกจ๊ะ ...แล้วที่เราทำอยู่นี่ จะมีธรรมฤทธิ์อย่างไร ต่อเนื่อง และ มีพลังขนาดไหน?

พ่อครูว่า... คนเขาเชื่อของเขาอย่างนี้ เขาเชื่อว่า ที่เราทำนี้ ไม่ใช่ธรรมะ หรือไม่ใช่ธรรมะ อย่างที่เขาเข้าใจ เขาไม่เชื่อหรอก ธรรมะคือธรรมะ และธรรมะนี้มีฤทธิ์ เราเรียกว่า ธรรมฤทธิ์ พ่อครูก็ไม่มีปัญหาว่า ใครจะต้องมาเชื่อเรา แต่พ่อครู เชื่อธรรมฤทธิ์ พ่อครูทำงานมา อย่างจน ไม่โลภ ไม่เอาเปรียบ ไม่เอาอำนาจโลก อำนาจโลกธรรมต่างๆ มาเป็นตัวอำนาจ เด็ดขาด จะใช้ธรรมะเป็นอำนาจ คือดีงาม ความเสียสละ ความอ่อนน้อม ถ่อมตน และเป็นผู้แพ้ แล้วก็เป็นเรื่อง อจินไตย ที่ พ่อครู ก็ได้แต่งเพลง ผู้แพ้ ไว้แต่ตอนอายุ ๒๐ ปี แล้วทำไม เพลงผู้แพ้มันดัง แต่งตั้งแต่ปี ๙๗ ตอนนั้น ยังเรียนอยู่ ตั้งแต่สมัยพ่อครู เป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์

พอเพลง ผู้แพ้ดัง เขาก็ให้มาแต่งเพลงผู้ชนะ พ่อครูไม่อยากแต่ง ไม่เคยคิดแต่ง แต่งไม่เป็น ได้แต่เพลงผู้แพ้ ก็สู้โลก มาด้วยความแพ้ อย่างทางศาสนา พ่อครูไม่น่าแพ้เลย แต่สุดท้าย ก็ถูกตัดสินให้แพ้ ทั้งที่ไม่ใช่ผู้ผิด ไม่ได้เป็นผู้ผิด แต่เป็นผู้แพ้ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องแกล้งพูด พ่อครูก็ทำงานมา ด้วยการไม่มี ฤทธิ์อำนาจอะไร นอกจาก ธรรมฤทธิ์ พ่อครูเชื่อ ธัมโม หเว รักขติ ธัมจาริง คือ ธรรมย่อมรักษา ผู้ประพฤติธรรม หรือธรรมะ ช่วยผู้ประพฤติธรรม แน่นอน ถ้าสัมมาทิฏฐิ

ถ้าแต่ละคน ปฏิบัติธรรม ให้มีมรรคผล ให้เกิดจริง ในแต่ละคน จำนวนมากขึ้นๆ “ชนะ” แล้วไม่ต้องเรียกว่า ชนะ จะเรียกว่า เราแพ้ก็ได้ เคยเล่าแล้ว เช่น อย่างไปกรณี ไปร่วมกับ เสธ.อ้าย ใครก็ว่าพ่อครู พาเสธ.อ้ายแพ้ แล้วทุกคน ก็หาว่า เสธ.อ้าย หน้าแหกทุกวันนี้ พ่อครูก็ว่า เราไม่ได้แพ้ คนชั่วคนทำผิด ต่างหากแพ้ เราไม่ได้ผิดอะไร เราจะไปแพ้ทำไม เราทำอย่างนั้น เราจะไม่ให้คนทำชั่ว มากกว่านั้น ถ้าเราอยู่ต่อนะ ตอนนั้นพวกนั้น จะทำชั่ว หานรกใส่ตัว มากกว่านั้นอีกนะ คนอื่น จะพลอยรับบาป รับเวรรับภัย มากกว่านั้นอีก พ่อครูว่า เราชนะอย่างสวยงาม ด้วยซ้ำไป แต่เขาไม่รู้หรอกว่า ชนะคืออะไร แพ้คืออะไร ด้วยซ้ำไป คนไม่เข้าใจสัจธรรม เขาอ่านไม่ออกหรอก

พ่อครูทำงาน โดยตั้งใจจริง อยู่กับพวกเราก็ดูผล ดูผลของเหตุปัจจัย ถ้าผล มันชนะ ผลรายทาง แต่ชนะ ตามผลที่คาดว่าจะได้ ตามสมัยใหม่ พ่อครูว่า ไม่ไปตั้งเป้า อย่างนั้นหรอก ก็ดูผลที่มันจะเกิด เหตุปัจจัย ถ้าเผื่อว่า ๑บวก ๑ เป็นสองอยู่นี่ ถ้าตั้งเป้าไว้ที่ ๑๐ แล้ว ๒บวก๑ เป็นสาม หรือ ๒ บวก ๑ เป็นสี่ ก็ไม่ว่า หรือ ๒บวก๑ เป็น ๒.๕ ก็ไม่ว่า แม้ที่สุด ไม่ถึง ๑๐ อย่างที่ตั้ง ก็ไม่ว่า แต่ดูว่า มันมีอัตรา ก้าวหน้าอยู่ก็ทำ แต่ถ้าทำไปแล้ว มันถดถอย ๒บวก๑ เป็น ๑.๕ หรือ ๒ บวก ๒ เป็น ๒.๕ หรือ ๒บวก ๓ เหลือ ๒ อย่างนี้ ก็ต้องพาถอย หยุดทำ แต่ถ้าทำแล้วก้าวหน้า มีอัตราก้าวหน้า รายทางอยู่ แม้ไม่ถึงเป้า ก็มีกระใจ และจะทำอย่างนี้ ตลอดไป ก็ทำ ใครจะทำไม?

อ.กฤษฎาว่า... หมายความว่าพ่อครูมีการประเมินอยู่ตลอด

พ่อครูว่า... ใช้สัปปุริสธรรม ๗ และมหาปเทส ๔ ประเมินตลอด ไม่ใช่ทำอย่าง สุ่มสี่ สุ่มห้า งมๆคลำๆ ดำน้ำทำ สร้างมา อย่างยากเย็น จะพาทำเสียหาย ล้มละลายทำไม ไม่ได้ทำชุ่ยๆนะ ไม่มักง่าย

พ่อครูว่า... อย่างตลาดอาริยะ ไม่ได้ตั้งไว้ว่า จะทำเดือนละ ๒ ครั้ง ตลอดไป อาจเป็น ๓ ครั้ง หรือ ๒.๕ ครั้งก็ได้ หรือ จะลดลงเหลือ ๑ ครั้ง หรือเลิกไปก็ได้ เราไม่ได้ทำ โดยเป็นหนี้ใคร ไม่ได้เอาเงินบริจาค ในการชุมนุม มาใช้ทำ ตลาดอาริยะ เราใช้เงิน ชาวอโศกทำ เราช่วยกัน ทั้งส่วนกลาง และส่วนตัว ถ้าเราทำได้ ตลอดรอดฝั่ง โดยไม่เบียดเบียน ตน-ท่าน เราก็ทำไป ประชาชนก็เห็นดีอยู่ เราก็ทำเรื่อยไป...

อ.กฤษฎาว่า... จะกินเจแล้ว อยากให้พ่อพูดเรื่อง กินเจกับมังสวิรัติ

พ่อครูว่า... เรื่องมังสวิรัต ิก็เป็นบุญญาวุธ หมายเลข ๑ ของชาวอโศกเลย การไม่กินเนื้อสัตว์น ี่ยืนยันเลยว่า พระพุทธเจ้า ไม่กินเนื้อสัตว์ ในอินเดีย พวกพราหมณ์ ไม่กินเนื้อ โดยเฉพาะพราหมณ์ชั้นสูง ในอินเดีย ไม่กินเนื้อสัตว์ กันส่วนใหญ่ ไม่จำเป็น ต้องตั้งกฎ ตั้งศีล ตั้งวินัย อะไรเลย แม้เทวฑัต จะมาบังคับให้พระพุทธเจ้า ออกกฎบังคับ ให้ไม่กินเนื้อสัตว์ นี่ยืนยันว่า แม้พระเทวฑัต ก็ไม่กินเนื้อสัตว์ เทวฑัตก็เป็น สัทธิวหาริก ของพระพุทธเจ้า ยังไม่กินเนื้อสัตว์เลย แต่ท่านก็เวอร์ไป ที่จะมาออกกฎ ซึ่งพระพุทธเจ้า ก็ไม่เอาตาม เพราะส่วนใหญ่ ไม่กินเนื้ออยู่แล้ว

ยังมีหลักฐาน ในพระไตรปิฎกว่า มีเสนาบดี ที่เป็นอเจลกะ ที่กินเนื้อสัตว์ แล้วนิมนต์ พระพุทธเจ้า ไปฉันอาหาร แล้วให้คน ไปซื้อเนื้อสัตว์ มาถวายพระพุทธเจ้า พวกนักบวช อเจลกะ ก็กลัวเสียลาภ จากเสนาบดี ที่จะไปนับถือ พระพุทธเจ้า พวกอเจลกะ ก็ไปประกาศว่า เจ้าข้าเอ้ย พระสมณโคดม รู้ทั้งรู้ว่าเสนาบด ีให้ลูกน้อง ซื้อเนื้อสัตว์ ในตลาด มาทำอาหารถวาย พระสมณโคดม ก็กำลังไปกินเนื้อสัตว์นะ อย่าเคารพนะ คือดิสเครดิต พระพุทธเจ้าว่า พระพุทธเจ้า ฉันเนื้อสัตว์ ประเด็นนี้ ตั้งข้อสังเกตว่า ถ้าพระพุทธเจ้า ฉันเนื้อสัตว์อยู่แล้ว ทำไมต้อง ไปดิสเครดิตว่า พระพุทธเจ้า ฉันเนื้อสัตว์ ส่วนเรื่องที่ ท่านจะฉันหรือไม่ ก็แล้วแต่ท่าน ในไตรปิฏก ไม่ได้บอกไว้ว่า ท่านฉัน หรือไม่ฉัน เขาจะไป อังคาสท่าน ตอนนั้นเลย ก็ช่างประไร ท่านจะฉันข้าวเปล่า จะฉันผัก หรือท่านจะเจเขี่ย หรืออย่างไร ก็แล้วแต่ท่าน คุณจะเอา นิยายอะไรกับท่าน ไม่มีรายละเอียดบอกด้วย แต่วิเคราะห์ให้ดีสิ ถ้าพระพุทธเจ้า ฉันเนื้อสัตว์เป็นปกติ แล้วอเจลกะ จะไปประกาศทำไม ไปดิสเครดิต เอาประเด็นนี้ ไปตีท่านได้อย่างไร ... นี่คือหลักฐาน

พระพุทธเจ้าสอน ไม่ให้ฆ่าสัตว์ ... คุณเป็นพุทธบริษัท หรือพุทธมามกะจริงๆ จะไม่ฆ่าสัตว์ นอกจากเป็น พุทธศาสนิกชน ก็ถือตามๆกันไป ก็แล้วแต่ แต่ในระดับ พุทธศาสนิกชน หรือพุทธบริษัท ก็ไม่ทำ มิจฉาวณิชชา ๕ คือไม่ค้าขายสัตว์เป็น (สัตตวณิชชา) ไม่ค้าขายเนื้อสัตว์ (มังสวณิชช)

มิจฉาวณิชชา ๕
๑. การค้าขายอาวุธ (สัตถวณิชชา)
๒. การค้าขายสัตว์มีชีวิต (สัตตวณิชชา)
๓. การค้าขายเนื้อสัตว์ (มังสวณิชชา)
๔. การค้าขายสิ่งมอมเมา (มัชชวณิชชา)
๕. การค้าขายสิ่งที่เป็นพิษ (วีสวณิชชา)

สิ่งเหล่านี้ พระพุทธเจ้าไม่ให้ละเมิด เป็นการค้าขายที่ผิด ก็เมื่อไม่ค้าขาย และไม่ฆ่าเอง แล้วจะเอาที่ไหน มากิน

มีเนื้อที่ พระพุทธเจ้า อนุญาตให้กินได้คือ ปวัตตมังสะ และ อุทิสสมังสะ อุทิส คือเจาะจง คือสัตว์ที่ คนเจตนาฆ่า นี่คือ อุทิสสมังสะ แต่ถ้าสัตว์ใดตาย โดยไม่ใช่คนฆ่า เช่นตายเอง หรือสัตว์ฆ่ากัน ก็เรียก ปวัตตมังสะ เช่น เดนเสือกิน (อย่าไปแย่งมันนะ) ปวัตตมังสะ มีสองอย่างคือ เดนสัตว์กิน และสัตว์ตายเอง ก็ไม่ครบองค์ ๕ ของปาณาติบาต (สัตว์มีชีวิต รู้ว่าสัตว์มีชีวิต เจตนาฆ่า พยายามฆ่า สัตว์ตายลง) แต่นี่ปวัตตมังสะ ก็กินได้ แล้วจะไป กินเดนสัตว์ อีแร้ง ก็เอาไปกินก่อนแล้ว

แต่ทุกวันนี้ พุทธเขาขายเนื้อสัตว์ กันโครมๆ ก็เบี้ยวบาลี ในนวโกวาท เขาแปล อย่าค้าขายสัตว์เป็น เขาไปแปลว่า อย่าค้ามนุษย์ และแปลอุทิสมังสะ ไปแปลว่า การฆ่า เพื่อเจาะจง ให้คนชื่อนี้ กินไม่ได้ เช่น เพื่อนไปบ้าน ก็บอก ให้ฆ่าไก่นี้ เลี้ยงเพื่อนคนนี้ อย่างนี้จำเพาะเพื่อนคนนี้ เพื่อนคนนี้ กินไม่ได้ ถ้ากินบาปนะ ก็ว่าประเทศไทยหนอ แปลไปไกลลิบเลย อย่างนี้ เบี้ยวบาลีกัน

สรุปเนื้อหา... เนื้อสัตว์ไม่ใช่เนื้อที่ควรกิน หลายสูตรเช่น ในลังกาวตารสูตร เป็นต้น ในสูตรของ มหายานนั้น พระพุทธเจ้า ห้ามโดยตรง เมืองนอก ที่เขานับถือ มหายาน เขาไม่ติดใจ ในเนื้อสัตว์ เขาก็มังสวิรัติกัน ในศรีลังกา เขาก็มังสวิรัติ กันทั้งประเทศเลยนะ มีแต่ในเมืองไทย นี้แหละ กินเนื้อกัน ปากเปรอะเลยนะ ในลังกาวตารสูตร สัตว์บางตัว เป็นพ่อเราแม่เรา มาเกิด แล้วเราก็กินพ่อเราแม่เรา อยู่ในนั้นแหละ ไปหาอ่านดูสิ ท่านพุทธทาส แปลไว้ มหายาน เขามีสูตร เกี่ยวกับ การไม่กินเนื้อสัตว์ อยู่เยอะ

สรุปคือ พวกกินเนื้อสัตว์ ไม่ใช่แค่มีบาปเวรภัยเท่านั้น แต่เป็นกิเลสติดยึด มันชอบ และมันเป็นภัยต่อสุขภาพ ร่างกายด้วย อย่างหมอ ถ้าป่วยมาก ระดับหนึ่ง บางที ก็แนะนำ ให้คน ไม่กินเนื้อสัตว์ เพราะรู้ว่า ในเนื้อสัตว์ ทำให้เกิดโรคภัย หลายอย่าง ทั้งที่หมอ ยังกินสัตว์อยู่ หรือลำไส้เรายาว เหมือนพวก สัตว์กินพืช ถ้าเรากินเนื้อ ก็หมักเน่า อยู่ในลำไส้เรา แต่ลำไส้สัตว์กินเนื้อ จะสั้นกว่า เล็บมือเรา เหมือนช้างม้า วัว ควาย เขี้ยวเรา ก็เหมือน พวกกินพืช เป็นฟันกรามเรียก Molar ไม่ใช่ Canine สัตว์กินพืช เวลาดื่มน้ำ ใช้ดูดเอา ไม่เลียน้ำเอา อย่างพวกสัตว์กินเนื้อ หรือ จะเอาเอนไซม์มาวัด หรือ เอาอายุเปรียบเทียบ ระหว่างคนกินเนื้อสัตว์ กับคนกินพืชผัก ชาวเอสกิโม ต้องกินเนื้อสัตว์ เพราะเขาไม่มีพืช อายุเฉลี่ย เขาน้อยมาก แค่ ๒๗ ปี แต่ชาวฮันซ่า อยู่บนภูเขา ไม่กินเนื้อสัตว์ หรือกินน้อยมาก ก็อายุยืนเกิน ๑๐๐ ปี

ชาวอโศก จะอายุยืนต่อไป ในรุ่นต่อๆไปอีก เพราะเรากินพืช ไม่ได้กินเนื้อสัตว์ สรุปคือ คนกินพืช ไม่กินเนื้อสัตว์ จะเจริญ ทั้งกายภาพ และจิตวิญญาณ เจริญทางบุญ ส่วนกายภาพ สุขภาพร่างกาย จะเจริญ เศรษฐกิจ ก็จะเจริญ ทั้งจิตภาพ และกายภาพ ง่ายๆเลย... จิตภาพที่สำคัญคือ ไม่กินเนื้อสัตว์ ได้ลดกิเลส คนติดเนื้อสัตว์เป็นกิเลส ผู้ไม่ติดเนื้อสัตว์ เห็นก็ไม่อยากกิน เรากินพืชสบายๆ แต่ที่สุดแล้ว ไม่ติดกินพืช ไม่ติดรูปรสกลิ่น กินแต่พอเหมาะ พอควร ได้ด้วย ก็ลึกซึ้งขึ้นอีก ทางจิตภาพ

จบ

 
๓ ตุลาคม ๒๕๕๖ ที่สวนลุมพินี กทม.