|
||
พ่อท่านมาเยี่ยมข้างทำเนียบ 08:45 น.มาถึงข้างทำเนียบ วันนี้เบิกฤกษ์ นีโอโพรเทส เป็นการชุมนุม ประท้วงแนวใหม่ ครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งแรก ที่เราประท้วง โดยใช้ธรรม นำหน้าอย่างแท้จริง การชุมนุมประท้วง ที่อื่นก็มี ที่บอกว่า ใช้ธรรมนำหน้า แต่ว่าครั้งนี้น่าจะเป็นการใช้ ธรรมนำหน้า อย่างแท้จริง และ จะใช้พุทธรรม เป็นหลัก เป็นอาริยธรรมแท้จริง เจริญธรรมทุกๆคน ไม่ว่าคนไทยหรือต่างชาติ ก็ย่อมมีกายและใจ เป็นคนเหมือนกัน คนย่อมทำอะไร ตามประสาของคน คน มาจากภาษาบาลีว่า มนุสโส หรือ มนุษย์ แปลว่า ผู้มีจิตใจสูง ส่วนคำว่า คน เป็นคำไทยแท้ ซึ่งแยกจากคำว่า เดรัจฉาน หรือ ติรัจฉาโน สรุปคือ คนนี่ มีจิตวิญญาณ สัตว์ก็มีจิตวิญญาณ อย่ในตระกูลของ จิตนิยาม ทั้งคู่ ในนิยาม ๕ (อุตุ พีชะ จิต กรรม ธรรม) ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ และบรรยายไว้ คนสามัญไม่สามารถบัญญัติ แยกแยะพลังงาน ๕ ชนิดนี้ได้ นักวิทยาศาตร์เก่งแค่ไหน ก็แยกแยะไม่ได้ พลังงานทางจิตเป็นอรูป ไม่มีสีสันรูปร่าง แต่มีประสิทธิภาพ สูงส่งมาก คำว่า จิต คือรวมไว้หมดเลยของจิต หรือวิญญาณ หรือ มโน มนัส ก็คือแปลว่า จิตหรือใจ นั่นเอง ถ้าเรียนรู้แล้ว ถ้าศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า จนถึงสภาวธรรม จะรู้ว่า พลังทางจิตนี้ สุดยอด พลังงานทางฟิสิกส์ แสง เสียง แม่เหล็ก ไฟฟ้า ในจิตวิญญาณ ก็มีลักษะพลังงาน อย่างนั้น แต่ประสิทธิภาพ ของพลังทางจิต สูงส่งกว่าทางพลังงาน ทางฟิสิกส์ ที่เขาเอามาใช้งานได้ ในแสงสีเสียงต่างๆ เขาก็เอาไปทำ ทั้งประโยชน์ และโทษ เอาไปใช้เป็นโทษก็เยอะ แต่คนดีคนฉลาด ก็เอาไปใช้ เป็นประโยชน์ ต่อมวลมนุษยชาติ ผู้ศึกษาวิทยาศาสตร์ทางโลก เขาก็เอาไปใช้ได้ พลังงานในโลกนี้ เราได้รับ มาจากที่อื่น ดาวโลกของเรา ไม่ใช่ดาวฤกษ์ อย่างพระอาทิตย์ เป็นดาวฤกษ์ โลกเรารับพลังงาน มาจากดวงอาทิตย์มาใช้ อาตมาเสียดายแดด หรือแสงแดด เป็นพลังงาน ที่มีอะไร อยู่ในนี้เยอะ และจะใช้แทนน้ำมัน ถ่านหิน อะไรได้มาก จนทุกวันนี้ เขาเอามาใช้แทนอื่นๆได้มากแล้ว แปรรูปไปทำพลังงานใช้ จะเป็นด้าน ฟิสิกส์ ก็ได้มากเลย และไม่หมดง่าย ตราบที่ดวงอาทิตย์ไม่ดับ ทุกวันนี้ ก็เอามาใช้ได้ มากขึ้นแล้ว นิยาม ๕ นี้สำคัญมาก อุตุ คือสิ่งที่กำเนิด เป็นธาตุฟิสิกส์ ทั้งหมด เป็นความร้อน แสง เสียง แม่เหล็ก ไฟฟ้า คนนำมา ใช้ได้มากมาย แต่มีเงื่อนไขว่า ไม่ใช่พลังงานที่มีชีวิต มันอยู่กรอบ ขอบเขต ของมัน แล้วจะพัฒนามาเป็นชีวะได้ จะเป็นระดับเซลล์เดียว เป็นพืช ก็เริ่มต้น เป็นชีวะแล้ว พีชะ คือระดับสอง พีชะ พวกชีววิทยา ก็ศึกษาในระดับนี้ขึ้นไป และก็จะพัฒนา ขึ้นอีกเป็น สัตว์ มีตัวเลข ๗ มาเป็นตัวเลขสำคัญ เอามาเป็นหลัก ในการคำนวณ อะไรได้ดี ถ้าใช้เป็นในอัตราของสังขยาเลข ไม่ใช่ทำนาย แต่เป็นหลัก ที่ต้องมีความรู้ ภาวะสัจจะ คือส่งที่ปรากฏจริง เป็นสัจจะภาวะ หรือปาตุสัจจะ เป็นตัวจริง ของจริง สัมผัสได้ โดยทวารทั้ง ๖ เป็นปรากฏการณ์จริง Phenomenal ที่จะรู้ได้ทุกคน ที่มีประสาท สมบูรณ์ ไม่ใช่ความรู้แค่ Philosophy ที่แปลว่า ปรัชญา หรือEpistemology ที่แปลว่า ญาณศาสตร์ แต่เป็นความรู้ระดับ Phenomenology เป็นปรากกฎการณ์วิทยา นี่แหละ เป็นของพุทธ เป็น Phenomena คือเป็นสิ่งสัมผัสได้จริง ในคนมีประสาทครบ มีอายตนะครบ จะรู้ได้เหมือนกันหมด เป็นสิ่งปรากฏ ให้เป็นที่รับซับซาบได้ ถ้าเป็นคน ก็เป็นบุคคล ที่ยอดเยี่ยมมาก เป็น Phenomenal man เลย หรือบางที่ก็ตีกลับมา เป็นตัวอาเพศเลย ไม่สามารถแตะต้องได้ มันมีความหมาย สองด้าน ด้านดีก็สุดยอด ด้านไม่ดี ก็ตีทิ้งเลย นี่คือความเข้าใจของมนุษย์ มีสองแบบ เหมือนคนบ้า กับอัจฉริยะ มันใกล้เคียงกัน เป็นปรากฎการณ์สูงส่ง ที่คนอาจคิดว่า เป็นคนบ้าแต่ที่จริง เป็นอัจฉริยะ ที่เราทำอยู่นี้เราทำนี้ อยู่ในระดับ ปรากกฏการณ์วิทยา ในสังคมโลกนี้ จะมีการตรา คำว่า Phenomenology หรือยังก็ไม่รู้ได้ เขาอาจมีตราไว้แล้ว แต่เราเอามาพูด หรือ เราริเริ่มมาก่อน เป็นความรู้ ปรากฏการณ์วิทยา ไม่ใช่แค่ Epistemology คือญาณวิทยา หรือ ญาณศาสตร์ ที่ว่าด้วย กำเนิดลักษณะ ความถูกต้อง ความรู้ หรือวิธีหาความรู้ สูงสุดก็คือ อันนี้แหละในทางโลก ญาณวิทยา คือความรู้ทุกอย่าง เกี่ยวกับ กำเนิดธรรมชาติ และความเป็นมนุษย์ เขาจะพยายามซอกแซก รู้ธรรมชาติ ให้ได้มากที่สุด แต่มีสิ่งที่ไม่เป็นธรรมชาติ อย่างเดียวเท่านั้น ในมหาจักรวาล คือ นิพพาน ผู้ที่มีธรรมะที่เป็นนิพพาน จะรู้ว่าธรรมะนี้ ไม่ใช่ธรรมชาติ มีอยู่ในมนุษย์ ที่มีจิตนิยาม จึงสามารถหยั่งรู้ เข้าไปถึงนิพพาน คือจุดสำคัญสูงสุด ที่พระพุทธเจ้าค้นพบ ที่ทรงไว้ ไม่มีการเกิด หรือชาติ ธรรมะอันนี้ จะเกิดหรือไม่เกิด อยู่ที่เจ้าของนิพพาน เจ้าของจะให้เกิด หรือไม่ก็ได้ เรียกว่า เป็นมนุษย์อมตะ จะให้เกิด หรือไม่ให้เกิด ตัวเองเป็นผู้กำหนดเอง เรียกว่าธรรมะ ที่ไม่มีการเกิด ผู้ถึงนิพพานนั้น จิตวิญญาณ ของท่าน จะให้เกิดธรรมชาติก็ได้ จะไม่ให้มีธรรมชาติก็ได้ เป็นความเห็น ที่ถูกตรง และที่เขาว่า ธรรมะคือธรรมชาติ นั้นถูกครึ่งเดียว ธรรมะต้องรู้ธรรมชาติ ทั้งโลกีย์และโลกุตระ ศาสนาไหน ก็รู้ธรรมชาติ แต่ไม่มีศาสนาไหน ที่ล้วงลึกไปถึง การดับชาติ ได้สนิท ยืนยันว่าธรรมะพระพุทธเจ้า สูงกว่าธรรมะ คือธรรมชาติ พระอรหันต์ เป็นต้นไป ดับธรรมชาติ ดับอกุศลกรรมทางจิตได้ แม้แต่กุศลจิต พระอรหันต์ ก็ระงับ ไม่ให้เกิดได้ เป็นการกล่าวเกริ่น ที่สูงไปลึกไป แต่รู้แจ้งได้จริง เป็นปรากฏการณ์วิทยา พิสูจน์ได้ อกาลิโก เอหิปัสสิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ ยุคใดผู้มีพากเพียร มีบารมีพอ ก็จะบรรลุได้ ได้แล้วท้าทายให้มาพิสูจน์ได้ เป็นของสูงส่ง ที่มนุษย์ควรเอาให้ได้ อย่างยิ่ง ควรแสวงหา จะได้เป็นของตน รู้เองเห็นเอง เข้าใจเอง บอกคนอื่นยาก ผู้ใดมีจริง เป็นจริงได้ ด้วยตนเอง อย่างแท้จริง ปรากฏการณ์วิทยา คือความรู้แท้จริง ที่มนุษย์ใด ก็ไม่สามารถ ค้นพบได้ นอกจาก พระพุทธเจ้ากับสาวกสังโฆ เท่านั้น คำว่าญาณวิทยา ไม่ใช่ญาณศาสตร์ ญาณศาสตร์ คือ วิชาที่ยังเดา ไม่สูงเท่าญาณวิทยา ซึ่งมันเป็นความรู้ ขั้นคาดคะแนด้นเดา อาจใช้สถิติ แต่ว่าญาณวิทยา เป็นการเข้าถึงความจริง มากกว่า ญาณศาสตร์ ที่ว่าจะสามารถ ล่วงรู้อนาคต มันเป็นแค่ คำพยากรณ์ ผู้พยากรณ์ รู้ได้ด้วยตำรา ทำนายพยากรณ์กันไป ส่วนญาณวิทยา จะสูงกว่า ผู้ที่ศึกษารายละเอียด ของความจริง ความรู้พวกนี้ จะหยั่งรู้ รายละเอียดได้มาก จำเป็นต้องนำบทนี้ มากล่าวนำมาก่อน ขอสรุป นิยาม ๕ ก่อน คือ พีชะ คือเริ่มเป็นชีวะ ตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียว เช่น พืชผัก อย่างมนุษย์ ที่เป็นมนุษย์พืช ไม่สามารถฟื้น มาสูงกว่านี้ได้ มีตัวแยก ที่จะแตกต่าง ระหว่าง พีชะกับจิตนิยาม คือจิตนิยาม สามารถมีกรรม มีธรรมะได้ แต่เดรัจฉาน อาจไม่รู้กุศล อกุศล แต่มันมีกรรม มีวิบาก แต่พีชะนั้นไม่มีกรรม ไม่มีวิบาก มันจะไป ดันหินแตก หรือทำดีให้ใคร มันก็ไม่มีบุญหรือบาป เพราะเป็น อนุปาทินกสังขาร แม้มนุษย์พืช ก็สัมผัสกาย วาจา ใจไม่รู้แล้ว เป็นอนุปาทินกสังขาร คือสังขาร ที่ไม่มี วิญญาณครองแล้ว ถ้าแน่ใจว่า เป็นมนุษย์พืชแล้ว ถอดเครื่อง ช่วยหายใจได้ไม่บาป พีชะแม้แต่ สัญญากับสังขาร แต่ไม่มีการจองเวร ไม่มี ผู้รัก ผู้ชัง ไม่สามารถต่อเนื่อง ข้ามชาติได้ ในพลังงานพีชะแท้ จึงไม่มีบาป ไม่มีบุญ ไม่มีเวทนา ไม่รักไม่ชัง ไม่ทุกข์ไม่สุข ส่วนสัตว์ที่มี จิตวิญญาณครอง เราจะทำบาปทำบุญ แม้เล็กแม้น้อย ก็สะสมแล้ว เราจะได้บุญ นั้นต้องคือ ได้การเอาออก ได้การให้คนอื่น ไม่ใช่เอาเข้ามาเลย เอาเข้ามาคือ บุญปลอม การตั้งจิต มีความรู้สึกนิดหนึ่งว่า มาเป็นของเรานี้ ไม่ได้บุญ บุญต่างจากกุศล กุศลคือความดี ที่กว้างมาก บุญนั้นจำเพาะว่า จิตวิญญาณต้องไปสู่ ความไม่มีตัวตน ต้องเอาออก จากตัวตน การเป็นคน หมดบุญหมดบาป คือไม่ต้อง ชำระกิเลสแล้ว อปุญญาภิสังขาร เป็นการปรุงแต่ง อย่างไม่ต้อง ล้างชำระอีกแล้ว เป็นอภิสังขาร ขั้นสูงของพุทธ แต่ทุกวันนี้ แปลบุญบาปปนกัน อปุญญะคือ ไม่มีอีกแล้ว ที่ต้องชำระ ผู้ทำอปุญญาภิสังขาร คืออรหัตตผล สรุปคือ จิตวิญญาณ คือตัวรู้กรรมวิบาก สั่งสมบุญ สั่งสมบาป ส่วนพีชะ ไม่สั่งสม บุญบาป อกุศลหรือกุศล ส่วนกรรมหรือวิบาก แม้จะเป็นคน มีเซลล์มากมาย รับรู้ได้มาก แต่ก็ยังแบ่งเป็น อเวไนยสัตว์ และเวไนยสัตว์ เช่น คนที่โกงกินมาก เป็นร้อย เป็นพันล้าน นี่คือเดรัจฉาน คนโกงหนัก หยาบคาย หน้าด้าน หน้าทน ก็ต้องเทศน์ จะได้ช่วยกัน หยุดเขา เราสงสารเขา เวทนาเขา ไม่อยากให้เขาทำ คนระดับที่จะแยกกรรมกับธรรมะนั้น ต้องเป็นเวไนยสัตว์ ระดับโลกุตระ ส่วนเวไนยสัตว์ ระดับที่จะรู้ ทำกุศลนั้น ศาสนาไหนก็ทำกัน แต่ผู้ที่จะเข้าถึง ปรากฏการณ์วิทยาได้ รู้จิตเจตสิก ต้องเป็นศาสนาพุทธ ศานาอื่น ไม่น่าจะถึง ศาสนาพุทธนะ มาสู่ปัจจุบันธรรม เป็นปรากฏการณ์จริง ที่เกิดทั่วเลย ที่คนสัมผัสได้เลย อย่างนี้ทุจริต เอาเปรียบ ไม่ถูกนิติรัฐ นิติธรรม เช่น ขณะนี้ก็ยังงงว่า ผู้ที่มีหน้าที่ ปฏิบัติหน้าที่ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๕๗ ทำไมไม่ทำหน้าที่ ยกตัวอย่าง ผู้ที่มีหน้าที่ ตำแหน่ง รับผิดชอบ ความมั่นคงของชาติ สูงสุดหรือรองก็ตาม ดูแลคณะทหาร กลาโหม แต่เสร็จแล้ว ตนเอง ไปทำผิดกฏหมาย คบกับนักโทษเด็ดขาด ที่ศาลพิพากษาแล้วว่า ให้ติดคุก และยังมีคดีอีกมาก ที่รอตัดสิน การคบกันก็ผิด มาตรา ๑๕๗ แล้ววางแผน ยึดครองประเทศ อย่างนี้ถือว่ากบฏ เป็นเรื่องล้มประเทศ วางแผนยึดประเทศ เป็นกบฏ แต่เหตุการณ์ ทำไมยังลอยนวลอยู่ เราจึงไม่รอ ไม่หวัง แต่เราจะทำ ทำอย่างไร ก็ออกมา ทำงานการเมือง ออกมาประท้วง อย่างนีโอโพรเทส มาให้ประโยชน์คุณค่า กับการพัฒนา ประชาธิปไตย มุ่งเอาความจริงความรู้ตีแผ่ ไม่มุ่งเอาแพ้เอาชนะ ไม่รุนแรง ไม่หยาบคาย เพื่อยกระดับการต่อสู้ เป็นวิถีอาริยชน เมืองไทยน่าจะเป็นเมืองศิวิไลซ์ให้ได้ มั่นใจว่า ชาวไทยเป็นพุทธ ยังไม่สูญเชื้อ อาริยะ โลกุตระ เรามาทำงานการเมืองที่นี่ อาตมาจะเปิดตัว เต็มที่เลย เราขึ้นป้ายว่า กองทัพธรรม ร่วมกับกองทัพประชาชนเลย ว่าจะโค่นล้ม ระบอบทักษิณ ซึ่งรู้กัน ในคนไทย แม้คนที่จะไม่เอา ตาดูหูแล ใครจะเป็นอย่างไร ไม่เกี่ยว เอาอบายมุข มอมเมาประเทศ คนไทยจะฉิบหาย วายป่วงอย่างไร กูไม่รับผิดชอบ คนชนิดนี้ เลวร้ายมาก ยิ่งรู้ว่าตนเอง เอาความเลวร้าย ใส่ในมนุษยชาติ ยกตัวอย่าง คนทำน้ำเมา ให้คนเมาแต่ตนเอง ไม่ดื่มเลย ได้เงินได้ทอง ระดับโลก เขารู้ว่า สิ่งนี้ไม่ดี ตนเอง ก็ไม่แตะต้อง คนชนิดนี้น่ากลัว บาปเป็นของเขา ที่พูดนี้ สงสารเขานะ การชุมนุมประท้วง นีโอโพรเทส คือเป็นเรื่องของ คนที่เข้าใจจะทำนะ ชาตินี้พ่อครู ไม่ได้มีหลักประกันทางโลก ไม่มีปริญญาซักใบ รับรองเลย สรุปแล้ว พ่อครูรู้การเมือง และประชาธิปไตย ตามประสา การเมือง เกิดเป็นคน ต้องทำงานการเมือง คนผู้ไม่ทำงานการเมือง คือ ผู้มีชีวิตเหมือน สัตว์เดรัจฉานทั่วไป นี่ไม่ได้พูดด่าใครนะ แต่เพื่อให้เข้าไปถึงใจคน คนเกิดมา เป็นคนทุกคน ต้องทำงานการเมือง นอกจาก ไม่รู้ว่า คืออะไร แต่ผู้รู้แล้วไม่ช่วยกันทำ นี่คือเท่ากับ สัตว์เดรัจฉาน อย่างสัตว์เดรัจฉาน ก็อยู่ของเขาไป อย่างคำว่า การเมืองนี้ เขารู้ว่า ไม่ต้องทำก็ได้ อาจเพราะเป็นเรื่อง อิสรเสรีภาพ มี แต่การเมืองนั้น เป็นสิ่งควรทำ ของมนุสโส ในระดับเวไนยสัตว์ ที่รู้ดีรู้ชั่วแล้ว คนที่เกิดมา หรือเป็นมนุษย์แล้ว ถ้ามีปัญญาพอ จะรู้ว่าเกิดมาเป็นคน ต้องทำงานการเมือง อย่างน้อยคุณไม่ทำ เขาก็เกณฑ์คุณไปทำ เช่นการเลือกตั้ง ซึ่งไม่ได้สูงส่งอะไร เป็นเพียง อำนาจ ระดับที่ ๕ อำนาจที่ ๔ คือกฏหมาย ที่ให้สิทธิ์เลือกตั้ง อำนาจที่ ๓ คือสถาบันหลัก คือศาล ที่พระมหากษัตริย์ ทรงใช้อำนาจนี้ และพระมหากษัตริย์ ทรงใช้อำนาจแทนประชาชน ที่เป็นอำนาจที่ ประชาชน คนไทยทั้งหมด คือลูก ลูกจะชั่วจะดี ก็คือลูก พ่อก็พูดไม่ได้ ลูกชั่วเลวร้ายแค่ไหน ก็คือลูก ท่านก็ให้สัญญาณ ท่านจะไปว่าตรงๆ ก็ไม่ได้ เห็นพระทัยท่านมากเลย ท่านบำเพ็ญ ปางนี้ คือปางเตมีย์ใบ้ หน้าที่ลูกคือยกพ่อไว้ อย่าให้ท่านด่างพร้อย เราไม่ดึงท่านลงมา แต่เป็นเหตุที่ จะไปถึงพระองค์ ให้เป็นราชประชาสมาสัย ประชาชน ต้องแสดงออกเต็มที่ แสดงความเดือดร้อนออกมา แล้วยืนยันว่า เดือดร้อนอย่างไร ออกมาชุมนุม ให้รู้ว่า นี่คือ มวลประชาชน ประชาธิปไตย คือออกมาแสดง อำนาจประชาชน รวมตัวให้มาก คือ คะแนนเสียงประชาชน โดยสงบ ไม่รุนแรง ในรัฐธรรมนูญ บอกไว้หมดแล้ว ตำรวจ มากีดกั้นประชาชน ที่จะมาชุมนุม อย่างถูกกฏหมาย ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย การกีดกั้น ไม่ให้ประชาชนมา นี่ผิดแล้ว ผิดรัฐธรรมนูญ เขาจะมาทำงาน เอาอะไรมาทำงาน เอาเครื่องเสียงเป็นต้น ตำรวจต้อง อำนวยความสะดวก ต้องสนับสนุน จึงชื่อว่า ส่งเสริม ประชาธิปไตย ไม่อย่างนั้น ผิดกฏหมาย เราออกมาชุมนุม ให้ถูกกฏหมาย ทุกกระเบียดนิ้ว เรามาอยู่ที่ถนนนี้ ตำรวจก็ปิดเอง แล้วเรามาชุมนุม จนคนเต็ม แล้วต้อง ปิดถนน ก็เป็นเรื่องสุดวิสัย ที่เป็นไปตามธรรมดา ไม่ผิดกฎหมาย ต้องชัดเจนว่า เราไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ต้องขอบคุณตำรวจ ที่มากั้นที่ ให้เราอยู่ ประชาชนมาได้อีกมาก เราไม่ได้มาเอาแพ้ชนะ เรามาทำตามประชาธิปไตย ประชาธิปไตย ให้เราประท้วงได้ ใครทำร้ายเราผิด ใครปิดกั้นเราผิด กฎหมายบอกชัดว่า ต้องอำนวย ความสะดวก ขอร้องพวกเราว่า อย่าทำผิด ไม่เอาอาวุธเข้ามา แต่มีดทำครัว หรือคัตเตอร์ใช้งาน ก็ไม่ผิดกฎหมายนะ ศาลท่านจะรู้ ส่วนเครื่องมือเครื่องใช้ ไม่ใช่อาวุธก็ต้องมี แต่อย่าละเมิดไปมีเล่ห์ อย่างศรีธนนชัยไม่ดี ตอนนี้คนไทย เดือดร้อนมาก ทุกหัวระแหง ไม่เคยมีความหน้าด้าน หน้าทน ชั่วเลว ที่จะชิงอำนาจประเทศ แม้อำนาจของประมุข เขาก็ไม่เกรงใจ เขาท้าทายยั่วยวน ประชด ประชัน แดกดันมา อ่านได้อย่างนั้น เราต้องเห็นจริง และให้เขาหยุด อย่าทำต่อไปเลย ยกตัวอย่างประเทศ ที่เป็นไปแล้วอย่างฮิตเลอร์ ที่เอาอำนาจ เสียงส่วนใหญ่ มาทำลาย คนส่วนน้อย ที่เขามีสิทธิ์ ที่อยู่ในเกณฑ์ ที่ต้องช่วยดูแล เขาไม่ใช่คนผิด คนพาลอะไร แม้แต่อเมริกา ก็กำลังสะเทือน เลื่อนลั่นอย่าง เรื่อง Majority Rule เขาไวนะ สื่อสาร เขาเยี่ยมยอด แต่สื่อสารเมืองไทยเรา ตกอยู่ในอาณาจักร แห่งความกลัว และโลกธรรม ไม่เอาสัจธรรมมานำหน้า เป็นสื่อสาร ที่ถูกครอบงำ กลัวตาย ตกอยู่ในอำนาจโลกธรรม คนไทย ไม่น่าตกต่ำ ขนาดนี้ ขอบอกว่า เราต้องใช้ ราชประชาสมาสัย และจะเกิดได้ ต้องเกิดที่ ประชาชน พระเจ้าอยู่หัวคือพ่อ ลูกต้องมารวมตัวให้มาก เชื่อมั่นในหลัก อำนาจอธิปไตย ของปวงชน ถ้ามีมวลมาก ไม่ต้องไปทำร้ายใคร ออกมาแสดงตัว ถ้าออกมาก ห้าล้านคน ยื่นไปเลย ท่านผู้บริหาร หยุดทำนะ ประธานสภาฯ หยุดนะ นั่นคือ อำนาจเด็ดขาดใหญ่ อำนาจสูงสุด เป็น Authority ที่ยิ่งใหญ่ของโลกประชาธิปไตย คืออำนาจประชาชน อำนาจนี้เป็นอำนาจขั้น ยิ่งใหญ่ที่สุด ต้องมาแสดงอำนาจนั้น ลูกส่วนดี ถ้าออกมายืนยันมากพอ ท่านก็จะบอกว่า ลูกที่ทำไม่ดี ก็ต้องหยุดนะ เพราะเขา มาแสดงตัวแล้ว ออกมาแสดง Sovereign Power คนไทยขาดความรู้ว่า ประชาธิปไตย คืออะไร ความเป็นชปต. คือคนออกมาแสดงตัว รวมเป็นคะแนนเสียง ประชาชน ๑ คน ๑ เสียง ๕ คน ๕ เสียง ล้านคนล้านเสียง เอาคนจริงใจ ที่ควรต้องมาช่วย อยากรู้สำนึก อันนี้ ของคนไทย คนไทยเดือดร้อนกัน จริงไหม ถ้ารู้ว่าความเดือดร้อน เกิดจากผู้บริหาร หรือข้าราชการ ที่ใช้อำนาจเกินขอบเขต นิติรัฐ นิติธรรม ถ้าออกมาไม่มาก ก็ไม่เป็น Phenomena ต้องช่วยกันออกมา งานนี้เป็นงาน กองทัพธรรม ร่วมกับ กองทัพประชาชน ไม่ได้มีเจตนาร้าย เราทำด้วย สัปปุริสธรรม และมหาปเทส ๔ ผู้ใดจะร่วมกันใช้อำนาจ ก็มาร่วมกัน จึงเกิดมวลประชาชน ที่จะเกิดประชาธิปไตย เป็นปรากฏการณ์ ที่แท้จริง เชื่อว่าคนไทย จะทำได้ ไม่ใช่อเวไนยสัตว์ เราจะรอท่านมา เราไม่ไปไหน จนกว่าจะสุดทาง เมื่อยล่ะ จะเป็นจะตายล่ะ เราก็จะกลับ ไม่ใช่ออกมาทำงาน แล้วไม่สำเร็จ ก็เสียเหลี่ยม เราไม่มีอัตตาตัวนั้น จะชนะก็ไม่เป็นไร ขอให้ได้ทำงาน ที่ควรทำอย่างยิ่ง เกิดเป็นคน ต้องทำงานการเมือง ผู้ไม่ทำงานการเมือง คือเดรัจฉาน เพราะเดรัจฉาน ไม่รู้ว่า อะไรควรทำ แต่คนหรือมนุษย์นี่ชื่อว่า ผู้มีใจสูง ศึกษาจนรู้ว่า คนต้องทำงานการเมือง ระบอบไหน ก็ต้องทำงานการเมือง ไม่ว่าระบอบไหนก็ตาม สมบูรณาญาสิทธิราช ก็โค่นฮ่องเต้ได้ ด้วยวิธีโบราณ ฆ่าแกงประหารชีวิต แต่หน้าที่ ของประชาชน นี่คือ ทุกชนิด ไม่ว่าระบอบไหน ไม่ว่าคอมมิวนิสต์ หรือเผด็จการก็ได้ นักการเมือง คือประชาชน ที่จะต้องออกมาทำงาน สรุปอีกที ผู้เกิดมาเป็นคน แล้วไม่ทำงานการเมือง คือเดรัจฉาน คือเขาไม่รู้ว่า ตนต้องทำหน้าที่ จนรัฐธรรมนูญ ต้องกำหนดเลย ใน บุคคลมีหน้าที่ พิทักษ์ รักษาไว้ ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุช ส่วน ม.๗๑ บอกว่า บุคคลมีหน้าที่ ป้องกันประเทศ และ รักษา ผลประโยชน์ชาติ ตามกฎหมาย สรุปแล้ว ประชาชนมีหน้าที่ ต้องช่วยทำงานการเมือง แต่การศึกษา ทำให้คน ชังการเมือง ไม่รู้การเมือง สังคมก็เลวร้าย ทุกข์ทรมาน กันจนทุกวันนี้ การศึกษา ไม่ว่าทางโลก หรือทางธรรม ถ้าสอนไม่ให้เข้าใจ หรือสนใจการเมือง ไม่เห็นว่า การเมือง เป็นเรื่องสำคัญ ที่เราต้องอยู่ร่วม ไปจนตาย ไม่ว่าจะปกครอง ระบอบใดๆ ต้องรู้ว่า การเมือง เป็นเรื่องของทุกคน ขณะเทศน์ ฝนตกมา ไม่มากนัก พ่อครูบอกว่า... ฝนตกนี่ มาลองใจ เขย่าฉาก เล็กน้อย อุปสรรคเป็นการสร้างคน ไม่มีอุปสรรค คือเจริญไม่ได้ อะไรก็ฉลุยหมด ไม่มีเกิดกำลัง การเพิ่มอุปสรรค คือสิ่งที่สร้าง ความเจริญ จะมีคนมาแจก เสื้อกันฝนเอง อาตมา จะพาพวกเราชุมนุม ประกาศสัจธรรม ความดีแท้ ถ้ามี Error ก็อย่าได้ถือสา มันต้องมีแน่ ก็ต้องอภัยกันบ้าง มีสิ่งบกพร่อง ก็ต้องอภัยกันบ้าง จะหาความสะอาด ๑๐๐% ในหมู่คนมาก ไม่ได้หรอก เราต้องรู้สัจจะ ความจริงนี้ ที่ทุกข์นั้นคือ คนตกอยู่ ในโลกธรรม จัดจ้าน หลงลาภยศ สรรเสริญโลกียสุข ทำอะไรน่าเกลียด ได้อย่างอำมหิต จริงๆ นี่คือคนสามัญ ที่อยู่ในโลกไม่สนใจการเมือง หรือสนใจการเมือง แล้วใช้ความได้เปรียบ ทางการเมือง สร้างอำนาจ แล้วเอาอำนาจ มาทำร้าย มนุษยชาติ อย่างที่เป็น ในเมืองไทย ทุกวันนี้ ถ้าไม่แก้ไข ไปไม่รอด แต่คนเป็นผู้มีใจสูง ต้องมีปัญญา ช่วยเกื้อกูลกัน สัตว์เดรัจฉาน ในหมู่กลุ่ม ของมัน มันก็ยังช่วยกัน ถ้าคนไม่ช่วยกัน ก็ต่ำกว่าเดรัจฉาน แล้วประเทศ เดือดร้อนขนาดนั้น ยังจะสร้างหนี้อีก วิธีการบริหารแบบนั้น มีแต่จะสร้างความเดือดร้อน ถ้าประชาชน ไม่ออกมา ช่วยกันในตอนนี้ ประเทศไทย ล่มจมแน่นอน อาตมา ยังไม่สิ้นความหวัง ต้องออกมา ช่วยกัน ลึกๆเชื่อมั่นว่า ไทยจะเป็นตัวอย่าง ของโลก ที่จะออกมาชุมนุม อย่างสวยงาม สันติ อหิงสา ตาม Neo protest ตั้งแต่เริ่มชุมนุมกัน ก็มั่นใจว่า ไทยจะเป็นไปได้ ถ้าเป็นได้เมื่อไหร่ ไทยจะเป็น มหาอำนาจ ทางธรรม ตามที่พระเจ้าอยู่หัว ได้มีพระราชดำรัส เรื่อง แบบคนจน หรือ ขาดทุนคือกำไร พระเจ้าอยู่หัว คือพระโพธิสัตว์ ท่านตรัสเรื่อง ขาดทุนคือกำไร และเรื่อง แบบคนจน ก็ภาคภูมิใจ ในอโศก ที่พึ่งตน และช่วยคนอื่น แม้มีน้อย แต่ถือว่าคือ Minority Right มั่นใจคำว่า Right นี่คือสิทธิมนุษยชน เป็นคนกลุ่มน้อย ที่ถูกต้องมีสิทธิ์ ตามรัฐธรรมนูญ ตามนิติรัฐ นิติธรรม ขอย้ำอีกว่า คนที่หลงลาภยศสรรเสริญ โลกียสุข และ โลภโมโมสัน คุณมีแต่กิเลสหนา ต้องมาเรียนรู้ความพอ ความเสียสละ เอาของตน ให้แก่คนอื่น ไม่ใช่เอาของคนอื่น มาเป็นของตน นั้นคือ เพิ่มกิเลสทุกอณู ที่เอามา เป็นของตน เกิดมาโมฆะบุรุษ เกิดมาตายเปล่า ไม่ได้ธรรมะ ที่มนุษย์ควรได้ คนอยู่อย่าง เอาเปรียบสังคม คือคนบาป คนไม่เอาเปรียบสังคม แล้วเสียสละแก่สังคม คือคนบุญ ยิ่งเสียสละมากเป็นบุญ บุญไม่ใช่ว่า มาเอา บุญเขาว่ากันว่า ให้ตั้งจิต อยากได้นิพพาน แต่นิพพานคือ สูญหมดเนื้อหมดตัว นิพพานคือ ของไม่มี ต้องปรารถนาความไม่มี แล้วมันจะได้อะไรมา มันหมดภาษาพูดแล้ว ไม่ต้องไปเถียง โดยภาษาพูด อยากได้นิพพาน คือ อยากได้ความไม่มี ไม่เอาไม่เป็น ได้มาก็ช่วยเหลือคนอื่น คือ อรหันต์ของ พระพุทธเจ้า ที่ไม่ลึกลับ ในความจริง ยืนยันว่า คนที่อยู่ในสังคม ก็หลงโลกธรรม เป็นพื้นฐาน ส่วนคนอีกชนิด คือคนไม่เอาอหนีโลกธรรม ไปเข้าป่าเขาถ้ำ นี่ก็เห็นแก่ตัว อีกแบบหนี่ง เหมือนกัน แล้วเรียกตัวเองว่า นักปฏิบัติธรรมด้วยนะ แต่ที่จริง ไม่ได้เห็นแก่ใครๆ เอาแต่เองตนเอง อยู่กับตัวเอง จะสัมพันธ์กับคนอื่นบ้าง ก็คนที่ตนรัก ตนอาศัย เห็นแก่ครอบครัว หมู่กลุ่มของตน เท่านั้น แม้ไม่รบกวนคนอื่น ก็คือ เห็นแก่ตัวอยู่ดี เป็นคนเห็นแก่ตัว ในวงแคบ ก็ยังดีกว่า ไปแย่งชิงสังคม เท่านั้นเอง คนพวกนี้ จึงน่าเคารพกว่า คนเป็นพระป่า ไม่หมดอัตตาหรอก เขาไม่ได้เรียนรู้อัตตา ที่มีเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลายหรอก แบบนี้ในอินเดียมีมาก คนไทยก็มาหลง แบบนี้อีก เป็นคนเห็นแก่ตัว ชนิดหนึ่ง ไม่ใส่ใจสังคม ไม่เกี่ยวข้อง เสพสุขแต่ตัวเอง อยู่เงียบไม่ฟุ้งซ่าน จิตไม่ฟุ้งซ่าน หยุดคิดหยุดนิ่งเงียบ คนเหล่านี้นิยม อยู่ป่าเขาถ้ำ ไม่ชอบใช้ชีวิต กับสังคมส่วนรวม ปลีกแยกไปจาก สังคมส่วนรวม เอาแต่หมู่พวกตนเอง เพราะอยู่คนเดียวอยู่ยาก จึงไม่หมด ตัวกูของกู บำเพ็ญเป็นนักพรต ดีไม่ดี นึกว่าตน ได้นิพพาน แต่ได้นิพพานปลอม เป็นมิจฉานิพพาน ไม่ใช่นิพพานของ พระพุทธเจ้า นิพพาน ของพระพุทธเจ้า เป็น จักุขุมา ปรินิพพุโพติ มีจักขุ ญาณ ปัญญ วิชชา แสงสว่าง สรุป ยืนยันว่า พวกอยู่ในโลก แต่โลภโกรธหลง อยู่เต็มประตู หลงเสพสุข โลกธรรมมีมาก ส่วนพวก หนีเข้าป่าเขายึดทิฏฐิ พวกนั้นพูด ไม่เข้าหูหรอก ไม่ต้องหวัง แต่คนส่วนมาก อยูในโกลีย์ พูดรู้เรื่อง ศาสนาพุทธ ไม่ได้ส่งอรหันต์เข้าป่า ไปสอน คนในป่า คนหลงเข้าป่านั้นเสื่อม ตามพระพุทธเจ้าพูดใน อัมพัฏฐสูตร ไปตรวจดู พระพุทธเจ้า พยากรณ์ไว้ก่อนเลย ว่าคนยุคต่อไป จะไปหลง อาจารย์ในป่า ในป่ามีลิง ค่างเยอะ คนน้อย จะไปสอนทำไม คนน้อย ต้องสอนคนมาก ในเมืองนี้แหละ พระพุทธเจ้าเป็นฉลาด สอนคนในเมือง เราต้องพัฒนาให้ถูกต้อง คนต้องทำงาน การเมือง ถ้าเป็นมนุสโส ส่วนคนไม่ทำงานการเมือง คือคนในระดับ เดรัจฉาน ยืนยันว่าพูดถูก เพราะคุณอยู่ในสังคม ไปออกหนีสังคม ไม่ถูกต้อง แต่ก็ยังดีกว่า พวกแย่งชิง กับสังคมอีกนะ อย่างอินเดีย เขาจะอยู่นานกว่าจีน ประชากรจีน จะมีจำนวนลดลง จนมีน้อยกว่าอินเดีย ในอนาคต คนเราจะต้องพัฒนา ให้ถูกต้อง อย่าหลงผิดทาง ออกป่าเขาถ้ำ ไม่เอาการเมืองนี้ผิด ส่วนคนในเมือง ก็เป็นเดรัจฉาน อีกชนิดหนึ่ง แย่งชิง ทำร้ายมนุษยชาติ คนทั้งสองแบบ เข้าป่าหรืออยู่กรุง เราอยู่กรุง ต้องรู้ว่า เราอาศัยบ้านเมืองอยู่นะ ไม่ใช่เอาเปรียบ ทำร้ายบ้านเมือง ต้องมาทำตนเอง ให้ไม่เป็นหนี้ จึงพ้นทุกข์แท้จริง พึ่งตนเองให้รอด ขยัน มีสมรรถนะ ไม่มีงานที่อื่น ก็มาทำงาน กับอโศกได้ ให้ทำงานทำการ ให้เหลือกินเหลือใช้ มีเหลือ แจกจ่ายผู้อื่น ชาวอโศก จะเป็นเช่นนี้ ... ใครจะมาเป็นเช่นนี้บ้าง .... ยกมือเกือบหมด สรุปอีกที คนอยู่กับเมือง อยู่กับมวลมนุษย์ ไม่ใช้เสือสิงห์ ที่อยู่อย่างฝูงเล็กๆ มนุษย์ อยู่อย่างโขลงใหญ่ ต้องมีปัญญา อยู่อย่างไม่เบียดเบียนกัน และเกื้อกูลกัน อย่างฉลาด ช่วยให้พ้นทุกข์ ได้มากๆ ได้มีประโยชน์ ต่อผู้อื่นมากๆขึ้น นี่คือมนุษย์แท้ การเมืองคือ งานเพื่อบ้าน เพื่อเมือง พวกบ้าน พวกเมือง ไม่ใช่เพื่อ พวกกูของกู ผึ้งมันยังเข้าใจ ปลวกมันยังเข้าใจ แล้วคนนี่ จะเลวกว่าผึ้ง กว่าปลวก ได้อย่างไร เป็นเดรัจฉาน ก็เลว กว่าปลวกกว่าผึ้ง เรามาชุมนุมนี้ ตั้งอกตั้งใจ ทำงานการเมือง ตั้งใจเอาธรรมะ เข้าไปสู่การเมือง ตนต่างชาติ ยังมาร่วมชุมนุมเลย คนไทยต้องเข้าใจ สละเวลามาบ้าง ถ้าได้มารวมตัวกัน เป็นล้านคนสิ มาดูว่า อำนาจอธิปไตย ของประชาชน เป็นล้านคน จะมีธรรมฤทธิ์อย่างไร ออกมาอย่างจริงใจ ตอนนี้ได้ข่าวว่า ตำรวจกำลังกระชับพื้นที่ มาเรื่อยๆ เราไม่ต้อง ไปด่าตำรวจ ให้เขาทำปรากฎการณ์ว่า เขาทำผิดกฎหมาย เขาอำนวยความสะดวก หรือทำลาย ความสะดวก ช่วยประชาชนหรือ ช่วยอำนาจที่ตนถูกสั่งการ เป็นสัจจะ เราไม่จำเป็นต้องไปด่าทอ แต่ก็เห็นใจ คนที่ทนไม่ไหว ก็ต้องทำ และเห็นใจ ตำรวจผู้น้อย ที่ต้องทำตามหน้าที่ ส่วนคนเลวร้าย ก็เป็นบาปของเขา เราทำสุดที่ ที่เราจะทำได้ ส่วนใครทำชั่ว ก็เป็นกรรมของเขา อยากรู้ว่าประเทศไทย ความถูกต้อง ดีงาม จะชนะความชั่วร้ายได้ไหม เราต้องเอา ความดีงาม ชนะความชั่ว เอาความถูก ต้องดีงาม ชนะความผิดให้ได้ ถ้าเราแพ้ เราก็กลับ ไม่มีเสียหน้า เราได้ทำงาน เพื่อมนุษยชาติแล้ว ใครจะมารวมกับอาตมา ก็มา.... จบ |
||
|