|
||
พวกเราก็เหมือนกับ ไปสอบไล่มา ก็ดูเหมือนหลายๆอย่าง ในสนามสอบ ก็ยังไม่สามารถ เฉลยได้ว่า ได้คะแนน มากหรือน้อย สอบได้หรือตกอย่างไร และยังมี ประเด็นค้างใจ ของนักรบ ที่ไปสู้ แล้วสุดท้ายต้องถอยร่น กลับมาที่สวนลุมฯ เหมือนแพ้ แต่พ่อครู ก็ยืนยันว่า เราไม่ได้แพ้ ซึ่งในสนามรบ ไม่สามารถมีเวลาอธิบายได้ ดูรูปแล้วเหมือนแพ้ แต่ความจริงแล้ว เป็นอย่างไร ขอนิมนต์พ่อครู อธิบายครับ พ่อครูว่า... จะให้อธิบาย ก็คงต้องอธิบาย เพราะชีวิตนี้ อาตมามีแต่แพ้ และแพ้ตลอด แม้แพ้ แต่ก็ทำให้ได้บันทึกไว้ เป็นหลักฐานเลย เป็นสิ่งเกินคิดเลย แล้วก็ทำ ให้ได้รู้ว่า ทำไม ต้องแต่งเพลง ผู้แพ้ และไม่คิด จะแต่งเพลง ผู้ชนะอีกเลย เพลงผู้แพ้ แต่งมาตั้งแต่ปี ๒๔๙๗ คือแต่งมา ๕๙ ปีแล้ว ก็ตอนนั้นพอดี อาตมา อายุ ๒๐ ปีพอดี เรื่องนี้เป็นเรื่องลึกซึ้ง แม้อาตมาก็ทำไม ต้องแต่งเพลงผู้แพ้ และก็แพ้ มาตลอด แต่แพ้นี้ ก็ไม่ได้ทำให้อาตมา รู้สึกแพ้หรือท้อ อาตมาเข้าใจคำว่า แพ้หรือชนะ ที่เป็น สมมุติสัจจะในโลก คือการมีมานะ อัตตาตัวตน เป็นกิเลส ชนิดหนึ่ง ผู้ใดที่ต้องการ ชนะเขา ก็แสดงความจริงว่า คุณกำลังต้องการ ความเป็นใหญ่ คุณกำลังสร้างอัตตา ให้ตัวเอง เป็นกิเลส พันเปอร์เซนต์ เป็นอาการจิต เดี๋ยวนี้มี ผู้ปลุกเร้ากัน มากมาย ในเรื่องของ เกมกีฬา มันเป็นลักษณะ ที่ยิ่งใหญ่ในคนเลว แต่ยิ่งแย่ ในภาษาสัจธรรม ที่มาปลุกเร้า ให้คนเอาชนะ คะคานกัน หรือแม้กระทั่ง ฆ่าผัวมันเสีย เอาเมียมันมา จิตใจแบบนี้ เลวร้ายจริงๆ ก็เห็นใจ คนมีกิเลส ในฐานะที่ทำงาน โพธิสัตว์มา อาตมาก็เทศน์เสมอว่า เรามา ชุมนุมประท้วง ภาษาโลกว่า เราต้องการชัยชนะ มีเป้าหมาย มีมโนสัญเจตนาคือมี แต่จะได้หรือไม่ ทุกวินาที คืออนิจจัง จงเข้าใจว่า ทุกอย่างเป็น อภิมหาอนิจจัง มันยอด อนิจจังเลย ยิ่งทุกวันนี้ เป็นยุคแห่งความเร็ว ของข้อมูลใหม่ เป็นตัวแปร ที่คิดไม่ถึงเลย เปลี่ยนแปรได้ ทุกเสี้ยว แห่งวินาที แบ่งเป็นร้อยส่วน พันส่วน ของวินาทีเลย เราจึงไม่มีปัญหา ในเรื่องชนะหรือแพ้ ในสมมุติสัจจะ คือที่เขาถือใช้กัน ในวงการ มนุษยโลก อาตมาก็เข้าใจอย่างเขา แต่ว่าอาตมา ดูรายละเอียด ลึกซึ้งลงไป ในปรมัตถสัจจะ ที่ไปทำงานไม่กี่วัน ข้างทำเนียบ กับพวกเรา เราได้ปรมัตถสัจจะหลายเลย อาตมา เห็นพวกเรา ในวันนี้ ที่เทศน์ตีห้า ของวันนี้ ถึง ๘ โมงกว่า ก็ ๓ ชม. พวกเรา นั่งฟังธรรม รับปรมัตถสัจจะ แท้ๆเลย อาการที่ฟังธรรม ก็ประเมินผลว่า อาตมาประสพ ผลสำเร็จ ตอบอาตมา ได้ไหมว่า เมื่อเช้านี้ คุณตั้งใจฟังจริงๆ... มียกมือน้อย เพราะส่วนใหญ่ ไม่ได้ไปที่ ข้างทำเนียบฯ แต่ก็เห็นว่า นั่งไม่กระดุกกระดิก เท่าไหร่ อาจมีเหตุปัจจัย อื่นๆอีกนะ ที่ทำให้ต้องฟังนิ่ง แต่ว่าเทศน์ปรมัตถ์ ระดับนั้น ในหมู่กลุ่ม บริษัทขนาดนั้น ที่วัดตาม ศรัทธา ๑๐ ก็เห็นจริงว่า พุทธบริษัทใหญ่ขึ้นๆ และคนที่แสดง หมู่กลุ่มของบริษัท ใหญ่ขึ้น ถ้าไม่มี ภูมิธรรมแท้ ไปแสดงต่อ หมู่ใหญ่ขึ้น จะเกิดปฏิกิริยา หวั่นไหว แต่อาตมาว่า อาตมา ไม่มีปัญหา แต่เป็นการแสดง ในหมู่กลุ่มใหม่ จำนวนอาจถึง จำนวนพัน และก็หมู่นี้ เขาก็ทรมาน ข้าวก็ไม่ให้กิน ที่ขี้ก็ไม่ให้เอาเข้า ซึ่งมันเป็น การทำผิดมาก เพราะคนติดคุก เขาก็ยังต้อง ให้กินข้าวเลย นี่ก็คือประเด็น ที่เขาแพ้แล้ว แต่ในประเด็นที่จะพูด จะไปทางจิตวิญญาณ ทำไมแพ้คือชนะ และชนะคือแพ้ ถ้าใครเคยได้ยินว่า แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร นั่นคือสัจจะ ที่หมายความเลยว่า ผู้ยังมีการเอาชนะ คะคานผู้อื่น ยังมีกิเลสอยู่ ก็ยังไม่พ้นผีพ้นมาร ผู้ไม่มีกิเลส นั่นแหละ คือผู้ชนะแท้ หรือพระแท้ เราแข่งตรงนี้ ถ้าจะแข่งตนเอง ก็แข่งตนเอง ส่วนข้างนอก เป็นเหตุปัจจัย ต่างๆนานา ที่เราจะใช้สมมุติสัจจะ ในการประเมิน ซึ่งเราแพ้ ก็แพ้ชะตาทราม ดวงใจทรงความมั่นคง จะให้ชัด คือ มันต้อง เป็นอย่างนั้น คือ Born to be สิ่งเหล่านี้ เป็นเรื่องยาก ที่จะอธิบาย ยากที่จะสมมุติ เพราะเป็นเรื่องปรมัตถ์ (ความจริงที่ยิ่งใหญ่) ส่วนสมมุติสัจจะ คือคนส่วนใหญ่ รู้กันได้ทั่วไป แต่ปรมัตถสัจจะ นั้นคนจะรู้ได้ ต้องมีภูมิธรรม อย่างการชุมนุมวันนี้ ทำไมเลิกล้ม บางคน แสดงอาการ ไม่ได้ดั่งใจ ออกมา เราก็เห็นใจจริงๆ มันเป็น ปรมัตถสัจจะ ในใจเขา เราไม่ลงโทษเขาเลย สงสารเขา เขาไม่เข้าใจ ก็เหมือนเด็กน้อย ที่ไม่ได้ดั่งใจ เป็นเด็กค่อนข้างดื้อด้วย เขายึดว่า สิ่งที่เขาทำนี้ดี ถูกต้องแล้ว แต่การตัดสินพฤติกรรม ในการถอยนี้ มันขัดแย้งกับเขา ที่เขาว่า ถอยไม่ได้ เราก็เข้าใจ ปรมัตถสัจจะ การแพ้หรือชนะ ในเชิงปรมัตถสัจจะ หรือสมมุติสัจจะ มองว่า สัจจะความจริงนี้ ช่างสวยงาม มันเลี่ยงเจ้าล่อเอาเถิด ในการที่จะคุยกัน เลี่ยงไป เลี่ยงมา จนสุดท้าย พล.ต.อ.ประชา ไม่กล้าเผชิญหน้า ต้องให้หนังหน้าไฟ มาแทน นี่คือ ความชนะ ทางปรมัตถสัจจะ แต่รายละเอียด ผู้ที่ยังดิ้น เหมือนเด็ก เขาก็ยังไม่รู้ หรือแม้รู้ ก็ไม่เข้าใจ เหมือนเขา ไม่เดียงสา เขาไม่เห็น รายละเอียด ในสิ่งที่ เราปฏิบัติ ก็มาจาก ต่างจังหวัด หอบเสื้อผ้ามา อยากได้น้ำใจ อย่างนี้จริงๆ เขาก็ให้มา แล้วก็อนุโมทนา ก็ไปชุมนุมที่ อุรุพงษ์นะ ทนายนกเขา ก็พยายาม ไม่ทำให้ผิดกฎหมาย เหตุปัจจัย สร้างขึ้นทั้งนั้น เรารับปากเขามาว่า เราจะถอย แต่เขาชุมนุมที่นั้น ก็มีสิทธิ์ เราจะพูด สนับสนุน เราก็ไม่ผิด เราเห็นด้วย กับประชาชน ที่มีความเห็นอย่างเรา เรายังไม่หยุด ความมุ่งมั่น แต่เรา มียุทธการ วิธีรบ ที่ควรทำ มันต้องมี ทีถอยทีรุก มีทีสงบ มีทีต้องส่งเสียง ต้องมีหลาย กระบวนท่า อันนี้เรื่องจริง ที่เราเอง เราได้ประโยชน์ ที่ถือว่าชนะ คือ เราได้มีเหตุการณ์ ประสพการณ์ แท้จริง เหตุการณ์ที่เราได้ร่วมทำ อย่างเหนื่อยยาก สิ่งเหล่านี้ หล่อหลอม ความเจริญ ของพวกเรา ขึ้นมา อย่างสำคัญ ที่พวกเรา ไปปฏิบัติ การชุมนุม การชุมนุมของเรา ต่างจาก คณะอื่น ยกตัวอย่าง ของนปช. หรือของพรรคปชป. มีนัยต่างจาก ที่เราชุมนุม อย่างลึกซึ้งมาก เอาประเด็นง่ายๆ อย่างนปช.ขออภัยที่ต้องพูด ไม่ได้มายกดี ข่มผู้อื่น เอาง่ายๆ ว่าการชุมนุม ของนปช. คือม็อบ แต่ของเรานี่ ไม่ใช่ม็อบ ขอร้องว่า อย่าเรียกเราว่าม็อบ ไม่ใช่กลุ่มชน ที่ก่อความวุ่นวาย เราไม่ใช่ เราเป็นการชุมนุม ที่เจตนาทำ ให้ได้ดี เจริญที่สุด และเจริญก้าวหน้า มากขึ้นเรื่อยๆ การชุมนุมครั้งนี้ มีพัฒนาการมากกว่า การชุมนุมของ เสธ.อ้าย มากเลย มองให้ออกว่า อะไรเจริญ ก้าวหน้ากว่ากัน เจริญอย่างไร? ยกตัวอย่าง เสธ.อ้าย พวกตำรวจ เลวร้าย หยาบคาย จัดจ้าน ปฏิบัติการรวกเร็ว แต่คราวนี้ เขาไม่กล้า แต่เขาเพิ่มตำรวจ มามากกว่า คราวเสธ.อ้าย มากเลย ถ้ายังมีอีก เขาก็เติมมาอีก ประชาชนเรา มีเท่าไหร ตำรวจแค่หมื่น ก็พอแล้ว อย่างนี้เจตนา มาผลาญงบฯนะ และมีคนเห็นว่า เขามีผ้าพันคอสี ที่บ่งว่า หน่วยนี้เป็นแบบโหด เขาจะใช้ เขาลงทุน จ่ายค่าเบี้ยเลี้ยงแล้ว เรารักษาชีวิตคนดี คนดีแค่ ๑ คน ก็มากกว่าคนเลว ร้อยคน พันคน กว่าจะได้ คนดีมานะ กว่าจะได้ อย่างพวกคุณมา แต่ละคน อาตมาตายไป วินาทีนี้ ก็คุ้มแล้ว และคุณก็ได้สิ่งประเสริฐนั้นแล้ว อาตมาว่า เกิดมาไม่เสียชาติเกิดแล้ว ที่ทำให้พวกคุณ ได้เข้าใจสัจธรรม ใครจะว่าหลงตัว ก็ไม่เป็นไร เสนอแนะมาได้ ก็รับฟัง เป็นเรื่องคุณค่า อาตมารู้สึกว่า ได้ดิบได้ดี เพราะคำติเตียน เคยอ่านเพลงอาริยะ หมายเลข ๙ ให้ฟังแล้ว . เพลงอริยะหมายเลข ๑๐ ถ้าเราชุมนุมต่อ พวกอุรุพงษ์ ก็ชุมนุมต่อ แล้วจะมีกลุ่ม ที่กำลังมาสมทบอีก จะเป็น หมู่ใหญ่ ส่วนตำรวจนี้ ที่เขาเคลื่อนตัว มารอบๆทำเนียบ เขาเคลื่อนขบวนมาได้ อย่างรวดเร็ว เขาจะล้อม อย่างล้อมพวกเรา ก็ทำได้ แต่เขาไม่ทำ แต่ก็ตั้งข้อสังเกตว่า เขาจะมองกลุ่มนี้ ที่ชุมนุม กับกลุ่มของเรา มีน้ำหนักอย่างไร เขาจะปฏิบัติ กับสองกลุ่มนี้ อย่างไร อันนี้ก็ต้องอ่านรู้ ต้องรู้ความสำคัญ ของสองกลุ่มนี้ ถ้าเขาไม่ได้ปฏิบัติ ต่อกลุ่มนี้ เหมือนเรา เราก็มีความสำคัญ มากกว่ากลุ่มนี้ กลุ่มนี้อาจมีจำนวน มากกว่ากลุ่มเรา เพราะเป็นผล ที่เราทำมา กลุ่มนี้ก็ถือว่า เป็น Accident Good luck และก็พูดได้เลยว่า ประชาชนมามาก เป็นสิ่งบ่งบอกว่า เป็นดัชนีวัดค่า ประชาชนได้ เราสนับสนุน กลุ่มที่ เขาชุมนุมนี้ ผู้ไม่ผิดกฎหมาย เราสนับสนุน นี่คือประชาธิปไตย คือการออกมา ชุมนุม ประท้วง ตามสิทธิ ที่รัฐธรรมนูญกำหนด ถ้าเขาทำเช่นนั้น เราสนับสนุน ๑๐๐ % เต็ม แล้วและจิตใจ ของผู้ที่ยังค้าง เขาก็จะได้คลาย ได้ทำสิ่งที่มุ่งมั่น ก็ดีแล้วล่ะ ประชาชน ชาวไทยเอ้ย เหตุปัจจัยมันเกิด ที่ชัดเจน ก็พูดสู่ฟัง ประเด็นอย่างนี้ ก็มีความชนะ มาเรื่อยๆ ของประชาชน ที่มีการพัฒนาการ บูรณาการของ ประชาธิปไตย เป็นความเจริญของ ประชาธิปไตย แท้จริง ถ้าสมมุติ กลุ่มที่ชุมนุมนี้ เกิดมีถึงแสนคน อาตมาจะให้คะแนน ความชนะเพิ่ม ในประชาชนไทย มีคะแนนประชาธิปไตย ก้าวหน้าเลย ปิดถนนเลย อย่าเข้าในเขต ที่เขาประกาศ พรบ.มั่นคงฯ ทนายนกเขา ก็ทำ มีอุดมการณ์ เหมือนเราเลย ก็ขอให้ ประสพ ผลสำเร็จเถิด ถ้าทำสำเร็จ เราไม่ริสยาเลย นั่นคือ ความสำเร็จ ของประชาชน ที่เราทำนี้ มันเนื้อหา เดียวกันเลยนะ เหตุการณ์มันน่าดูกว่า ไปดูละคร น้ำเน่า นี่ยิ่งกว่าละคร สร้างไม่ได้ง่ายๆ หรอก ยังพูดอีกเลยว่า ที่จะเห็นพฤติกรรม ของตำรวจที่ว่า คนติดคุก เขายังให้อาหารกิน แต่นี่คน ไปทำงาน ปรารถนาดี เรายืนยันว่า เราไม่ผิด เขาก็จะไม่ให้กิน ไม่ให้ขี้ ไม่ให้เยี่ยว เราก็พยายาม ที่สุดเลย หนังก็สร้าง ไม่ได้จริงเท่านี้ การส่งข้าวของ เราก็เอา ข้ามท่อประปา ที่มีลวดหนาม ต้องขึ้นไป รับอาหารหม้อเบอร์ ๕๐ เป็นการทรมาน ทรกรรม ไม่ไหว ก็เอามาทางน้ำ ใช้แพหรือพยุงมา ทางน้ำ อาตมาว่า นักเขียนบทหนัง ที่จะคิดมา จะทำได้รายละเอียด ขนาดนี้ไหมหนอ แล้วตำรวจก็เฉย อาตมาเห็นว่า มีทั้งมุมอมหิต และมุมเมตตา มุมอมหิต คือ ผู้สั่งการ อาตมาว่า อาจมีตำรวจบางคน น้ำตาตกใน หรือตกนอก ก็ไม่รู้ อาตมาว่า มีพวกเราหลายคน ร้องไห้กัน ไม่รู้กี่คน มันสมเพท เวทนา สิ่งที่เกิดนี้นะ คนมีปัญญา จะรู้สิ่งเหล่านี้ มันมีทั้งอำมหิต และเมตตาในนั้น สิ่งเหล่านี้ เป็นเรื่อง มนุษยชาติ รู้เรื่องจิตโกรธ โลภ หลง เราต้องมาเรียนรู้ แล้วล้างมันออก จากจิตให้ได้ สิ่งนี้ชนะทุกอย่าง ในมหาจักรวาลนี้ คุณจะเกิด ไปอีกกี่ชาติ ก็ขอให้อย่าลืม ต้องศึกษา ให้จิตเรา มีธรรมะให้ได้ มันจะช่วยทั้งตน ทั้งสังคม ไม่อย่างนั้น จะตกนรก ขึ้นสวรรค์ลวง ไปตลอดกาล นี่คือทฤษฏี ยิ่งใหญ่ที่สุด ในมหาจักรวาล ที่พระพุทธเจ้า ค้นพบ ไม่มีสูตรไหน ยิ่งใหญ่กว่านี้ แม้แต่ E=mc2 ของไอสไตน์ ก็ไม่เทียบของ พระพุทธเจ้า มันเป็นสุขประเสริฐ ไม่นับกาละเวลา เป็นความสำเร็จของ จิตวิญญาณของคน แน่นอน ไม่เปลี่ยนแปลง นิรันดร เป็นสัจธรรม ที่มนุษย์ต้องได้ โสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ หรือเลยกว่านั้น เป็นส่วนผสม ทั้งเถรวาท และโพธิสัตว์ อรหันต์ทุกคน มีประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ทุกคน ใครจะจบกิจ ก็แล้วแต่ แต่อรหันต์ทุกคน จบกิจตน ล้างกิเลสตน หมดแล้ว คือ หมดประโยชน์ตน มีแต่ประโยชน์ท่าน อย่างเดียว แต่ในขณะ เราปฏิบัติธรรม เราก็มีประโยชน์ สองอย่างเสมอ เราให้ทาน คนอื่น ก็ได้จากเรา เราเรียนรู้ปรมัตถ์ เราก็ลดกิเลสได้ ทำโยนิโสมนสิการ ให้จิตเราลดกิเลสจริง เขาก็ได้ประโยชน์ เรียกว่า อุพยถะ เป็นเหมือนเหรียญ สองด้าน เมื่อหมดประโยชน์ตน ก็จบกิจ ก็สร้างประโยชน์ แก่มนุษยชาติ ไปตลอด ถ้าเป็นอรหันต์แล้ว จะต่อภพภูมิ คนนี้ก็สร้างประโยชน์ แก่โลกตลอด เรียกว่า โพธิสัตว์ อย่างพระอวโลกิเตศวร มีปณิธาน ยิ่งใหญ่ คือจะช่วยคน ให้ปรินิพพาน ให้หมดโลก ท่านจึงจะปรินิพพาน เป็นคนสุดท้าย อัตตภาพนี้ต้องทำ ตั้งแต่จิตนิยาม พัฒนาตั้งแต่ สัตว์เซลล์เดียว พัฒนาจนมาเป็นคน จนเป็นพระพุทธเจ้า เมื่อเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ก็จะปรินิพพานทุกพระองค์ ไม่มีใคร จะเป็น พระพุทธเจ้า สองสมัย มีแต่คนมีกิเลส แล้วก็คิดเองว่า ของดีทำไมหยุด ก็ทำต่อไปสิ เป็นการเดา ท่านเหน็ดเหนื่อยๆ มาไม่รู้ กี่ล้านๆๆๆๆ ชาติ ชีวิตนี้ สั้นนิดเดียว ยุคนี้อายุแค่ ๑๐๐ ปี ในหนึ่งกัปป์ แต่ยุคอื่น คนมีชีวิต เป็นหมื่นปี ก็มีในหนึ่งกัปป์ เป็นเรื่องอจินไตย ชีวิตนั้นสั้นนัก แม้อายุ ๘ หมื่นปี ก็ไม่ได้ยาวเลย ในตามอัตรา การวัดเวลา ของโลก ยิ่งตอนนี้อายุไม่ถึง ๑๐๐ ปี ก็สั้นมากเลย ใครจะพยายาม ให้อยู่เกินร้อย อย่างอาตมาบ้าง ก็ต้องทำให้ดีนะ ไม่ดีไม่ถึงนะ และชาวอโศกนี่ จะเป็นคนตระกูล อายุยืนยาว เป็นตระกูล ทางวิญญาณนะ ในอนาคต ตอนนี้มีวิบากเก่าบ้าง แต่ถ้าพัฒนาขึ้นก็ได้ อายุยาวขึ้นได้ เพราะจิตวิญญาณ ไม่หาพิษใส่ตัว ไม่มีมลพิษ ทางจิตวิญญาณ คือกิเลส เป็นมลพิษร้าย ให้อายุสั้น ยกตัวอย่าง คนชอบตีรันฟันแทง นักเลงหัวไม้ เดี๋ยวอายุก็สั้น ใช่ไหม เกิดจาก จิตวิญญาณ เท่านั้น ในชีวิตนี้ อาตมาเคยยิงปืน ตอนเป็นนักศึกษา รักษาดินแดน ไปกด ไม่กี่ลูก มันดัน มันถีบ ไม่สนุกเลย ส่วนปืนสั้น ไม่เคยจับเลย จับแต่ปืนเด็กเล่น เห็นแต่ไม่แตะ ขอบอกเลยว่า คนที่ซื้อปืนไว้สำหรับป้องกันตัว คือคนโง่ เขาซื้อมา ป้องกันตัว เพื่อยิงศัตรูหรือโจร เขาซื้อไปส่วนมาก จะไปยิงตัวตาย หรือยิงคน ในครอบครัว มิตรสหาย ตายมากกว่า เจตนาบ้าง ไม่เจตนาบ้าง โกรธจัด ก็ยิงตัวเอง ทั้งที่ซื้อมา ไม่ได้เจตนา ทำอย่างนั้น บางทียิงคน ที่ตนเองรักด้วย คนที่ซื้อปืนมา เพื่อป้องกัน ตนเองนั้น โง่ ยิ่งไปหัดยิงปืน ยิ่งเก่ง ก็จะอยากไป ก่อเรื่องด้วย การชนะหรือแพ้นี้ เป็น ปฏินิสสัคคะ เป็นสัจจะย้อนสภาพ เป็นคัมภีราวะภาโส คือมีปัญญารอบ รู้ลึกซึ้ง เป็นสภาพ หมุนรอบเชิงซ้อน เรียกปฏินิสัคคะ คือรู้จักสวรรค์ มันสลับกลับมา ผู้ศึกษาสัจธรรม จะรู้จักภาวะนี้ แม้สวรรค์ ก็มีสองแบบ คือโลกีย์ กับโลกุตระ สุขเท็จคือสุขัลลิกะ คนโลกีย์อยู่ในสุขเท็จทั้งสิ้น คนปฏิบัติธรรม คือทำจิตให้เป็น เอกัคคตา คือเข้าสู่ฌาน ๑ ถึง ๔ คุณสมบัติของฌาน คือ เอกัคคตะ คือความเป็นหนึ่ง จะแปลว่า อย่างยอด อย่างเยี่ยม ก็ได้ เป็นความเป็นหนึ่งด้วย และก็ขยายด้วยอัคคะด้วย คือหนึ่งนี้ โดดเด่นเป็นยอด เลิศ เยี่ยม ยิ่งใหญ่ คือจิตที่เป็นหนึ่ง ไม่มีเพื่อนสอง ไม่ใช่แปลว่า ไปผู้เดียว อยู่ผู้เดียว แปลไปเป็น บุคคล ตัวตน เราเขา ทั้งๆที่เป็นเรื่อง ปรมัตถ์ ไม่เกี่ยวกับบุคคล ยกตัวอย่าง สัตตาวาส ข้อ ๒ คือ อัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทธา รูปานิ ปัสสติ เขาก็แปลว่า ไม่สำคัญ ไม่กำหนดหมาย ในอรูปในภายใน แล้วเอโก คำนี้แปลว่า คนผู้หนึ่ง ซึ่งแปลไม่รู้เรื่อง ควรแปลว่า ส่วนตน ภายในของตน กำหนดรู้ ของตน แม้อรูป ก็ต้องกำหนดรู้ด้วย ตั้งแต่รูปหยาบ ภายนอก ไปจนถึง อรูปภายใน ต้องกำหนดสัญญาให้เป็น จนถึง สัญญาเวทยิตนิโรธ ตัวฌาน ๑ ก็เริ่มเป็น เอกัคคตา แต่มีองค์ธรรม ๔ คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา ส.เดินดินว่า... งานนี้พูดถึงป้าย ที่ติดหน้ารถเวที ข้างทำเนียบ คนที่ติดป้าย เอาป้าย กองทัพธรรม ไปอยู่ข้างบน ที่จริงคนออกแบบนั้น ทำสองผืน เป็นกองทัพธรรม อันหนึ่ง อีกอันก็เป็น กปท. คนติดก็ติดไป แล้วจะไปเปลี่ยนกลางคัน ก็ไม่ดี ก็เลยต้อง ติดไปอย่างนั้น พ่อครูว่า พลังงานกิเลส คือพลังงานเลว ต้องใช้ไฟฌาน ในการเผากิเลส ฌานของ พระพุทธเจ้าทุกวันนี้ เขาปฏิบัติ มิจฉาฌานกันมาก ก็เข้าใจว่า ฌานคือ การนั่งหลับตา เข้าภวังค์ แล้วเอาแต่จิตตน เอกัคคตา นั้นพระพุทธเจ้าว่า ต้องเกิดจาก มรรค ๗ องค์ ก็คำเดียวกับฌาน ไม่ได้ไป นั่งหลับตาทำ แต่เกิดจาก มรรค ๗ องค์ ฌานเป็นอุตริมนุสธรรม เมื่อเข้าใจฌานผิด ก็สมาธิผิด เอาสงบแบบฤาษี เป็นความสงบ แต่คำว่า ปัสสัทธิ หรือสมถะ แปลว่าสงบ เขาทำผิด ของพระพุทธเจ้าหมด ส.เดินดินว่า... งานนี้ทำไม มีกองทัพธรรม แล้วไม่มี ประธานกองทัพธรรม... พ่อครูว่า... ตั้งแต่ตั้งมูลนิธิ กองทัพธรรมมา ก็มีประธานคนเดียว คือคุณจำลอง ขอลาออก หลายที สมาชิก ก็ไม่ให้ลาออก เวลาเซ็นธุรกรรม ของมูลนิธิ ก็ให้คุณจำลอง เซ็นทุกที กองทัพธรรมมูลนิธิ เป็นเจ้าของที่ดิน มิใช่น้อย เกิดกรณีที่ดิน ของบ้านราชฯ ต้องขึ้นศาล คุณจำลอง ก็ต้องไปขึ้นศาลด้วย เอาใจใส่ ก็ทำหน้าที่ประธาน แต่ยังไม่มา มันมีเหตุสำคัญ อันนี้มันเป็นเรื่อง มานะอัตตา ของคุณจำลองเอง อาตมาพูด ไม่เกรงใจ เรื่องอะไร เรื่องแพ้หรือชนะ อุดมการณ์ของพธม. คุณจำลองไปร่วม จะมีความคิด เช่นเดียวกับ พธม.หรือไม่ก็ตาม อุดมการณ์ของพธม. คือ ต้องชนะ ถ้าออกมาต้องชนะ ไม่ชนะไม่ออก นี่คือ มานะอัตตา แต่เราออกมา ไม่ได้เอาแพ้เอาชนะ เห็นใจคนใจร้อน อยากชนะ แบบโลกีย์ ซึ่งมันไม่เที่ยง เดี๋ยวเดียว จึงขอเสนอ การเมืองใหม่ Neopolitics ใหม่เพราะ ทั้งโลก ยังไม่มี เอาความสงบ สยบความรุนแรงได้ เห็นใจคนยังอยาก เอาชนะ ที่มาร่วมกับ อาตมานี่ ก็น้อยคน ก็ไม่แปลกใจ ที่คนจะว่า ทำไมทำไม จะต้องเอาชนะ ให้ได้ ก็เห็นใจเขา การพัฒนาการ ตอนชุมนุมเสธ.อ้าย เขาหยาบและแรง แต่ครั้งนี้ เขาหยาบลดลง ตามปัญญาเขา แต่ความอำมหิต แรงขึ้น ซับซ้อน ซ่อนเชิงมากขึ้น แต่คราวเสธ.อ้ายนั้น แรงและหยาบ ในการปราบปราม แต่คราวนี้อำมหิต คราวนี้ เรามีน้อยกว่า คราวเสธ. อ้ายเยอะ แต่ตำรวจ มีมากกว่า คราวเสธ.อ้าย เยอะเลย ในโลกในจักรวาล ทุกอย่างคือเหตุปัจจัย หรือรูปกับนาม เท่านั้นเอง เหมือนวิทยาศาสตร์ มีพลังงานกับสสาร พ่อครูว่า มีพลังงานทางจิตด้วย เรารู้ว่าแพ้ชนะ เป็นอย่างไร แต่เราไม่เอาอย่างนั้น แต่เป้าหมาย ที่จะชนะ เราต้องการไหม ก็ต้องการ แต่เราไม่บำเรอ ความต้องการ ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เราไม่ทำ อย่างโลก ที่ร่างโครงการแล้วมีสิ่งที่คาดว่า ต้องการจะได้ แต่ว่าพอทำไป ทำไม่ได้ ก็โมเมทำไป ฟ่ามๆหลวมๆทำ แต่มันเพี้ยน ซึ่งเขาคิดว่าสำเร็จ อาตมา จึงเป็นคน No planning No project ส.เดินดินว่า... พ่อครูคอยจังหวะที่ ถ้าเราชนะก็จะ พ่อครูว่า... เป็นการถืออีกแบบ เราไม่เกี่ยงว่า เราจะเตะหมู เข้าปากหมา อะไรเตะมา เราไม่อ้าปากรับ แต่คนที่อ้าปากรับ เรามีเป้าหมายว่า สิ่งที่เราจะเอาลง คือสิ่งเลวร้ายสุด พอเอาลงได้ ขั้นต่อไป จะมีใคร ปฏิบัติแบบเดิมอีก ก็ยืนยันว่า มันไม่เก่งไม่แรงเลวร้าย เท่าคนนี้หรอก ถ้าเรามีฝีมือ เอาคนนี้ลงได้ ถ้าใครจะมาเลียนแบบเรา อย่ากลัวเลย ชัดเจนว่า ไม่เป็นไร ใครจะมา คว้าพุงไป ก็ไม่ว่า ถ้ามีอีก เราก็ทำอีก ทำซัก ๓ ทีดูสิว่า จะมีใครกล้า ของเรายาวให้เป็น เย็นเรื่อยๆ เราไม่มีเรา ไม่มีเขา เราจะแยกกันเดิน ร่วมกันตีอย่างไร อย่างคอมมิวนิสต์ เขาว่า ก็เอามาใช้สอดคล้อง ขณะนี้ เราแพ้ฝ่ายแดง เพราะเขาใช้อันนี้เป็น แต่ฝ่ายเราสิ กัดกันตลอด เลยแพ้เขา ฝ่ายเราโดยสัจจะ มากกว่าเขา แน่นอน ก็เห็นรำไรว่า น่าจะรวมกันได้ แต่กิเลส อัตตามานะมี เมื่อไหร่หนอ พระพุทธเจ้า จะดลบันดาล ให้เขาระงับ ชั่วคราว มารวมกันก่อน ได้ไหม? มีประเด็นถามว่า... ธรรมย่อมรักษา ผู้ประพฤติธรรม แล้วผู้ที่รู้จักธรรมะ แล้วไม่ประพฤติธรรมล่ะ เป็นอย่างไร ตอบ... โจทย์นี้เอาคำสอน พระพุทธเจ้ามาใช้ ๑.ถ้าศรัทธาไม่พอ เขาไม่ทำ ๒.หรือถ้าทุกข์ไม่มาก มันก็ไม่ทำ มีปฏิภาณรู้ ดีไม่ดี เป็นดร. ทางธรรมะด้วย แต่หยำเป มีเมียมาก เป็นโรค แอลกอฮอลิซึ่มด้วย แม้รู้ธรรมะ แต่ไม่ประพฤติธรรม แม้ศรัทธาพอ ใช้ธรรม หากินด้วย แต่ตนเอง มีกิเลสมาก ก็ไม่ประพฤติธรรม ก็เรียนรู้แต่ตรรกะ แต่ศรัทธาไม่ถึง ความเชื่อมี ๓ ระดับ เชื่อถือ เชื่อฟัง เชื่อมั่น เชื่อฟัง คือคนปฏิบัติตาม คนนี้เริ่มปฏิบัติธรรม พอทำได้ผลมากขึ้น ก็เป็น เชื่อมั่น เป็นอัปปนา (แน่วแน่) พยัปปนา (แนบแน่น) เจตโส อภินิโรปนา (ปักใจมั่น).... จบ |
||
|