561014_รายการเรียนอิสระฯที่สวนลุมฯ สมณะโพธิรักษ์
เรื่อง การเมืองคือเรื่องของคนมีธรรม

    อ.กฤษฎาว่า วันนี้เป็นวันรำลึก เหตุการณ์ ๑๔ ตุลาฯ ซึ่งเหตุการณ์นี้ พ่อครูเคยไปเดิน บิณฑบาต ในตอนเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาฯ เรามีภาพให้ดูด้วย




    พ่อครูว่า.. รูปนี้คือรูปของคณะ พระชาวอโศก เดินบิณฑบาต ในวันที่ ๑๕ ตุลาคม ยังกระจองอแง ร้องห่มร้องไห้กัน ตอนแรก ออกไปก็ฝนตก ช่วยด้วยเจ้าข้า เดินออกจาก สี่แยกบางขุนพรหม เริ่ม หกโมงเช้า ตรงโค้งที่ว่า ไปธรรมศาสตร์ จากธรรมศาสตร์ อ้อมสนามหลวง กลับไปถึงผ่านฟ้า กว่าจะไปถึง บางขุนพรหม อีกทีก็ สี่โมงเช้า ค่อยไปถึง มีซากปรักหักพัง ไฟไหม้อยู่แล้ว กองบัญชาการ ตำรวจนครบาล ผ่านฟ้า สถานีตำรวจนางเลิ้ง โดนเผา เราก็ไป ก็ร้อนที่สุด ตอนนั้น เราเดินบิณฑบาต งามที่สุด พศ. ๒๕๑๖ พวกสมณะ พระพวกเรานี่ สุขุม เดินสวยที่สุด เดี๋ยวนี้เรื้อแล้ว แม้แต่อาการ บิณฑบาต เดินสงบ มันเป็นน้ำ ที่จะพรม หัวใจร้อนๆ ได้อย่างดีที่สุด มั่นใจว่า จะสร้าง อันนี้ให้จริงๆ เป็นนิมิตหมายว่า ทำไม เราต้องไปตรงนั้น ไม่ได้คิดว่า จะต้องไป อย่างนี้นะ ออกไปแล้วจึงประสพ ตอนนั้น ไม่ได้วุ่นวาย กับการเมือง เรายังอยู่ในรูของเรา ไม่เกี่ยวข้องกับ สังคมการเมือง เรายังไม่เคย คิดอ่านเลย ถึงวันนี้ มันคนละเรื่อง คนละ กาละเทศะเลย แต่มีนิมิตอันหนึ่ง เราทำให้เกิด ความสะดุดใจ จุดลงไป ในความรู้สึกว่า เป็นหน้าที่ ที่เราจะต้องช่วย (ขออภัยที่พูด เหมือนอวดตัวตนว่า มีอะไรไปช่วยเขา) ก็พูดด้วยจริงใจ เราจะมาช่วย มนุษยชาติ

    โดยหลักธรรม เรามีหน้าที่ ทำงานรื้อขนสัตว์ ช่วยยกฐานะ ของมนุษย์ ช่วยพัฒนา ยกฐานะ ให้พัฒนาขึ้นมา เป็นอาริยะ เป็นคนเจริญ เป็นความเจริญขึ้น อาริยะเป็น โลกุตรธรรม ที่แท้จริง ซึ่งเข้าใจยาก เห็นใจคนไม่เข้าใจ ก็ด่าทอมา เราก็รับฟังเขา เห็นใจเขาเหมือนกัน

    เพลโตเป็นปราชญ์ บอกว่า ปราชญ์ ที่ไม่สนใจเข้าไปมีส่วนร่วม ทางการเมือง จึงถูกลงโทษ ด้วยการมีผู้ปกครอง ที่โง่เง่ากว่าตน

    พ่อครูว่า... มันเป็นความจริง ไม่ใช่แค่ปรัชญา ชัดเจนมากเลย อย่างที่เห็นตำตา ตั้งแต่เกิด ตอนนั้น ปี ๒๕๒๖โดนคดีความ มีทนายอาสา มาว่าความให้ ๕๓ คน ยังมีอีก ที่แจ้งทีหลังอีก เราก็ตั้งคณะทนายความ ก็ต้องขอบคุณ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

    เรื่องที่เรามาทำงานขณะนี้ ก็ยังไม่เข้าใจกัน หลายอย่าง เป็นเรื่องซับซ้อน เช่น
    ในทางดูเหมือนว่าเรารุก และในทางอันหนึ่ง ดูเหมือนว่า เราก็มีแต่รับ แล้วจะรุก หรือจะรับ แล้วรับ จะรับไปทำไม คนเข้าใจว่า เราออกมาทำงานนี่ เรามารุก เพื่อเอาชนะ เพื่อจะล้ม อันนั้นอันนี้ ซึ่งต้องเป็นจริงด้วย ต้องพูดด้วย และพร้อมกันนั้น ก็พูดว่า เรามาทำ การศาสนา นี่คือทำการเมือง ก็ตรงกับพระพุทธเจ้า และคานธี

    ซึ่งคำว่าการเมืองใครก็ชัง แต่ที่จริงการเมือง ไม่ขาดจากทุกคน ถ้าไม่ยุ่งการเมือง การเมือง ก็มายุ่งกับคุณ เช่น กฎหมายออกมาว่า ต้องออกไปเลือกตั้ง ถ้าไม่ออกไป เลือกตั้ง ก็ผิดกฎหมาย อย่างน้อยก็ต้องไป เป็นการเมืองแท้ๆ

    สมมุติว่า เขาจะเคอร์ฟิว คุณก็ต้องทำตามเคอร์ฟิว ต้องปฏิบัติทุกคน ละเว้นได้ที่ไหน ประกาศภาวะฉุกเฉิน คุณละเมิดได้ที่ไหน

    ข้าราชการก็คือการเมือง พรรคที่ใหญ่ที่สุด คือพรรค ข้าราชการประจำ ทำไม เรียกว่า การเมือง ก็คือ ทำงานรับใช้ประชาชน โดยตรงเลย กินภาษีประชาชนจ้างไว้ แต่มันเพี้ยน ไปหมดเลย ไปเป็นนายประชาชน คนเป็นข้าราชการ ก็หลงผิด สังคมบิดเบี้ยว ไม่ตรงสัจธรรม ก็ล้มเหลว สัจธรรมไม่เกิด ไม่เจริญแน่ นักการเมือง ถ้าอ่อนน้อม ถ่อมตน ตั้งใจทำเพื่อ ประชาชนประเทศ ทำไมจะไม่ดี ทั้งข้าราชการ การเมือง และข้าราชการ ตำรวจนี่ก็ ข้าราชการประจำ

    พวกเรามาทำงานตรงนี้ สิ่งที่เป็นหลัก คือสื่อ ที่เรามาทำนี่คือสื่อ เรามาทำหน้าที่ สื่อแท้ๆ ตรงๆเลย ไม่ใช่ทำเป็นอาชีพหากิน มาช่วยเหลือสังคม มาช่วยเหลือ การเมืองด้วย ทำงานอย่าง ไม่อยู่ใต้อำนาจ ลาภยศ สรรเสริญ เราทำงาน อย่างรู้หน้าที่

    หมู่สื่อสารส่วนใหญ่ เขาไม่เฮโลกันไป เราก็ไปทำให้ อย่างที่เราออกชุมนุม เขามาเก็บภาพ แต่ไม่ออกสื่อให้ ไปถึงบก. ก็เก็บไว้หมด ทำให้สังคม เข้าใจผิดว่า พวกนี้ กระจอก ไม่เป็นคุณค่า แต่เราเองเข้าใจว่า มาทำนี่ (ไม่ได้พูดสร้างค่า ให้ตนเอง) เรามา ทำหน้าที่ แจกจ่าย กระจายความรู้ ข้อเท็จจริง มาสนับสนุน อย่างเอาจริงเอาจัง ในการเมือง การเมืองตอนนี้ กำลังล้มเหลว เราก็มาทำเรื่องนี้ มีผลกระทบต่อประเทศ อย่างมหาศาล จะปล่อยปละละเลย ไม่ดูดำดูดี ปล่อยให้เขา ปู้ยี้ปู้ยำไป ขนาดเรา ตะโกนออกไปว่า ต้องมาช่วยกันทำหน้าที่ ตามมาตรา ๗๐,๗๑ ก็ยังไม่แลเลย แต่เราไม่ท้อ เราไม่ขึ้น กับอามิส ไม่ขึ้นกับโลกีย์ เราดูดที่แก่นแท้สาระของมัน เหน็ดเหนื่อยเราไม่ว่า แพ้ชนะไม่ว่า เราทำให้เกิดคุณค่า เจริญต่อสังคม ทุกวันนี้พอใจ มีอัตราก้าวหน้า ของผลได้ พฤติกรรมของเรา

    ผู้นำทางจิตวิญญาณ ย่อมต้องมีบทบาท ทางการเมือง เพราะไม่หวัง ลาภยศ สรรเสริญ

    คนทำงานให้แก่บ้านเมือง อย่างไม่หลง ลาภยศสรรเสริญ ต้องเป็น อาริยบุคคล เราก็ไม่เห็น ต้องเป็นอะไร มันจะตาย หรืออยู่ไม่ได้ จะเสียหายก็ไม่นะ เขากล่าวถึง พวกเราว่าม็อบ เขาใช้ศัพท์เรียก พวกเราว่า “ม็อบตังค์ทอน” ในสังคมมีสองอย่าง คือ ม็อบตังค์ทอน กับ “ม็อบเติมเงิน”

    ม็อบเติมเงิน คือม็อบที่ได้เงินเต็มที่ แต่ม็อบตังค์ทอน คือได้เงิน ไม่เต็มที่ ทั้งที่เรา บอกว่า พวกเราไม่ใช่ม็อบ เราคือโพรเทส อย่างที่เราไป ข้างทำเนียบ ถ้าเป็นม็อบจริงๆ ก็ต้องวุ่นวาย รวนเรมากแล้ว แต่เราไม่ใช่อย่างนั้น เรียบร้อย จนเขาต้อง เอารถมาส่ง เรารู้สาระว่า เราทำอย่างไร ให้ถูกต้องหลักเกณฑ์ ไม่ใช้ม็อบ แต่เขาก็ใช้ภาษานี้ เรียกกันถัวๆ ไปหมดแล้ว เขาจะเรียกอย่างอื่น ก็คงยาก

    อ.กฤษฎาว่า โทรศัพท์ระบบเติมเงิน จะยืดเวลาหมดอายุ กับการใช้เงิน เป็นเจตนา บิดเบือน
    มีคนบอกว่า ทักษิณนี่มันโชคดีฉิบหายนะ ที่ใครจะมาโค่นมัน ก็จะมีอันทะเลาะกัน

    พ่อครูว่า... คุณรู้ไม่ครบนะ เพราะที่มาประท้วง โค่นทักษิณ ไม่ได้ทะเลาะกัน แต่มีความต่าง ทางความเห็น ภาพข้างนอก ดูเหมือนแยกกัน แต่เขาไม่ได้ทะเลาะกันนะ มันเป็นความร่วมกัน ในแนวลึก คุณเชื่อไหมว่า เรามีเป้าเดียวกันหมดเลย ถ้าทะเลาะกัน ก็ตีกันแล้ว แย่งอำนาจกัน แต่เรากินอาศัย ช่วยกันในที จะมีกิเลส ดูไม่กลมกลืน แต่ก็มีความขัดแย้ง อันพอเหมาะ เรียกว่าสามัคคี หลายคนบอกว่า สามัคคี คือ ไม่มีขัดแย้งกลมกลืน เหมือนกันเต็มร้อย ก็ฝันไป ขนาดพระพุทธเจ้า อยู่ทั้งองค์ ก็ยังทะเลาะกันเลย สงฆ์ไล่พระพุทธเจ้าเลย

    ขนาดพระอรหันต์ ก็ไม่เท่ากัน มีปัญญากับเจตนารมย์ ไม่เท่ากัน แต่ท่านไม่มี อกุศลนะ เขาว่าให้เรากลับไป คืนอยู่สวนลุมเสีย เขาหมายความว่า อย่างไรนะ

    เราเจตนาสร้างคน ให้เจริญ ให้ลดโลภโกรธหลง เสียสละเพิ่มขึ้น นี่คือเนื้อแท้ เจตนารมย์ ที่มีสูตรสำเร็จ ของพระพุทธเจ้าแท้ๆ เราก็ประเมินค่า ที่เราทำ แล้วได้ผล แค่ไหน ส่วนจะแพ้จะชนะ ก็โยนทิ้งเลย ไม่มีปัญหา มีแต่ปัญญาอย่างเดียว คนมีปัญหา คือคนไม่มีปัญญา

    อ.กฤษฎาว่า... เรื่องแพ้ชนะ เป็นเรื่องของกรรม เมื่อวาน เป็นวันตำรวจ เขาว่า เขาทำหน้าที่ เขาภูมิใจ เขามองว่า เราสร้างปัญหา แต่อีกด้านหนึ่งก็ว่า ทำหน้าที่นี้ มันใช่หรือ ที่ทำให้คนอดข้าว แล้วหน้าที่ ที่แท้จริง คืออย่างไร

    พ่อครูว่า... ซับซ้อนมาก แม้แต่ในกฎหมายก็มี ว่าให้ช่วยดูแลพิทักษ์ ผู้มาทำหน้าที่ เพื่อประชาธิปไตย ไม่ได้มากดขี่ทำร้าย ออกนอกกติกาเลย แต่เขาแสดงออก ไม่ถูกต้อง มารยาท และคุณธรรมสังคม ไม่เห็นมีเลย นั่นแหละคือกรรม ใครทำ ก็ได้อันนั้น ส่วนที่จะแพ้ชนะ เป็นเกมเรื่องโลกีย์ จะเอาชนะคะคาน ด้วยเล่ห์กล ลงมือลงไม้ ทำร้ายกัน

    เราไปอดทน เหน็ดเหนื่อย หนักหนา แต่มีความสุข หมดทุกข์ หมดรำคาญ ตำรวจ มาทำหน้าที่ มาพิทักษ์ รักษากฎ ก็ทำหน้าที่ ก็ควรยินดี กับหน้าที่ และควรมีจิตใจ เมตตา ช่วยเหลือจริง ไม่ใช่แค่ปากพูดว่า จะช่วยเหลือ แต่ฉลาดซับซ้อน หลอกพรางลวง เป็นเฉกา กรรมของใครทำ สิ่งเหล่านี้ ถ้าเราโกหก แล้วเราทำ ตามที่เราพูด เราโกหก แล้วเรา ก็ทำตามโกหก มันก็ค่าราคาบาป ระดับหนึ่ง แต่ถ้าพูดไปแล้ว กลับไปหลอกอีกว่า ฉันทำดี ฉันจริงใจ อย่างนี้บาป ซับซ้อนอีก ส่วนอำมหิตมาก ราคาบาป ก็มากขึ้นอีก ทำแล้ว จะบอกว่า ไม่ทำ ก็ไม่ได้ เป็นกรรมแล้ว
   
    อ.กฤษฎาว่า ไม่มีสัจจะในหมู่โจร ก็พิสูจน์แล้ววันนี้

    พ่อครูว่า มีเพลงอาริยะ เพลงหนึ่งว่า แม้คุณจะตาบอด หูหนวก คุณก็มีวิญญาณ ที่จะรับรู้ว่า อะไรเกิดขึ้น แล้วคนทำบาป ขนาดนี้ จะไม่รู้ได้อย่างไร

    พฤติกรรมหน้าที่ ของคน ที่ทำหน้าที่ในสังคม นักธุรกิจ ข้าราชการ จะเห็นได้ว่า หยาบมากเลย เอาเปรียบเอารัด ทุจริตโกง หยาบจัดจ้าน จนคุณดับ ทุกทวาร อย่างไร มันก็รู้ได้ เพราะมันหยาบ ร้อนแรงมาก หลบมันยัง มาถึงตัวเลย อยู่ในที่ลับ มันยังรู้ได้เลย

    ประเทศไทย รุนแรงมาก ตกต่ำมาก แต่หลายคน ไม่สะดุ้งสะเทือน เพราะคนไทย จำนวนหนึ่ง เป็นคน ใจไม่ร้ายพอ แม้คนจำนวนร้าย ขนาดไหน เขาก็ไม่ถือสา ให้อภัย ไม่โต้ตอบ การปะทะล้มล้าง จะไม่เหมือนประเทศอื่น ถ้าเหตุการณ์ อย่างไทยนี้ ประเทศอื่น นองเลือดไปแล้ว แต่คนไทยไม่เหมือน มีจิตดี

    มีการถ่วงไว้ ไม่ให้เกิดความรุนแรง อย่างประเทศอื่น มีความรุนแรงมาก อย่างหนึ่ง คือคน อย่างหนึ่งคือ ไทยเรายังอุดมสมบูรณ์ ที่จะไม่แย่ง ลำลากลำบน เดือดร้อน เหมือนประเทศอื่นเขา ในทรัพยากรนั้น อุดมสมบูรณ์ ยังมีอะไร ให้ขูดรีดอยู่ พวกเราก็ยัง ไม่เป็นคน ขี้เหนียว ขี้หวงแหนเกิน ของข้าใครอย่าแตะ ยังไม่ขนาดนั้น เป็นต้นทุน ของคนไทย

    อาตมา ทำงานมา ๔๐ ปี เห็นพฤติกรรม ของคนไทยอันนี้ เช่น ออกมาประท้วง ก็มีรายละเอียด ต่างๆนานา เราพัฒนาจาก การประท้วงก่อนๆ จนเป็นนักประท้วง มืออาชีพ ขึ้นมานะ ได้ข่าวว่าที่ อุรุพงษ์ เขาก็พยายาม จัดระบบ เหมือนที่เราทำนะ เช่น จัดการขยะ เป็นต้น

    อ.กฤษฎาว่า ผมไปร่วม เห็นผู้ชุมนุม เขารับประทานอาหาร เสร็จแล้ว ก็นำกล่อง ใส่ในถุงดำ

    พ่อครูว่า... การชุมนุมที่อุรุพงษ์​ เขาเอาความถูกต้อง เป็นที่ตั้ง ไม่เอาชนะคะคาน อย่างเดียว ฟังแล้ว ได้ฟังทนายนกเขา พูดแล้ว มันเป็นเรื่อง ที่ดีมากเลย มันเจริญขึ้น แม้การประท้วง ก็ไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตา เอาชนะคะคาน ตีรันฟันแทง แต่มีการพัฒนา เจริญขึ้น เราก็ยาวให้เป็นฯ มันจะยั่งยืน เข้าหาสาระแก่นสาร ทำแล้วมันเรียบร้อย

    มีคนหนึ่งบอกมา เขาเป็นตำรวจพธม. อายุ ๘๒ ว่า...ผมเข้าใจพ่อท่าน และคุณปรีชา ผมก็มาร่วม จะร่วมจนชีวิต จะหาไม่ด้วย

    มีคำถามหนึ่ง ถามมาว่า ท่านระลึกชาติได้ ชาติปางก่อน ท่านเป็นอะไรครับ

        ตอบ... อาตมาเอง อาตมาระลึกชาติ ไม่เหมือนอย่าง พวกคุณเข้าใจ ที่เข้าใจว่า ระลึกเป็นตัวตน ไปเกิดเป็นคนนี้ เป็นช้างเป็นม้า แต่เราไม่เอาอันนั้น เป็นสาระ เพราะอย่างนั้น ไม่มีหรอก หายไปแล้ว แต่เหลือคือ แก่นสารสาระ อย่างพระพุทธเจ้า ตรัสรู้ ในวันเพ็ญ เดือนหก ท่านก็ระลึกไปถึง ชาติที่เป็นตัวตน บุคคลเราเขาด้วย แต่สิ่งสำคัญกว่า คือเนื้อหาสาระ มากกว่า ที่เราปฏิบัติ ได้เลื่อนชั้นอย่างไร จนปัจจุบัน ได้เป็นอะไร ขนาดไหน และที่เข้าป่าไป ก็เป็นการผิดทาง ซึ่งพุทธเรา เข้าใจผิด ไปมากแล้ว

    ความเสื่อมของศาสนาพุทธ เสื่อมเพราะ
.ผู้ยังไม่มีวิชชาและจรณะ แต่ไปแสวงหาอาจารย์ในป่า โดยเก็บผลไม้หล่น กินบำรุงชีพ อย่างมักน้อยมากๆ
.ไม่เก็บผลไม้กิน แต่ถือเสียม ตะกร้า หาขุดเหง้าไม้ หาผลไม้กิน ระหว่าง ออกแสวงหา อาจารย์ ในป่า
.สร้างเรือนไฟไว้ใกล้หมู่บ้าน แล้วบำเรอไฟ รออาจารย์
.สร้างเรือนมีประตูสี่ด้าน ไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง แล้ว สำนักรอท่านผู้อยู่ มีวิชชา และจรณะอยู่  (อัมพัฏฐสูตร เล่ม ๙ ข้อ ๑๖๓)

    ผู้มีวิชชาและจรณะ จะไปป่าไหม ก็ไป ไปศึกษาในบางคน แต่ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบแล้ว ไม่จำเป็นต้องไป อาตมาเขียน เป็นหนังสือไว้ชื่อ ป่ากับศาสนาพุทธ ป่าไปได้ แต่ต้องไปอย่าง ผู้มีสมาธิ

    คำถามที่ว่า ระลึกชาติได้ นั้นพ่อครูว่า บอกเป็นตัวตัว เป็นตนไม่ได้ มันจะยุ่ง พ่อครู เคยพูดกับพวกเราว่า อยากจะรู้ว่า อาตมาคือใคร ก็ใบ้ไว้นิดหนึ่งว่า อาตมาคือ ผู้อยู่ในทิฏฐิ ๑๐... สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ -ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศ โลกนี้ -โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ)

    ส่วนเป็นใครนั้น บอกไม่ได้ ผ่านอะไรมาอีก ก็บอกยาก บอกแล้ว คุณจะรู้ได้อย่างไร บอกแล้ว เดี๋ยวคุณตาค้าง

    ประเด็นการที่คนไทยส่วนใหญ่ ยังเป็นไทยเฉยอยู่ จนต้องรอ ให้ล่มสลายมากกว่านี้ จึงตื่นรู้ ก็สงสาร พระทัยในหลวง ที่ต้องทนเห็น ประเทศล่มสลาย แล้วคนไทย ก็ทุกข์ด้วย

    พ่อครูว่า... เห็นด้วยอย่างที่คุณว่า... แต่มันเป็นยุคสมัย ที่ต้องเป็นเช่นนี้ ไทยเฉยนี่แหละ คือคนที่ ทำให้ในหลวง ต้องทุกข์หนักยิ่งขึ้น

    สมมุติว่า ถ้าคนไทยออกมาสัก ๓๐ ล้านคนพรึ่บ ในหลวง ก็ต้องลงมา ว่าประชาชน เดือดร้อน ตั้ง ๓๐ ล้าน ท่านก็ต้องลงมาช่วย เป็นราชประชา สมาสัยทันที ให้อำนาจ อธิปไตย ยืนยันกับสิ่งที่ ประชาชนต้องการ เรามีเป้าหมายอย่างนี้ ให้คุณออกไป ในหลวง ก็ต้องมี พระบรมราชโองการ ทันที ไม่ผิดเลย แต่ตอนนี้ทำไม่ได้ เพราะประชาชน ไม่ออกมา ยังไม่เป็นอำนาจอะไรเลย เขารังแก อย่างกับอะไรดี อำนาจอธิปไตย คือ ๑ คน ๑ เสียง ล้านคนล้านเสียง มีแต่ที่เขาเล่นเล่ห์ว่าได้ ๑๕ ล้าน แล้วเราไม่มี สักล้านเลย มีแต่หัวล้าน เมื่อไหร่พวกเรา จะมีน้ำใจ แล้วปฏิบัติให้ถูกต้อง

    อาตมาพูดไป อย่างเสียรังวัด ไปเยอะเลย แต่อาตมา ไม่ติดใจรื้อ
   
    แยกความเป็นกลาง กับมัชฌิมาปฏิปทา ก่อน เขาไปแปลกันว่า ทางสายกลางกัน แต่ความเป็นจริง คำว่า มัชฌิมาปฏิปทา มีสองคำ คำว่า มัชฌิมา แปลว่ากลาง ก็ถูก คำว่า ปฏิปทา คือทางปฏิบัติ มันก็ถูกเหมือนกัน แต่ความจริง มันลึกกว่านั้น กลางนั้น คือกลางๆ ส่วนข้างหนึ่งคือ กามสุขขัลลิกะ ส่วนอีกข้างคือ อัตตกิลมถะ ไม่โต่งไป สองข้างนั้น แต่ไปแปลกันว่า เอาให้พอเหมาะ แต่ต้องให้ตั้งตน บนความลำบาก กุศลกรรม จึงเจริญยิ่ง ต้องมี ทมะ ขันติ แต่ที่สบายๆ คือกิเลส กินหัวหมดแล้ว

    เนื้อแท้ของ “กลาง” คือต้องลดทั้ง กามและอัตตา ไม่ให้ไปอยู่ข้างใดเลย มันต้อง เกื้อกูลกัน ลดกามกับลดอัตตา ต้องทำคู่กัน สุดท้าย กลาง คือไม่มีทั้ง กามและอัตตา นี่คือความยิ่งใหญ่

    เขาเข้าใจทางสายกลาง คือมรรค ไม่เข้าข้างไหน ทั้งที่พระพุทธเจ้าว่า ให้คบบัณฑิต ทางวจีกรรม ก็ต้องตำหนิ สิ่งควรตำหนิ ชมสิ่งควรชม ไม่ใช่ว่า ทางสายกลาง คือ ต้องไม่ว่าใคร ไม่ชมใคร แต่พระพุทธเจ้าว่า นิคคัณเห นิคคหารหัง ปัคคันเห ปัคคหารหัง

    อานนท์ ! เราไม่พยายาม ทำกะพวกเธอ อย่างทะนุถนอม เหมือนพวกช่างหม้อ ทำแก่หม้อ ที่ยังเปียก -ยังดิบอยู่ อานนท์ ! เราจักขนาบแล้วขนาบอีก ไม่มีหยุด อานนท์ ! เราจักชี้โทษแล้ว ชี้โทษอีก ไม่มีหยุด ผู้ใดมีมรรคผล เป็นแก่นสาร ผู้นั้นจักทนอยู่ได้

    แล้วมโน ต้องทำใจให้มี ปัญญาปาสาโท
มโนกรรม ย่อมรู้ว่า อะไรผิดอะไรถูก โดยไม่มีอคติ ๔ !
วจีกรรม กล่าวตำหนิ คนที่ควรติ ยกย่องคนที่ควรยก.
กายกรรม เข้าร่วมกระทำกับ ฝ่ายที่ถูกต้อง (คบหาบัณฑิต)

    พฤติกรรมเป็นกลางของผู้ไม่มีปัญญา
๑. โง่ ไม่รู้ว่าอะไรผิด อะไรถูก
๒. กลัว จะเสื่อมลาภ เสื่อมยศ เสียตำแหน่ง เสียหน้า ไม่เข้าข้าง คนถูกต้อง ก็ลำเอียงสิ นี่ชั่วกว่าคนไม่รู้นะ รู้ทั้งรู้ แต่ไปเข้าข้างคนผิดอีก มันไม่ใช่ เป็นกลางหรอก แม้คุณ ไม่เข้าข้างใคร เราทำหน้าที่ของเรา แต่ทั้งที่มีหน้าที่ ก็พูดเลี่ยงไปอีก นี่คือ พวกตก ใต้อำนาจโลกธรรม
๓. เห็นผิด คิดว่า เป็นกลางแล้ว ไม่ควรไปอยู่ กับฝ่ายไหน คือ พวกมิจฉาทิฏฐิ

    พ่อครูว่า.. อธิปไตยของประชาชน เกิดขึ้นแล้ว ไม่ต้อง ๓๐ ล้านคนหรอก เอาแค่ ๑ ล้านคน ก็พอแล้ว

    ในรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒​ อำนาจเป็นของประชาชน ที่มีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็น ประมุข มาตรา ๓ ในหลวง ทรงใช้อำนาจนั้น ผ่าน ๓ สถาบัน

    แต่มันอยู่ที่ จิตวิญญาณของคน มันเห็นแก่ตัวจัด เป็นทางโลกีย์ มากเกินไป อาตมา ต้องทำงานหนัก ให้คนลดกิเลส เพิ่ม จิตวิญญาณ จะเข้มแข็งกล้าหาญ มาช่วย กำจัดสิ่งผิด จะมีความกล้าหาญ องอาจ แกล้วกล้าจริง ในอาริยบุคคล ไม่ใช่คนแหย เห็นแก่ตัว โลภโมโทสัน ทำมาหากินไปวันๆ พวกนี้ใจดำ ไม่ได้ด่านะ แต่รายงานความจริง คือ บอกลักษณะว่าไม่ดี อย่างนั้นอย่างนี้ ลักษณะการด่า คือมีกิเลส หรือผิด ไม่มีสาระคือ ด่าสาด เสียเทเสีย ด่าอย่างไม่มีปัญญา ไม่รู้เรื่องเลย

    มีคนบอกว่า ผ้าครองพ่อครู ลุ่ยออกมา พ่อครูจึงบอกว่า พวกเราต้อง นุ่งห่มอย่างนี้ เพราะต้องคดี ไม่ให้แต่งกาย เหมือนพระนั่นเอง เราก็เลย พยายามนุ่งห่ม ไม่ให้เหมือนพระ และก็ไม่โกนคิ้วด้วย

    มีคนเขียนประเด็นมาว่า ...การออกสนามรบครั้งนี้ ทำให้คิดถึง อาจำลอง อาสนธิ ที่ให้เตรียมตัวให้ดี มีปัญญา ออกรบไม่ถอย ที่อาทั้งสองไม่ออก เพราะได้สอนไว้แล้ว ผู้รักชาติ ต้องออกมาเอง โดยไม่ต้องให้คนจูง แต่ที่คนทำ มันคนละด้านค่ะ พวกหนุ่มสาว ต้องเตือนตน ให้แววไว ผู้รู้จอมยุทธ เข้าใจการทหารดี ต้องหัดไปปรึกษา อย่ารอท่านมาหา เราต้องหัดปรึกษา อย่างอ่อนน้อม ครั้งนี้ดี ที่มีหลายนายพล เข้าร่วม

    มีคนว่ามาทาง sms ว่า คนหนีไปหมดแล้ว เอาแต่เทศน์ ...พ่อครูว่า... หนีที่ไหน ก็มีคนมา มากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มรายการ มีไม่มาก เท่าตอนนี้เลย

    อ.กฤษฎาสรุปว่า... เราคงเข้าใจมากขึ้น ต่อกระบวนการ ที่มาร่วม ทำไมเราต้อง ยาวให้เป็นฯ แล้วทำไม ต้องเอาธรรมนำหน้า ... อย่าลืม ทบทวนธรรมะ ฟังธรรมะทุกวัน จะได้เข้าใจเพิ่มขึ้น... การไม่ชนะใจตน ก็ไม่ชนะหรอก เราบอกว่า เราเป็นฝ่ายธรรมะ แต่เรา ก็ไม่ต่างจากเขาเอง กระบวนการ ที่เราไปข้างทำเนียบ ได้ฝึกฝนตนเอง อย่างมาก เป็นการปฏิบัติธรรม อย่างมีผัสสะ อย่างยิ่ง เป็นปรากฎการณ์ ทางปัญญา ….

 

จบ  

 
๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๖ ที่ สวนลุมพินี กทม.