|
||
พ่อครูว่า... นึกไม่ถึงเหมือนกันว่า อย่างอาตมา เป็นพระเป็นเจ้า จะได้ขึ้นธรรมาสน์ เทศน์อยู่บนนี้ มันแปลกพอได้ทีเดียว แต่ก็เป็นไปนะ เป็นกาละที่บ้านเมือง เท่าที่ภูมิปัญญา อาตมาก็เห็นว่า ประเทศไทย คลี่คลายขึ้นเยอะ คนไทย ตอนนี้มี ๒ อย่างใหญ่ๆ อย่างหนึ่งคือเจริญขึ้นๆ ทั้งการเมือง ,จิตวิญญาณ มีพฤติกรรม การเมือง ดีขึ้น สวยงามขึ้น มาถึงวันนี้ ตั้งแต่วันที่ ๔ ก.ค. ไม่มีเหตุร้าย คนเจ็บคนตาย เหมือนแต่ก่อน นี่คือ ความก้าวหน้าของ ประชาธิปไตย เห็นได้ว่า เป็นพฤติกรรม บ่งชี้ประชาธิปไตยที่ดีขึ้น ก็ช่วยกันประคอง อยากให้พวกเรา ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริง ออกมาให้มากๆ หมดๆ แล้วสิ่งที่จะบรรลุผล เราไม่อยากเรียกว่า ชนะ จะเรียกว่าแพ้หรือชนะ ก็ไม่มีปัญหา แต่เกิดการบรรลุผลอย่างดี สวยงาม ตอนนี้ เกิดเหตุการณ์คาดไม่ถึง เขาเรียกว่า เข็มขัดสั้น ก็เกิดขึ้นได้ อย่างรูปธรรม แค่พวกเรา จากสวนลุม ยกพวกมา สมทบกับที่นี่ แม้แต่พวกอาตมา ยังงงเลย ขนาดกรรมการ อยู่ด้วยกัน ยังงงเลย แล้วมันก็ Accident Good luck แม้วันนี้ เขาก็ถอน หน่วยทัพ จากสามเสน ไปอยู่ที่อนุสาวรีย์ ประชาธิปไตย เรียบร้อย ซึ่งก็เข็มขัดสั้น อีกแหละ มันจะเกิดไปเอง ตามปัจจัยที่ เหนือปกติสามัญ คือจะเกิดเหตุการณ์ เข็มขัดสั้น คาดไม่ถึง พุงมันโตกว่าเข็มขัด ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณ พวกเราทุกคนที่ เสียสละ อดทน เพราะว่ามันเข้าถึง ขั้นสำคัญ ที่สุดแล้ว ที่ต้องใช้เรี่ยวแรง อุตสาหะเต็มที่ เพื่อให้ไปให้ถึง ยำมาหลายทีแล้ว ประชาธิปไตย ต้องมีธรรมาธิปไตย ประชาธิปไตย คืออำนาจของประชาชน เมื่อมีธรรมะ ก็มีธรรมะร่วมกับประชาชน ก็มีธรรมาธิปไตย เข้าผนึก อย่างเหนียวแน่น ธรรมะที่ผนึกเข้าไปนั้น ทำให้สมบูรณ์ ประชาธิปไตยทั่วโลก ยังไม่สมบูรณ์ เป็นประชาธิปไตยขาเดียว ส่วนเผด็จการนั้น ขาเดียวแน่ มีอำนาจใหญ่สั่งการ ส่วนคอมมิวนิสต์ ก็ขาเดียว ประชาธิปไตย ที่เป็นแบบโลกีย์นั้น ขณะนี้ ยังไม่ครบ สมบูรณ์ เป็นประชาธิปไตยขาเดียว ยังไม่ครบสองขา คำว่าสองขาคือ ต้องมีรูปและนามครบ หรือขยายความว่า ต้องมีกายกับใจครบ อย่างเผด็จการ เขาเรียกว่า วัตถุนิยม แม้เผด็จการ แต่คนเผด็จการ มีคุณธรรม แต่เสียสละ ซื่อสัตย์สุจริต บริหารเพื่อประชาชนจริง นี่คือจิตวิญญาณ เป็นประชาธิปไตยจริง แม้รูปแบบ เป็นเผด็จการ แม้แต่คอมมิวนิสต์ ถ้าจิตวิญญาณไม่มีธรรมะ ก็จะไม่ครบ มันขาดวิญญาณ เผด็จการนั้น เขาใช้จิตวิญญาณ ไม่ปฏิเสธศาสนา ส่วนคอมมิวนิสต์ ปฏิเสธศาสนา คือไม่เอาจิตวิญญาณ จิตวิญญาณที่ต้องเน้น คือการมาเสียสละไม่ซ่อนแฝง แม้รู้ว่าดี แต่จิตไม่เป็นจริง ก็ไม่ได้ แม้ผู้มีธรรมะ จะอยู่ในระบอบใด เช่นเผด็จการ แต่จิตวิญญาณ เสียสละจริงแล้ว รับรอง ประชาธิปไตย จะดีแน่ ไม่ว่า จะชื่อว่าระบอบไหน ประชาธิปไตยทั่วโลก ไม่ครบสองขา แม้รูปแบบมี อย่างประชาธิปไตย ที่มีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข อย่างไทยนี่ จิตวิญญาณของไทย อยู่ที่พระเจ้าอยู่หัว และ ท่านเป็นประมุข ที่มีประชาธิปไตย สูงส่งจริงๆ ไม่ได้แกล้งยอ แต่ว่าปรากฏจริง ไม่ได้ทำตามธรรมเนียน ประเพณี แต่จริงถึงนามธรรม จิตถึงจริง พฤติกรรมจริง ในหลวงเราเป็นโพธิสัตว์ แต่จะไม่ขยายข้อนี้มาก ประเทศไทยเรา ไม่เข้าใจว่า ประชาธิปไตย ต้องมีจิตวิญญาณเข้าร่วม แม้อเมริกา เขาเป็นประชาธิปไตย แต่ว่าจิตวิญญาณเขา เสพอัตตา ไม่ใช่เพื่อผู้อื่น อย่างเราจะเอา วัฒนธรรมเขามาใช้ อเมริกันแชร์ นั่งกินกันร่วมกัน ก็ต่างคนต่างจ่าย ในบ้านยังจ่ายใคร จ่ายมันเลย ไม่มีเผื่อแผ่ ไม่มีพึ่งเกิดแก่ เจ็บตายได้ มันมีแต่ ตัวใครตัวมัน เขาก็ได้ประชาธิปไตย อย่างนั้นแหละ ไม่เต็มสองขา เห็นได้ชัดว่า วัฒนธรรมเขา เป็นเรื่องตัวใครตัวมัน ไม่เอื้อมเอื้อ เกื้อกว้าง อย่างของเรามีศาสนา อย่างชุมชนเราอโศก เป็นหมู่บ้านเลย มีสาธารณโภคี ร่วมกิน ร่วมใช้ ทรัพย์สินส่วนกลาง เป็นกระเป๋าเดียวเลย แต่คนไม่ค่อยเชื่อนะว่า มีได้ ของเราทำงาน ในสังคมอโศก ทำงานแล้วเสียภาษี ๑๐๐ เปอร์เซนต์ ยกให้ส่วนกลางหมด มีระบบ ใช้จ่ายของส่วนกลาง ที่บรรยายนี้ ปูพื้นฐานเพื่อให้รู้ว่า ประเทศไทย กำลังทำประชาธิปไตย ให้บริบูรณ์ ด้วยสองขา อย่างที่ว่า ตอนนี้เกิด มาตามลำดับแล้ว อย่างพวกเรา มานั่งอยู่นี่ ใครมีมาก ก็เอามาแชร์ มาบริจาคกัน มาอยู่นี่ อาจไม่สะดวก เหมือนอยู่บ้าน แต่ก็เป็นไปได้ ในสนามรบ ไม่เหมือนบ้านแน่ แต่ก็ไปได้ ประชาธิปไตย ที่มีคุณธรรมนั้น ศาสนาไหนๆ ก็สามารถทำได้ ให้จิตมนุษย์ มีธรรมะ ก็จะเป็นได้ ตอนนี้คนไทย กำลังมีวิวัฒนาการ ทางจิตวิญญาณสูงขึ้น พัฒนาขึ้น อย่างเหตุการณ์นี้ พลิกล็อค แล้วไม่รุนแรง มีการกระทบกระแทก พอสมควร แต่ไม่รุนแรง ครั้งก่อนๆ มันรุนแรง บาดเจ็บล้มตาย ตั้งแต่เราก่อหวอด ชุมนุมมาแต่ ๔ ก.ค. ยังไม่มีเหตุร้ายแรง จนเกิดหมู่กลุ่ม ชุมนุมหลักๆ ขณะนี้ มีสามกลุ่ม สวนลุมฯ อุรุพงษ์ สามเสน ตอนนี้เป็น ประชาธิปไตยแล้ว ยังมีกลุ่มย่อย อีกหลายกลุ่ม มันมีเป้าหมายเดียวกัน เข้าใจร่วมกัน เสมอกัน จุดเดียวกัน เรียกว่า ทิฏฐิสามัญตา มีพฤติกรรมร่วมกัน ไม่ว่าจะอยู่ จังหวัดไหน ก็ทำได้ จะมีธรรมฤทธิ์ ไม่ต้องรุนแรง แต่เอาความจริง มาตีแผ่ อย่างยาวให้เป็นฯ เรียกว่าอาวุธ แต่เป็นธรรมาวุธ ไม่ใช่อาวุธไปทำร้ายรุนแรง แต่เป็น อำนาจทางธรรม ที่คิดไม่ออก คิดยาก มีการเจริญก้าวหน้าอันใหม่ ลึกๆแล้ว อาตมาว่า มันใกล้ความจริง เข้ามาเรื่อยๆแล้ว ไม่ไปว่า ฝ่ายตรงกันข้าม แม้แต่ตำรวจ ที่มีปฏิกิริยา ที่น่าขัดใจ ก็ยืนยันว่า เขายังมีใจดีอยู่ ยังมีปัญญาได้คิด ดังนั้น ยืนยันหลักฐานความจริง ออกมาเรื่อยๆเถอะ ความจริงมี ๓ อย่างใหญ่ ๑.ประชาชนออกมานับหัวให้ได้ ๒ ถึง ๓ ล้านคน ได้ นั่นแหละ เรียกว่ามวลยืนยัน มายืนยัน เป็นรูปธรรมแล้ว ๒.ใจที่มีปัญญา เข้าใจว่าประชาธิปไตย คืออย่างนี้หรือ ประชาธิปไตย คือออกมา รวมตัว ยืนยันอำนาจ ประชาธิปไตย แม้เลือกผู้แทนฯ รมต. นายกฯ ก็เป็นผู้แทน ประชาชน ที่ประชาชนจ้างไว้ ด้วยเงินเดือนแสนกว่า เขาเป็นตัวแทน เป็นผู้รับใช้ ประชาชน ต้องรู้หน้าที่ รู้สิทธิ ออกมาชุมนุมกัน ไม่ต้องให้ใครบังคับ มาด้วยปัญญา ตื่นรู้จริงๆ ๓. ความเป็นประชาธิปไตย ที่บริบูรณ์ด้วยสองขา แล้วรู้กาละเวลา ว่าอย่ามัวแต่ เห็นแก่ตัวอยู่ ใครจะมาทำ บ้านเมืองล่มจม ก็ไม่สนใจ หรือแม้รู้ว่า อย่างนี้ไม่ดี ก็ยังไม่ออก มาคัดค้าน กลัวเมื่อย เสียเวลา ขี้เกียจ กลัวเสียผลประโยชน์ตนเอง อันนี้ เป็นลักษณะอัตตา ถ้าลดอัตตา เก็บอัตตาได้ ก็จะมากันพรึ่บได้ ตอนนี้ได้เวลาแล้ว มันเข้าสู่จุดสุดท้ายแล้ว คนที่ยังไม่มานี้ มีอยู่ ๓ ประเด็นใหญ่ คือ ๑. เขาถือว่าเขาเป็นกลาง เขาก็เลยเฉยๆ คือประเภทไม่มีปัญญา ว่าควรเข้าพวกไหน ตอนนี้ มีสองฝ่าย พวกนี้ไม่มีปัญญารู้ว่า ฝ่ายไหนดี ฝ่ายไหนชั่ว ก็เลยไม่เข้าข้างไหน ๒. พวกที่รู้ว่าฝ่ายไหนดีฝ่ายไหนถูกต้อง ฝ่ายไหนผิด แต่เขาไม่กล้าแสดงตัว ไม่กล้า มาช่วยฝ่ายดี เพราะเขากลัวเสียลาภ ยศ ตำแหน่งของเขา นี่ก็เห็นแก่ตัว ทั้งที่มีปัญญารู้ว่า อันไหนดี แต่ว่าอำนาจโลกธรรมมันสูง เรียกว่าคนขี้กลัว ก็เลยเป็นกลางแบบ เป็นกลัว เสียโลกธรรม หรือว่ามาแล้ว กลัวลำบาก นี่ก็เห็นแก่ตัว ๓. ผู้ที่มิจฉาทิฏฐิ คือเข้าใจผิดๆว่า เข้าใจว่าความเป็นกลาง คือต้องไม่เข้าข้างใคร ทั้งที่ มีปัญญารู้ว่า ฝ่ายไหนดี ฝ่ายไหนชั่ว แม้สื่อสารมวลชนนี่ ก็เข้าใจผิด แทนที่จะส่งเสริม คนที่ถูกต้อง อย่างไทยโพสต์นี้ ก็เปิดเผยเลยว่า กล้าเลือกข้างคนดี ตามหลักธรรม พระพุทธเจ้าแล้ว ต้องเข้าข้างคนดี เข้าใจผิดว่า เป็นกลาง ต้องไม่เข้าข้างใคร ใครจะดีจะชั่ว ก็แล้วแต่ พระพุทธเจ้าสอน ให้ทำกาย วาจา ใจ ให้เข้าข้างคนดี อย่าไปคบคนพาล ให้คบคนดี อย่าไปอยู่กับคนโง่ ให้อยู่กับคนดี คนถูกต้อง อย่างในสภาฯ เป็นต้น วจีกรรม พระพุทธเจ้าให้ ต้องติเตียน ว่ากล่าว คนเลวคนชั่ว คือด่าคนชั่ว พูดหยาบๆ (นิคคัณเห นิคคหรหัง) และให้ยกคนดี ชมคนดี (ปัคคัณเห ปัคคหารหัง) ให้ทำปัญญา ให้เป็น ปัญญาปาสาโท คือมีปัญญา เหมือนคนมองอยู่บน ยอดปราสาท รู้ว่า อะไรคืออะไร อะไรดีอะไรชั่ว ถูกผิด เมื่อรู้แล้ว ก็ชมคนที่ควรชม ติคนที่ควรติ แล้วก็ให้ อยู่กับบัณฑิต อย่าไป อยู่กับคนพาล คนดี มารวมตัวกับคนดี อย่าไปร่วมกับคนชั่ว ทั้งกาย วาจาใจ และก็ไปเข้าใจผิดกันว่า อย่าไปเข้าข้างใคร คือเป็นกลาง อย่างนี้สังคมก็พังสิ โดยสามัญนั้น คนที่มีปัญญา คนเสียสละ คนมีธรรมนั้น คนเหล่านี้คือ ยอดปิรามิด ยอดนั้น จะมีน้อยกว่าฐาน แน่นอน แต่ยอด เป็นของสูงของดี มันก็ต้องน้อยคนสิ ใช่ไหมเล่า เพราะฉะนั้น ยิ่งคนดีมีน้อย เพราะคนที่ไม่มีปัญญา นั้นมีมาก แต่คนรู้มีน้อย ยิ่งคนดี ต้องมารวมตัวกัน ตอนนี้ มันสุดท้ายแล้ว Final แล้ว ถ้าเผื่อว่า เราเข้าใจสัจธรรม อย่างว่านี้ จะเป็นได้แท้ เรากำลังมาทำให้สัจธรรมเกิด ที่มารวมตัวกันนี่ ถูกต้องแล้ว การเมือง คือการออกมา แสดงตัว แล้วแสดงความมุ่งหมายว่า จะไม่เอาสิ่งใด ไม่เอากฎหมาย นิรโทษกรรม แล้วบริหารประเทศ เช่นนี้ ก็ไม่เอา เศรษฐกิจฉิบหายอย่างนี้ ไม่เอา ก็ออกมายืนยัน ออกมาประท้วง คนไม่เห็น ก็ต้องออกมา ชี้ทางออก เพราะเราเป็น เจ้าของประเทศ คนที่มาบรรยายธรรม เป็นคนยอดสุดเลย แล้วมาบรรยายธรรมะลึกซึ้ง อย่างเรียบง่าย แต่คนฟัง ไม่ค่อยได้รับ การกระตุ้น ไม่มีการปรุงแต่งเลย รสจืด เป็นธรรมะสงบจืด เทสน์ไปๆ คนฟังก็หลับ เทศน์ไปทำไม เทศน์ให้ตอฟัง คุณเทศน์ธรรม ดีอย่างไร ก็คือเพ้อเจ้อ ต่อให้มีภูมิปัญญาเอกเลย แต่ไม่เข้าใจ การปรุงแต่ง หรือสังขารธรรม ที่ให้พอเหมาะทั้ง ท่าทางลีลา ภาษา ปรุงแต่งให้พอดี ให้พวกเราดื่มได้ โดยเฉพาะ เป็นคำตำหนิติเตียน ให้คุณรับได้ ที่พูดนี้กำลังตำหนิ ตั้งแต่บอกว่า คนเป็นกลางไม่ถูก ทั้งสามอย่าง นี่คือตำหนิทั้งนั้น คนที่จะทำ คำตำหนิ ให้คนดื่มได้ นี่คือ ปิยะวาจา เป็นภาษาอันน่ารัก อันเป็นที่รักที่ควร หรือโดยศัพท์ตัวแท้ว่า เปยยวัชชะ เป็นวาจา อันเป็นที่รัก แล้วตรงกับคำสอน พระพุทธเจ้าหมด คำว่าวัชชะ คือคำตำหนิ เปยยะคือของควรดื่ม ใครก็ตาม มาตำหนิ แล้วคุณดื่มได้ นี่คือ ความสามารถ ในการทำปิยะวาจา ส่วนการชมคน ให้คนรักนี่ ไม่ใช่ฝีมือหรอก เด็กก็ทำได้ แต่ตำหนิให้คนรักสิ นี่คือ ปิยะวาจา เขาแปลกันตื้นๆโลกๆว่า ปิยะวาจา คือวาจาอันเป็นคำชม ให้คนรัก คนชอบ แต่ที่จริง ต้องตำหนิ ให้คนดื่มได้ นี่คือ วาจาที่น่านับถือ ที่มาในงานนี้อย่างนี้ มันไม่ง่าย ที่จะเอาธรรมะ ระดับโลกุตระ เกินสามัญ มาพูด เป็นคุณธรรม แต่มีความจำเป็นมาก เราจะต้องสถาปนาธรรมะ เข้าไปในการเมือง ในคน คานธีบอกว่า ต้องเอาธรรมะ เข้าไปสถาปนา ในการเมือง ถ้าไม่เอาธรรมะ เข้าไปในการเมือง ไปไม่รอด คานธีทำสำเร็จ แล้วอาตมา ก็ทำแบบคานธี จะมีฝีมือ เท่าไหร่ ก็ทำสุดสามารถ คนทุกวันนี้ รู้แสนรู้ เก่งแสนเก่ง แต่ไม่มีธรรมะ มันฉลาด ฉิบหายเลย แต่ไม่มีธรรมะ เขาใช้ความฉลาด ตลอดเวลา ตีกลับหมด พูดอย่างนี้ ตีความอย่างอื่น ฉลาดฉิบหายเลย ที่ว่าฉลาดฉิบหายนี้ ตินะ ไม่ใช่ชม ตอนนี้ ความรู้ความฉลาด พอแล้ว คนไทย ไม่ด้อยเลย แต่ว่าธรรมะสิขาด โดยเฉพาะ นักการเมือง ข้าราชการ ไม่ซื่อตรง เพราะขาดธรรมะ จุดไหนบ้าง ไม่คอรัปชั่น ในข้าราชการ นี่คือขาดธรรมะ แล้วคอรัปชั่น อย่างเลวร้ายหนัก แม้พฤติกรรม ที่เป็นอยู่ขณะนี้ ไม่เห็นแก่กฎหมายเลย พูดไป ตัวเอง จะแก้กฎหมาย ไม่ยอมรับจะแก้ จะแก้ไปไหน เพื่อตัวเอง ตัวเองผิด ขนาดติดคุก แล้วจะแก้ไม่ให้ติดคุก ตัวเอง ถูกกฎหมายพิพากษาไปแล้ว แล้วมาออกกฎหมาย ล้มล้าง ประเทศไทย จะเป็นประเทศแรก ที่ทำได้นะ หยาบคายชั่วช้าที่สุด ถ้าทำได้แล้ว กินเนสบุค จะบันทึกว่า เป็นประเทศ ที่ออกกฎหมาย ได้หยาบชั่วช้าที่สุด มันตลบ กลับไปหมดเลย แม้เล็กๆน้อยๆ เขาละเมิดมาตลอด แม้แต่การชุมนุมประท้วง ตำรวจกั้นทาง ไม่ส่งเสริม ให้เรามาประท้วง ก็ผิดหน้าที่ เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจ ต้องส่งเสริม ประชาธิปไตย แต่นี่แกล้ง ทุกอย่างเลย ตรวจค้น เอาตะปูเรือใบ มาโปรย ผิดกฎหมายนะ ไม่ส่งเสริม สนับสนุน ประชาธิปไตย ตอนนี้ ก็ได้ติไปแล้ว ตอนนี้ตำรวจ ถูกเราชี้ความจริงอันนี้ตอกย้ำ เลยค่อยยังชั่วขึ้น นิดหนึ่ง ก็ขอบคุณ ที่ไม่แรงเหมือนก่อนนี้ แต่ก็แรงนะ ขนาดที่ พล.อ.ปรีชา พาไปข้างทำเนียบ เล่นไม่ให้กินข้าว กินน้ำ ไม่ให้ขี้ให้เยี่ยวเลย เขาไปอย่างสงบ ไม่ผิดกฎหมาย แต่ตำรวจ ผิดกฎหมายเสียเอง จะอ่านกวีให้ฟังบทหนึ่ง... ชื่อว่า สรุปว่า อดทนหน่อย พากเพียรหน่อย อย่าถามว่า เพื่อไหร่จะเสร็จ จะเสร็จต่อเมื่อ พวกเราพรั่งพร้อมดี อดทนไม่หนี แล้วมาเพิ่ม ให้มากๆๆ รับรองว่าชนะ แบบไม่มี ประตูแพ้ เพราะพวกเรา พรั่งพร้อมและสงบได้ แกนของสันติสงบมีพอ แล้วมีพลังร่วมเย็น และรู้จักว่า จะอยู่อย่างไร ดูตารู้แล้วว่า จะทำอย่างนี้ๆ เหมือนเมื่อวาน ออกจากสวนลุมฯ ไม่มีใครรู้เรื่องเลย แต่พอบอก เดินมาอุรุพงษ์ ก็มาได้เลย อย่างนี้ เป็นต้น ไม่ต้องมีอะไรมา ขยิบตารู้กัน ไม่มีปฏิกิริยาเลย ไม่ขัดแย้ง ต่างกัน ปฏิกิริยา ที่ข้างทำเนียบ พอคุณปรีชาบอกเลิก ก็เกิดอุรุพงษ์ แต่เมื่อวานนี้ เกิดแล้ว ไม่ต้องห่วง แม้ปิดเป็นความลับ แต่ความลับนี้ ก็แจ๋ว ...เอวัง จบ |
||
|