561107_รายการสงครามสังคมฯ ที่เวทีถนนราชดำเนินนอก
พ่อครู สมณะโพธิรักษ์
เรื่อง มัฆวานผ่านฟ้าประชาธิปไตย ตอน ๑

        วันนี้เป็นวันแรก ที่กองทัพธรรมและกปท. ตั้งเวทีใหญ่ใหม่ อยู่ที่ถนน ราชดำเนินนอก พ่อครูมาเทศน์ ที่เวทีใหญ่นี้ เป็นวันแรก

        วันนี้คงต้องย้ำซ้ำเดิม อย่างพระไตรปิฎก ที่มีคำความซ้ำย้ำ ให้อ่านหลายครั้ง อ่านหลายครั้ง ก็จะเข้าใจเพิ่มขึ้น ทั้งที่คำความเดิม ภาษาเดิม ไม่มีใครไปเปลี่ยน คำความ แต่อย่างใด อ่านซ้ำซาก เราจะเข้าใจเพิ่มขึ้น

        พระพุทธเจ้าค้นพบประชาธิปไตยสูงสุด จุดสูงสุดคือ คำว่า “นานาสังวาส” กับอีก หมวดหนึ่ง ที่ยืนยัน ลักษณะของ ประชาธิปไตย คือ “พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ” และอีกคำหนึ่งที่เป็นคำสุดยอดเลย คือคำว่า “ตถตา” คือ ประชาธิปไตยสูงสุด

        ตถตตา คำว่า ตา เป็นปัจจัยมาเติม เป็น suffix เป็นความจริง ของสรรพสิ่ง ในโลกนี้ ไม่มีอะไร เสมอภาค เท่าเทียมกัน สิ่งที่เกิดขึ้นมา ตั้งแต่สอง เป็นต้นไป จะเป็นวัตถุ หรือนามธรรม ละเอียดขนาดไหนก็ตาม จะไม่มีสิ่งใด เท่าเทียมกัน  แต่มีสิ่งเดียว เท่านั้น ที่เท่ากัน ในมหาจักรวาลนี้ คือนิพพาน คือความจริงสุดยอด ที่ไม่มีอะไรเปรียบ นัตถิอุปมา ถ้าผู้ใดได้ถึง ความจริงสุดยอดนี้ เป็นอุภโตภาควิมุติ (เจโต และ ปัญญาวิมุติ)

        ผู้ที่มีนิพพาน จะเห็นเองเป็นเอง ไม่มีใครจะเห็นของใครได้ ผู้ที่มีความเป็นตถตา หรือ นิพพานนี้ ในตนแล้ว จะไม่มีความยึดมั่นถือมั่น ในโลกีย์ แต่จะมีความมั่นที่สุด ในนิพพาน เป็นสภาพสองชนิด แต่เป็นหนึ่งเดียวกัน ที่เป็นมุมเดียว เท่ากัน คือนิพพาน นิพพานของผู้หญิง ก็เป็นได้ กับนิพพานของผู้ชาย เป็นนิพพาน หนึ่งเดียวกันหมด พระพุทธเจ้า ท่านจำนนพระอานนท์ ตรงนี้ที่ว่า ผู้หญิงก็บรรลุธรรมได้ ก็ต้องให้ผู้หญิง บวชได้

        ตถตา นี้เป็นสภาพสูงสุด ท่านรู้ว่า มันไม่มีอะไร เกิดต่อ แต่ท่านรู้ว่า มีอะไรเกิดต่อ เป็นภาวะ สองอย่าง และตถตานี่แหละ จะลงตัวกันได้ ในแบบ นานาสังวาส สิ่งไม่มีในโลก คือ น โหติ เมื่อทำความ ไม่มีในโลก เกิดเป็นนิพพาน คือความไม่มี (ไม่มีสมุทัย) ขึ้นมา ส่วนสิ่งที่สูงกว่านี้ ก็เป็น โหติ เป็นภาวะมี

        ผู้ที่ถึงซึ่งตถตา ก็จะรู้ว่า คนอื่นเป็นอย่างไร มันก็เป็นเช่นนี้แหละ เขาก็ทุกข์ ของเขา เขาก็มีส่วนดี คนไม่ดีกับคนดี เขาก็ไม่ชอบใจกัน ก็ไม่เป็นปัญหา ท่านก็ไม่ได้รังเกียจ สรุปแล้ว นานาสังวาส คือความต่าง มาอยู่ร่วมกัน คือสิ่งที่มีอยู่แล้ว มันย่อมต่างกัน แต่คุณอยู่ด้วย สมานสังวาส พระอรหันต์ทุกองค์ ก็เหมือนกัน และมีความต่างกัน แต่ร่วมกัน ถ้าจะไม่ร่วมกัน เพราะต่างกันมาก็คือ นานาสังวาส ไม่อาบัติ เรามีความปรารถนาดี ให้อยู่ร่วมกันได้ และ อยากให้เลิกบาป ไม่ใช่ความอิสสาริษยา

        ผู้ที่มีความรู้ในสิ่งดี และอยู่สมานสังวาสกับสิ่งดี และรู้ว่าสิ่งไหนไม่ดี ที่จะไม่ สมานสังวาส รู้ว่าโลกียะ ก็เป็นเช่นนี้ แล้วอยู่กันอย่างมี สัจจานุโลกมิกญาณ จะอยู่กับคน อย่างไม่มีภัย ไม่มีโทษ นอกจากสุดวิสัย ที่ท่านเข้าใจไม่ได้ เข้าใจไม่พอ พระอรหันต์ บางรูป ก็เข้าใจโลกไม่พอ ไม่รู้สมมุติของโลก เกินนั้นแล้ว ท่านไม่รู้ ท่านก็เข้าใจ ผิดพลาดได้  ท่านรู้ในกรอบ ใน content concept ของท่านอย่างนี้ ท่านก็จัดการ ตามประสา

        ในกระดานหมากรุกทั้งหมด คือตัวเล่น เรียกว่า content หรือภาษา เรียกว่า สารบัญ ส่วน context คือตัวรวมอยู่ในนั้น แล้วคนนี้เข้าใจหมด ประสาน ตั้งแต่หยาบ ไปถึงละเอียด พระอรหันต์ ท่านก็ทำ context ได้เท่าที่ ท่านมีความรู้ แต่ท่านไม่มี มโนสัญเจตนา ในทางร้าย อย่าปรับอาบัติท่าน

        สรุปคือ ท่านมีแต่ความจริงใจ มีโลกวิทู ทำงานอยู่กับโลก ท่านจึงมี โลกานุกัมปายะ (อนุเคราะห์โลก) มีความรู้ ความสามารถเท่าใด ก็เพื่อประโยชน์ต่อ สังคมโลก ให้อยู่อย่าง สงบสุข เป็นวูปสโมสุข เป็นปรมังสุขัง ไม่ใช่โลกียสุข คนที่ยังไม่รู้จัก วูปสโมสุข คือคนที่แยก ระหว่าง เคหสิตเวทนา กับ เนกขัมสิตเวทนา ไม่ออก ทุกวันนี้ ก็สงสารศาสนาพุทธ ที่แยกไม่ออก ในเคหสิตอุเบกขา  กับ เนกขัมมสิตอุเบกาขา ซึ่งมันเป็น ความเป็นกลาง ที่เขาเข้าใจผิด ไปเห็นว่า ความเป็นกลาง คือไม่เข้าข้างใครเลย ที่จริง ต้องเข้าข้างคนดี ต้องตำหนิคนชั่ว (นิคคัณเห นิคคหารหัง) การตำหนิ การยกย่อง นั้นต้องมี ปัญญาปาสาโท คือปัญญาที่เหมือน มองจากที่สูง บนยอดปราสาท มององค์รวม ทั้งหมดออก

        ลักษณะของสิ่งที่สุดยอด ทั้งรูปธรรม นามธรรม ว่า คนที่สามารถปฏิบัติธรรมะ จะรู้จัก การกำหนด “กาย” ในวิญญาณฐีติ ๗ จะรู้ว่า ความเป็นสัตว์ ให้หมด ความเป็นสัตว์ ให้จิตเป็น มนุสโส ถ้าทำไม่สำเร็จ ก็มีความเป็นสัตว์อยู่ เป็นสัตว์ใน สัตตาวาส ๙ ต้องอ่าน “กาย” ให้ออก มีสัญญา กำหนดความเป็นอากาสไม่ได้ ว่างในรูปธรรม ในนามธรรม ผู้ที่จะรู้ความว่าง ในนามธรรม คือผู้มี อรูปฌาน ๔ มีความหยั่งรู้ กายที่เป็นอากาส อยู่ในปริเฉทรูป คืออากาสธาตุ ส่วนอากาศ ที่เป็นรูปธรรม โดยตรง ฟิสิกส์เขาก็เรียนรู้อยู่แล้วไม่ยาก แต่อากาศของนามธรรม เช่น ขั้นพรหม อาภัสราพรหม เป็นแสงสว่างใส คำว่า ใสสะอาด คืออาภัสรา ต้องอ่านจิต ที่ใสสะอาดได้ อนันโต วิญญานัญติ รู้จักวิญญาณ ตลอดทั่วถ้วนเลย วิญญาณว่าง สะอาดบริสุทธิ์ เพราะวิญญาณ ยังมีความเป็นชีวะ เป็นนามธรรม ส่วนอากาศนั้น ไร้ชีวะ

        เรารู้ว่าอะไรไม่มี อะไรที่จะไม่ให้มี แล้วจะมีอะไร คือสุดท้ายต้องพ้น เนวสัญญา นาสัญญายตนฌาน คือสุดจบ แต่ถ้าพวกฤาษี คือจะไม่พ้น เนวสัญญาฯ​ จะเป็น อสัญญีสัตว์ ได้นิโรธดับมืด คือเขาคิดว่า นี่คือ สุดยอดของ สิ่งที่ควรได้ เป็นความมืดดับ ว่าเป็นโชคของเรา ที่ได้สิ่งสูงสุด เท่าที่จะสัญญาได้ เรียกว่า มิจฉานิโรธ เขาก็ได้สิ่งนี้ ที่พระพุทธเจ้า ท่านแยกนิโรธของโลกีย์ ที่ถือว่าสูงสุด ก็ได้ความมืด ความดับ แต่ถ้านิโรธของสว่าง ก็ได้อาภัสราพรหม เป็นสายใสๆๆ อยู่ในภพ อย่างนั้น ไม่มีจบ ทางด้านใส จะไปไกล เป็นความยาวนาน ไม่มีวันจบ คนพวกนี้ ชอบสิ่งที่ไกลๆ ไปไม่มีที่สิ้นสุด ปั้นเทวดา ส่วนพวกนิโรธดับ จะไม่ปั้นอะไร เหมือนพวกสว่าง เพราะมันมืดดับ ได้สุดยอดแล้ว เป็นวิสัญญี ทำให้ประสาทไม่รับรู้ อย่างหมอวิสัญญี ที่วางยาสลบ

ต่อไปเป็นเรื่องของเหตุการณ์บ้านเมือง....

        ตอนนี้กลุ่มประชาชนที่ตื่นตัว เอาจริงที่สุด ตอนนี้มีสามกลุ่ม มีสามเส้า หลายคน ยังรู้สึกว่าขัดแย้งอยู่บ้าง แต่ลักษณะสมาน มันมีมากกว่า ในสามกลุ่มนี้ กลุ่มที่เกิดได้ก่อน คือกลุ่มที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย กลุ่มถัดมา คือกลุ่มที่ผ่านฟ้า ส่วนกลุ่มที่เกิดถัดมา คือมัฆวาน เป็นสามกลุ่ม เป็นสามเส้า มีการเคลื่อนที่ เป็นเส้าที่สี่ ออกมาได้ ถ้าเส้าที่สี่ รวมกัน เคลื่อนเมื่อไหร่ก็จบ พลังงานที่ ๔ เกิดก็จบ อาตมาไม่เชื่อว่า ความยากของ งานการเมือง จะต้องถึงขั้นที่สามเส้า ซ้อนสองรอบ ที่จะต้องสู้กันถึง ๗ จึงจะต้องชนะ ไม่เชื่อว่าคนไทย จะตกต่ำขนาดนั้น แม้คนหรือกลุ่ม ที่เราจะต้องปราบ จะแรงจะร้าย จะเลวชั่ว ขนาดไหนก็ตาม ที่คนไทยไม่เคยเจอ มาเจอครั้งนี้ ก็หนักหนา สาหัส แต่ก็รู้สึกว่า ไม่เท่าไหร่หรอก ถ้าสมานกันให้ดี โดยเฉพาะ ผู้คุมเกมนี่แหละ ต้องคุมให้ดี โดยเฉพาะ ตัวอัตตา ของแต่ละคนนี่แหละ ชอบพูดกันว่า ผมไม่มีอัตตา ซึ่งอัตตาตัวนี้เป็น อรูปอัตตา ไม่ใช่รู้กันได้ง่ายๆนะ มาพูดกันว่า ผมไม่มีอัตตา อย่ามาพูดเลย แม้แต่ โอฬาริกอัตตา ก็ยังติดอยู่เลย   อาตมาไม่ใช่ ชาวอินเดียในชาติก่อน ก็ใช้ภาษาบาลี ไม่ได้ชำนาญนะนี่

        อาตมาเคยพูดว่า ชมพูทวีป ตอนนี้ย้ายจากอินเดีย มาอยู่เมืองไทย จะอยู่ไปอีกนาน และ ชมพูทวีปนี้ หมายถึง หทัยรูป ซึ่งย้ายมาอยู่ที่คนไทย ที่เป็นพุทธ มีมากกว่า ประเทศอื่น ก่อนอาตมาเกิด ก็มีมาแล้ว พุทธมีอยู่แล้วในไทย ผู้ที่จะมาเป็น อรหันต์ ต้องมาที่เมืองไทยนี่ ต้องมาถ่ายทอดเชื้อ ของความเป็นอรหันต์ให้ เชื้อนี้ คิดเอาเองไม่ได้ ต้องมีตัวเชื่อม ถ่ายทอด ต้องมาแต่เหตุ ถ้ายังไม่ถึง สยังอภิญญา ก็ไม่ได้ ต้องรับจาก ของคนอื่น

        สิ่งที่เกิดจริงขณะนี้ที่เกิด ราชดำเนินนี่คือ ที่เกิดประชาธิปไตย มันเป็นเรื่องที่ ถูกต้องแล้ว ส่วนราชประสงค์นั้น ไม่ใช่ของจริง เป็นแค่ประสงค์ แต่ว่าราชดำเนิน คือที่ๆ ราชา มาดำเนิน ลงมาเดินแล้ว ไม่ใช่แค่ประสงค์ ผู้ที่จะดำเนินมาสู่ตรงนี้ ถูกแล้ว เริ่มที่กลุ่ม สามเสนมา ไม่มีใครรู้ว่า จะมายึดที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

        นักประท้วงที่ใครคิดว่า ต้องเคลื่อนไหว จึงจะกดดันนั้น ไม่ใช่แล้ว ยุคนี้ไม่ใช้ การกดดัน คือการเคลื่อนไหว แต่ใช้ตัวหยุดนิ่ง เป็นตัวกดดัน แม้แต่ตำรวจ ยังใช้ยุทธวิธีนี้เลย เลียนแบบดารา

        ตอนนี้ตำรวจก็เปลี่ยนแปลงแล้ว คนไทยโกรธง่ายหายเร็ว ไม่พยาบาทมาก แต่ว่านายกฯ ดูยังไม่ยอมจริง ยอมไม่ยอม ไม่ได้อยู่ที่ตัวเอง เป็นเหมือน หุ่นกระบอก แล้วก็บอกว่า ดิฉันคิดเอง ทำเอง ใครเชื่อบ้าง?

        พระโพธิสัตว์มหาโพธิสัตว์ จะมาอุบัติในโลก นั้นเป็นตถตา ต้องเป็นเช่นนั้นเอง พระพุทธเจ้า จะเกิดวันนี้ ตรัสรู้วันนี้ ทุกอย่างต้องลงตัว ทั้งรูปและนาม ใครจะเลียนแบบ เป็นเรื่องยาก จะไม่แสดงพยากรณ์ ไม่แสดงอย่าง นอสตราดามุส อย่างหมอดู ดีที ก็ไม่เอา แม้นักพยากรณ์ ใต้ต้นมะขาม ก็ไม่ทำ

        นี่ไม่ได้ทำนายว่า จะชนะนะ แต่ว่าถ้าสามเส้า ร่วมกันก็เป็นสี่ จะชนะ แต่ถ้าสามเส้านี้ รวมกันไม่ได้ ก็ไม่มีวันชนะ

        คนเขาไล่ล่าสัตว์ ล่าลาภยศสรรเสริญ แต่อาตมา ไล่ล่าเวลา จะซื้อก็ไม่ได้ จะเช่า ก็ไม่ได้ ไล่ล่าเวลา เดี๋ยววันๆ แก่ไม่ทันเลย

        อาตมาก็ให้ความรู้ ทางธรรมะเป็นหลัก ส่วนการเมืองนั้น ก็มีคน ให้ความรู้อยู่ การเมือง ที่สุดยอด ที่ทำมาคือ Neo Protest ทำแผ่นพับ เผยแพร่แจกออกไป มีแปล ภาษาอังกฤษด้วย และยืนยันว่า ไม่ได้ผิดเพี้ยนไปจากเดิม ที่ทำมาแต่อย่างใด

        สรุปคือ เราต้องทำความเข้าใจ ทำสมานสังวาสกัน ผู้ที่เป็นแกนนำ แม้ไม่คิดว่า เป็นแกนนำ อีกอันหนึ่ง ที่จะต้องพูดคือ ลักษณะที่สมบูรณ์ สิ่งที่บ่งบอกคือ ว่าที่นี่ มันสมบูรณ์ คือที่ๆเราเดินมา แล้วมีนักรบทางธรรม คู่กับนักรบทางโลก อาตมา เป็นนักรบทางธรรม พล.อ.ปรีชา เป็นนักรบทางโลก รบมาไม่เคยแพ้เลย อาตมารบมา ตลอด ๔๐ ปี ไม่เคยชนะเลย มันเป็นหนึ่งเดียวกัน ขอให้ทุกคน One for all ให้ได้ ...เอวัง
       

 

 
๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ที่ สวนลุมพินี กทม.