561114_สงครามสังคมฯ โดยพ่อครู สมณะโพธิรักษ์,.ปราโมท,.สมศักดิ์

เรื่อง ปฏิวัติประชาชน ปฏิรูปประเทศไทย ตอน ๓

        พ่อครูว่า... วันนี้เป็นวาระที่ อาตมาจะได้สาธยายไป พวกเราให้ ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป อย่าใจร้อน อาตมาก็กำลังไข ความจริงออกมา ให้มากๆ หมดๆ ทุกวันๆ ใครทำเท็จ ทุจริตก็ทำไป แต่สิ่งไม่ดีงามนั้น เป็นกรรม คำว่าเดรัจ ก็ไม่ใช่ว่า มีแต่ตัว เป็นสัตว์ แต่ว่าสัตว์เดรัจฉานนั้น อยู่ในจิตวิญญาณคน นี่แหละ พระพุทธเจ้า แบ่งเป็น สัตตาวาส ๙ ที่เราทำอยู่ ตอนประท้วง โหวตโน มีภาพคน ใส่เสื้อนอก ผูกเน็คไท แต่หัว เป็นสัตว์ต่างๆ นั่นแหละ สื่อถึงจิตวิญญาณ ที่เป็นสัตว์ ในร่างคน

        พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้ ความเป็นสัตว์ ทางจิตวิญญาณ พุทธเป็นศาสนา ปรมัตถสัจจะ เกินจิตวิญญาณ ระดับโลกียะ จากกิเลส ที่ไปหลง ลาภยศสรรเสริญ โลกียสุข อาการทุกข์ จิตของเราทุกข์นั้น เราก็จะอ่านออกว่า ใจเราทุกข์ ใจเราสุข เป็นอย่างไร ก็อ่านออก อ่านอาการ มันไม่ได้เห็นเป็นรูปร่างนะ หรืออาการเปรต มันไม่มีร่างกาย รูปร่างสีสัน ให้เห็นเป็นตัวตนนะ แต่เป็นนามธาตุ หรือนามกาย รับรู้ได้ด้วยจิต คำว่า กายนี้ ไม่ใช่ร่างสรีระ เฉยๆนะ แต่หมายถึง นามธรรม หรือ จิตวิญญาณ เป็นหลัก รวมทั้ง สรีระร่างกายด้วย ที่มีความต่อเนื่อง เชื่อมต่อกันอยู่ คนทั่วไป จะมีภาพในใจ คือมโนมยอัตตา ผู้ที่เรียนรู้ดีแล้ว มโนมยอัตตา จะหายไป ลดลงๆ จนที่สุด ไม่ให้เกิดอีกได้ มีนิมิต เป็นรูปร่างแทน เป็นเครื่องหมาย ที่เราสร้าง ขึ้นมาได้

        คนอวิชชา ก็ปั้นภาพในจิต หลอกตนเองว่า มันมีรูปร่างตัวตน เป็นผี เป็นเทวดา สารพัด แล้วก็ปั้น จนรู้สึกว่าเป็นของจริง แต่ผู้ที่ฝึกจิตดีแล้ว ไม่ต้องรู้เป็นรูปร่างสีสัน ไม่ต้องปั้น รูปร่าง ก็ได้ เมื่อหลับตาลง ก็จำสัญญาได้ว่า รูปร่างอย่างนี้ เป็นอะไร ไม่ต้อง ไปสร้างปั้นเอา เราก็จำได้ ว่ารูปร่างนี้ สีสันนี้ รายละเอียดอย่างนี้ คุณก็สามารถรู้ได้ จะเป็นภาพ ปรากฏ หรือไม่เป็นภาพก็ได้ แม้เป็นภาพ ปรากฏ มันก็ไม่ใช่ของจริง มันเป็น ความจำ หรือสัญญาเท่านั้น หรือว่าคุณไปนิมิต สร้างมันเอง

        ต้องหัดอ่าน อาการในจิตให้เป็น ตั้งแต่เวทนา มันไม่มีรูปร่างแล้ว กายทิพย์นั้น เราเห็นได้ เวทนา ก็เป็นกายทิพย์ เป็นองค์ประชุม ของความสุข เรียกสุขเวทนา องค์ประชุม ของความทุกข์ เรียก ทุกขเวทนา แต่เรารู้ได้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส 

        อาการขี้โลภมี เราก็อ่านให้ออก อ่านจิตคุณ เช่นอยู่ในสภา เขากำลังจ้างยกมือ ในสภา คุณรับจ้างเขา คุณอยากได้เงิน ก็เป็นจิตเปรต คุณต้องฝึก ให้มีความฉลาด อย่างปัญญา คือมีความรู้ความสามารถ ในการกำจัด อาการเปรต แต่ว่าคนเราส่วนใหญ่ จะมีความฉลาด ที่มีกิเลส มากขึ้นๆ เรียกว่า ฉลาดแบบเฉโก ฉลาดมีกิเลสมาก ก็ยิ่งซุกซ่อน อำพรางเก่ง โกงมาก ทุจริตมาก ปลิ้นปล้อนได้มาก พูดขาวเป็นดำ พูดดำเป็นขาวได้มาก นี่คือสัจธรรม

        พวกเราทำงานกับสังคม ต่อสู้ทางการเมือง มาถึงวันนี้แล้ว เรามาเป็นประชาชน มาปฏิวัติ แล้วการปฏิวัติ เป็นเรื่องดี เรียกว่า ประชาชนปฏิวัติ เราทำนี้ เจริญขึ้นมา ต่างจากประหาร เราปฏิวัติรัฐบาล ก็คือเอารัฐบาลออก ส่วนปฏิรูป คือการเปลี่ยนแปลง แบบค่อยเป็น ค่อยไป ส่วนปฏิวัติ เป็นการเปลี่ยนแปลง ที่รวดเร็วฉับพลัน

        ตอนนี้เราเรียกว่า ๔ ป. คือประชาชน ปฏิวัติ ปฏิรูป ประเทศไทย มีตัวหนังสือ อยู่ข้างหน้าเวที ตอนนี้เราก้าวถึงขั้น ประกาศปฏิวัติแล้ว โดยประชาชน หน่วยที่ ราชดำเนิน ตอนนี้มี ๓ หมู่ใหญ่ เป้าหมายเดียวกัน

        คนในบ้านเรา มีคน ๖๕ ล้านคน เราจ้างเขาไปเป็นตัวแทน แต่เขาทำหน้าที่ บกพร่อง ทุจริต ทำเดือดร้อนแล้ว เราก็ต้องปฏิวัติ ให้ท่านออกไปทันที เราทำปฏิรูป มานานแล้ว ตอนนี้ ต้องปฏิวัติแล้ว ในสังคมที่ ยังไม่เจริญนั้น เขาอาศัยกำลัง ของทหาร กำลังหอก ดาบปืน ประชาชน มาเข่นฆ่ากัน แล้วยอมด้วยอำนาจ แต่ยุคอย่างนั้น มันผ่านไปแล้ว ยุคนี้ต้องใช้ มวลประชาชน มายืนยัน โดยหลักเกณฑ์ Majority rule แต่แม้ส่วนน้อย ที่ถูกต้อง ก็มีสิทธิ์ประท้วง ต้องยอม ให้กับกลุ่มน้อย แต่เป็นกลุ่ม ที่ถูกต้องที่สุด อย่างกลุ่มเรา แม้มีมวลน้อยที่สุด แต่ก็แน่น อยู่เป็นหลัก อยู่ประจำ นานที่สุด พวกนั้น จรไปจรมา

        เอาความถูกความจริง มาตัดสินกัน เพราะคุณทำผิด คุณกำลังล้มล้าง รัฐธรรมนูญ คุณทำผิด คุณออกไปได้แล้ว แต่ก็ยังตะแบงว่า ไม่ผิด ตอนนี้ เรากำลังจะไล่ ลูกจ้าง ออกไป ตามรัฐธรรมนูญ เขาทำผิด แม้มาตรา ๑ ก็ทำผิด เขารักษาแผ่นดินไม่ได้ เสียดินแดนไปหยกๆ วันที่ ๑๑ พ.ย. ๕๖ นี้ คณะคุณบริหารดูแล ทำให้เสียดินแดนอยู่น่ะ มาตรา ๑ นี้คุณทำผิดแล้ว แม้มาตรา ๓ คุณก็ทำผิดไปหมด ในเรื่องการบริหาร และนิติบัญญัติ

        ตอนนี้เกิดสุญญากาศ ทางการเมืองแล้ว เพราะเราประกาศ ขอยึดอำนาจแล้ว โดยประชาชน ไม่มีเลือดตกยางออก โดยสงบ ไม่มีอาวุธ ไม่มีการปิดบัง เปิดเผย ส่วนการ ยึดอำนาจ รัฐประหารนั้น เขาทำอย่างลับ แต่เราทำ อย่างเปิดเผย เดินธรรมยาตรา ไปถวายฏีกา อย่างเปิดเผย สง่างาม ถึงพระหัตถ์แล้ว ก็รอแต่ วันที่ท่านจะมี พระราชวินิจฉัย เท่านั้นเอง

        เขาไม่รู้ตัว เขาก็ลอยหน้าลอยตาทำอยู่ แล้วหาว่า เราเล่นขายของ หาว่าเราตลกน่ะ แต่คุณไม่รู้ว่า สิ่งเหล่านี้ เราทำด้วยพฤตินัย มีหลักฐาน ครบถ้วน ไม่ใช่เรื่องเล่น เรื่องสมมุติ เรากำลังยึดอำนาจ จากรัฐบาล นี่คุณมาเล่นๆ หรือตั้งใจทำจริง... คนดูตอบว่า ทำจริง

        แต่ว่ามันเป็นสิ่งใหม่ ไม่มีเลยในโลกนี้ ไม่ใช่รัฐประหาร ที่เคยเป็น เราไม่ได้ทำ อย่างเก่าๆที่ใช้อาวุธ รัฐประหาร แต่เราไม่มีอาวุธ สงบเรียบร้อย เปิดเผยความจริง อย่างเบิกบาน ชนะด้วยความจริง ความถูกต้อง ถ้าไม่หน้าด้าน คุณจำนนไปนานแล้ว แต่นี่ มันด้านเกินไป ใช่ไหม มาถึงวันนี้ เราก็ใจเย็นๆไปอีก มันจะมีพฤติกรรม ทางการเมือง ที่สวยงามอีก สักวัน จะสมบูรณ์ พล.อ.ปรีชา ก็บอกย้ำอยู่

        ถ้าเรามีทั้งปริมาณ และคุณภาพ มาตอนนี้ คุณภาพเรา ถูกสมบูรณ์แล้ว เราทำ ชี้ถูกชี้ผิด เขาผิด เขาต้องรับ แต่ถ้าทั้งปริมาณ ก็มีมากขึ้นมา ตอนนี้เพิ่ม เต๊นท์ใหญ่อีก ๕ หลัง ของเรามีการชุมนุมทั้ง ๓ ที่ นี้เป็นหนึ่งเดียวกัน หรือที่อื่นๆอีก จากสีลม ศิริราช สหภาพ นักเรียน ทุกจ้าวรวมกัน เป็นเป้าเดียวกัน

        ขณะนี้อาตมาทำได้ อย่างสวยงาม เราจะปฏิวัติประชาชน เป็นประเทศแรก ที่ไม่เกิด เลือดตก ยางออก แม้สักหยดเดียว เกิดสุญญากาศ ทางการเมืองแล้ว รอเป็น ราชประชาสมาสัย

        .ปราโมท นาครทรรพ... เชื่อว่าความสำเร็จ ได้เกิดแก่คนไทยแล้ว ที่พ่อครูว่า ที่นี่ มีคนน้อยนั้น แต่ผมคิดว่า ที่นี่ทำให้เกิด ความตื่น ลุกฮือขึ้น ในประวัติศาสตร์ ชาติไทย อย่างไม่เคยเกิด มาก่อน ทุกมุมโลก ทุกจังหวัด ทุกอาชีพ ทุกเพศวัย ทุกเชื้อชาติ ที่ลุกขึ้นมา คนเหล่านี้ ถ้าไม่มีปรัชญา การต่อสู้ อย่างอหิงสา เขาจะไม่ลุกขึ้นมา มากมาย อย่างนี้

        ก่อนมานี้ไปจุฬาฯ ก็ได้พบบุคคลสำคัญ ที่ทำให้เกิดสีลม เกิดจามจุรี สามคนนี้ เล่าให้ฟัง ฟังแล้ว ก็ชื่นใจ เขาเล่าว่า ที่สีลม ได้พากันลุกขึ้นมานั้น ด้วยแรงจรรโลงใจ จากกองทัพธรรม ไม่ใช่อย่างอื่น เขาไม่สังกัด พรรคการเมืองใด อยากจะจัดเพียง สองสาม พันคน แต่ว่าก็ทยอยมากันเป็นหมื่น ตอนนั้น ก็มีผู้แทน นักกฏหมายเข้ามา แต่เขามาด้วย วัตถุประสงค์ใด ก็แล้วแต่ เราก็ต้องต้อนรับ เพราะเขามาด้วย อยากปลด รัฐบาลนี้ด้วยกัน

        อีกท่านหนึ่งคือ อ.จรัส สุวรรณมาลา ท่านเคยขึ้นเวทีที่นี่ เพิ่งกลับจาก อเมริกา ได้เห็น การโกหก ครั้งใหญ่ ถ้าปล่อยให้คนโกหก มีอำนาจ คงทำเลวร้าย ต่อไปอีก และโกหก ที่ท่านทนไม่ไหว คือโกหกเรื่อง พระราชอำนาจ ก็เลยไปปรึกษา อธิการบดี จุฬาฯ​ ว่าอยากจัดชุมนุม ต่อต้านความไม่ดีงาม ท่านอธิการบดี ก็สนับสนุน และก็บอกว่า ให้ต่อสู้อย่าง สันติ อหิงสา เหล่าจามจุรี สีชมพู ก็พากันหลั่งไหล ออกมากันอย่าง ล้นหลาม

        ประเทศไทย เคยเกิดสภาปฏิวัติมาก่อน ก็ให้เหล่าทัพ และข้าราชการ มารายงานตัว แต่ว่า คณะปฏิวัตินี้ ได้ถูกจับเสียก่อน แต่ก็มีการ สั่งยกฟ้อง และปล่อยตัว ในภายหลัง

        ราชประชาสมาสัย... อ.ปราโมท ได้นำหนังสือเรื่องนี้ มาแล้ว ซึ่งเป็นหนังสือ ที่ไม่มี สำนักพิมพ์ไหน อยากพิมพ์ เคยมีสำนักพิมพ์ สองสำนัก เอาไปแล้ว แต่ไม่ได้มีการพิมพ์ ออกมา

        ราชประชาสมาสัย เพื่อให้ประเทศไทย ได้สงบสุข อย่างแท้จริง อย่างหลังเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาฯ

        และศีลธรรม จำเป็นต่อการเมือง การปกครองมาก อย่างพระพุทธเจ้า ไม่ส่งเสริม สงคราม หรือการสู้รบ ด้วยกำลัง แม้แต่ “ธรรม-อธรรมสงคราม” พระองค์ ก็ทรงแนะ ให้หลีกเลี่ยง เพราะผู้ชนะ จะเป็นผู้ก่อกรรม และผู้แพ้ จะคุมแค้น ทุกข์ทรมาน พระองค์ ทรงห้ามทัพ และป้องกันสงคราม ระหว่างขุนศึก ด้วยพระองค์เอง หลายครั้ง เช่น สงคราม ระหว่าง ศากยวงศ์ และโกลิยวงศ์ ที่แย่งใช้แม่น้ำ โรหิณีกัน ทรงห้าม พระเจ้าอชาตศัตรู มิให้โจมตี แคว้นวัชชี เป็นต้น

        พระองค์ทรงแสดง ความแตกต่าง ของรัฐบาล ที่กดขี่คดโกง กับรัฐธรรมาภิบาล และ ทรงบรรยายถึง ขบวนการที่รัฐบาล เสื่อมทราม เพราะหัวหน้ารัฐบาล เกิดความโลภ และเบียดเบียน พระองค์ตรัสว่า

        “เมื่อผู้ปกครองประเทศ สุจริตและยุติธรรม เสนาบดี ก็จะสุจริต และยุติธรรม เมื่อเสนาบดี สุจริตและยุติธรรม ข้าราชการผู้ใหญ่ ก็จะสุจริต และยุติธรรม เมื่อข้าราชการ ผู้ใหญ่ สุจริตและยุติธรรม ข้าราชการผู้น้อย ก็จะสุจริตและยุติธรรม เมื่อข้าราชการผู้น้อย สุจริต ยุติธรรม ราษฏรก็จะสุจริต และยุติธรรม สังคมก็จะเป็นสุข สวัสดี (อังคุตตรนิกาย)

        ใน จักรวรรดิ สีหนันทศสูตร พระองค์ทรงอธิบายถึง ความเสื่อม ศีลธรรม จรรยา อันนำไปสู่ โจรกรรม อาสัตย์ การแก่งแย่งชิงดี ความเกลียดขึ้ง ประสงค์ร้าย ทั้งหมด จะนำบ้านเมือง ไปสู่ ความลำบาก ยากจน ซึ่งไม่สามารถ จะแก้ไขได้ ด้วยการใช้กำลัง แต่ด้วยธรรม และความเมตตา กรุณา และในพระสูตรอื่นๆ ทรงแนะนำ การพัฒนา เศรษฐกิจ แบบพุทธ คล้ายกับ เศรษฐกิจพอเพียง ของในหลวง และทรงย้ำว่า นี่คือ วิธีพัฒนา ที่แท้จริง ต้องไม่ใช้อำนาจ

        ผมจะไม่พูดถึง ทศพิธราชธรรม ซึ่งเป็นที่รู้ดีอยู่แล้ว และจะข้ามไป ตอนที่สนุก ว่าแม้แต่ พระพุทธองค์ ก็ทรงตระหนักว่า การต่อสู้ ระหว่างธรรม กับอธรรม ด้วยกำลังนั้น เป็นสิ่งหลีกเลี่ยงมิได้ เมื่อถึงคราวจำเป็น ผู้มีธรรม ก็จะต้อง เป็นผู้ที่กล้า

        ใน “ขุรัปปชาดก” เรื่อง “ ถึงคราวกล้าควรกล้า” พระพุทธองค์ เสวยชาติเป็น ผู้พิทักษ์ คาราวานสมบัติ มีโศลก ว่าดังนี้

       ถาม “เมื่อท่านเห็นพวกโจร ยิงลูกธนูอันแหลม ถือดาบ อันคมกล้า ซึ่งขัดแล้ว ด้วยน้ำมัน เมื่อมรณภัย ปรากฏเฉพาะหน้าแล้ว เหตุไฉนหนอ ท่านจึง ไม่มีความครั่นคร้าม.

       ตอบ เมื่อเราเห็นพวกโจร ยิงลูกธนูอันแหลม ถือดาบอันคมกล้า ซึ่งขัดแล้ว ด้วยน้ำมัน เมื่อมรณภัย ปรากฏเฉพาะหน้าแล้ว เรากลับได้ความยินดี และโสมนัสมากยิ่ง.

       เรานั้น เกิดความยินดี และโสมนัสแล้ว ก็ครอบงำ ศัตรูทั้งหลายเสียได้ เพราะว่า ชีวิตของเราๆ ได้สละมา แต่ก่อนแล้ว เราไม่ได้ทำ ความอาลัยในชีวิต บุคคลผู้กล้าหาญ พึงกระทำ กิจของคนกล้า ในกาลบางคราว."

        ใน ”มิลินทปัญหา” พระอรหันต์ที่พระพุทธเจ้า ทรงให้ลงมาเกิด เป็นพระนาคเสน ตอบพระเจ้ามิมิลินท์ว่า

        “หากบุคคล ขาดคุณสมบัติที่ดี ไร้ความสามารถ ไร้ศีลธรรมจรรยา ไม่เหมาะสม ได้ขึ้นบัลลังก์ มาเป็นใหญ่ มีอำนาจ มากเพียงใด เขาจะถูกฉีกเนื้อ และลงฑัณฑ์ โดยประชาชน เพราะเขามิได้ขึ้นมา และมิได้อยู่ในอำนาจ ด้วยความชอบธรรม ผู้ปกครอง เยี่ยงนี้ เหมือนผู้ปกครอง ทั้งหลาย ที่ฝ่าฝืน ทำลายศีลธรรมจรรยา และ กฏเกณฑ์ของสังคม ก็จะถูกประชาทัณฑ์ เยี่ยงเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ปกครอง ที่ประพฤติตน เหมือนโจร ปล้นสมบัติ ของแผ่นดิน”

        คำว่าราชประชาสมาสัย เกิดขึ้นมาในโลก เป็นภาษาไทย ที่ยืมมาจาก ภาษบาลี แล้วศัพท์นี้ มาจาก พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวภูมิพล ท่านเป็นผู้ทรงบัญญัติ ศัพท์นี้ ขึ้นมาจาก ขนบธรรมเนียม การปกครอง แต่โบราณ ตามจารีตประเพณี จากความสัมพันธ์ ระหว่าง กษัตริย์ กับประชาชน ตั้งแต่สุโขทัย หรือ รัตนโกสินทร์ ท่านเป็นผู้นำ ที่ประชาชนยกย่อง ให้เป็นหัวหน้า เป็นผู้นำ ที่เป็นคนจน และของคนจน เป็นระบบ พสกนิกร เอนกสมมุติ ท่านก็ประมวล คำนี้ขึ้นมาใหม่

        วันที่ 21 สิงหาคม 2552 ในหลวงทรงห่วงชาติล่มจม “ต่างคนต่างแย่ง ขอทุกคน ต้องเสียสละ พัฒนาชาติ ให้ก้าวหน้า   

        ในหลวง ทรงรับการทูลเกล้าฯ ถวายสิทธิบัตร ฝนหลวง ทรงมีพระราชดำรัส ขอให้ทุกฝ่ายร่วมมือร่วมใจกัน พัฒนาบ้านเมือง ทรงห่วงประเทศ กำลังล่มจม เพราะต่างคนทำ ต่างคน ต่างแย่งชิง ไม่เข้าใจกัน ทรงแนะทุกคน ต้องร่วมมือกัน ต้องเสียสละ ขอให้ผู้มีความรู้ พาบ้านเมือง รอดพ้นภัย สร้างความเจริญก้าวหน้า อย่างแท้จริง   

        ความจริง ราชประชาสมาสัย เข้าใจไม่ยาก ในหลวงทรงบัญญัติศัพท์ คำนี้ขึ้น เมื่อปี 2501 ทรงแปลให้ว่า "พระมหากษัตริย์แ ละประชาชน อาศัยซึ่งกันและกัน"

         และทรงแสดงตัวอย่าง ทรงพระราชทาน ทุนก่อตั้ง มูลนิธ ิราชประชาสมาสัย ในพระบรม ราชูปถัมภ์ ขึ้น เพื่อช่วยรักษา โรคเรื้อน มีแพทย์ พยาบาล และประชาชน โดยเสด็จด้วยแรง และการบริจาค เป็นจำนวนมาก บัดนี้ โรคเรื้อน จวนจะหมด จากแผ่นดินแล้ว

         ผู้เขียนจึงอยากให้เอา ราชประชาสมาสัย มารักษาโรคดื้อยา ของนักการเมือง ขี้เรื้อน ที่เต็มบ้าน เต็มเมือง อยู่ขณะนี้

 อุปสรรคสำคัญของ ราชประชาสมาสัย คือโรค ขี้เรื้อนการเมือง ซึ่งเกิดแต่นักการเมือง สื่อ และนักวิชาการ

        ราชประชาสมาสัย ที่แท้ก็คือ ประชาธิปไตย ที่มีพระมหากษัตริย์ เป็นประมุขนั่นเอง อำนาจของ พระมหากษัตริย์ ก็ไม่มาก ไม่น้อยกว่า นิติราชประเพณี จำเพาะที่ไม่ขัดกับ หลักประชาธิปไตยสากล บวกกับอำนาจ พระมหากษัตริย์ ตามจารีต และหลัก รัฐธรรมนูญ อังกฤษเท่านั้น ไม่มากไม่น้อยเช่นกัน

         อำนาจเหล่านี้ ถูกเกาะกุม และเบียดบังไว้ โดยนักการเมือง ผู้ยึดอำนาจ การปกครอง และ ผู้สืบสันดาน ตกทอด มาถึงปัจจุบัน พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงทวงถาม แต่รัฐบาล ไม่ยอมคืน จนเป็นเหตุให้ ทรงสละราชสมบัติ ทรงปรารภว่า ไม่สามารถคุ้มครอง เป็นที่พึ่งของ ปวงราษฎร

         ผู้เขียนเคยอธิบาย หลายครั้งว่า การคืนพระราชอำนาจ มิได้หมายความว่า ออกกฎหมาย ให้ในหลวง ทรงทำอะไรก็ได้ ตามพระราชประสงค์

         การคืนพระราชอำนาจ ทำได้โดย นายกรัฐมนตรี ต้องเข้าเฝ้าในหลวง เป็นประจำ ตามหมาย กำหนดการ เพื่อถวายรายงาน และรับคำแนะนำ ตักเตือน และให้กำลังใจ จากพระมหากษัตริย์ รวมทั้งการถวาย เอกสารสำคัญ เช่น รายงานการประชุม ครม. เป็นต้น

         นอกจากนั้น รัฐบาลต้องควบคุม ดูแลองค์กรต่างๆของรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่ได้รับมอบ อำนาจอธิปไตย ทั้งสาม จากพระมหากษัตริย์ ให้ใช้แทนปวงชน คือ บริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ซึ่งทุกฝ่าย จะต้องปฏิบัติ ตามกฎหมาย อำนาจหน้าที่ และคำปฏิญญา ที่ให้ไว้กับ พระมหากษัตริย์

        สุญญากาศทางการเมือง จะเกิดได้ ก็ด้วยหลายเหตุ เช่น ศาลเกิดตัดสินว่า ยุบพรรคหมด เช่น เราแผ่นเมตตา ให้มากๆ เราแผ่เมตตา ให้ยิ่งลักษณ์ ทักษิณมากๆ อาจกลับใจ ได้เก่งกว่า เทวฑัต ก็อาจเป็นได้ ถ้ารัฐบาลนี้ หายตัวไปเป็นช่องว่าง แล้วเรา เอาตัวเรา ไปอยู่ในสุญญากาศ ทางการเมืองนี้

        พ่อครูว่า... ราชประชาสมาสัย ต้องเป็นองค์ประกอบของ ประชาชน กับ พระมหากษัตริย์ เป้าประสงค์ ของประชาชน ชัดเจนว่า ตรงกันแล้ว เป็นแต่เพียง มารวมกัน ให้ได้ ตอนนี้ได้ถวายฎีกา เสร็จแล้ว ก็เหลือแต่ ให้ในหลวง ทรงพระปรมาภิไธย เท่านั้น

        อ.ปราโมทว่า อำนาจที่สำคัญที่สุด ในแผ่นดินนั้น คืออำนาจ รัฐาธิปัตย์ ซึ่งอยู่ ทุกหน ทุกแห่ง เป็นอำนาจ ของปวงชน นั่นเอง ปวงชนชาวไทย ไม่ใช่ธรรมดา ไม่ไร้ที่พึ่ง เหมือนที่อื่น เวลาเกิดเหตุ ฆ่ากันตาย ก็ยังมีที่พึ่งทุกที มีอำนาจ มากกว่าใคร หลายหมื่น หลายแสนเท่า แล้วสถาบัน ที่เป็นที่พึ่งของเรา เป็นสถาบันที่ พัฒนากันมา เป็นพันๆปี ของไม่ดี เอามาใช้ ก็ถูกจัดการ ของดีก็สะสมไว้ สถาบันเราเรียนรู้มา ๕๐๐ ปีแล้ว พระนารายณ์ ก็เรียนมาจาก พระเจ้าหลุยส์ ควีนแอลิซาเบต ยังบอกว่า ได้เจอ พระเจ้าอยู่หัว ที่แท้จริงแล้ว

        .สมศักดิ์   เธียรจรูญกุล...ประเด็นหลัก คือการปฏิเสธอำนาจ ของศาลโลก

        รัฐบาลนี้ แม้ได้รับการเลือกตั้งมา แต่การเลือกตั้ง เป็นเพียงส่วนหนึ่ง ของการปกครอง ในระบอบ ประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข แล้วรัฐบาลนี้ ได้ทำสิ่งที่ผิด นิติรัฐ นิติธรรม หลายอย่าง รัฐบาลตอนนี้ ก็เหมือนโรงงาน ที่ปล่อย ของเสีย กฏหมายนิรโทษกรรม ก็เหมือนน้ำเสีย การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็อาจจะเป็น อากาศพิษ เราต้องแก้ไขต้นเหตุ คือโรงงานที่ปล่อยของเสีย ก็คือรัฐบาล

        หลายๆเรื่อง ร้ายแรงพอๆกัน ไม่มีอะไร ด้อยกว่ากัน แต่เรื่องล่าสุด ที่มีคดี ขึ้นสู่ศาลโลก มีคำวินิจฉัยไว้แล้ว เรามีทีม ทนายของรัฐบาล เขาบอกว่า ไทยก็ได้ กัมพูชาก็ได้ win win แล้วตกลงว่าใคร  win กันแน่ แล้วทักษิณ และฮุนเซน win ทั้งคู่ แต่ประเทศไทย และกัมพูชา แพ้

        คำตัดสินของศาลโลก วิเคราะห์ได้ว่า...
        มีหลักคือ ไม่ตัดสินเกินเลย จากคำตัดสิน พศ. ๒๕๐๕ แต่มีการแอบตีความ เกินเลยจาก คำตัดสินเดิม และมีการ แอบพิพากษา ประเด็นใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องต้องห้าม และ มีประเด็นต่อมา คือกระทบต่อ หลักเขตที่ ๗๓ ที่มีความสำคัญ อยู่ที่จ.ตราด จะมีผล ต่อพื้นที่ ในอ่าวไทย มีผลต่อทรัพยากร พลังงานทั้งหมด นี่คือ ทักษิณและฮุนเซน win ทั้งคู่ แต่ประเทศไทย และกัมพูชา แพ้

        มีการซ่อนแฝง คือให้พื้นที่กัมพูชา ไม่เท่าที่กัมพูชาขอ แต่เพียงพอ ต่อการบริหาร จัดการ ที่จะทำให้เป็น มรดกโลกแล้ว มีการให้อีก ๗ ชาติ มาบริหารจัดการ มรดกโลก นี้ด้วย

        ส่วนมีการต่อเนื่องไปถึง หลักเขตที่ ๗๓ แล้วอย่างไร มีฮุนเซน ออกมาประกาศว่า ศาลโลก ยอมรับแผนที่ หนึ่ง ต่อ สองแสนแล้ว ถึงบอกว่า ไม่สามารถยอมรับ อำนาจ ศาลโลกได้ คำวินิจฉัย และการตีความ ของศาลโลกนี้ เขาจะว่าอย่างไรว่าไป แต่อยู่ที่ บทปฏิบัติการ ของเราต่างหาก ศาลโลก ไม่มีสิทธิ์ชี้ขาด เรื่องเขตแดน เขาจะไม่สามารถ จับเราไปขัง ไปปรับได้ ยกเว้นแต่ มีคนไทยบางคน อยากยกแผ่นดิน ให้เขมรอยู่แล้ว วันนี้เรา จึงต้องปฏิเสธ ไม่ยอมรับ อำนาจศาลโลก

        ทำไมเราจึงต้องบอกว่า รัฐบาลนี้ ไม่ใช่ตัวแทน ประชาชน ที่จะแสดงเจตจำนงค์ ของประชาชน เพราะประชาชน เป็นเจ้าของ อำนาจอธิปไตย แต่รัฐบาล ไม่กระทำตาม เจตจำนงค์ ของประชาชน ที่ปฏิเสธ อำนาจศาลโลก รัฐบาลก็ไม่ใช่ตัวแทน ของประชาชนไทยแล้ว เมื่อทาง กปท. ประกาศปฏิวัติประชาชน ไปเมื่อวันที่ ๑๑ พ.ย. ๕๖ ก็เลยต้อง มารายงานตัว หลังประกาศ เจ้าหน้าที่บางคน บอกว่า การติดธงชาติ เป็นการผิดกฏหมาย ผมอยู่กับกฏหมายมานาน ก็ไม่มีมาตราไหน ที่บอกว่า ผิดกฏหมาย ถ้าประชาชน หยุดงาน ไม่มีบทบัญญัติ บอกไว้ว่า ผิดกฏหมาย ถ้าส่วนราชการ หยุดงานด้วย ถามว่า มือไม้ของรัฐบาล อยู่ตรงไหน รัฐบาลจะใช้ใคร เราทำชอบ ด้วยกฏหมาย

        ที่บอกว่า รัฐบาลทำตั้งหลายเรื่อง มานี่ คือทั้งเรื่อง แก้ไขเพิ่มเติม รัฐธรรมนูญ มีกฏหมายมาตรา ๑๙๐ เงินกู้ ๒.๒ ล้านๆบาท ทั้งหมด มีเนื้อหา มอบอำนาจให้ นิติบัญญัติ ให้ฝ่ายบริหารใช้​ ซึ่งทำไม่ได้ กลายเป็นว่า อำนาจนิติบัญญัติ ถูกโอน ให้ฝ่ายบริหาร โดยไม่ได้รับอนุญาต จากเจ้าของอำนาจ คือประชาชน วิธีการนี้ ไม่มีประเทศไหน ใช้มาก่อน นอกจาก ในเยอรมันนี สมัยฮิตเลอร์ เขาทำให้เกิด นิติวิธี อย่างเดียวกันกับ ฮิตเลอร์ ทั้งทักษิณยิ่งลักษณ์ เขียนกฏหมาย ไม่เป็นหรอก ต้องมี นักกฏหมาย ในรัฐบาลเขียนให้ การเขียนกฏหมาย เหมือนฮิตเลอร์ใช้ ก็เหมือนกับ การสร้างฮิตเลอร์ ในเมืองไทย เป็นฮิตเลอร์ในเอเซีย

        ฮิตเลอร์ในเยอรมัน คลั่งชาติ บอกว่า ชาติเยอรมัน ดีที่สุด แต่ว่าฮิตเลอร์ ของเอเซีย นั้น ขายชาติ แล้วเราอยากได้ ฮิตเลอร์ขายชาติไหม? เพราะฉะนั้น ถ้าไม่อยากได้ ฮิตเลอร์ขายชาติ ต้องไล่รัฐบาลนี้ ต้องยิ่งลักษณ์ ออกไปๆๆๆ

 

 
๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ที่ เวทีสะพานผ่านฟ้าลีลาศ กทม.