561116_รายการสงครามสังคมฯ ที่เวทีผ่านฟ้าฯ โดยพ่อครู

เรื่อง ผู้รับใช้โลกจริงๆคืออย่างไร?

        พ่อครูว่า... วันพรุ่งนี้ ก็วันลอยกระทงแล้ว พวกเราที่ได้มาทำงาน ใช้ชีวิต มาทำประโยชน์ มั่นใจว่า เป็นการสร้างประโยชน์แก่โลก ที่พูดเช่นนั้น ก็คือ มันเป็นงาน อันยิ่งใหญ่ มันเหมือน ไม่ค่อยมีอะไร ข้างนอก เขาก็ไม่เห็นว่า ไม่มีอะไรสำคัญ ไม่มีค่าอะไร อาตมารู้สึกนะ เขาออกจะลบหลู่ๆ ซึ่งวัดจากกระแสของ สื่อสารมวลชน เรามาชุมนุม ขนาดนี้ เป็นงาน ระดับประเทศ และระดับโลก เพราะเป็นการปฏิวัติ ที่จะสะเทือน ไปทั่วโลก

        การสื่อสารมวลชน เขาก็เก็บข้อมูลไป การปฏิวัติ มันต้องสนุกตื่นเต้น ที่ผ่านฟ้าลีลาศ ที่กปท. และกองทัพธรรมนี่นะ จะรู้สึกว่า ยิ่งสื่อสาร เขาไม่ให้ ความสนใจ เขาอาจว่า เราหลงยุค ไม่เข้าท่าเลย อันนี้แหละ มันเป็นเครื่องแสดง วัดภูมิธรรม ความรู้ของ มนุษยชาติ เขาอาจเห็นว่า เราหลงตน หลงยุค หลงความรู้ ความจริง ก็แล้วแต่ เขาอาจมอง ว่าเราใช้คำว่าปฏิวัติ เพื่อล่อให้เกิด ปฏิวัติรัฐประหาร คือ การใช้กำลัง โดยเฉพาะ ให้กำลังทหารออกมา ซึ่งเราใช้คำแสลงว่า exercise ออกมาปราบปราม การชุมนุม ให้ราบคาบไป ซึ่งอย่างนั้น เรายืนยันว่า ไม่ต้องการ

        แม้งานนี้ เราจะไม่ชนะ อย่างที่เขาคาดหวัง หรือพวกเราคาดหวังกัน ว่าจะได้ อย่างนั้นแหละ หรือคนทั้งโลกมองว่า เราพ่ายแพ้กลับไป หน้าแหกหน้าแตก ก็แล้วแต่ ที่เราได้ทำกัน ตลอดเวลา ตั้งแต่ครั้งชุมนุม เสธ.อ้าย หรือตอนข้างทำเนียบ ที่คุณปรีชา นำไป อาตมามองในแนวลึก ของเนื้อหา อาตมาว่า เราได้สร้าง ขนบจารีต ของการเมือง ว่า ถ้าจะชุมนุม ประท้วงแล้ว เราทำเป็น ตัวอย่าง ของการชุมนุม อย่างสวยสด งดงาม มีเนื้อหา

        พวกเราเอง ก็พัฒนาเข้าใจ ในความรู้ พฤติกรรม ในการสร้าง ประชาธิปไตย อีกแบบ มันล้ำยุค มันเลยพ้นขีด ที่เขาเข้าใจแล้ว เราชุมนุม อย่างสวยงาม ประท้วงตามหลัก รัฐธรรมนูญ มาทำหน้าที่ อย่างสวยงาม สงบสันติ ไม่มีอาวุธ บอกความรู้ ความจริง ให้ชัดว่า ความถูกความผิด คืออย่างไร ทั้งทฤษฏี หลักฐาน สิ่งปรากฏจริง เป็นจริง หลักฐานอย่างไร แล้วเราก็เลือกข้างอย่างไร ความเป็นกลาง ต้องเข้าข้างคนดี เรามีส่วน ในสังคม ก็ต้องเข้าข้างคนดี ให้คนดี พลังงานความดี เจริญ​พอกเพิ่ม พัฒนาทวีคูณ ไปเรื่อยๆ เป็นการต่อสู้ทางสัจธรรม

        มวลมนุษย์นั้น มีทั้งรูปธรรม นามธรรม แม้แต่ความเป็นกลาง ที่เราทำมาตลอด พวกเราเข้าใจ ความเป็นกลาง ยิ่งขึ้นๆ สิ่งเหล่านี้ เป็นการพัฒนา มนุษย์สังคม ไม่ได้พัฒนาเฉพาะ ความคิด หรือทำๆๆๆ อย่างไม่มี หลักฐานอ้างอิง หรือลึกลับ อธิบายไม่ค่อยได้ แต่ก็มีอะไร เปลี่ยนแปลง มีผล เกิดผลดี ก็มีด้วย มีผลพัฒนาก้าวหน้า แต่อธิบายไม่ได้ เหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บันดาลให้

        ศาสนาพุทธ ชี้ชัดเจน ขออภัยต่อผู้ที่ ต้องถูกกระทบ ที่อาตมา ไปตำหนิว่า อันนี้ผิด แล้วเขา ก็เข้าใจผิด ว่าสิ่งนี้ถูกมาก อันนี้อาจโกรธเคืองกัน ยิ่งลูกศิษย์ ที่เขานับถือว่า เป็นอรหันต์ ซึ่งที่จริง ผู้ที่เป็น ลูกศิษย์อรหันต์ ก็ไม่น่าจะโกรธ หรือโกรธน้อย แต่ถ้าเข ายิ่งโกรธ นี่ยืนยันว่า เขาอรหันต์เก๊

        ทางสำนักไหน ที่เขาแน่จริงว่า อาจารย์เป็นอรหันต์แล้ว ก็ไม่โกรธหรอก แต่ถ้าโกรธ ก็ไม่ใช่ของจริง เพราะอาตมาพูดนี่ ไม่ได้โกรธเกลียดนะ แต่ที่ต้องพูด คือฤาษีนี่ ไม่ได้มี โลกุตระ แต่มีคุณธรรม มักน้อย สันโดษ ไม่มีโกรธ เช่นเขาได้นิโรธ หลับตาดับปี๋ ได้นาน ๗ วัน หรือเกินกว่า เขามีนิโรธแบบนี้ จนกระทั่ง เอาไปใส่กล่อง ฝังดิน เขาเรียกว่า พรหมลูกฟัก ไม่รู้เรื่อง ว่าใครจะทำอะไรกับเขา ใส่กล่องฝังดิน เขาใช้พลังงานน้อยมาก ใกล้เคียง คนตาย แต่ยังไม่ตาย มีเคยอ่านว่า อยู่ได้ ๒๑ วัน ไม่ตาย คนก็ทึ่ง ก็ยอมรับสิ ว่าเป็น คุณวิเศษ เพราะลักษณะเช่นนี้ ไม่ได้ยืนยัน อรหันต์ของพุทธ แต่มันแสดงความเก่ง ทำได้ยากจริง ไม่ธรรมดา 

        อาตมาเคยฝึกบ้าง อย่างเนสัสชิ คือ นอนไม่เอาหลังแตะพื้น หรือนั่งหลับ อาตมานอน เป็นสอ งหรือสามเดือน ก็เคยทำ มันพักในนิโรธ แต่ต้องฝึกตลอด แต่ทุกวันนี้ ทำไม่ได้ การเข้านิโรธ แบบนั้น ไม่ใช่ของพุทธ มันได้แค่ ความสงบ ถ้าดับนิ่งปี๋ไป เรียกว่า สุภกิณหพรหม แล้วเขาเข้าใจ อย่างนี้ว่าคือ นิโรธ นี่คือ ความน่าสงสาร มันเป็นเพียง เจโตสมถะ เท่านั้น ไม่ใช่ธรรมะ เหนือโลก อาตมา เคยยืนยันว่า บุคคลมี ๔ ประเภท

๑.ผู้ได้แต่เจโตสมถะ ไม่ได้โลกุตระ
๒.ได้โลกุตระ แต่ไม่ได้เจโตสมถะ
๓.ได้ทั้งสองอย่าง ทั้งเจโตสมถะ และโลกุตระ อย่างอาตมา ทำเป็นทั้งสองอย่าง
๔.ไม่ได้ทั้งสองอย่างเลย

        ความสงบของพุทธ คือรู้จักตัวกิเลส แล้วทำให้กิเลส มันหยุดบทบาท เช่น เราอยากได้ ดอกจำปาอันนี้ เราชอบ เราติดดอกไม้นี้ พอเราล้าง กิเลสชอบไปแล้ว พอเห็นดอกไม้นี้ เราก็รู้ว่า คนนิยม คนชอบอย่างนี้ แต่เวทนาอารมณ์ ที่มีชอบ หรือ ไม่ชอบนั้น ไม่มี เราอ่านแล้ว จิตมันไม่เกิด ทั้งชอบ และไม่ชอบ จิตมันอุเบกขา แต่รู้ทุกอย่างเลย รู้ว่าเขาสมมุตินี้ ว่าสวย เราก็เคยติด ในสมมุตินี้ ให้เราเป็น กรรมการ ตัดสินความสวย เราก็ทำได้นะ แต่ใจเรา ไม่ได้ยินดียินร้าย เราอ่านอาการนั้น ออกเลย

        อาการอารมณ์ในเวทนานั้น อ่านให้ออก เวทนาในเวทนา หรือความรู้สึก ในความรู้สึก หรืออารมณ์ในอารมณ์ รู้ว่าดอกนี้ มันมีสัดส่วน กลิ่น รูปอย่างไร เราก็อ่านว่า อารมณ์ชื่นใจชอบใจ มันเป็นอีกอันหนึ่งนะ เราปฏิบัติ จนอารมณ์ ชื่นชอบนี้ หายไปหมดเลย มีแต่อารมณ์ รู้ความจริง ตามจริง ของสมมุติ ที่เขารู้กัน ว่าอันนี้สวย อันนี้เหม็น อันนี้น่ามี น่าได้น่าเป็น ได้สมบัติวัตถุ ที่เขาได้กัน แต่ก่อน เราก็อยากได้ ได้แล้ว อยากได้อีก แต่ว่าตอนนี้ ไม่ได้อยากได้แล้ว ได้มาก็ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ ไม่ผลัก ไม่ดูด นี่คือ อารมณ์นิโรธ อารมณ์สมถะ ปัสสัทธิ สงบคือจิตรำงับ ถ้าทำกิเลสตัวนี้ ให้สงบ ให้ดับสนิท ไม่กลับกำเริบ ไม่ต้องหลับตา ทำได้ตลอดเวลา ไม่ต้องไป สะกดจิต แต่เป็นอรหันต์ได้ จิตสงบรำงับได้ คือ   นิจจัง (เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง (ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง (ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง (ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง (ไม่กลับกำเริบ) จิตสั่งสม คุณสมบัติของ นิโรธแล้ว ลืมตา กิเลสก็ดับ ไม่ใช่อย่างที่ ไปดับหลับตา อสัญญี หรือ วิสัญญี ดับทั้งสัญญา และเวทนาเลย

        ตัวธาตุรู้จากสัญญา เราปฏิบัติไป ก็จะเจริญ เป็นปัญญา เมื่อสัมผัส เมื่อไหร่ เราก็ทำได้ เรียกว่ามีวสี จิตมีความแน่วแน่ แนบแน่น ควบแน่น อัปปนา (แน่วแน่) พยัปปนา (แนบแน่น) เจตโส อภินิโรปนา (ปักมั่น) ของพุทธดับอกุศลจิต แต่เหลือ กุศลจิต สามารถปรุงแต่งได้ สามารถมี อภิสังขารได้ มีปุญญาภิสังขาร ปุญญาภิสังขารคือ ปรุงให้กิเลสลดได้

        ในสังกัปปะ ท่านแจกเป็น ๗ ขั้นตอน หรือ ๗ เจตสิก มีตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ ที่เป็นภาคปัญญา ส่วนภาค สงบรำงับ ตัวดับกิเลส คือ อัปปนา พยัปปนา เจตโส อภินิโรปนา และก็มี วจีสังขาร ที่เป็นตัวปรุงแต่ง สำเร็จแล้วในใจ

        เราจะอ่าน แต่ละเจตสิกออก แล้วเราจะเข้าใจ สังขาร ระหว่าง ตากระทบรูป มีภาพ มีรูป ก็เกิดการรู้ ก็ประชุมสภาพรู้ เข้าไปข้างใน เป็นองค์ประชุม เรียกว่ากาย ซึ่งไม่ได้แปลว่า ร่างนะ คนไทย ไม่สัมมาทิฏฐิ แม้ศึกษา คำว่ากายผิด ก็ไม่สามารถเป็น อรหันต์ได้ ไม่สามารถ สัมผัสวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย จึงจะสิ้น อาสวะได้

        อัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทธา รูปานิ ปัสสติ เป็นองค์ประกอบ จากภายนอก ไปถึงภายใน จนกระทั่งถึง อรูปด้วย เหลือที่ว่าเป็นอรูป แม้กระทบรูปอยู่ แต่ไม่กิเลสเกิด รู้ว่ารูปกายของจิต แต่มีรูปกาย ของอกุศลในจิต เราก็แยกออก เรียกว่า กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม แล้วกำจัดให้ถูกตัวตน ที่ต้องกำจัด

        เมื่อเข้าใจสัญญาไม่ได้ กายก็ไม่ได้ องค์ประชุมที่เกิด จากตา เข้ามาภายใน ก็ยังไม่ได้ หลับตา ปิดหูนะ แล้วต้องรู้ การเกิด หรือชาติของ จิตกุศล อกุศลออก เราก็กำจัดแต่ อกุศล ในบ้านน ี้มีโจร เวลาจะฆ่าโจร คุณอย่าฆ่าคน ทั้งหมดในบ้าน ต้องฆ่าแต่โจร จับโจร ให้ได้ก่อน อย่าผิดนะ ถ้าฆ่าผิดตัว ก็บาปตายเลย หรือฆ่าผิด ก็ไปฆ่าจิตดีซะ หรือ ฆ่าไปหมดเลย ทั้งจิตดีจิตชั่ว แล้วก็ดับหมดเลย อย่างนี้ไม่ใช่ นิโรธพุทธ

        พุทธต้องรู้ สักกายะ รู้กายในกาย ที่เข้ามาหานาม ผ่านรูปแล้ว ลึกจากกายเข้ามา ก็เป็นความรู้สึก หรืออารมณ์ เป็นเวทนาในเวทนา อารมณ์ชื่นชอบ หรือชัง นี่แหละคือ สมุทัย ที่ต้องกำจัดให้ถูก และวิธีกำจัด ต้องกำจัด ให้ถูกต้อง ไม่ใช่มีแต่ การกดข่ม  แต่มีปัญญา เห็นความไม่เที่ยง มันเป็นเหตุแห่งทุกข์ มันเปลี่ยนไป ตามเหตุปัจจัย เราก็ต้องรู้จัก ความไม่เที่ยง ยิ่งไปยึดว่า มันต้องเป็นอย่างนี้ ไปตลอด ไม่ให้หายไป หรือ อยากได้ใหม่ แต่ของพระพุทธเจ้า ให้ลดลงๆๆ มันก็สำเร็จ แม้สัมผัส ก็ไม่ได้มีดูดผลัก ถ้าฆ่าตัววุ่นวาย แทรกแทรงได้ จิตที่ดี ก็ทำงาน ได้อย่างเต็มที่ ไม่มีตัวอกุศล มาต้านทาน ทำสงบ คือสงบตรงกิเลสดับ จิตยิ่งแข็งแรง มีพลัง มีประสิทธิภาพ รู้ได้ดี รู้ได้อย่างแข็งแรง เป็นจักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง การตรัสรู้ของ พระพุทธเจ้า เป็น จักขุมา ปรินิพพุโพติ

        ก็ขอเข้ามาผนวก ประยุกต์เข้ามา ในธรรมะพระพุทธเจ้า ถ้าปฏิบัติได้ ถูกตรง จะได้เจโตสมถะ ด้วยหรือไม่ก็ได้ แต่อาตมา เจตนาให้ได้ โลกุตระ ให้ได้ ความสงบ แบบพุทธ คือ จิตดับกิเลส ไม่ใช่ไปหลง แสงสว่าง อาภัสรา หรือไปหลงดับ อย่างสุภกิณหะ

        ตราบใด ยังมีผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ โลกไม่ว่าง จากอรหันต์ จะมีการบรรลุ เป็นขั้นตอน จะมีคุณสมบัติ วิเศษจริง แม้มีลาภยศ สรรเสริญ ก็มีได้ ไว้อาศัย ส่วนความสุขนั้น เป็นสุขอย่าง โลกุตระ ส่วนความสงบ ที่ไปติดอร่อย ในภพนั้น ของพุทธไม่ใช่ แต่สงบของพุทธ คือ สงบจากกิเลส ไม่ได้มีอารมณ์สุข อย่างโลกๆ ของพุทธนี้ ไม่ติดยึด ในสุขทุกข์ กิเลสดับแล้ว มันก็ไม่มี ในจิตแล้ว จะว่าติดไหม กิเลสดับ มันก็กลางๆ เฉยๆ มันไม่ได้ทำพิษ อะไรกับเรา ไม่สุขไม่ทุกข์แล้ว รู้ว่าอะไรไม่ดี เราก็ไม่ควร ไปเกี่ยวข้อง ถ้ามีประโยชน์ แล้วเรามีความถนัด มีจริตหรือประสาท ที่รับชนิดนี้ ชนิดนี้ไม่รับ ทุกวันนี้ เช่น ภูมิแพ้ อาตมาไม่รับสิ่งนี้ อันนี้สัมผัส เกี่ยวข้องได้ดี ถ้ามีแต่ประสาท มันก็จะมีแต่ ภูมิแพ้ ถ้าล้างกิเลส ในจิตได้ ก็จะมีแต่ ประสาท แต่ถ้ามีกิเลสด้วย จะเป็นพิษ ทั้งจิตและประสาท แต่ถ้าล้างจิตได้ ก็จะแก้ได้ทั้ง ประสาทและจิต ใครแก้ได้แต่ประสาท ก็ยังมีภูมิแพ้อยู่

        ใครแก้กิเลสได้ ก็ไม่มีภูมิแพ้ ต่อลาภ ยศ สรรเสริญ โลกีย์ แม้เขาจะมี โลกธรรม มาแรงอย่างไร ก็เป็นแค่ ของอาศัย เป็นของใช้ ธนบัตร เงินทอง ก็ใช้เหมือน โต๊ะเก้าอี้ อย่างนี้ เขาว่าเหมาะดี รูปร่างอย่างไร ใช้ดีอย่างไร เราก็รู้ ถ้าเราไม่ติด ไม่มีอุปาทาน ไปยึดติด เราศึกษาแล้ว ไม่ยึดติด เราก็เอา แต่แก่นแท้ ไม่เปลืองผลาญ ไม่ทำลาย ไม่ยุ่งยาก เอาแต่แก่นแท้ ที่จะต้องสวยงาม ต้องหอม ต้องเข้ารูปรอย เราไม่ติดยึดแล้ว แต่ถ้าติด มันก็จะยาก ไม่ถูกปาก ไม่ถูกหูไปหมด อย่างนี้คือ คนทุภระ แต่เราเข้าหาเนื้อหา สาระ แก่นแท้ คนนี้ จึงอยู่ในโลก อย่างเรียบง่าย สบาย ไม่ต้องเปลืองผลาญ เราก็มีเวลา มีแรงงาน ความคิด ไปทำช่วยโลกมาก แต่ก่อน เราก็ติดยึด มากมาย นิยมตามแฟชั่น ถูกหลอก ให้เขาจูงจมูก มากมาย เคยถูกหลอก มากันหมดแล้ว

        ที่อธิบายให้ฟัง เป็นสัจจะความจริง พิสูจน์ได้ เป็นความรู้ ความจริง อันประเสริฐ คนเข้าใจ ก็จะปลดปล่อย ปลงวาง สิ่งไร้สาระ รู้จักแก่นสาร รู้จักวิมุติ คือผู้มีสาระ มีฉันทะเป็นมูล ยินดีในการ ไม่ติดยึดโลกธรรม แม้เรามี เราขยันทำ ก็มีลาภโดยธรรม อาตมา สาธยายธรรม ก็เป็นการ สร้างความรู้ ในโลกเขาจ่าย ค่าบรรยาย แพงนะ คนที่สามารถเข้าใจ และปล่อยวาง สิ่งควรทิ้ง แล้วจะมีพลังงานสูง เพราะเอาความสูญเสีย ของข้าคืนมา ได้เยอะเลย ความสูญเสีย ที่ไม่ควรเสีย แทรกซ้อนในโลก คือ ๑.เวลา อาตมา เคยเสียเวลา ไปตามจีบผู้หญิง เสียเวลาจริงๆเลย เสียการงาน เสียสิ่งควรทำ เปล่าประโยชน์ ไปเยอะเลย  ๒.ทุนรอน ๓.แรงงาน

        เราไม่สูญเสีย เราก็ได้กลับมาเยอะ คนนี้ก็ประหยัด ละล้าง ความที่ต้อง เปลืองผลาญ ได้เยอะ ไม่ต้องไปเสียเวลา แรงงาน ทุนรอน ไปกับเขา เขาร้องรำที่ไหน เราก็ไม่ได้ ไปกับเขา เขาล่าลาภยศ สรรเสริญ ที่ไหนไปที่นั่น ต้องเหาะไปหายศ ที่ต่างประเทศก็ทำ อยากดัง ก็ไปหาทาง ให้มันดัง ไม่ต้องแล้ว ไม่ต้องไปล่า ลาภยศ เป็นของโดยธรรม อย่างอาตมา ไม่ต้องล่า ก็มีตามธรรม ไม่ต้องไป อยากได้สรรเสริญ ก็มีสรรเสริญ แต่สุขสงบ โดยธรรม มีวูปสโมสุข หรือ ปรมังสุขัง คือ มันยิ่งกว่าสุข สุขอย่าง ไม่มีกิเลสกวน เราเอาเวลา แรงงาน ไปสร้างสรร สิ่งมีประโยชน์ได้ แต่ก่อน เราถูกหลอก ให้เสียไปมากเลย คนเสียเวลา ทุนรอน แรงงาน กับโลกีย์ ยังโง่อยู่ แต่คนหลุดพ้นมา อย่างชาวอโศก มีไม่มาก แต่ทำงานในระดับ ที่เคียงข้างโลกีย์ได้ อย่างแข็งแรงด้วย เพราะไม่สูญเสีย ไปกับโลกียะเขา ชาวอโศก เป็นอาริยะเยอะ ไม่ต้องไปแสวงหา สุขโลกีย์ อย่างงาน ภูเขาทอง ถ้าคนมีกิเลส ก็แอบไป คนศึกษา จะอ่านใจตนเป็น จะเป็นคน มีประโยชน์ต่อสังคม อยู่กับลาภ ยศ สรรเสริญ สุขกับเขา แต่ก็ไม่ติด ทำงานกับสังคม เป็นประโยชน์ต่อ มวลมหาชน พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัปปายะ เขาทำอย่าง บรรลุธรรม ก็ทำอย่างสบาย ร่าเริง เบิกบาน ไม่เศร้า ไม่ร่าซ่า แบบโลกีย์ เป็นพุทธะ เบิกบาน แจ่มใส กระทบอย่างไร ก็เบิกบาน ไม่มีใจหม่นหมอง ไม่ต้องพูดเลยว่า โศกปริเทวะ ทุกข โทมมนัส อุปายาสะ เป็นสัจจะ ผู้ใดได้ ก็เป็น ปัจจัตตัง ของตนเอง คนเหล่านี้ พิสูจน์แล้ว มาทำงาน กี่เดือนกี่วัน มันก็เฉย ๓๐๐ กว่าวัน มันก็เฉย มีอีกมันมาอีก แล้วเป็นผู้รู้ ผู้ตื่นผู้เบิกบาน ช่วยโลก...จบ
       

 

 
๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ที่ เวทีสะพานผ่านฟ้าลีลาศ กทม.