561122_เรียนอิสระผ่านฟ้า โดยพ่อครู อ.กฤษฎา ให้วัฒนานุกูล

เรื่อง ประชาภิวัฒน์ปฏิวัติโดยประชาชน ตอน ๒

        เราได้เรียนรู้หลายคำ ทั้งราชประชาสมาสัย และนิติรัฐ นิติธรรม ...ผมเพิ่งได้ หนังสือชื่อ รู้คนขังสุข รู้คุกขังสัตว์ มีข้อความในหน้าแรกๆว่า คนเกิดมา ควรรู้ความประเสริฐ .... แล้วคนที่เป็นนักการเมือง ที่ทำการอยู่ตอนนี้ ในเมืองไทย ไม่รู้จักความประเสริฐ ในการเป็นคน

        พ่อครูว่า เขาก็แค่เอารูปมาสวม เหมือนปูเสฉวน ที่อาศัยเปลือกหอยอยู่ แต่แท้จริง ไม่ใช่ของแท้ของตน มันเป็นสัจจะ ของมนุษยชาติ ที่จริงควรพัฒนา สู่ความประเสริฐ ที่แท้จริง เป็นอารยะ หรือ อาริยะ เรียกว่าศิวิไลซ์ก็ได้ แต่ว่าคนนั้น มีความมุ่งมาด ปรารถนา ไปสู่ความประเสริฐ แต่ว่ามีทาง หรือทฤษฎีผิด ตัวนำทางนั้น ไม่ใช้สิ่ง ถูกต้องแท้จริง หรือแม้จะรู้ สิ่งถูกต้องแท้จริง แต่ไม่ได้ปฏิบัติให้ถึง สิ่งที่ประเสริฐจริง ไม่ไปถึง จุดที่จะเปลี่ยนแปลง ก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะเหตุปัจจัย ไม่ครบบริบูรณ์ แต่ของอาตมานั้น ตรวจสอบว่า ทฤษฏีถูก ปฏิบัติถูก แม้แต่เรื่องปชต. ก็แตกไปจนถึง ทางนี้ถูก ทางนี้ง่าย

        พวกเราเป็นพวกหัวเจาะ Pioneer มันก็เลยล้ำยุค เกินกว่า ที่เขาจะคาดได้ มัน over เกินไป ทำให้เขา เข้าใจยากอยู่ และเราก็ประมาณไม่ได้ว่า จิตวิญญาณของคนไทย จะเข้าถึงจุด over full ได้จนเกิดผลตอนไหน เรายังรู้ไม่ได้

        โลกีย์นั้นไม่ได้ข้าม ไม่ได้เปลี่ยนแปลงใหม่ แต่ว่าที่เราทำนี้โลกุตระ ออกจากที่ขัง ส่วนโลกีย์นั้น วนเวียนอยู่ในที่ขัง  เป็นสุขทุกข์ ที่เกิดจาก กามและอัตตา ส่วนโลกุตระนั้น พ้นจากกามและอัตตาได้จริง ตามลำดับ จนสุดท้ายไม่เกิด หลุดพ้นแน่นอน

        ที่เขาแข่งกันทุกวันนี้ เขาใช้พลังอำนาจโลกีย์ แข่งกัน ตลอดเวลา เป็น Over power ชนะเป็นสมบัติ ผลัดกันชม แต่เรานี่ไม่ใช้ Force แต่ใช้ Authority ซึ่งไม่ใช้การกดดดัน เป็นธรรมฤทธิ์ แบบโกลีย์นั้น จะใช้เรี่ยวแรงกดดัน แต่นี่ไม่ใช้ เรี่ยวแรงกดดัน ใครเห็นดี ก็มา เราให้ความรู้ ให้เกิดปัญญาเอง ไม่บังคับ เช่นอาตมาขอบคุณตำรวจ ที่พัฒนาจริงๆ  ลดความรุนแรง อย่างเห็นๆได้เลย เป็นพลังของ Authority แต่ก่อนใช้แต่ Force ดันกัน แม้แต่จากครั้งน้องโบว์ จนมาเสธ.อ้าย แล้วมาครั้งข้างทำเนียบ ก็พัฒนามา แรงอย่างลึกๆ ไม่ให้กินข้าวกินน้ำ ไม่ให้ขี้ให้เยี่ยว จนมาครั้งนี้ เอาแบริเออร์มาตั้ง เราก็ใช้เป็นที่ แสดงศิลปะ เขาว่า ที่นี่เป็นเขต ใช้แก๊สน้ำตา เป็นวจีวิญญัติ  อ.กฤษฎาว่า เขามีพัดลม ใหญ่ๆไว้แก้แก๊สน้ำตาแล้ว หรือแม้แต่เสียง เขาก็เปิดมาแรง เขามีเครื่องมือใหญ่กว่า เป็นกายวิญญัติ แต่ถ้าภาษา มันก็เป็นความเคลื่อนไหวทางภาษา พลังแรงเท่าไหร่ ที่จะปราบศัตรูได้ ก็เหมือนหมาเห่า เท่านั้น ใช้เสียง ใช้ธงชาติ หรือนกหวีด เป็นสัญญลักษณ์

        เป็นการอธิบายธรรมะ สัจธรรมความจริง ที่ประชาชนปฏิวัติ เป็นปชต. ที่มันน่า จะครั้งนี้ คงเป็น Final นะ ก็อยากให้เป็น Final Decision นะ (อ.กฤษฎาว่า นี่คือ Final Mission) แม้จะไม่เป็น ครั้งสุดท้าย เป็น Semifinal ก็ต้องยอมรับ

        เป็นการต่อสู้ระหว่าง ความจริงกับความรู้ ทั้งสองอย่าง เป็นนามธรรม ประเสริฐ ทั้งความรู้ และความจริง แต่ถ้ารู้ แต่ทำไม่ได้จริง ก็ยังไม่ถึงจริงอีก ทั้งรูปและนาม ของมนุษยชาติ ทั้งรูปและนาม ต้องไปด้วยกัน รูปคือประชาภิวัฒน์ แต่ความรู้ และความจริง คือตุลาการภิวัฒน์

        ประชาภิวัฒน์ คือออกมา ๑ คน ๑ เสียง ล้านคนล้านเสียง ก็ออกมากัน ให้เป็น การปฏิวัติ ของประชาชน เป็นปริมาณ ที่มีคุณภาพด้วย ทางนามนั้น ได้ตัดสินแล้ว แม้เขาจะไม่สำนึก ดันไปเอา สีข้างถูก็ตาม แต่ผู้รู้ ก็จะเข้าใจ มากขึ้น

        แม้ครั้งนี้ จะไม่ชนะน็อคคว่ำไปเลย เราก็เก็บคะแนน ชนะคะแนน เป็นศิลปะวิธี ส่วนมวยน็อคนั้นใช้เรี่ยวแรง มันหมดยุคแล้ว ยุคนี้ยุคอารยะแล้ว เรามาช่วยกันสร้าง ให้ไทยแสดงความเป็น อารยะประเทศ ออกไปทั่วโลกสักครั้ง โอกาสให้แล้ว (อ.กฤษฎาว่า คืนนี้ก็ทยอยกันมานะ) ขอร้องว่า อย่ามากวนนะ ถ้ามากวน จะไม่ทันการณ์นะ (อ.กฤษฎาว่า พี่น้องเราเตรียมการให้ดี พี่น้องเรา ย้ายไปเตรียม พื้นที่ให้แล้ว กลัวว่าพี่น้องมา จะไม่มีพื้นที่)

        เป็นไปตามรูปธรรม นามธรรม การเคลื่อนที่เคลื่อนไหว ก็ยังไม่จบ เขาก็ทำไป เสริมกัน

        ตอนนี้การพัฒนาการ กำลังน่าชื่นใจ แม้อัตราการก้าวหน้า จะเป็นเลขคณิต ไม่เป็น เรขาคณิต ยังบวกไม่มาก ก็ไม่เป็นไร เพราะเป็นอาริยธรรม เป็นโลกุตรธรรมนั้น ยกตัวอย่าง เป็นรูปธรรม

        ในการเปลี่ยนรูปของธาตุน้ำ น้ำกลายเป็นแก๊ส ซึ่งเราก็เห็นว่า น้ำนั้นจะไหลสู่ที่ต่ำ พอเปลี่ยน เป็นไอน้ำ ก็เปลี่ยนสถานะ จากของเหลวมาเป็นไอ ลองดูสภาวะของคน ก็เปลี่ยนบ้าง เปลี่ยนจากน้ำเป็นไอ ก็ยังเป็นโลกียะ ซึ่งยังเป็นน้ำอยู่ แต่ต่างสถานะ แต่ยัง ไม่ใช่โลกุตระ ถ้าเปลี่ยนจริง ต้องเปลี่ยนจากน้ำ แยกเป็น ไฮโดรเจน กับ ออกซิเจนเลย นี่คือโลกุตระ ไม่กลับไป เป็นน้ำอีกได้

        โลกีย์นั้น มีขึ้นสูงลงต่ำ นึกว่าตนเองชนะ แต่ที่จริง ยังไม่สัมบูรณ์ ไม่เปลี่ยน อย่างแท้จริง ทั้งรูปและนาม โลกุตระและนิพพาน นั้นจะเปลี่ยน อย่างแท้จริงกว่า

        เราทำปฏิวัติ เราได้อำนาจก็มาปฏิวัติอีก เอากลุ่มเก่าลงไป กลุ่มใหม่มาอีก มันก็วนเวียน เพราะจิตเจโตและปัญญา ยังไม่ถอดถอนอัตตา ยังวนเวียนอยู่ ส่วนโลกุตระนั้น ไม่แย่งลาภยศ สรรเสริญ แถมยังเฉลี่ยให้อีก มีลาภยศ สรรเสริญสุข ก็แบ่งปัน เพราะไม่หลงสรรเสริญ พระพุทธเจ้า ท่านได้รับสรรเสริญ มหาศาล แต่ท่าน ไม่หลง แม้สุขโลกีย์ ที่บำเรอกามหรืออัตตา ท่านก็ไม่เอา

        อัตตามี ๓ คือโอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา และอรูปอัตตา มีต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ พอลดโอฬาริกอัตตา ก็คือต้นน้ำ ก็เหลือกลางน้ำเป็น มโนมยอัตตตา สุดท้าย ลดเหลือ อรูปอัตตา ที่ละเอียดบางเบา

        สายนั่งหลับตาทำสมาธิ ไม่ได้เรียนรู้กาม เพราะทิ้งไป ไปนั่งสะกดจิต ไม่ได้ล้าง กิเลสกามธาตุจริงๆ ไม่ได้สลายตาม มรรคองค์ ๘ ก็ทิ้งแล้วลืมไป แล้วไปนั่งกดข่มในภพ จมอยู่ใน ภวภพและรูปภพ เป็นสุขแบบหยุด ไม่ได้กำจัดกิเลส แต่ข่มไว้กดไว้ ให้ตกผลึก แน่นๆๆๆ พระกรรมฐาน พระป่า แม้แต่บวชมา ๓๘ แล้วไปเจอ คู่ชะตา ก็สึกเลย ขอบคุณ ที่ให้ยืมตัวอย่าง ไม่ใช่แค่รูปนี้รูปเดียว พระกรรมฐาน แม้บวช ๗๐ ปี ยังสึกเลย มีแต่สะสมอัตตา เพราะไม่ได้เรียนรู้ ลดละอัตตา มาตามลำดับ

        ถ้าเรียนรู้ ลดละตามลำดับ จิตจะมีพลังสูง ตามลำดับ เป็นฌานแบบลืมตา เป็นพลังสูง สามารถแตะกิเลสได้ ทั้งกามและอัตตาทั้งรู้ๆ ทั้งรูปภพอรูปภพ มีสัมผัส เป็นปัจจัย สัมผัสวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย ที่จะล้าง ไฟราคะโทสะ โมหะ ตรวจสอบไปถึง อรูปฌานโดยแท้จริง เป็นนิโรธลืมตา ไม่ได้ดับสัญญาเป็นอสัญญีสัตว์ แต่เป็น สัญญาเวทยิตนิโรธ เราจะหมดความอยาก สิ้นความเสพ จะหมดกามเลยในอนาคามี กระทบกระแทกอย่างไร ก็ไม่หวั่นไหว เหลืออรูปภพ

        จนหมดสมบูรณ์ ไม่มีกามตัณหา ภวตัณหา แต่จะมีวิภวตัณหา เป็นมโนสัญเจตนา ที่ไม่มีตัวตน ของกามและอัตตา มาผสม เช่นพระพุทธเจ้า ปรารถนามุ่งมั่น จะสร้างศาสนานี้ ให้เจริญ ให้มีพุทธบริษัท ๔ ที่แกล้วกล้า อาจหาญ ปรับปวาทะได้ เป็นต้น ท่านมุ่งมั่นปรารถนา จนทำได้สำเร็จแล้วด้วย แต่เป็นวิภวตัณหา

        พระเสขบุคคล จะมีปุญญาภิสังขาร คือสังขารล้างกิเลส จนได้ผล เป็นส่วนแห่งบุญ ได้ผลแก่ขันธ์ ตามอนุปัสสี ๔ เป็นอานาปานสติลืมตา จนหมดสิ้น อาสวะอนุสัยก็เป็น

        และคนที่สามารถ ทำความแพ้ได้ เขาจะเป็น ผู้ชนะรอบโลก ที่แท้จริง ส่วนบางคน เขาสะกดคำว่าแพ้ ไม่เป็น น้องสาวเขาก็อย่าไปหลงเลย เรื่องใหญ่เรื่องยากที่สุด ที่ผู้ชนะ เกือบรอบโลก ทำไม่ได้ ก็คือ การเป็นผู้แพ้ ถ้าเขาทำได้ เขาจะเป็นผู้ชนะรอบโลก ที่แท้จริง

        เราเข้าใจศัตรูว่า เขาแพ้ไม่เป็น แต่เราเอง เราแพ้เป็นหรือไม่ เราจะทำให้เกิดเป็น Final ถ้าแต่ละคนตื่นรู้ ลดอัตตาตัวนี้เลย ประเทศไทย จะมีประเพณีขนบใหม่ วิธีปฏิวัติใหม่ เกิดเป็นสิ่งสวยงามมากเลย เป็น A Best Ceremony

        อ.กฤษฎาว่า นี่คือทฤษฎีผีเสื้อกระพือปีก

        พ่อครูว่า ผีเสื้อแต่ละตัว มากระพือปีกผีเสื้อ เราต้องการเพียง ลมใต้ปีกของผีเสื้อ แค่นั้นแหละ

        ผู้ที่รู้จะฟัง แล้วคนทำ จะมีสองแบบ คือแบบเจโต และแบบปัญญา คนที่รู้ตัวแล้วทำ คืออาตมา แต่คนไม่รู้ตัวแล้วทำ คือคุณปรีชา ที่ทำปฏิวัติ แล้วก็ต้องทำด้วย เป็นภูมิจริง ถ้าไม่มีภูมิธรรมจริง จะทำเสแสร้ง แต่หลอกคนรู้จริง ไม่ได้หรอก เป็นปรากฏการณ์จริง ทางสาย ชอบเหตุผลตรรกะ ก็เป็น Philosophy คุณปรีชา เป็นสายเจโต ทำไป แต่ไม่ค่อยรู้ผล เป็น Prophecy แต่คุณจำลอง เป็นสายปัญญา ทั้งสองสายนี้ มาร่วมกัน สายเจโต ศรัทธาจะยืนยาวในโลก สูงสุดได้เป็นศาสดา เป็น Prophet แล้วเขาก็จะศึกษา ความจริงเพิ่มขึ้น จนเป็น Phenomenology เป็นปรากฏการณ์วิทยา มีสัมผัสจริง ของจริง มีญาณแจ้งชัด ทั้งเจโตและปัญญา ก็จะเกิด Phenomenology

        ที่เราเรียนรู้อยู่นี่ เรากำลังสร้าง ประชาชนปฏิวัติ ที่แท้จริง มีทั้งของจริง และทฤษฎี เห็นพล.อ.ปรีชา ทำจริงไหม ต้องมีทั้ง เจโตและปัญญา ร่วมกันเป็น สองรวมเป็นหนึ่ง เป็น independent เลย สมบูรณ์ เป็นยอด นี่คือลักษณะที่ เกิดจริงเป็นจริงในไทย คนไม่รู้ ก็จะหาว่า เล่นอะไร เหมือนพวก untouchable มีสองอย่างคือ สูงสุดกับต่ำสุด ก็แตะต้องไม่ได้ เช่น จัณฑาล เป็นต้น แต่ของเรานี้ สูงส่ง แต่คนเข้าไม่ถึงตอนนี้ เราก็ทำสิ่งดีนี้ไป

        อ.กฤษฎาว่า.... การที่มวลชนออกมามาก แล้วฝั่งที่จะมีเครื่องมือ ทำรุนแรง เขาก็อาจ ถูกกดดัน ให้ทำอะไรได้

        พ่อครูว่า... เปิดเผยว่า... คราวนี้มีกลิ่น ที่จะเอารถถังออกมา จะจริงแค่ไหน ก็แล้วแต่ แล้วเสร็จแล้ว เขาก็มีผู้รู้ เขาบอกว่า มีรถถังออกมา แต่เราเช็คข่าวแล้วว่า ไม่ใช่รถถัง เป็นแค่รถปี๊ป

        อาการเหล่านี้ บอกได้เป็น วิญญัติรูป ให้เข้าใจได้ มองออก ให้เข้าใจได้ ว่าทิศทาง ความสำนึกนั้น ดีขึ้น งดงามมาก ก็หวังอยู่ ที่แจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ

        อ.กฤษฎาว่า... ในรอบสองสามวัน ที่ผ่านมา มีการสร้างข่าวกันว่า จะมีความรุนแรง มีสไนเปอร์ มาบ้างเป็นต้น

        พ่อครูว่า... อธิบายตรงนี้ การชุมนุมของฝ่ายแดง กับฝ่ายเรานี่ ฝ่ายแดงเขาอยู่ที่ สนามกีฬา รัชมังคลา ฝ่ายโน้น เขามีรถบัส แต่เราไม่มี แสดงกายวิญญัติ ที่อ่านออก ของเราปัญญา อิสระเสรีภาพ อย่างเขานั้นจัดตั้ง แล้วเขาโชว์ภาพ ที่ดูช่องแดง เขาก็เอา ภาพเก่า ที่ดูมีคนแน่นมาออก ผสมผสาน ก็เป็นเล่ห์เหลี่ยม อย่างหนึ่ง แต่ของเราไม่ทำ นี่ก็เล่ห์ต่างกัน สะอาดกว่า ขออภัย พูดนี่เหมือนข่ม แต่เอาสัจธรรม มาอธิบาย เทียบเคียงให้ฟัง พวกสื่อสารมวลชน เขามีแฟ้มภาพ ก็เปรียบเทียบได้ พวกเราอยู่ได้ ร้อยวัน แต่พวกเขา อยู่ไม่ได้ อยู่กันอย่าง สงบเรียบร้อย อย่างสาธารณโภคี พึ่งเกิดแก่ เจ็บตายกันได้ เป็นคุณภาพ ที่เหนือชั้นกว่า ของความเป็น มนุษย์สังคม เป็นสิ่งจริง เป็นปาตุสัจจะ หรือ ปาตุภาวะ เป็นสิ่งแท้จริง  เราสร้างคน ให้เกิดทั้ง เจโตและปัญญา ไม่เอาแค่ Prophecy หรือ Philosophy แต่เราทำให้เป็น Phenomenology

        อ.กฤษฎาว่า ... เห็นทั้งปริมาณและคุณภาพของเรา บนเวทีที่มองลงไป ก็มีความเจริญ แท้จริง

        พ่อครูว่า... ความบกพร่อง ขัดแย้งกัน เป็นธรรมดา เอาแค่ยอดปิรามิด มันมีแค่ หนึ่งเดียว ส่วนยอด ที่มีสามอัน มารวมกัน เป็นสามเส้า เป็นสังขยาเลข พอมีสี่ ก็มีห้าหก เป็นสามเส้าที่สอง แล้วมี สามเส้าที่สาม เป็นเลข ๙ แล้ว ก็ยังขอบคุณ พัฒนาการ ที่เกิดจริงๆ เป็นองค์รวม ที่ปรากฏ

        อ.กฤษฎาว่า... พวกเรามาอยู่ตรงกลาง ฝั่งที่อยู่นอก แบริเออร์ ตำรวจเขาก็นอนเต็นท์ เหมือนเรา แต่เรามาทำ เพื่อคนทั้งชาติ แต่ว่าฝั่งโน้น เขาทำเพื่อคนๆเดียว

        พ่อครูว่า... คนที่ทำเพื่อคนๆเดียว หรือกลุ่มหนึ่งกลุ่มเดียว กับคนที่ทำเพื่อ ประชาชน ส่วนรวมนั้นต่างกัน  การบริหารนั้น เริ่มมาตั้งแต่มี การมีหัวหน้าเผ่า ก่อตัวเป็น เจ้าอาณาจักร ก่อตัวเป็น ความมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เนื้อแท้ ที่ไม่เปลี่ยน คือจิตวิญญาณ ของผู้นำ หรือหัวหน้าเผ่า จนกลายเป็นกษัตริย์ ที่จริง มาจากคำว่า ขัติยะ คืออาณาเขต ของแคว้น ที่เป็นหัวหน้าเผ่า หัวหน้าแคว้น มีภูมิธรรม ประพฤติเป็นผู้บริหาร มีคุณธรรม เพื่อส่วนรวม ข้าศึกมา นำหน้าก็ตายก่อนเลย เป็นสิ่งวิเศษ ของมนุษย์ ผู้ที่เป็นเผด็จการ แต่หัวหน้าเผ่า เสียสละ นำอย่างนี้ เป็นอธิปไตย หรือ รัฐาธิปัตย์ ที่สวยงาม เป็นไปเพื่อกรุณาธิคุณ วิสุทธิคุณ ปัญญาธิคุณแท้จริง แต่ถ้ามีคน ถ่วงดุล มีหลายหัวช่วยกัน ก็เป็นเผด็จการโดยหมู่คณะ เขาก็พยายาม ไม่ให้เห็นแก่ตัว เหมือนกัน แต่เขาไม่มีวิธี ล้างกิเลส

        เขามุ่งหมายให้สะอาดบริสุทธิ์ แต่ไม่วิธีการลดกิเลส ก็ได้แต่นั้น ก็บริหารอยู่ แต่เรามีวิธี ล้างกิเลส ไม่เหมือนพวกเผด็จการ ที่ไม่ได้ศึกษา การล้างกิเลส แต่ผู้ศึกษา จะมีทฤษฏี การลดกิเลส ก็จะบริหาร แบบสองขา บริบูรณ์ไปเรื่อยๆ ทรงทศพิธราชธรรม ไปเรื่อยๆ แต่นามธรรมนั้น ทำได้ยาก เขาก็ไปสู่ วัตถุนิยมไปเรื่อยๆ เขาก็พยายามปรับ ซึ่งต้องเข้าถึง ปรมัตถ์ สามารถลดกิเลสได้จริง สามารถลดกิเลส ไม่วนเวียนกลับได้ อย่างแท้จริง

        แม้ในศาสนาพุทธ ก็เช่นกัน ศาสนาพุทธ จะไม่เกิดในสองยุคกาล
๑.ยุคกาลที่คนดี แล้วไม่เดือดร้อนวุ่นวาย ทรัพยากรธรรมชาติมีมาก ไม่เดือดร้อน วุ่นวาย แล้วก็เลย ช่วงนั้นมาแล้ว และอีกยุคคือ
๒.พุทธันดร คือยุคที่คนแย่มากเลย สอนศาสนาพุทธไม่ได้ เกิดมาเสียเปล่า แต่ศาสนาเจโต ศาสนาโลกีย์ สมบัติผลัดกันชม จะอยู่ไปได้ตลอด ศาสนาของ พระพุทธเจ้าองค์นี้ มีผู้รู้บอกว่า จะอยู่ไปได้ ๕๐๐๐ ปี ตอนนี้ก็เลย ๒๕๐๐ ปีไปแล้ว

        อ.กฤษฎาว่า... ประชาชนมาที่นี่ เราก็เอื้อเฟื้อแบ่งปันกัน นี่คือธรรมฤทธิ์อย่างหนึ่ง

        พ่อครูว่า... การพึ่งเกิดแก่เจ็บตาย การพึ่งพากัน เป็นพลังกุศล มีพลังธรรมฤทธิ์เกิดได้ คนมา ก็ต้องใช้ปัญญา ให้มีเนื้อแท้ของเขาเอง เป็นตถตา เป็นเช่นนั้นเอง ถ้าผู้ใด เป็นผู้ ตื่นรู้ ชาคริยาแล้ว ไม่ลึกลับ ชัดเจนแล้ว ไขรหัสลับได้ มี Cipher ได้ มีสิ่งที่จะเข้าถึง รหัสนี้แล้ว มาเลย พวกเรามาต่อรหัส แก่โลกนี้นะ คนจะเข้าใจกันได้เรื่อยๆ เราพยายามยื่น Cipher หรือลูกกุญแจให้

        อ.กฤษฎาว่า... คนที่เข้าใจ เอาตัวท่านมาเป็นกุญแจ ไขความลับ ของประวัติศาสตร์ เป็นCipher Key จะได้พิสูจน์ พลังสัจธรรม ของท่านเอง และองค์รวม

        พ่อครูว่า.. คำว่าลึกลับ คือ รห ส่วนผู้ไม่ลึกลับ เรียกว่า อรหันต์ มาร่วมกัน ให้เป็น Best record แก่โลกนี้ โคไมนี่ เขาทำสำเร็จ แต่เราจะทำ ให้นิ่มนวลกว่านั้น ถ้าผู้นำ หรือผู้ที่ ท่านมีพลังในสังคม เราก็จะเชิญ ผู้มีทุนทางสังคม ยกตัวอย่างง่าย พูดเป็นรูปธรรม ไม่ได้ว่าอาตมา วางแผนไว้นะ

        เช่นว่า ประชาชนปฏิวัติสำเร็จ ไม่มีเลือดตกยางออก ผู้ที่ยึดอำนาจได้แล้ว ก็ให้หัวหน้า ๔ เหล่าทัพมาเลย ซึ่งถ้าไม่สำเร็จ เขาก็ไม่ยอมมา รายงานตัวหรอก แต่ถ้าทำสำเร็จ ก็ให้มามอบตัวเสีย แต่ถ้าไม่มา ก็ให้ท่านหัวหน้า เหล่าทัพนี่แหละ เดินไปบอกนายกฯว่า ตอนนี้ ประชาชนเขารู้ว่า ท่านผิดแล้วนะ ท่านจะทำอย่างไร จะให้ทำแบบ ระบิลเมือง ตามกฏหมายก็ได้ หรือจะให้ออกไป นอกประเทศเสียก็ได้ แต่ว่าทรัพย์สมบัติ ที่เอาไป ก็คืนมาให้หมดนะ ที่พูดนี่ สง่างามให้เกียรติ ไม่มีความรุนแรงเลยนะ

 จบ

 
๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ที่ เวทีสะพานผ่านฟ้าลีลาศ กทม.