561130_เทศน์ภาคเช้าโดยพ่อครู
เรื่อง ชุมนุมให้เป็น Best Record ต้องถอดตัวตน

 

       เวลานี้ เป็นเวลาอันประเสริฐ ที่เราจะได้สดับตรับฟัง รูปธรรม นามธรรม เมื่อปี ๔๙ กองทัพธรรม พรักพร้อมพุทธบริษัท ๔ เราไม่ได้หยิบตัวเราเอง ออกมาอวดโอ่ หรือ ทวงบุญคุณ จากใคร แต่เรากำลังเรียบเรียง สิ่งที่ปรากฏ เป็นประสพการณ์ ที่ได้เห็นได้รู้ ต่อสาธารณชน มันก็เกิดภาวะ ผูกพันต่อทุกอย่าง ทุกองค์กร ทุกสังคม เพราะเป็นสังคม โลกาภิวัตน์ เชื่อมโยงกันไปทั้งโลก รับรู้ข่าวสาร เกิดการรู้แจ้ง ไปทั่วโลก เป็นสิ่งเปิดเผย จริงใจ แต่อาจมีพฤติกรรมไม่ดี แทรกแซงบ้าง จะไปหาความบริสุทธิ์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ในกลุ่มหมู่ไม่มีหรอก เอาเรื่องเล็กๆน้อยๆ มากลืนสิ่งใหญ่ไม่ได้

       ตอนนี้ ฝ่ายแดงเขานัดกันวันที่ ๓๐ ดึงบุคคล รวบรวมมาเท่าไหร่ ให้ทำไปก่อนเลย พรุ่งนี้เหลือเท่าไหร่ ก็มาที่เรา เขาอาจว่าเราเอาเปรียบ แต่เราเอาเดนเขานะ เตือนให้พวกเรา เลิกพยาบาท ถือสาใครเสีย หากเลิกไม่ได้ ก็ระงับไว้ก่อนสัก ๕ วัน อย่าไปทำร้าย ทำลายอะไรกัน ถ้าเลิกได้เลย ก็สาธุ เราไม่ควร ไปโกรธเกลียดใคร จะทำชั่วอยู่ ก็เรื่องของเขา วันนี้ให้แดง เขาแสดงคะแนนเสียง เป็นเรื่องของ การแสดงอำนาจ

       ประเทศไทยเรา ได้ปฏิรูปมาถึง ขั้นสุกงอม Ripe แล้ว ก็เรียกสิ่งที่เกิดว่า “ปฏิวัติ” ได้ ส่วนทางด้านผู้ทำงาน ก็ว่า อย่าเรียกว่าปฏิวัติ มันดูรุนแรง แต่เราปฏิวัติ อย่างสงบ เรียบร้อย ง่ายงาม ไม่มีการใช้อาวุธใดๆ ไปตามครรลอง คลองธรรม อาจมีข้อบกพร่องบ้าง เป็นธรรมชาติ สิ่งใหญ่ขนาดนี้ มีข้อบกพร่องบ้าง ก็ดีที่สุดแล้ว
      
       เรื่องของอำนาจมีสองแบบ
       (๑) Force = คือ อำนาจ ที่มีลักษณะของเผด็จการ กดขี่ บังคับ ยัดเยียด ครอบงำ
ให้จำนน ตามความมาก -ความน้อยของการใช้อำนาจนั้น ถ้ามาก ก็คือ เผด็จการ  ถ้าเพียงกดขี่ บังคับ ครอบงำ มากหรือน้อยลงมา เท่าใดๆ ก็คือ การใช้ “อำนาจ” นั้น ตามที่มาก -ที่น้อยนั้นอยู่ เท่านั้นๆ นี่คือ อำนาจ เป็น ความชอบธรรม 

       ซึ่งเป็น “อำนาจ”  ที่สร้างให้ตนด้วยโลกธรรม และเล่ห์กล อันประกอบไปด้วยกิเลส จนคนอื่นเขา “ตกอยู่ใต้อำนาจ”  เพราะลาภ-ยศ และเล่ห์ต่างๆ

           ผู้ที่ยังมี “พฤติ” ที่สร้าง “อำนาจ” เป็น “ความชอบธรรม”  นั่นคือ ผู้ผิดอยู่ ยังไม่เจริญ หรือ อวิชชาอยู่ แล้วถือว่า ตนคือผู้มี “อำนาจ”  นี้คือ อำนาจยังไม่เป็นธรรม Force ซึ่งเรียกว่า “ยังเป็นเผด็จการอยู่” มากหรือน้อย ตามที่เป็นจริง

       คนฉลาดในโลกจะ “สร้าง” อำนาจให้คนเกรงและกลัว จนไม่กล้าค้านแย้ง หรือตำหนิติเตียน ติติง

       จึงได้เป็นผู้มีอำนาจ โดยไม่ชอบธรรม

       (๒) Authority = อำนาจ ที่ได้โดยธรรม ของผู้ที่ประพฤติตนดี มีธรรม ซึ่งเป็น ความมาก -ความน้อย ของคุณค่าความดี ความมีธรรม จึงเกิดอำนาจของ สิ่งที่น่าเคารพ บูชา ในตัวผู้ทำดี ทำเป็นธรรม ที่ผู้นั้นสร้างเอง เป็นเจ้าของ คุณงามความดีนั้น แล้วผู้คน ที่รู้ที่เห็นคุณค่านั้น ยอมรับ ด้วยความเคารพนับถือ จึงยกย่องบูชา และยอมให้แก่ ผู้มีคุณงาม ความดีนั้น อย่างอิสระเสรี ไม่มีใครยัดเยียด หรือบังคับ กดขี่เลย นี่คือ ความชอบธรรม เป็น อำนาจ

       ผู้ที่รู้จักการกระทำความเคารพ ต่อผู้ที่น่าเคารพ สมควรเคารพ ซึ่งเป็นครุกรณะ คือ คน “ยอมยกอำนาจ” นั้น ให้แก่ “ผู้น่าเคารพ”  นี้คือ อำนาจโดยธรรม Authority =
right power
หรือจะเรียกว่า “เผด็จการโดยธรรม” ก็ได้ ถ้าไม่ติดยึด อยู่แค่ภาษา

       พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีอำนาจนั้น
       ที่ผู้คนยกให้ อย่างเทิดทูนบูชา เต็มใจสูงสุด มาแล้วเป็นต้น
       ดังนั้น  “ผู้น่าเคารพ”  จึงเป็นเสมือนผู้มี “อำนาจ” ที่จะพูด จะทำอะไร กับผู้ที่ เขาเคารพนับถือ เชื่อมั่น เขาก็จะเชื่อฟัง น้อมรับ ด้วยความเคารพบูชา นี่คือ ผู้มี “พฤติ” ที่สร้าง “ความชอบธรรม” เป็น“อำนาจ” เป็น ผู้ถูกต้อง ผู้เจริญ หรือมีวิชชาแล้ว

       ปราชญ์แท้ๆจะ “ไม่สร้าง” อำนาจให้คนเกรงและกลัว จนไม่กล้าค้านแย้ง หรือ ตำหนิติเตียน ติติง จึงเป็นผู้มีอำนาจโดยธรรม
                                                                      ‘‘‘

           ในสังคมปกติทั่วไปทั้งโลก มีพลังหรืออิทธิพลของ “อำนาจ” อยู่จริง ซึ่งเป็นพลัง
หรืออิทธิพลของ “อำนาจ” ที่มีฤทธิ์มีแรง ทั้งทางรูปธรรมโดยเฉพาะทาง “นามธรรม” สามารถเหนี่ยวนำ สามารถผลักดัน สามารถครอบงำ จนถึงขั้น สามารถบังคับ กดขี่ ให้มวล อันคือมนุษย์ในสังคม เป็นไปตาม “อำนาจ” นั้นได้แท้จริง

       ไม่ว่า จะทำให้เกิด “กรรมกิริยาทาง กายกรรม-วจีกรรม”  หรือไม่ว่า จะทำให้เกิด กรรมกิริยาทาง “มโนกรรม” หรือ “ความรู้สึก”  ซึ่งเป็น การเกิดอารมณ์ ชอบหรือชัง-เฉยๆ

           คำว่า  “อำนาจ”  ที่ภาษาอังกฤษว่า power, energy, authority, force., sovereignty = soverein power = supreme = independence = อำนาจใหญ่, อธิปไตย

           ตาม “วิญญัติรูป”  ย่อมรู้ได้ด้วย kinetic energy, potential energy,
           author = ผู้แต่ง, เจ้าของ, ผู้สร้างสรร,
           พระพุทธเจ้าทรง authority = ต้นตำหรับอำนาจโดยธรรม แบบของพระองค์
           force = กดดัน, บังคับ, บีบ, เร่ง, บุก, ยัดเยียด, ทึ้งดึง, แข็งขืน
           forced = ซึ่งถูกบังคับ, ซึ่งถูกบีบ, ใช้แรงฝืนใจ forcible = ใช้กำลัง, โดยพลการ
           authorize = อนุมัติ, ยินยอม, อนุญาต, มอบอำนาจ, แต่งตั้ง, มอบหมาย
           authorizable = พอจะมอบอำนาจให้ได้, พอจะยอมรับได้
           authoritative = มีอำนาจวาสนาบารมี, เชื่อถือได้, มีหลักฐานพิสูจน์ได้, เผด็จการ
           authoritarian = ผู้ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จ, ผู้ใช้อำนาจเผด็จการ
           [Authority by force is less enduring than authority by kindness. อำนาจโดย            พระเดชนั้น ไม่ยืนนาน เหมือนอำนาจโดยพระคุณ]
           ใครจะ made a forcible = โดยพลการ ก็อย่าทำเลย

       ตั้งแต่มี ๒๕๔๙ เราก็พาทำ สมณะเดินนำเลย พอตอน เสธ.อ้าย เราก็ไปอีก ไปรับ แก๊สน้ำตา แต่ก็ดี ไม่มีการบาดเจ็บล้มตาย จนมาตอนหลัง เริ่มต้นที่สวนลุมฯ ตอนนี้ เรากำลังเปลี่ยนแปลง จากรูปธรรม สู่นามธรรม หนังสือพิมพ์ ทุกฉบับ ก็มีภาพของ ประชาชนปฏิวัติ ซึ่งได้ทำจริงไปแล้ว สื่อสารก็ออกไปทั่ว เป็นภาวะผูกพัน เป็นสัญญา ประชาคมแล้ว เป็นปฏิวัติจริง แต่เป็นการปฏิวัติแบบใหม่ Neo Revolution เราไม่ได้ทำ ทันที แต่ทำต่อเนื่องมาเรื่อย จนถึงบัดนี้ มาถึงจุด เราก็ประกาศบอก เป็นปฏิวัติ แบบถูกต้อง ไม่ผิดหลักสากล คือปฏิวัติอย่างสงบ ไม่ด้วยอาวุธ แต่ด้วยความถูกผิด ใครผิดแพ้ ใครถูกชนะ ตัดสินถูกผิด ด้วยปัญญาหลักฐาน จะด้วยหลักเกณฑ์ธรรมะ ก็แล้วแต่ สิ่งดีงามสูงสุด รวบรวมแล้ว คนไหนถูกต้อง ดีงามกว่า คนนั้นชนะ คนไหน ไม่ดีกว่า ก็ต้องแพ้ การตัดสิน ถูกผิดนี้ถือว่า ตุลาการภิวัฒน์ เป็นการตัดสิน ความถูกต้อง ทุกประเทศ ก็มีตุลาการตัดสิน

       เมื่ออีกกลุ่มหนึ่ง ไม่ยอมรับการตัดสินของศาล ประกาศไม่ยอมรับ ก็ถือว่าผิดแล้ว สังคม ต้องมีหลักของสังคม ตุลาการ ออกมาตัดสินแล้ว คนออกมามากก็แล้ว เหลือแต่บุคคลรายตัว ในประเทศไทย ต้องออกมาสำทับ

       วันนี้ฝ่ายแดง ก็ประกาศออกมาชุมนุม ที่ราชมังคลากีฬาสถาน ในอ่างนี้ บรรจุเต็มสุด ๘ หมื่นคน เขานัดกันวันที่ ๓๐ เราเอาที่เหลือ นัดวันที่ ๑ ธันวาฯ นัดกันเป็นหลัก ที่ราชดำเนิน ส่วนที่อื่น สถานที่แคบไม่พอ เอาที่ราชดำเนิน อีกครั้งหนึ่ง ที่ราชดำเนิน แม้พรุ่งนี้ จะมากเท่าไหร่ ก็จะรู้ ถ้ามากเกินราชมังคลาฯ มาแสดงคะแนนเสียงสดๆ ยืนยัน อธิปไตย ๑ คน ๑ เสียง เขาจะถึงล้านไหม? ตัดสินด้วย ปรากฏการณ์จริง ไม่ต้องตีรัน ฟันแทง สมัยนี้แล้ว ประเทศไทย ทำมาได้ดีแล้ว อย่าให้เรือล่ม เมื่อจอด

       เราจะต้องรักษา ช่วงเวลาที่ดี อย่างนี้ต่อไป แม้แต่ภาษาสำเนียง ก็ต้องให้ดี อย่าให้เชิง บังคับกันมากนะ เราจะได้ทำได้ อย่างสวยงาม ยอดยิ่ง สร้างพฤติ อันชอบธรรมได้ ก็เป็นผู้เจริญ คนไทยเรามีพุทธ เป็นศาสนาหลัก คนส่วนมาก นับถือพุทธ ๙๕ %

       ตอนนี้เขาว่า ประชาชนปฏิวัติ ไม่มีบัญญัติในรธน. แต่เราทำนี่ ไม่ได้นอก รธน.นะ รักษา บทบัญญัติต่างๆ ของรธน.ด้วย อย่างมาตรา ๑ เราก็ไม่ยอม ให้เสียแผ่นดิน การปฏิวัติของเรา เหมือนเสรีไทย ที่ประกาศก่อน ไม่ยอมรับ อำนาจศาลโลก แม้เป็นกลุ่มน้อย ก็เหมือนเสรีไทย สากลเขายอมรับ มาตรา ๑ (รูปแบบรัฐ) ประเทศไทย เป็นราชอาณาจักร อันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้

       เมื่อมาตรา ๓ ล้มเหลว เราเลือกผู้แทนไปทำงานทั้งสองสภาฯ ก็พังทั้งสองสภาฯ และ เขาประกาศ ไม่ยอมรับอำนาจศาล สองหน่วยรวมหัวกัน เอาอำนาจบาตรใหญ่ ไม่ยอมรับศาล แบบนี้ไม่ใช่ Authority แต่เป็น Force สากลไม่ยอมรับ และเราได้ประกาศ ปฏิวัติ แม้จะน้อย แต่คนเดียว ก็ประกาศได้ แต่นี้เป็นหมู่คณะทำด้วย มีตัวแทนประกาศ สำเร็จแล้ว จึงเกิดการยึดอำนาจ จากรบ. มาเป็นของประชาชน หรือ รัฐาธิปัตย์ ตาม ม. ๒ หรือ ม.๓ นั่นแหละ

       ตอนนี้เกิดปรากฏการณ์ สุญญากาศทางการเมือง สมบูรณ์แล้ว มีคนมาชุมนุม นับยอด ผู้มาชุมนุม  2,360,475 คน เขาก็นัดชุมนุม ก็คอยนับกันว่า ใครจะมากกว่า

       ถ้าประชาชนทำสำเร็จ จะเป็น A Best Record ตอนนี้ยังเหลือ เศษพลัง ที่ยังดิ้นอยู่ เป็นอิตถีภาวะอยู่ เราก็บอกว่า เลิกงอนเถอะ มันเกินงามแล้ว มาร่วมมือร่วมใจ ทำสิ่ง ดีงาม สิ่งประเสริฐได้แล้ว ประเทศไทย ที่ทำได้ เป็นปรากฏการณ์ใหม่ ของประเทศ ช่วยกันทำ ให้ไปรอด ถ้าโอกาส อันดีงามนี้ ผ่านไปแล้ว จะหาโอกาสอีกยากนะ

       เสียดายแต่สื่อสาร ที่ยังตกอยู่ใต้อิทธิพล หรือลาภยศสรรเสริญ แต่ตอนนี้ดีขึ้นมา แม้มีกิเลส แต่ถ้ารู้ว่า ข้างนี้ดีกว่า ก็ต้องร่วมมือ

       มีนักศึกษา ที่มีข้อมูลด้าน ปรากฏการณ์วิทยา เขาก็พยายามศึกษา ให้ถึงจิต ภาวะทางโลก ซึ่งทางรูปธรรม เขาเข้าใจหมดแล้ว เขาเข้าใจคุณธรรมว่า คือผู้ไม่เอาเปรียบ ช่วยเหลือผู้อื่น เป็นผู้มีกำลัง มีสมรรถนะ ความรู้ความสามารถ แต่ไม่เอาความสามารถ ไปเอาเปรียบใคร กลับสร้างสรร แล้วเอาไปแจกจ่าย เผื่อแผ่ แม้รูปธรรมจะดี แต่กิเลส ในจิต ทางนามธรรม ดึงไว้อยู่ เขาจึงพยายาม ศึกษาทางจิต มีบุรุษที่ ๑ , ๒ และ ๓

       บุรุษที่ ๑ คือตัวเรา ต้องศึกษาทำจิตเรา ให้เป็นตามที่รู้ เช่นเรามีกิเลส ก็ต้องกำจัด ออกจากจิตให้ได้ เราจะรู้กิเลส กิเลสจะเป็นบุรุษที่ ๒ ตัวเราจะเป็นธาตุรู้ ตั้งแต่สามัญ ไปจน เป็นความรู้แท้จริง เป็น Genuine หรือ Genius ลึกซึ้งถึงจิต เมื่อรู้แล้วทำให้จิตเป็น ต้องรู้กิเลส แล้วมีวิธีกำจัด การใช้สมถะไม่เที่ยง ต้องใช้วิปัสสนา เมื่อกำจัดมันล้างได้ ก็จะเห็นว่า มันไม่มีตัวตน เราต้องเห็นตัวผลที่ได้ เป็นบุรุษที่ ๓ เป็นสำนึกที่หวัง ในขณะที่ ยังไม่หมด ก็ต้องทำตน เป็นบุรุษที่ ๑ แล้วรู้บุรุษที่ ๒ เมื่อกำจัดบุรุษที่ ๒ ได้ ก็จะได้ผล เป็นบุรุษที่ ๓

       อย่างเด็ก รอของจาก ซานตาครอส บุรุษที่ ๑ คือเด็ก อยากได้เป็นบุรุษที่ ๒ ซานตาครอส เป็นบุรุษที่ ๓ เด็กๆในศาสนาคริสต์ ก็รอความหวังทั้งนั้น พอได้ของขวัญ ใครก็รู้ว่า ซานตาครอส ไม่มีจริง เป็นคนแต่งตัวมา เอาของขวัญมาให้ ในโลกสมมุติ ตกอยู่ในภาวะ ของเด็กทั้งนั้น ความหวังคือกิเลส อยากได้ ต้องการอย่างนั้น อย่างนี้ มันต้องรู้ว่า ต้องการอะไร ต้องจับกิเลสให้ได้ เป็นจิตตัวปลอม หรือ อาคันตุกะ ต้องจับ บุรุษที่ ๒ ให้ได้บุรุษที่ ๑ คือเรา จัดบุรุษที่ ๒ คือกิเลสได้แล้วกำจัดได้ ซานตาครอส ตัวปลอม จะหายไป เราจะรู้ว่า สิ่งไหนเฟ้อ ปัญญาของจิต สะอาดนั้น แสนจะรู้ แต่มันมัวหมอง เพราะกิเลส ทำจิตมัวหมองมืด เห็นผิดเป็นถูก แม้เอากิเลส ออกไปบ้าง ก็มัวหมองบ้าง พอสะอาดแล้ว จิตจะใส แม้ความรู้ว่า อันนี้ดีมาก ดีน้อย ดีกลาง จะรู้ลำดับ หมดเลย ในเหตุปัจจัย กาละฐานะจะรู้ จึงหยิบมาใช้เหมาะสม ตามควร ตามกาละได้

       ภาวะของจิต ผู้บรรลุธรรมดังกล่าว จึงเป็นภาวะขอจิต ตามทฤษฏีพระพุทธเจ้า จะชัดเจน บุรุษที่ ๑, ๒ , ๓ ก็จะกำจัด อกุศลเจตสิกไปได้ ตามลำดับ มีธาตุรู้ทางจิต รู้ในปัจจุบันธรรม เมื่อเราไปสัมพันธ์กับโลก เราจะรู้ว่า จิตที่เรามี มโนสัญเจตนา หรือ มุ่งหมาย เขาเรียก จิตพวกนี้ว่า เจตสำนึก ในภาษาพวกวิชาการ มีความมุ่งหมาย

       จิตของผู้ใด มีตัวการในจิต มันก็ต้องการ มีอาการของ พลังอำนาจ ที่มุ่งไปอย่างนั้น อย่างนี้ ถ้าเป็นจิตที่มุ่งไป เรียกว่า มโนสัญเจตนา พระพุทธเจ้า แบ่งว่าเป็น ตัณหา อย่างหยาบ เรียกว่า กามตัณหา และยังแบ่งเป็นอบาย เรียกว่า หยาบมาก มุ่งมาเสพติด เมื่อไม่เรียนรู้ ก็ตกในโลกอบาย ใครดับอบายได้ ก็เป็นโสดาบัน รู้จักบุรุษที่ ๒ และ กำจัดได้ บุรุษที่ ๓ ก็จะมารวมเป็น บุรุษที่ ๑ บุรุษที่ ๓ คือ ซานตาครอส แล้วจะรู้ว่า ซาสตาฯ ก็คือเรา ของขวัญก็คือเรา

       ผู้ทำลายกิเลสอบายได้ ก็เข้ากระแสโสดาบัน เมืองไทยเราจะเป็นโลกใหม่ จะปฏิวัติ แบบไม่Force ไม่ใช้อาวุธ และความรุนแรง แต่จะใช้ปัญญา พูดกันดีๆ เอาเหตุผล ช่วยกันให้ความเจริญนี้ สมบูรณ์แบบเถอะ

       เมื่อกำจัดอบายได้ ก็เหลือกามและอัตตา เป็นโสดาบัน แต่มาเลิกกามตัณหา ลดกิเลส ไปเรื่อยๆ จนตาหูจมูกลิ้นกาย ลาภยศสรรเสริญภายนอก เท่านี้ก็พอ ติดรส เสียงกลิ่น ก็เปลืองแพง เพราะโลกตีราคา โลกีย์แรงขึ้น คิดดูสิ เรียกผู้หญิงสาวๆ คนหนึ่ง ไปกินข้าว จ่ายห้าแสนบาท (ที่จริงอาจมากกว่านั้น) เห็นเลยว่า บำเรอตนมากเกิน สงสารเขานะ

       อาตมายังมั่นใจว่า ตราบใดโลกยังมี ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ตราบนั้น โลกไม่ว่างจาก อรหันต์ เชื่อมั่นว่า จะมีอรหันต์สืบต่อไป และอาตมา ได้ประกาศ อรหันต์ ๑ รูปแล้ว ในอโศก

       เจโตที่เป็นอกุศลเจตสิก ตายหมด จิตเราก็เป็นจิตบริสุทธิ์ สะอาด ผลที่ได้คือ บุรุษที่ ๓ อย่างความอยาก ที่อยากได้นิพพานนั้น ไม่ควรมี ก็รอให้นิพพานมาเอง แล้วเมื่อไหร่จะมา

       คุณต้องสร้างนิมิตของคุณเองว่า อาการอย่างนี้สุข อาการอย่างนี้ กิเลสโลภ อาการนี้ ไม่เที่ยง กิเลสโตขึ้น แล้วเราต้องทำให้ลด แม้กดข่มก็ทำ แต่เราต้องทำ วิปัสสนาด้วย กิเลสมันถอย เลิกแล้วตายไป กำจัดด้วยไฟฌาน ละลายไฟราคะโทสะ ทำให้จางคลาย ไม่เที่ยง แบบมันลดลง ไม่ใช่ไม่เที่ยงแบบหนาขึ้นๆ เราทำให้บุรุษที่ ๒ ละลายไป หายไป กิเลสออกไป ทำให้บุรุษที่ ๑ สะอาดขึ้น ได้จิตที่สะอาด เป็นบุรุษที่ ๓ ทำให้เป็น two in one แต่ก่อนเป็น สอง แต่ตอนนี้ สองเป็นหนึ่งเดียวแล้ว

       ตอนนี้ ที่ทำมา ๘๑ ปี ทำผิดมาตลอด ตอนนี้ เรามาเลือก คนอาริยะ ไปบริหาร ได้ไหม จะได้เท่าไหร่ ก็ว่ากัน พวกตามืดบอด ก็ว่าต้องเลือกตั้ง แต่นี่เลือกมาแล้ว ได้แต่คนเลว มาบริหาร การเลือกตั้งนั้น ก็ใช้อำนาจ ใช้เงินซื้อมา แต่ก่อน ว่าจอมพล สฤษดิ์ ก็ว่าโกงแล้ว จอมพลถนอม ก็ว่าอีก แต่นี้ทักษิณนี่ ร้ายกาจกว่าสฤษดิ์ ที่แค่ระดับ พันล้าน แต่ทักษิณนี่ ระดับแสนล้านนะ แล้วจะเอาอีก โลภไม่รู้จบ

       ถ้ายุบสภา แล้วเลือกตั้งใหม่ เขาก็ใช้อำนาจเก่า วิธีเก่ากลับมาอีก ตอนนี้ เรายึดอำนาจแล้วไม่ยอม เราอารยะ ขัดขืนแล้ว ประชาชนปฏิวัติแล้ว คุณก็ยังหน้าด้าน ว่าประชาชน ไม่มีอำนาจ ถ้าว่าอย่างนั้น ก็ต้องเลิก มาตรา ๒ ไป ประชาชนเป็นอำนาจ เป็นรัฐาธิปัตย์ คุณเป็นเพียงตัวแทนไป แต่ทำให้ บ้านเมืองฉิบหาย เรามาไล่คุณออกไป คุณก็หลงว่า เลือกตั้งเท่านั้น จะเลือกตั้งแข่งทำไม ประชาชน เป็นเจ้าของบ้าน มันหลงขนาด

       ประชาชนอยู่ไหน ก็รีบมาช่วยกัน ขออวยพร ให้เกิดความสำเร็จ งดงาม สมบูรณ์ด้วยเถิด...

 

 
๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ที่ เวทีสะพานมัฆวานรังสรรค์ กทม.