561130_เทศน์ภาคค่ำ สะพานมัฆวานรังสรรค์ โดยพ่อครู
เรื่อง การเมืองอาริยะ

 

        ตอนนี้ ทุกคนคงทราบแล้ว เรื่องการเตรียมการ จะปฏิบัติการ ที่สำคัญมาก ในวันพรุ่งนี้ ชีวิตนี้ ไม่เคยคิดมาก่อนว่า ได้มาทำเช่นนี้ แต่ภาคภูมิใจมาก ตั้งแต่ เป็นฆราวาส ไม่เอาใจใส่ เรื่องของการเมืองเลย ก็ทำมาหากินไป อยู่ในโลก ที่เขา จะทำอย่างไร ก็แล้วแต่ เพื่อได้เงินมากๆ หรือได้ยศ ลาภ ตำแหน่งให้มากๆ ซึ่งเป็นความคิดของ ปุถุชนสามัญ ไม่เหมือนความคิด ตอนนี้ ที่ไม่ได้คิดหาคิดทำ เพื่อตัวเอง ก็ไม่ได้ไปโกงกินอะไร ทำสัมมาอาชีพ ในชีวิตนี้ไม่เคยถูกจับ แต่ก็มาถูกจับ ในการมาทำงานนี้ ร่วมกับคุณจำลอง และคนอื่นๆ เขาก็ตั้งข้อหา ตอนนี้ก็ถอดถอนคดี ทิ้งไปหมดแล้ว ก็จบไปแล้ว เลิกถอนไป ก็เท่านั้นครั้งเดียว และก็มีที่ถูกจับ คดีสันติอโศก อีกครั้งหนึ่ง

        ตอนเป็นฆราวาส ก็ทำบุญทำทานไปตามประสา แต่ว่าไม่ได้มาทำ อย่างที่เราทำ คุณมานี่ มานั่งเสียสละ ช่วยบ้านเมือง ช่วยสังคม เป็นเรื่องน่ายกย่อง แต่ก่อนเป็นฆราวาส ไม่มีความคิดนี้เลย เห็นว่าเขาทำอะไรกัน ในชีวิต ไม่เคยไปลงคะแนนเสียง เลือกตั้งเลย ตั้งแต่ฆราวาส จนบวช

        คนเราที่ไม่มาช่วยบ้านช่วยเมือง ยิ่งตอนนี้สำคัญมาก ประเทศชาติ ถูกนักการเมือง ใช้อำนาจบาตรใหญ่ ปู้ยี้ปู้ยำ สร้างหนี้สินให้ชาติ ซึ่งประชาชนทุกคน ก็ต้องรับใช้หนี้ เช่นกัน ที่จะกู้กันมาตั้ง ๒.๒ ล้านๆบาท

        การเมืองที่เราทำนี้ เป็นการเมืองระดับ คนเหนือโลก คนโลกๆ ใช้กำลังกดขี่ หรือว่า Force เขาใช้อันนี้ กันมาทั่วโลก จนคนเริ่มมีปัญญา ว่าการที่จะใช้พลัง กดข่มคนอื่น เป็นความประพฤติ ที่เป็นชนิดเดียวกับ เดรัจฉานมา ช้างม้า วัวควาย มันก็ใช้แบบนั้น คนที่ไม่เจริญ ก็ไปรุกรานเขา ด้วยเรี่ยวแรงเหมือนสัตว์ คนที่ตกอยู่ภายใต้ อำนาจเช่นนี้ คือแบบ Force คนเหล่านี้ จะสร้างอำนาจ ให้แก่ตนเองให้คนเกรงกลัว ไม่กล้าติท้วง แต่อำนาจแบบ Authority เป็นอำนาจแห่ง คุณงามความดี เป็นอำนาจโดยธรรม เหมือนอย่าง เรายกย่องในหลวง ไม่ได้ถูกกดขี่ ด้วยอำนาจโลกีย์

        คนตกอยู่ภายใต้อำนาจโลกีย์ ก็สุขทุกข์ไปกับ อบาย กาม รูปภพ อรูปภพ ที่มีสุขอยู่ ผู้ไม่รู้ ก็หลงติด เพราะโลกีย์ มีสุขมีทุกข์ หลงอะไรที่เกินกว่า ปกติสามัญ ก็คืออบาย อยากดังมากก็อบาย อยากดังก็แก้ผ้าโชว์ ก็คืออบายมุข เดี๋ยวนี้อยากดัง จนชวนกันแก้ผ้า ให้จำนวนมากที่สุด ให้บันทึกใน กินเนสบุ๊ก มันเหลวแหลกขนาดนี้ ในการอยากดัง นี่คืออบาย เขาทำกันนี่ เป็นอบายก็ไม่รู้ตัว ติดยึดกันมาก นักธุรกิจ ก็หาวิธีเอาเปรียบ ร่ำรวย ได้เปรียบเกินกาล ก็บาปขั้นอบาย มันเกิดความเดือนร้อน ของมนุษยชาติ นึกว่า ตนฉลาดอีกนะ

        เรามีในหลวง ที่สอนเศรฐกิจพอเพียง ซึ่งไม่บาปไม่ชั่ว ในหลวงเป็นโพธิสัตว์ ท่านตรัส ขาดทุนของเรา คือกำไรของเรา ปุถุชนเข้าใจไม่ได้ หาว่าพูดอะไร แล้วจะอยู่ อย่างไร มาขาดทุน แล้วจะอยู่อย่างไร มาจนแล้วจะสุขอย่างไร จะไม่อับเฉา ตายหรือ?

        ภูมิใจที่เราได้พิสูจน์สัจธรรม ตามพระพุทธเจ้าสอน ในหลวง มีภูมิธรรม ตามพุทธศาสนา ภูมิใจที่เรามาปฏิบัติ แบบคนจน ที่ท่านสอน แล้วเป็นสุข ทำประโยชน์ แก่สังคม ดังพระราชดำรัส ของในหลวงเรา ที่ประกาศไปทั่วโลก อาตมาจึงมี ความมุ่งมั่น ที่จะให้คนไทยทำ ไม่อ้าขาผวาปีก ไปต่างชาติ แต่มันยาก เพราะศาสนา เสื่อมไปมาก โลกโลกีย์เหนี่ยวนำ เป็นอบายมุข เป็นกามสูงมาก จึงยากมาก แต่ยากก็จำนน เพราะเราเกิด ในยุคนี้ ก็พยายามที่สุด จะทำไปก็ได้ผล ทุกวันนี้ อาตมา ตายนอนตาหลับ เพราะทำงาน ได้พอสมควร

        มาเป็นคนชนิดนี้ ไม่ได้เสแสร้ง แกล้งทำ ชาวอโศก มาเป็นคนรับใช้เขา เขาก็หาว่า อยากดัง เราก็ทำไป ให้ทนทาน ต่อการพิสูจน์ ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลา พิสูจน์คน อาตมา ทำงานมา ๔๐ ปี มีชาวอโศก ที่ตั้งกลุ่มมาแต่ ๒๕๑๖ ที่แดนอโศก เกิดกลุ่มหมู่ พศ. ๒๕๑๘ ก็มีพุทธสถาน แต่มามีเพิ่มเป็น พุทธสถาน หลายแห่ง  มาเป็นคน ช่วยสังคม ไม่ใช่มาเอา จากสังคม เป็นมนุษย์อาริยะ อาศัยสิ่งที่อยู่ในสังคม ทำงานให้สังคม แล้วเป็น คนขาดทุน ให้สังคม ตลอดเวลา ไม่ใช่เอากำไร จากสังคม แล้วเขาถือว่ากำไร หรือเป็นสุข ซึ่งเป็นความเสื่อม แต่คนเข้าใจว่าเจริญ เพราะความเข้าใจ ที่จะข้ามเขต ปุถุชน มาเป็นอาริยะชนนั้น เป็นสิ่งที่เข้าใจ ได้ยากอยู่

        ความเจริญที่เป็นอาริยะ ที่เรียกว่า civilization มันกลับกัน กับปุถุชน ก็หวังอยู่ว่า ประเทศไทย จะมีสภาวะของ อาริยธรรมเกิด เป็นสินค้าใหม่ ให้แก่โลก จะเป็นคน ชนิดนี้ ที่ขาดทุน ให้แก่สังคม ไม่ใช่คนที่หนี เข้าป่าเขาถ้ำ ช่วยสังคมไปเล็กๆน้อยๆ ความจริง ก็กินกับสังคมอยู่ หรือออกป่า ไม่เอาจากสังคม ไม่ยุ่ง ไม่เอาเปรียบสังคมเลย ไม่บิณฑบาต ไม่อาศัยคนอื่น เลี้ยงตนด้วยตน คนชนิดนี้ ก็ไม่มีบาป ไม่เอาเปรียบใคร แต่ก็ไม่มีกุศล ไม่ได้ล้างกิเลส แต่ของพระพุทธเจ้านั้น ไม่มีบาป เพราะล้างกิเลส แล้วมีบุญ คือกำจัดกิเลส แล้วยังทำดี มีคุณค่า หิตประโยชน์​ เป็นพหุชนะหิตายะ เพื่อผองชน เป็นอันมาก แล้วก็ทำให้ สังคมสุข เรียก พหุชนสุขายะ ไม่ใช่สุข แย่งชิงโลภ มาแก่ตน อย่างมหาอำนาจ ที่ไม่มีโลกุตรธรรม ประเทศที่เคยเจริญแล้ว ได้เปรียบเขา ได้ลาภยศ สรรเสริญ แก่ตนเอง ก็ได้จากประเทศอื่น ได้เปรียบ แล้วก็แย่งชิง พยายามพัฒนา สร้างสรรประดิษฐ์ ขายวัฒนธรรม การแสดง เพื่อให้ได้เงินมากๆ ให้ร่ำรวย อยู่ดีกินดี มีเงินบำเรอตน คนสะสมความสุขแบบนี้ ก็รักษาไว้ได้ ระดับหนึ่ง แต่คนอื่น ประเทสอื่น ก็อยากได้แบบนี้ ก็เป็นสมบัติ ผลัดกันชมไป ผลัดกันเป็น มหาอำนาจ หมุนเวียน แย่งชิงไป

        ถ้าจะเป็นการเจริญแบบโลกุตระ ไม่ต้องแย่งใคร เป็นคนเจริญ ที่ไม่ต้อง เอาเปรียบใคร เป็นเศรษฐกิจแบบพิเศษ ทำสร้างได้มาก แต่เสียสละ แก่ผู้ด้อยกว่า คนเสียสละมาก ทำมาก ไม่หนีอยู่ป่าเขาถ้ำ อยู่กับสังคม มีสัมมา กัมมันตะ อาชีวะ ก็จะมีผลผลิต แรงงานมาก สิ่งดีก็มีค่ามาก แล้วก็ตนเอง กินน้อยใช้น้อย จนไม่ต้อง สะสมอะไรเลย ไม่มีสมบัติ หมดเนื้อหมดตัว มีสมบัติส่วนกลาง พึ่งเกิดแก่เจ็บตายได้ ไม่รวย เป็นคนจน ที่ในหลวงตรัส ไม่เป็นมหาอำนาจแบบโลก ที่ล่าอาณานิคม สมบัติผลัดกันชม

        ถ้าทุกคนจน แต่สร้างสรรได้มาก เกื้อกูลคนเก่ง เศรษฐกิจอาริยะประเทศ จะไม่รวย แต่ช่วยเหลือ ประเทศอื่น มีเงินคงคลังไม่มาก แต่ละคน ไม่สะสม แต่สมรรถนะสูง สร้างสรรเก่ง มีส่วนเหลือ ส่วนเกินมาก แล้วใช้ส่วนเกิน เป็นลาภโดยธรรม เป็นลาภธัมมิกา ถ้าสมบูรณ์ เป็นปิรามิด เป็นสาธารณโภคี แบบอาริยธรรม จะมีประสิทธิภาพ มากขึ้นอีก เป็นสังคมที่คน ลดกิเลส จนหมดได้ ก็มีแต่เป็นประโยชน์ต่อโลก

        เชื่อว่าเมืองไทย จะเกิดได้ เป็นกัปป์ของ พระพุทธเจ้า พระองค์นี้ จากนั้น จะเป็นกลียุค ที่เป็นพุทธันดร จนกว่าจะมี พระพุทธเจ้า องค์ใหม่เกิด ในยุคนี้ อาตมา ก็ต้องมาช่วย สืบสานพุทธศาสนา จะดูความจริงนี้ไปอีก ๒๐ ปี ถ้าอายุ ๑๐๐ ปี ก็จะดูต่อไป สืบสานเผยแพร่ ให้คนมีอาริยธรรม แล้วจะดูว่า สังคมประเทศไทย ที่มีอาริยธรรม จะเป็นอย่างไร ว่าสังคมแบบนี้ ที่มีพุทธศานา กลุ่มอื่นเขาก็ทำ แต่ก็ผู้บริหารประเทศ นักธุรกิจ ก็เหลวแหลก

        คนอาริยะ ที่ปฏิบัติไปจนสูง แม้เป็นเจ้าของบริษัท ประธาน ก็ไม่มีหุ้นเลย แต่จะอยู่อย่าง สุดยอดคนเคารพ เทิดทูนบูชา คนๆนี้ จะได้รับ การยอมรับอย่างสูง

        แม้การเมือง ก็จะมีนักการเมือง มารับใช้สังคม อย่างแท้จริง ทำงานให้สังคม เป็นพรรคการเมือง โดยธรรมชาติ โดยไม่ต้องตั้งพรรค เขามีกฏหมาย ให้ตั้งพรรค แต่ก็จะมีพรรค ที่เกิดโดยธรรมชาติ เป็นพรรควิเศษ แม้กฏหมาย จะบังคับให้ตั้งพรรค ก็ตาม อย่างอโศก ชาวอโศกมีพรรคการเมือง ตามนิตินัย คือ พรรคเพื่อฟ้าดิน ไม่เคยหาเสียง แต่ทำงานเพื่อสังคม เสียสละโดยไม่เอาลาภยศ สรรเสริญสุข นี่คือ พรรคจริง ตั้งไว้อย่างนั้นแหละ นี่คือ การทำงานภาคประชาชน แม้ไม่ได้รับการเลือก ไปทำงานในสภา แต่ก็ทำงาน รับใช้ประชาชน เสียสละจริงใจด้วย นี่คือ นักการเมือง สิ่งที่เป็นสัจธรรมอย่างนี้ จะได้รับการพิสูจน์ ต่อไป

        อ.สมศักดิ์ เธียรจรูญกุล ... ประเด็นการตั้ง สภาประชาชน จะทำได้หรือไม่?...

        มีข้อโต้แย้ง จากรัฐบาล ว่าเราทำผิดรัฐธรรมนูญ และทำการล้มล้าง ระบอบ ประชาธิปไตย.... การปฏิเสธ ศาลรัฐธรรมนูญ อย่างที่รัฐบาลทำ มีหัวหน้าพรรค และลูกพรรค ออกมาปฏิเสธด้วย การปฏิเสธนั้นคือ รัฐบาลทำตัว อยู่เหนือกฏหมาย แล้วอ้างนิติรัฐ ซึ่งแม้รัฐบาล ก็ต้องอยู่ภายใต้กฏหมาย เหมือนประชาชนทุกคน เมื่อศาลรัฐธรรมนูญ ตัดสินว่า กระทำการ ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๘ ความจริง เขาน่าจะลาออกได้แล้ว แต่หน้าเขาไม่มียาง

        เมื่อรัฐบาลทำผิด มาตรา ๖๘ ประชาชนก็มีสิทธิ ค้านแย้ง ต่อต้านการกระทำ ที่ไม่ชอบด้วย รัฐธรรมนูญ แล้วการตั้งสภาประชาชน

        เปรียบกับคดีที่รัฐบาล ทำการจะแก้รัฐธรรมนูญ ทั้งฉบับนั้น ศาลให้ไปทำ ประชาพิจารณ์ก่อน เปรียบว่า  เจ้าของที่ดิน ทำหนังสือมอบอำนาจ ให้ผู้แทนไปจำนอง แต่เขากลับ เอาไปขายเลย แล้วยังปลอมแปลง หนังสือมอบอำนาจด้วย และ การปลอมแปลง หนังสือมอบอำนาจ ต้องติดคุกนะ

        นักการเมือง จะแก้กฏหมาย ต้องทำถูกรัฐธรรมนูญ แต่ประชาชน จะแก้กฏหมายนั้น ไม่ผิดรัฐธรรมนูญ เพราะประชาชน เป็นผู้สถาปนา รัฐธรรมนูญ ไม่มีทางขัดแย้งเลย

        รัฐบาลนี้เป็นกบฏ ประชาชนออกมา ไม่ได้ผิดกฏหมายเลย แต่ประชาชนมาเพื่อ ปราบกบฏ

        พ่อครูแทรกว่า อย่างในหลวงกับประชาชน กับรัฐธรรมนูญ มันเป็นการยาก ที่จะบอกว่า อันไหนใหญ่ รัฐธรรมนูญ เกิดจากประชาชน เลือกสสร. ไปเขียน รัฐธรรมนูญ แล้วก็ต้องใช้ รัฐธรรมนูญนี้เป็นใหญ่ ถ้ารัฐธรรมนูญดี ก็ใช้ไปไม่เปลี่ยน อย่างหลายประเทศ ถ้ายังไม่มีรัฐธรรมนูญ ประชาชนก็ต้อง มาสร้างรัฐธรรมนูญ แต่ถ้ารัฐธรรมนูญไม่ดี ประเทศไทยนี่ ก็แก้ไข สร้างให้ดี แล้วทำตามรัฐธรรมนูญให้ดี

        มาตรา ๒ ประชาชนเป็นเจ้าของ อำนาจอธิปไตย และมีในหลวง ที่เป็นประชาชน คนหนึ่ง ที่เรายก ให้เป็นหัวหน้า ท่านจึงเป็นผู้ที่ โดยหลักการแล้ว ท่านคือ ผู้มีอำนาจ สูงสุด เป็นรัฐาธิปัตย์ ถ้าจะนับจริงๆแล้ว ในหลวงเป็น อำนาจที่ ๑ ประชาชนเป็น อำนาจที่ ๒ และรัฐธรรมนูญเป็น อำนาจที่ ๓

        แต่ไม่ว่ารัฐธรรมนูญ จะเขียนอย่างไร แต่คนปฏิบัติไร้ศีลธรรม คนเหล่านั้น ก็พร้อม จะทำการ ผิดรัฐธรรมนูญ ได้ตลอดเวลา

        สส.และสว. ๓๑๒ คนที่ปฏิเสธ ศาลรัฐธรรมนูญนั้น เขาปฏิเสธทุกอย่าง ที่ตรวจสอบเขา

        พรุ่งนี้คือวันที่ ๑​ ธันวาคม ประชาชนชาวไทย เป็นล้านคน มีมติแล้ว ที่จะไล่ ลูกจ้างออก แล้วจะสถาปนา สภาประชาชน ให้เกิดมีประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข อย่างแท้จริง …

        พ่อครูว่า... พรุ่งนี้แล้ว ถ้าประชาชน ไม่ออกมา อย่างพรักพร้อมจริงจัง สภากัมมะลอนี้ ก็จะอยู่ทำงานต่อไป แต่ถ้าเราออกมากันมาก เราก็จะเปลี่ยน การปกครอง ที่เลวร้ายนี้ ออกไป เราต้องถอนรากถอนโคน สิ่งเลวร้ายนี้ ...  ถ้าไม่ได้ครั้งนี้ เขาก็จะเหิมเกริม เลวร้ายต่อไป ถ้าประชาชนมาค้าน อย่างจริงจัง มามืดฟ้ามัวดิน ก็จะข่มทางโน้น ให้มีปัญญามา คนที่รู้แล้ว อย่าใจจืดใจดำ เห็นแก่ตัว มาเสียสละบ้าง ถ้ามีการเมืองใหม่ ที่จะล้างบาง การเมืองเดิม จะเป็นการเมืองอาริยะไหม?....

จบ

 
๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ที่ เวทีสะพานมัฆวานรังสรรค์ กทม.