|
||
เรากำลังจะไปออกรบ ก็ต้องใช้ธรรมะ มีคนทำสมเด็จปู่ วิชิตอวิชชา เป็นองค์เล็กๆ เมื่อก่อน ไม่ได้สร้าง วัตถุพวกนี้ แต่ว่าเรา จะไปล้มล้าง สิ่งเหล่านี้ ที่เขามีมาแล้วไม่ได้ เมื่อมีมาแล้ว เราก็สอนซ้อนเข้าไป จึงตัดสินใจ สร้างพระพุทธรูป องค์แรก คือ พระพุทธาภิธรรมนิมิต เป็นปางแรก ปางตรีลักษณ์ มีโลกุตระ โลกวิทู โลกานุกัมปายะ ต่อมาก็มี สมเด็จปู่ วิชิตอวิชชา ก็สร้างองค์เล็กมาก่อน แล้วต่อไป ก็จะสร้าง เพื่อให้รู้ว่า บูชาอย่างไร จึงจะเป็นผล บูชาอย่างไร ไม่เป็นผล นอกจาก ไม่มีผลดีแล้ว ยังเป็นโทษภัย กิเลสมากขึ้นด้วย หลงโมหะ มากขึ้นด้วย เราทำพระเครื่อง เพื่อสอนให้รู้ว่า บูชาอย่างไร จึงมีผลลดกิเลส เป็นอัตถิ ยิฏฐัง เขาอาจว่า แต่ก่อนอาตมาไม่สร้าง แต่ตอนนี้ทำไมสร้าง ก็อาตมาสร้าง ไม่ใช่เพื่อหาเงิน หรือ ให้ได้ผลผิดๆ เป็นเดรัจฉานวิชชา มีคน sms มาว่า ...ไม่นับถือพระโพธิรักษ์แล้ว ไหนว่าไม่สร้างพระเครื่อง ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง เลิกไปชุมนุมแล้ว.... พ่อครูตอบว่า.. อาตมาว่า ไม่เคยโลเลเลย อาตมา มีความแม่นชัด แต่บังคับ ความรู้กันไม่ได้ ไม่นับถือ ก็ไม่เป็นไร อาตมาไม่ได้ แสดงธรรม เพื่อให้คน มานับถือ ไม่ได้เพื่อให้คนเห็นว่า เราวิเศษ หรือแลกข้าวแลกน้ำ ตั้งก๊กตั้งลัทธิ ไปล้มลัทธิอื่น แต่แสดง ให้เกิดความรู้ความเข้าใจ ก็ขออภัย ที่ทำให้เสียศรัทธา แต่ก็เมื่อ ก้าวหน้าขึ้น ก็ต้องอธิบาย ความก้าวหน้า ก็ต้องบอกซ้ำว่า... อาตมาขอพูดนิดหนึ่ง ที่สร้างพระพุทธรูป พระเครื่อง แต่ต้อง ตั้งใจสร้าง เพื่อสอนให้เขา ทำให้ถูก คนทุกวันนี้ จะไปสร้างพระเครื่อง ทำให้เขาไม่สร้าง ไม่ได้แล้ว เราจึงต้องทำใจของเรา ไม่ได้ค้าขาย แต่ทำมานี่ ไม่ใช่ทำอย่าง เดรัจฉานวิชชา มาไว้เป็น เครื่องระลึก พุทธ ธรรม สงฆ์ เป็นอุปกรณ์การสอน พยายามเข้าใจ เจตนารมณ์ ตามให้ทัน ตามไม่ทันก็ตกรุ่น ตกขบวนไป เสียดายนะ คนได้ดี แล้วก็มาตกไป มาเข้าเรื่องการเมือง... มีบทความสองเรื่อง บทความพิเศษ ของ นงนุช สิงหเดชะ อันว่าอำนาจนั้น หากถือหรือใช้ อย่างไม่ระมัดระวัง จะบาดมือเอาได้ ใครจะคาดคิดว่า ในพ.ศ.๒๕๕๖ หรือผ่านมาแล้ว ๔๐ ปี คนไทยนับล้าน ต้องออกมา แสดงพลัง ขับไล่รัฐบาล ครั้งใหญ่กันอีก ซึ่งอดีตแกนนำนักศึกษา สมัย ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ที่ร่วมขับไล่ถนอม - ประภาส จอมเผด็จการ ออกมายืนยันว่า จำนวนประชาชน ที่ออกมาขับไล่ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ครั้งนี้ ทำลายสถิติ ๑๔ ตุลา ไปแล้ว การที่รัฐบาล มีวันนี้ คือวันที่มวลมหาประชาชน พร้อมใจกัน ออกมาขับไล่ ไม่ยอมรับ ก็เพราะ รัฐบาลนั่นเอง ที่ทำตัวเอง คือท้าทาย อำนาจประชาชน ใช้เสียงข้างมาก อย่างมิชอบ ทำตามอำเภอใจ พอเกิดการประท้วง ซึ่งมีอดีต สส.ปชป. คือ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นแกนนำ คนในรัฐบาล และคุณยิ่งลักษณ์ ก็ออกมาพูด (หน้าตาเฉย) อีกว่า มีอะไร ให้ไปคุยกัน ในสภา หรือผ่านช่องทางรัฐสภา ทำเหมือนแกล้งไม่รู้ว่า การที่พวกเขา ต้องออกมา บนท้องถนน ก็เพราะรัฐบาล ปิดช่องทางในสภา รวบหัวรวบหาง ใช้เสียงข้างมาก ถูลู่ถูกัง ไปครั้งแล้วครั้งเล่า การประท้วง ก็เพราะรัฐบาล ปิดปากฝ่ายค้าน แถมไม่ซื่อสัตย์ ไม่โปร่งใส เพราะในวาระแรก รัฐบาลก็อาศัย เสียงข้างมาก รวบรัดให้ผ่าน พอมาถึงวาระ ๒ ซึ่งตามรัฐธรรมนูญ กำหนดให้ สส. ผู้ขอแปรญัตติ (แก้ไข) ทุกคน มีโอกาสอภิปราย ประธานที่ประชุม ต้องให้สิทธิ์ สส.ฝ่ายค้าน ทุกคนอภิปราย แต่กลับ ปรากฏว่า สส.ฝ่ายรัฐบาล ไร้สปิริต ด้วยการเสนอ ขอปิดอภิปราย ในแต่ละมาตรา และรวบรัด ลงมติ เพื่อเจตนา ปิดโอกาส ไม่ให้ฝ่ายค้านอภิปราย หนำซ้ำร่างกฏหมาย ในวาระ ๒ มีการแก้ไข เปลี่ยนแปลง หลักการ ไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งตามรัฐธรรมนูญ ไม่สามารถทำได้ ที่ท้าทาย และไร้ความสง่างาม ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ การลักไก่ ลงมติ ในวาระ ๓ ตอนตี ๓ ตี ๔ อีกทั้งไม่ยอม ให้มีการถ่ายทอด ทางช่อง ๑๑ เลย ทั้งที่เป็นกฏหมายสำคัญ และ เกิดการโต้แย้ง ถกเถียงกันมาก ซึ่งย่อมไม่พ้น จะถูกมองว่า ไม่อยากให้ประชาชน ได้รับทราบ ข่าวสาร หรือได้ฟังเหตุผล ของฝ่ายค้าน ในการคัดค้าน ร่างกฏหมายนี้ นี่เป็นภาวะที่รัฐบาล บีบให้ประชาชนรู้สึกอัดอั้น ไม่พอใจ ส่วนคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เองก่อนหน้านั้น แม้เธอจะพูดอยู่เสมอว่า มีอะไร ให้ไปพูดกัน ในสภา แต่เธอแทบไม่เคย เข้าสภาเลย จะเข้าไปบ้างพอเป็นพิธี ไม่กี่นาที แล้วก็ชิ่ง ทั้งที่ตัวเอง เป็นเจ้าภาพโต้โผ เชิญอีกฝ่าย ไปคุยกันในสภา แต่เป็นเธอเสียเอง ที่ไม่เข้าสภา จึงได้เกิดม็อบ สามเสน ต่อด้วยม็อบ ราชดำเนิน อย่างไรล่ะ กฏหมายนิรโทษกรรม เรียกม็อบออกมา ได้เรือนแสน แต่หลังจาก ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เกี่ยวกับ คุณสมบัติของ ผู้ลงสมัคร ส.ว. ไม่ชอบด้วย กฏหมาย และทาง สส. รัฐบาล ออกมาตั้งโต๊ะ แถลงข่าว ไม่ยอมรับคำวินิจฉัย ของศาล รัฐธรรมนูญ ก็ปรากฏว่า ในวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน มีคนออกมา บนท้องถนน ในกรุงเทพฯ มาเป็นล้าน (ตามรายงานของ ซีเอ็นเอ็น และ บีบีซี บอกว่า สองล้านคน) เพื่อแสดงพลัง ไม่พอใจรัฐบาล ในวันที่ ๑๙ พ.ย. หรือก่อนวันที่ ศาลรัฐธรรมนูญ จะวินิจฉัย นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฏร ในฐานะประธานรัฐสภา พร้อมด้วย รองประธานสภา อีก ๒ คน ก็ออกมาตั้งโต๊ะ แถลงข่าว ไม่รับอำนาจ ศาลรัฐธรรมนูญ ล่วงหน้า นั่นก็เป็นการสร้าง ความเดือดดาล ให้ประชาชนไปรอบหนึ่งแล้ว พอคณะ สส. รัฐบาล มาแถลง ไม่ยอมรับอำนาจ ศาลรัฐธรรมนูญ ซ้ำอีกครั้ง หลังมีคำวินิจฉัยแล้ว จึงเรียกมหาชน ออกมาบนท้องถนน ได้เกินล้าน พวก สส.รัฐบาล และพวกแกนนำเสื้อแดง นักวิชาการแดง อ้างว่า ศาลรัฐธรรมนูญ ไม่มีอำนาจรับคำร้องไปวินิจฉัย เพราะการแก้รัฐธรรมนูญ เป็นอำนาจของสภา แต่สิ่งที่คนพวกนี้ ไม่เคยตอบได้ อย่างกระจ่างเลยก็คือ สมมุติว่า ศาลรัฐธรรมนูญ จะไม่วินิจฉัย แต่ สส.รัฐบาลทั้งหมด จะรับผิดชอบ และแสดงสปิริตอย่างไร กรณี ๑. มีการปลอมแปลง ร่างรัฐธรรมนูญ สอดไส้เนื้อหา เพิ่มเติมเข้าไปทีหลัง หากอ้างอิงว่า เป็นหน้าที่ของสภา จะจัดการเอง แต่ถามว่า ทำไมป่านนี้ ยังไม่จัดการตัวเอง ถ้าเป็นประเทศอื่น ยังไม่ต้องให้ ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัย เขาก็ต้อง แสดงสปิริต คืออย่างน้อย ก็ต้องลาออกแล้ว เพราะได้ทำทุจริต ในเมื่อฝ่ายรัฐสภา ซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งมีหน้าที่ ตรากฏหมาย ออกมาประกาศ ไม่ยอมรับ อำนาจศาลเสียเอง อยู่เหนือกฏหมายเสียเอง ประชาชนเขาเลย ย้อนเกร็ด เอาบ้างว่า พวกเขาก็จะไม่ยอมรับ อำนาจรัฐบาล เช่นกัน ที่หนักกว่านั้นก็คือ นำร่างรัฐธรรมนูญ ที่ไม่ชอบด้วยกฏหมาย เพราะมีการ ปลอมแปลง ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ถามว่า สส.ทั้งหมดและรัฐบาล จะรับผิดชอบอย่างไร ที่ตลกคือ สส.เพื่อไทย ไปแจ้งความกับ ดีเอสไอ ขอให้ดำเนินคดี เอาผิด ตุลาการ รัฐธรรมนูญ โดยกล่าวหาว่า ล่วงละเมิดพระราชอำนาจ เพราะได้ทูลเกล้าฯ ร่างรัฐธรรมนูญ ไปแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่ สส.เพื่อไทย ต้องตอบอย่างจริงใจก็คือ จงใจชิงนำร่างฯ ขึ้นทูลเกล้าฯ ทั้งที่รู้ว่า ศาลรัฐธรรมนูญ ได้รับคำร้อง ของผู้ร้องไว้แล้ว เพื่อต้องการให้ ศาลรัฐธรรมนูญ ตัดสิน ในทางที่เป็นคุณ กับรัฐบาล ใช่หรือไม่? ส่วนคุณยิ่งลักษณ์ ที่อ้างว่า ทำตามรัฐธรรมนูญ ที่ว่า เมื่อรัฐสภา ได้ผ่านวาระ ๓ แล้ว นายกฯ จะต้องนำ ร่างกฏหมายนั้น ขึ้นทูลเกล้าฯ ภายใน ๒๐ วัน เป็นข้ออ้าง ที่ฟังขึ้น ได้ยาก เพราะในมาตรา ๑๕๔ บัญญัติไว้ว่า หากเรื่องยังอยู่ ในระหว่าง การวินิจฉัยของ ศาลรัฐธรรมนูญ นายกฯ ควรระงับ การนำขึ้นทูลเกล้าฯ หากคุณยิ่งลักษณ์ ไม่ได้สมคบคิดกับรัฐสภา ก็ย่อมจะชั่งน้ำหนักได้เองว่า ควรทำอย่างไหน ระหว่าง การนำขึ้นทูลเกล้าฯ ภายใน ๒๐ วัน หลังสภา ผ่านวาระ ๓ กับการปฏิบัติตาม มาตรา ๑๕๔ คือ นายกฯ ควรระงับ การดำเนินการ เพื่อประกาศใช้ ร่างกฏหมายนั้นๆ จนกว่า ศาลรัฐธรรมนูญ จะมีคำวินิจฉัย กล่าวอย่างให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือนายกฯ ควรระงับ การนำขึ้นทูลเกล้าฯ หากร่าง กฏหมายนั้นๆ ยังอยู่ระหว่าง การวินิจฉัยของ ศาลรัฐธรรมนูญ หลังจากม็อบบุกยึด กระทรวงการคลัง คุณยิ่งลักษณ์ แถลงอ้อนวอนว่า อย่าทำ เพราะจะกระทบ ต่อความเชื่อมั่น ของประเทศ ซึ่งไม่มีใครปฏิเสธหรอกว่า การกระทำของม็อบ กระทบต่อความเชื่อมั่น แต่อย่าลืมว่า ความไม่เชื่อมั่นนั้น อย่างน้อยครึ่งหนึ่ง มาจากรัฐบาลเอง เพราะตลอด ๒ ปีที่ผ่านมา รัฐบาลทำให้การเมือง กระเพื่อม เพราะดึงดัน จะแก้ไข รัฐธรรมนูญ กับออกกฏหมาย นิรโทษกรรมนั่นล่ะ ที่ผ่านมา พอประชาชน ไม่ออกแรง ไม่ออกมาเอ็กเซอร์ไซส์ รัฐบาลก็ดึงดัน ออกกฏหมาย นิรโทษกรรม สุดซอย ต่อเมื่อเจอของจริง จึงยอมถอย ซึ่งก็เป็นการถอย ที่สายเสียแล้ว เพราะประชาชน ไม่ไว้วางใจรัฐบาล เนื่องจาก เห็นมาตลอดว่า ไร้ความจริงใจ ไม่รักษาคำพูด และก็มี ในหนังสือพิมพ์ ไทยโพสต์ วันอาทิตย์ที่ ๑ ธ.ค. ๕๖ คอลัมน์ คิดเหนือกระแส ได้เขียนเรื่อง หมดเวลารัฐบาลโมฆะ . รศ.ดร.เสรี วงษ์มณฑา เมื่อรัฐบาลอยู่เบื้องหลัง การผลักดันกฎหมาย หลายฉบับ ที่ขัดหลักนิติธรรม และ ศาลรัฐธรรมนูญ ได้ชี้ชัดแล้วว่า เป็นการกระทำที่ ขัดรัฐธรรมนูญ รัฐบาลและ ส.ส. ซีกรัฐบาล ทุกพรรค ที่มีส่วนร่วม ในการผลักดัน กฎหมายดังกล่าว ย่อมเป็นผู้ที่ ทำผิด รัฐธรรมนูญ น่าจะถือได้ว่า เป็นรัฐบาลที่โมฆะ เป็น ส.ส.ที่โมฆะ ที่ควรจะมีสำนึก ลาออกไปเอง โดยไม่ต้องให้มี กระบวนการถอดถอน ตามกฎหมาย ถึงเวลาแล้ว ที่นักการเมือง จะต้องมี จิตสำนึกกันบ้าง ไม่ใช่เอาแต่อ้างว่า ยังไม่มีหน่วยงานใด หรือศาลใด ชี้ความผิด อย่างชัดแจ้ง ลองมาไล่เรียง สิ่งที่พวกท่านทั้งหลาย ทำไปว่า มีอะไรบ้าง ที่ท่านทั้งหลาย ควรจะมีจิตสำนึก และรู้ตัวว่า ท่านทั้งหลายนั้น โมฆะแล้ว และควรจะแสดง ความรับผิดชอบ ด้วยการลาออกไปเอง โดยไม่ต้อง ให้ใครมาไล่ การกระทำ ที่ไม่เหมาะสม ของท่านนั้น ไม่ได้มีเพียง เรื่องของการแก้ กฎหมาย รัฐธรรมนูญ ว่าด้วยเรื่องที่มาของ ส.ว.เท่านั้น แต่ท่านยังมีการกระทำ อีกหลายอย่าง ที่แสดงถึง ความพยายาม จะรวบอำนาจ และยึดครองประเทศไทย แบบเบ็ดเสร็จ ขัดกับแนวทางของ การปกครอง ในระบอบประชาธิปไตย ที่มีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข ท่านคิดจะล้างผิด ให้กับคนที่ทำความผิด ทางอาญา ที่ไม่ใช่ความผิด ทางการเมือง ท่านขยายเวลาการล้างผิด ทั้งก่อนมีการชุมนุม และหลังการชุมนุม เพื่อล้างผิดเรื่อง คอร์รัปชัน ท่านปิดปากฝ่ายค้าน ที่เขาต้องการอภิปราย และแสดงความคิดเห็น กีดกันเสรีภาพ ท่านประชุม โดยที่มี ส.ส.ไม่ครบองค์ประชุม ท่านมีการเสียบบัตร ลงคะแนนแทนกัน ถือว่าเป็นการทำผิดกติกา ท่านมีการสอดไส้ ใส่ข้อความ ที่ไม่ตรงกับข้อความ ที่ประชุมกันในสภาฯ ท่านออกกฎหมาย แบบลักหลับ ด้วยการประชุม ยาวนาน ถึงตี 4 ท่านนำเอากฎหมาย ที่มีมลทินทูลเกล้าฯ ถวายพระมหากษัตริย์ ให้ทรงลงพระปรมาภิไธย ท่านมีความพยายาม ที่จะทำลายระบบตรวจสอบ ด้วยการแก้กฎหมาย ว่าด้วยที่มาของ ส.ว. ท่านแสวงหา ประโยชน์ส่วนตน ด้วยการแก้กฎหมาย ว่าด้วยการเซ็นสัญญา กับต่างชาติ ท่านกระทำการที่แสดงถึง การย่ำยีอำนาจ ตุลาการ ซึ่งเป็น 1 ใน 3 อำนาจประชาธิปไตย ท่านออกมา ประกาศชัดเจนว่า ท่านไม่ยอมรับอำนาจ ศาลรัฐธรรมนูญ ท่านพยายามจะกู้เงิน สูงถึง 2 ล้านล้าน ด้วย พ.ร.บ.เงินกู้ เพื่อหลีกเลี่ยง การตรวจสอบ ของรัฐสภา การกระทำทั้งสิ้น ทั้งปวงนั้น ท่านน่าจะรู้ว่า ท่านไม่มีความชอบธรรม ที่จะเป็นรัฐบาล หรือเป็น ส.ส.อีกต่อไป ประชาชน จำนวนมาก ทั้งที่ออกมาชุมนุม และไม่ได้ ออกมาชุมนุม ต่างมีความเห็นพ้อง ต้องกันว่า ความเป็นรัฐบาลของท่าน และความเป็น ส.ส. ของท่านนั้น เป็นโมฆะไปแล้ว แม้ว่าท่าน จะดื้อดึง ที่จะอยู่ ในตำแหน่งต่อไป ท่านก็ไม่สามารถ ที่จะบริหารประเทศไทย เพราะประชาชน โดยทั่วไป ข้าราชการ และ พนักงาน รัฐวิสาหกิจ ที่เขาไม่ยอม ที่จะรับใช้ท่านนั้น เขาได้แสดงตน ออกมา เป็นจำนวนมาก อย่างชัดแจ้งแล้ว ถ้าหากท่าน เห็นแก่บ้านเมือง ท่านสมควร ที่จะลาออกไป ให้พ้นๆ เพื่อเปิดโอกาส ให้คนไทย ได้มีโอกาส ปฏิรูปประเทศไทย ให้พ้นจากอำนาจ ของพวกท่าน สิ่งที่ท่านทั้งหลาย ควรจะมองเห็น แล้วเก็บเอาไป พินิจพิจารณานั้น มีมากเพียงพอ ที่จะชี้นำ ให้ท่านตัดสินใจ ออกไปให้พ้นๆ จากการอยู่ในอำนาจ เพื่อประเทศชาติ ของเรา จำนวนผู้คนที่ออกมา ต่อต้านท่านนั้น มีมากกว่า 1 ล้านคน การยึดกระทรวงต่างๆ ทำได้โดยง่าย เพราะข้าราชการเห็นด้วย รัฐวิสาหกิจจำนวนมาก อึดอัดกับการครอบงำ ของพวกท่าน นักวิชาการ ที่เข้าข้างพวกท่านหลายคน ก็ไม่เข้าข้างท่านอีกแล้ว เรื่องความผิดของท่าน อยู่ที่ศาล อีกหลายเรื่อง เสียงต่อต้านทั้งหมดนี้ ยังไม่เพียงพอ ที่จะทำให้ท่าน เกิดสำนึก แล้วทำคุณ แก่ประเทศ ด้วยการ ออกไปให้พ้นๆ จากแวดวงการเมือง เพื่อให้ประเทศไทย ใสสะอาด ขึ้นกว่าเดิม เพื่อให้ประเทศไทย หลุดพ้นจาก การถูกครอบงำ ของนักการเมือง ที่ไร้คุณธรรม และ มีการกระทำ ที่เป็นการทำร้าย ประเทศไทย ประเทศไทย ต้องเดินหน้าต่อไป แต่หากยังมี พวกท่านอยู่ต่อไป ประเทศไทย ก็เดินหน้าไม่ได้ เพราะประชาชน เขารู้เช่นเห็นชาติ ของพวกท่านแล้วว่า พวกท่านนั้น ทำสิ่งที่ไม่ถูกไม่ต้อง กับประเทศไทยอย่างไร เขาไม่ต้องการท่านแล้ว ท่านจะอยู่ทำลายโอกาส ประเทศไทยต่อไป ทำไม ยอมรับ ความเป็นโมฆะ ของพวกท่าน แล้วไปให้พ้นๆ เถอะ ถือเสียว่า เป็นการทำคุณ แก่แผ่นดิน จะได้เป็น คนที่เป็นประโยชน์ กับแผ่นดินบ้าง แทนที่จะเป็นคน หนักแผ่นดิน อยู่อย่างนี้ ท่านอย่าคิดว่า ท่านมีตำรวจ ทำตัวเป็นขี้ข้า รับใช้ท่าน แล้วท่านจะชนะ ประชาชนนะ เพราะถ้าหาก ตำรวจ ทำร้ายประชาชน ท่านจะอยู่ไม่ได้ ท่านลองคิดดูว่า ประชาชน ที่ไม่เอาท่านแล้ว ทหารที่ไม่เอาท่านแล้ว แต่ยังไม่ออกมา แสดงตนนั้น มีอีกเท่าไหร่ การที่พวกเขา ยังไม่ออกมา ก็เพราะเขายังคิดว่า ท่านจะไม่ทำอะไร ที่เลวร้าย แต่หากวันใด ที่พวกท่าน ทำร้ายประชาชน พวกเขาคงจะ ไม่นิ่งเฉยต่อไป เมื่อเป็นโมฆะแล้ว ตัดสินใจ ออกไปเอง ดีกว่าให้มีคน มาไล่นะ. นี่ก็ย้ำ ความไม่ชอบมาพากลของรัฐบาลอีก.... อย่างนี้เรียกว่า ง่านกับโด้ คือ โง่ยกกำลังด้าน มันจะได้เท่าไหร่ คำสองคำนี้ ต้องมีความต่างกัน อาตมาก็ถือความรู้ ของอาตมาเอง ตกลงอาตมา ก็เห็นว่า คำว่านิติรัฐ ก็มีความหมาย ประมาณนั้น อาตมาก็แยกได้ ประมาณนี้ ในมาตรา ๗ เมื่อไม่มีในบทบัญญัติ ในรัฐธรรมนูญ ว่าให้ประชาชน ปฏิวัติได้ แต่เมื่อไม่มี ก็ให้ใช้วินิจฉัย ตามประเพณี การปกครอง ในระบอบ ประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข ก็อยู่ในมาตรา ๒ กับมาตรา ๓ เมื่อไม่มีในมาตรา ๗ ว่าไว้ ก็ให้ทำตามประเพณี แล้วประเพณี ของการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข แม้ไม่มีเขียนไว้ แต่มีความผูกพันทุกองค์กร ใน มาตรา ๓ (อำนาจอธิปไตย) อำนาจอธิปไตย เป็นของ ปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อำนาจนั้น ทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่ง รัฐธรรมนูญนี้ เมื่อไม่มีในบทบัญญัติ ก็ต้องทำตามความเห็น ความรู้ ที่เคยมีมา กับธรรมะ เป็นตัว ตัดสินหลัก สรุปคือ รัฐบาลกับรัฐสภา โมฆะแล้ว คณะบริหารโมฆะแล้ว และก็ไม่ควร จะทำต่อ ประชาชนจึงออกมา ขออำนาจคืน ตามสิทธิ์ จึงมีมวลมหาประชาชน ออกมา ทวงคืนอำนาจคืน เพื่อจะปฏิรูป ประเทศต่อไป เขาก็ยัง ง่านโด้อยู่ คณะที่มาประท้วงนี่ พวกเราไม่ใช่กบฏ ทำอย่างถูกต้อง ตามรัฐธรรมนูญ สวยงามด้วย ไม่มีอาวุธ ที่มีอาจมือที่สาม หรือทางฝ่ายตรงข้าม ก็มาทำรุนแรง ทางนี้ ก็ป้องกันตัวเท่านั้น ตามกฏหมายทั่วโลก เขามีสิทธิ์ป้องกันตัว แต่คุณเล่นงานเขา จนเจ็บ เข้ารพ. ไปก็มี แล้วคุณทำผิดนี่ อย่างตอน ตอนพิธีถวายพระพรในหลวง ที่ไกลกังวล อาการแสดงออก ทาง กายวิญญัติ ที่อดีตนายกฯ อนันท์ ปันยารชุน อยู่ใกล้นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ที่ก้มหน้างุดๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ ธรรมะที่ทำถูกรัฐธรรมนูญว่า มาชุมนุมประท้วง ต่อต้าน คุ้มครอง ปกป้องประเทศ ในโลกีย์ เขาใช้ Force คืออำนาจกดดัน บังคับ โดยอาวุธ หรืออื่นๆ ทุกที ที่เขาปฏิวัติ แต่เขาเห็นว่า ไม่ใช่อารยะธรรม ถ้าอารยะธรรม เขาก็ว่ากัน ตามถูกผิด เขาก็บอก ตามอย่างสุภาพ ไม่ใช่อำนาจแบบ บีบบังคับ ตัวอย่างที่จะขอคืน อย่างสุภาพ เรียบร้อย ไม่รุนแรง แล้วสำเร็จ อย่างนี้เปลี่ยนแปลง ปฏิวัติแบบใหม่ ให้มีคณะใหม่ มีรัฐธรรมนูญใหม่เลย ถ้าทำอย่าง Authority ไม่กดข่มแบบ Force นี่คือ ความก้าวหน้า ซึ่งก็ขอบคุณ ทางโน้น ที่ก็ว่าจะทำ อย่างสงบเรียบร้อย ไม่รุนแรง แต่ก่อนนี้ ทำอย่างรุนแรง แต่ตอนนี้ลดลง เราจำเป็นต้องไปยึด แม้สื่อสาร ก็ให้ช่วยทางนี้ด้วย ที่จริงไปขอร้องว่า ช่วยทางเราบ้าง หรือไปในหน่วยงาน ราชการต่างๆ ยึดนี่เป็นสัญญลักษณ์ ข้าราชการ ที่เขาอยากหยุด มีเยอะแยะ เขาก็จะเห็น จะรู้ท่าที พรุ่งนี้เราก็จะไปทำ เป็นสัญญลักษณ์ ไม่ได้ทำรุนแรงเลย เพื่อให้เห็นว่า เขาไม่เอาคุณแล้ว พรุ่งนี้ก็จะพิสูจน์อีก นั่นคือโลกีย์ ที่สวยงาม และที่ข้ามพ้นโลกีย์ คือโลกุตระ พหูสูตของพุทธ คือผู้รู้ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน แล้วมีจาคะ มีปัญญา มีการสละ ไม่ยึดไม่ติด สละออก คุณธรรมก็จะเกิดจริง เป็นจริง เป็นโลกุตระ ธรรมะพระพุทธเจ้า มีลักษณะ รู้ครบหมดเลย สัมผัสแล้วรู้ครบทางทวารทั้ง ๖ ก็รู้ในรูป ๒๔ ทั้งอิตถีภาวะ และ ปุริสภาวะ แม้หทยรูป ก็รู้ แม้แต่ชีวิตรูป มีความเป็นอยู่หรือไม่ หรือได้ค่าตัว อกุศลจิต ที่ไม่เหลือแล้ว ไม่มีพลังแห่งชีวิตแล้วก็รู้ ต่อเนื่องจาก ทวาร ๖ จะเหลือเท่าไหร่ รู้ปริเฉทรูป เป็น Context เพราะมันมีตั้งแต่หยาบ ไปถึงละเอียด กิเลสไม่เหลือ จนเป็นความว่าง อุเบกขา เป็นฐานนิพพาน สัมผัสรู้เลย แม้เบาบางก็รู้ พลังของความเบา หรือพลังของ ความสูญนี่ พลังความ ไม่ทำอะไรเลย แต่คนล้มระเนระนาด ไปหมดเลย เป็นนามธรรม ที่มีอำนาจ สูงส่ง เป็นธรรมฤทธิ์ ไม่ได้หยุดด้วยอำนาจไม้ปืน แต่เป็นสิ่งสูงส่ง ที่ยอมยกให้เลย เป็นแรงพลัง ของสัจธรรม มีปรากฏการณ์จริง ของจริง ตอนนี้ กำลังสู้กัน ทางการเมือง เพื่อเปลี่ยนแปลง สังคมการเมือง ให้ดีขึ้น ๘๑ ปีมาแล้ว ตอนนี้ กำลังจะเปลี่ยน แต่เขาก็ยัง ไม่ยอมเปลี่ยน วนเวียนอยู่ในโลกีย์ ตอนนี้ ยิ่งหยาบใหญ่ แม้แต่การเลือกตั้ง ก็ซื้อเสียง แต่ก่อน ใช้แค่รองเท้า ซื้อเสียง แต่ตอนนี้ เป็นพันเลย ในหนังสือ มติชนสุดสัปดาห์ คอลัมน์ ลึกแต่ไม่ลับ ของคุณ จรัญ พงษ์จีน ... ว่าประเทศไทย มีการเปลี่ยนแปลง การปกครอง ตั้งแต่เมื่อวันที่ ๒๔ มิ.ย. ๒๔๗๕ นับเวลา ก็ปาเข้าไป ๘๑ ปีเต็มแล้ว แต่ประชาธิปไตย แบบไทยไทย ก็ยังล้มลุก คลุกคลาน เตี้ยลงสาละวัน มีการฉีกทิ้ง รัฐธรรมนูญ ปฏิวัติ รัฐประหาร ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งหมด มีการปฏิวัติ รัฐประหาร ทั้งสิ้น ๑๒ ครั้ง ซึ่งมีทั้งสำเร็จ และไม่สำเร็จ ไม่สำเร็จก็ถูกจับ ติดคุก หรือ ประหารไปบ้าง... ในอำนาจที่ไม่เป็นตาม รัฐธรรมนูญ เขาก็ต้องใช้ Force ถ้าเราทำไม่สำเร็จ เขาก็ต้อง หาทางจับเรา ข้อหากบฏ อยากสรุปความเป็นจริง ที่อาตมาได้ทำมา อย่างพากเพียร ว่าน่าจะเป็นไปได้นะ เช่น คนออกมา เลิกโลกีย์ เคยหลงอบายมุข ก็เลิกอบายมุข เคยเป็นเศรษฐี ชั้นสูงไฮโซ ก็ลดลงมา แล้วก็มาเป็นแบบนี้ มันสบายกว่า มีประโยชน์กว่า ญาณปัญญาของคน มันรู้จริง ไม่มีใครบังคับ เกิดความรู้แจ้ง ที่ว่าไปแย่งไล่ล่าร่ำรวย ยิ่งเรามีสังคม สาธารณโภคี เรามาทำกับ ฆราวาสได้ กับอุบาสก อุบาสิการได้ แต่ตอนสมัย พระพุทธเจ้า ทำไม่ได้ เพราะไม่รู้เรื่องสิทธิ การแสดงออก เป็นสังคมทาส แต่ยุคนี้ทำได้ ทั้งฆราวาส และนักบวช เป็นยุคสมัยที่มี สิทธิเสรีภาพ พิสูจน์ไปถึง ไม่มีตัวกูของกูได้ ยศก็คือ ตำแหน่ง หน้าที่ ในการดูแล ทำงานมากขึ้น ก็เข้าใจ ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต ข่มเบ่งใคร แต่มีเพื่อ ให้ทำงาน ได้กว้างขวาง มีประโยชน์มากขึ้น เกิดมา มีแรงกายแรงใจ แรงสมอง ก็ทำไป เมื่อยก็พัก ไม่เมื่อยก็เพียร คุณสมบัติของการข้ามพ้นฝั่งได้ คือ เราไม่พัก เราไม่เพียร เราจึงข้ามโอฆะสงสารได้ คนเรามีชีวิตอยู่ ก็เพื่อรับใช้มวลชน เมื่อยก็พัก ไม่เมื่อยก็เพียร ยามควรพักก็พัก ยามควรเพียรก็เพียร คุณเพียรน้อยกว่าพัก จึงเป็นคนมีคุณค่า ประโยชน์ มากกว่า เป็นคนเสพ หรือเปลือง ใช้สอยทั้งเวลา ทุนรอน แรงงาน เป็นคนประโยชน์สูง ประหยัดสุด ศาสนาพระพุทธเจ้า จึงมีประโยชน์อย่างนี้ พูดสิ่งเหล่านี้ มีคำรับรองของ พระพุทธเจ้า เราไม่พัก เราไม่เพียร เราข้ามโอฆะสงสารได้ เรามาทำนี่ เป็นนามธรรม ได้แล้ว ก็ใครแย่งไม่ได้ ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ยิ่งแจก ยิ่งงอก มีนิรุติปฏิภาณ มาแสดงได้เพิ่มขึ้น มีปฏิสัมภิทาญาณเพิ่ม ธรรมะนี่ ยิ่งให้ยิ่งงอก แต่อามิสสิ ยิ่งให้ยิ่งหมด ลาภยศสรรเสริญ ยิ่งแจกยิ่งหมด ในเทวธรรม หรืออาริยธรรมนั้น เป็นจิตสูง ประเสริฐ ที่คนควรได้ ควรมี คนที่มี ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา ๔ อย่างนี้คือ สัมปรายิกัตถประโยชน์ ศีลก็เป็นหลักเกณฑ์ ให้เราทำให้บรรลุ ในศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ สูงขึ้นไป ให้จิตเป็นจริง คนที่ละอาย ต่อความผิดนี่ เป็นคนดี แต่คนที่ไม่ละอาย ต่อความผิดนี่ ง่านโด้ คือโง่ยกกำลังด้าน ง่านคือมันโง่ ยกกำลังความด้าน ส่วนโด้ ก็คือด้าน ยกกำลังความโง่ นั่นเอง สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล ไม่หรูหราฟู่ฟ่า แต่ก็มีมากได้ ตามฐานะอันควร ที่มีคนมองว่า พระเจ้าแผ่นดิน เป็นพวกศักดินา มีอภิสิทธิ์ เขาจะให้เท่ากันหมด เขามอง ไม่ออกว่า สังคมต้องมี สิ่งเหล่านี้ คนต้องอาศัย จิตวิทยาสังคม เช่นนี้ สายหนึ่ง เป็นสาย Prophecy เมื่อมีบารมี ก็จะมีฐานะ มีสิ่งที่เป็นวัตถุ อีกสายหนึ่ง เป็นสายมีเหตุผล มีความรู้ เรียกว่า Philosophy เป็นสายเหตุผล ความรู้บัญญัติ เป็นสายศรัทธา และเจโต มีสองสาย ...จบ |
||
|