561210_พ่อครูที่เวทีประตู ๕ ทำเนียบ
เรื่อง รัฐาธิปัตย์เป็นของประชาชนตลอดกาล

        วันนี้เป็นวันแรกที่ กปปส. ทำการ หลังจากได้ประกาศทวงคืน อำนาจรัฐไป เมื่อคืนวาน ทางเวทีกปท. และกองทัพธรรม ได้ย้ายมาที่ประตู ๕ หน้ากระทรวง ศึกษาธิการ

        พ่อครูว่า... เจริญธรรม ยังครึกครื้นรื่นเริงกันดีอยู่ ก็เข้าท่าดี น่าปลื้มใจ ให้แก่ประเทศไทย ที่มีประชากร มีคุณภาพเช่นนี้ ไม่ได้พูดอย่างป้อยอ แต่พูด ด้วยความจริง ที่ปรากฏ เป็นความมหัศจรรย์ ของโลกมนุษย์ ที่มีคนออกมา ต่อสู้กัน เพื่อจัดการฝ่ายหนึ่งให้ลง ซึ่งเป็นการยึดมั่นถือมั่น อย่างสำคัญเลยทีเดียว จนอาตมา ต้องบัญญัติคำสองคำ ว่า “ง่าน” กับคำว่า  “โด้” คำว่าง่านคือ โง่ยกกำลังด้าน ส่วนคำว่า โด้ คือด้าน ยกกำลังโง่ ง่ายๆไม่ได้เข้าใจยาก แต่เข้าใจได้ชัด คือโง่จนสุดด้าน ด้านจนสุดโง่ เลยทีเดียว

        วันนี้จะพยายามสาธยายเรื่องเดิม เรื่องซ้ำซาก เหมือนแผ่นเสียง ตกร่อง.... เป็นเรื่อง ที่ใหม่แปลกมาก จนเขานึกว่า อย่างนี้มีด้วยหรือ ที่จะมาปฏิวัติ ด้วยความสงบ ไม่มีปืน ไม่มีรถถัง มาข่มเบ่งอะไร ดูท่าทีกระจอกๆ ไม่ทำร้ายใคร สงบ แล้วเราพยายาม ใช้ความจริง ความถูกต้อง พยายามอธิบาย ให้คนเข้าใจ เป็นเรื่องระดับ โลกุตระ

        ธรรมดาโลกีย์ เอาชนะกันด้วยอำนาจข่มเบ่ง เขี้ยว งา กล้ามเนื้อ แต่พอมาเป็นคน ก็ยังติด ใช้อำนาจแบบสัตว์ ที่ไม่เจริญ จนพัฒนามาก็รู้ว่า คนเราไม่ต้อง ไปฆ่าแกงกัน ไม่น่าจะไปทำ ให้เจ็บตัว ให้ยอมแพ้ จนกระทั่ง ไม่ไปข่มด้วยอย่างใด แต่ชนะแพ้กัน ด้วยความดีงาม ผู้มีความดีงาม ก็ต้องชนะ หรือผู้มีความดีงาม คุณภาพด้อยกว่า ก็ควรให้แพ้ ก็มีปฏิภาณ รู้กันมาเรื่อยๆ จนทำได้ผล

        คนที่เข้าใจด้วยปัญญาแบบนี้ ก็ยอม เพราะว่า เขาถูกต้องกว่า ดีกว่า ยอมแพ้เถอะ ก็เกิดความเจริญ เป็นโลกศิวิไลซ์ ทั้งโลกเข้าใจกันมา คนไทยเรา ก็ได้เข้าใจ ได้แสดงตัว ความจริง ออกมาคราวนี้ ที่เราได้พยายาม ออกมาประท้วง มีการปะทะ พวกเรา ก็มีเลือดเก่า มีการตอบโต้ ปะทะบ้าง แต่โดยค่ารวม ประเทศไทย เข้าใจทั้งสองฝ่าย ว่าไม่ควรรุนแรง อาตมาพาออกมา ประท้วงมา เรื่อยๆ

        ตั้งแต่แรก ก็มีตายกันเยอะ ก็ลดลงๆ จนมาบัดนี้ โดยเฉพาะ กลุ่มพวกเรา โดยตรง ที่พามาทำงาน ไม่มีการตายเลย ที่ตายนี้นอกออกไป ไม่ใช่เรื่องโดยตรงของเรา เป็นลูกหลงออกไป แต่โดยตรง ไม่มีตาย ก็มีปะทะกันบ้าง แม้ต่อสู้กับตำรวจ ก็เจ็บกันบ้าง

        แต่มีการก้าวหน้า มีปัญญาพัฒนาการ จนมาถึงวานนี้ จนถึงวันนี้ เขาก็ลดลง ลดการดึงดัน แต่ก็ยังมีเล่ห์เหลี่ยม แต่ลดลงๆๆ เป็นการชนะด้วย ที่อาตมาพยายาม อธิบายคำว่า Force และ Authority ใช้อธิบาย

        ถ้า Force เป็นอำนาจกดดันบังคับ แต่  Authority เป็นการชนะ อย่างใช้คุณธรรม  ความดี ไม่กดดันบังคับ

        พลังอำนาจแบบ Authority ที่เจริญมาถึงวันนี้ ทำให้อีกฝ่ายลดลงๆ แม้แต่นายกฯปู ขอลดลง แต่ก่อนบอกว่า ไม่ขอยุบสภา ไม่ขอลาออก แต่ตอนนี้ ก็ขอยุบสภา ก็ไม่มีสส. แล้ว ไม่มีตัวแทนแล้ว แต่ยังรักษาการณ์อยู่ ก็มีอำนาจของรมต. ของนายกฯอยู่บ้าง ทำตามรธน. รักษาการณ์

        เราชนะมา เป็นก้าวหน้ารายทาง เกิดปัญญา ประชาชนก็รู้ พลังมหัศจรรย์ของเรา ๕ ล้านคนนี่ ต่างประเทศก็รู้แล้ว ไม่เหมือนที่อื่น ที่ทำร้ายทำลาย ขว้างปากันด้วย โดยเฉพาะ หน่วยกลาง ของพวกเรา ไม่ได้ไปทำสิ่งเหล่านั้นเลย ไม่มีเหตุการณ์นั้น เกิดเลย ที่เกิดนี้ เป็นปรากฏการณ์ ที่ต้องศึกษาเล่าเรียน โดยเฉพาะ รัฐศาสตร์

        คำว่าอธิปไตย แปลว่าอำนาจ

        อำนาจเป็นของประชาชน โดยประเทศที่บริหารปกครอง ด้วยระบอบ ประชาธิปไตย อำนาจเป็น ของประชาชน อำนาจนี้ เรียกโดยภาษาชัดๆว่า “รัฐาธิปัตย์” คืออำนาจในรัฐ ก็ประชาชน ทั้งหมด เป็นอำนาจ ไม่มีเปลี่ยนแปลง ไม่มีลดทอน แม้จะเลือกคน ไปเป็นตัวแทนทำงาน ก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่กว่าปชชฯ​ นายกฯ๑ คน ก็มีอำนาจ เท่ากับประชาชน ได้รับสิทธิ์ตาม มาตรา ๔ (ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และ ความเสมอภาค) ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค ของบุคคล ย่อมได้รับ ความคุ้มครอง

        มาตรา ๕ (ความเสมอภาค ภายใต้กฎหมาย) ประชาชนชาวไทย ไม่ว่าเหล่ากำเนิด เพศ หรือศาสนาใด ย่อมอยู่ในความคุ้มครอง แห่งรัฐธรรมนูญนี้ เสมอกัน

        ให้เข้าใจว่า สิทธิเสมอกัน แต่หน้าที่ อาจต่างกัน ถ้าทำผิดหน้าที่ ไม่ทำหน้าที่ก็ผิด เพราะรับหน้าที่ รับเงินเดือนแล้ว

        ขณะนี้ประชาชน มาแสดงอำนาจ ของตนเอง ตั้ง ๕ ล้านคน ต่อต้านต่อสู้กับ อำนาจ ของนายกฯ และรัฐบาลและรัฐสภา ที่ได้ทำหน้าที่มา ๒ ปีแล้ว

        เหมือนเจ้าของบ้าน จ้างคนมาทำงานในบ้าน เมื่อเขาทำงาน เสียหายมาก ตอนนี้ เสียหายไป ห้าแสนกว่าล้าน ก่อนยุบสภา ประชุมกัน

        ๑. ผลาญเงินภาษีประชาชนก่อนยุบสภา อย่างรีบร้อน คือ ประชุมมาราธอน ๑๕ ชม.
        ๒.วาระประชุม ๒๔๔ เรื่อง
        ๓.อนุมัติงบฯ ๕ แสนกว่าล้านบาท ก่อนจะยุบสภา​
        ๔. เฉลี่ยพิจารณา ๓ นาทีต่อ ๑ เรื่อง
        ๕. อนุมัติงบ ๓๓,๐๐๐ ล้านบาทต่อ ๑ ชม.

        รีบร้อนอย่างนี้ จะโปร่งใสหรือเปล่า มันเลวร้าย มากที่สุดเลย

        ประชาชนเลือกคนไปทำหน้าที่ ตามกรอบหน้าที่ อภิบาลรัฐ ไม่ใช่เป็นรัฐาธิปัตย์ หรือรัฐประเทศ หรือรัฐชาติ เพราะฉะนั้น แม้เป็นนายกฯ ก็เป็นรัฐาธิปัตย์ไม่ได้ อำนาจนี้ ไม่ใช่อำนาจ ที่ไปกดขี่ ด้วยเรี่ยวแรง แบบเดรัจฉาน กดขี่ให้คนอื่น เขาสู้เรี่ยวแรงไม่ได้ สู้อาวุธไม่ได้ เราสู้อำนาจนี้ไม่ได้ แล้วก็ยอมแพ้ อำนาจนี้เป็นสามัญ แต่มนุษย์เจริญ ใช้อำนาจ ความถูกผิด อำนาจแห่ง ความดีงาม เป็นมนุษย์ ที่พัฒนาแล้ว คุณสมบัติอันนี้ เป็นเรื่องลึกซึ้ง เรื่องใหม่เรื่องแปลก ที่เราเอามาใช้ปฏิวัติ เป็นธรรมาวุธ ที่ให้คณะบริหาร ที่เขาทำผิด ให้รู้ว่า คุณทำผิดพลาด แทนที่คุณจะไปทำประโยชน์ ตามได้รับมอบหมาย แต่คุณ ทำผิดหมดเลย

        เราออกมาประท้วง ตั้งแต่ต้น เราจะต่อสู้ด้วย ตุลาการณ์ภิวัฒน์ และประชาภิวัฒน์

        ตุลาการเป็นผู้ตัดสินถูกผิด รัฐถ้าทำผิดแล้ว ตุลาการก็จะตัดสิน ที่เคยทำมา ก็ได้ตัดสิน ไปหลายครั้ง ก็ทำถูก เพราะต้องรักษา ผลประโยชน์ประเทศชาติ ตามรธน. ระบุไว้ เขาก็ว่า ยังไม่เด็ดขาด ตุลาการภิวัฒน์ ไม่เด็ดขาด แต่มาครั้งนี้ เราจะชนะ ด้วยประชาภิวัฒน์​ ด้วยพลังของประชาชน ไม่ใช่แต่ด้วยตุลาการ อย่างเดียว ซึ่งตุลาการ ก็ต้องตัดสินด้วย หรือชี้มูล เช่น ประชาชน ศาล อัยการ ก็ชี้ได้ ยังไม่พิพากษา แค่ชี้มูล ก็ต้องระงับ การทำงานไป ดังนี้เป็นต้น เดี๋ยววันที่ ๑๒ นี้ก็คอยดู ก็จะมีตุลาการภิวัฒน์ และ ประชาภิวัฒน์นี่แหละ ทำให้สังคมสงบสุข ไม่ใช่เอารถถัง หรือใช้ถังดับเพลิง แบบน้องกบนี่ ก็ไม่เอา เอาการแพ้ชนะ ด้วยความถูกต้อง

        ดู มาตรา ๖๘ (วรรคหนึ่ง) "บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพ ตามรัฐธรรมนูญ เพื่อล้มล้าง การปกครอง ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญนี้ หรือเพื่อให้ได้มา ซึ่งอํานาจ ในการปกครองประเทศ โดยวิธีการ ซึ่งมิได้เป็นไป ตามวิถีทาง ที่บัญญัติไว้ ในรัฐธรรมนูญนี้ ... มิได้"
มาตรา ๖๘ (วรรคสอง) "ในกรณีที่บุคคล หรือพรรคการเมืองใด กระทําการ ตามวรรค หนึ่ง ผู้ทราบการกระทําดังกล่าว ย่อมมีสิทธิเสนอเรื่อง ให้อัยการสูงสุด ตรวจสอบ ข้อเท็จจริง และยื่นคําร้อง ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัย สั่งการ ให้เลิก การกระทํา ดังกล่าว แต่ทั้งนี้ ไม่กระทบกระเทือน การดําเนินคดีอาญา ต่อผู้กระทําการ ดังกล่าว”

        พวกเรามาขออำนาจคืน หรือไล่รัฐบาลออกไป เราทำถูกตามรธน. นี้ไหม ด้วยความสงบไหม ไม่มีอาวุธไหม? เราใช้สิทธิ์ตามรธน.

        เราไม่ได้มาแย่งอำนาจ แต่เรามาขอเปลี่ยน เราไม่ได้จะมาแก้รธน. เรามาขอ อำนาจคืน ที่เราเลือกคุณไปทำงาน ๒ ปีแล้ว พูดไปก็สองไพเบี้ย นิ่งเสียประเทศไทย

        เราจะขออำนาจคืน จะมีการเลือกผู้แทน ก็จะมีต่อไปในอนาคต เราไม่ได้มา ยึดอำนาจ ตลอดกาล หรือเป็นคอมมิวนิสต์ เราจะแช่แข็ง ก็ไม่ใช่ว่า จะแช่ตลอดไป ก็แค่ ๒ ปีเท่านั้น จัดการวางระบบ ระเบียบ เราทำอย่างสงบ เรียบร้อยด้วย ไม่รุนแรง มีมากก็แค่ หอกปาก แหลมคม มุขสตี บางทีหอกทื่อ เจ็บๆเลย

        สรุป .๖๘ เราปฏิบัติถูกต้อง ตามสิทธิเสรีภาพ และเราทำถูกตาม มาตรา 63 ว่า "บุคคล ย่อมมีสิทธิเสรีภาพ ในการชุมนุม โดยสงบ และปราศจากอาวุธ โดยไม่มี การสร้าง ข้อมูลเท็จ เอามากล่าวหา ไม่ปลุกระดมประชาชน ให้หลงผิด ไม่ใช้สื่อโฆษณา ชวนเชื่อ ไม่บังคับ และไม่จ้างวาน กลุ่มบุคคลใดๆ ให้มาร่วมชุมนุม"

        เราออกมาประท้วง คือแบกอธิปัตย์ ๑ คน ๑ เสียง ล้านคนล้านเสียง และ ๕ ล้านคนนี้ ไม่ใช่คณะบุคคลนะ ไม่ได้จดทะเบียนนะ แต่เป็นการรวมกัน ตามธรรมชาติ

        เมื่อ ม. ๖๘ นี้เรามาใช้สิทธิเสรีภาพ ตาม ม. ๖๓ ประท้วงอย่างสงบ และไม่ได้ มาชิงอำนาจ ไปยึดการปกครอง แต่จะมาขออำนาจคืน แล้วจะมาจัดการ แม้จะใช้คำว่า แช่แข็งก็ตาม แต่ก็หยุดชั่วคราว เพื่อจัดการ ตามมาตรา ๒ (รูปแบบการปกครอง) ประเทศไทย มีการปกครอง ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข

        ประชาชนมอบถวายให้ พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นหัวหน้า ทรงใช้อำนาจผ่าน ๓ สถาบัน เพื่อให้มีอำนาจคานกัน แต่นี่ฮั้วกันทำผิด แล้วตุลาการชี้ว่าผิด เขาก็รวมหัวกัน บอกว่า ไม่เอา ไม่รับ ก็เกมสิ คุณผิดรธน.ใช้อำนาจผิด คุณหมดสิทธิ์แล้ว

        เรามาขออำนาจคืน จะเรียกโดยภาษาดุเดือดว่า ปฏิวัติก็ได้ ทุกทีเขาก็ใช้อำนาจ รถถังปืนทำ เขาก็ยอม เพราะกลัวตาย แต่ของเรานี่ สวยงามมาก ใช้อำนาจ ตามรธน.นี้ แม้เราจะแพ้ เราก็ไม่ใช้กบฏ สมมุติว่า รบ.นี้หน้าด้าน ง่านโด้ ไม่ยอม เราก็แพ้ เราก็ไม่ใช่กบฏ เราไม่ได้ทำผิดรธน. ไม่ใช้อาวุธ จงอย่าตกอกตกใจเลย เราขอบคุณ ฝ่ายโน้นด้วย ที่ไม่รุนแรง จากเคยทำคนตาย คนบาดเจ็บ งวดนี้ ต้องขอบคุณมาก เป็นความก้าวหน้า ที่สำคัญ เป็นการพัฒนา การเมืองไทย ที่สำคัญ ทั้งสองฝ่าย

        เรามาใช้อำนาจ Authority ไม่Force จนมีประชาภิวัฒน์ มาถึง ๕ ล้านคนเลย แม้เขาจะกลบเกลื่อนตัวเองว่า มีไม่ถึงแสนคนหรอก แค่เก้าหมื่นคน ตำรวจเขานับ อย่างไรกัน ให้มาบริหารประเทศ ได้อย่างไร นับเลขตกไปมาก หรือบางคนก็ว่า แสนกว่า ก็ผิดแล้ว

        ทำอย่าง โคไมนี่ ใช้อำนาจศาสนา ก็ยังมีคนตายเยอะ ฟิลิปปินส์ ทหารมาช่วย ก็ยังตายเยอะ ที่ซีเรียก็ทำมา จนมาถึงไทย เราทำมานี่ สวยงามจริงๆ เป็นการปฏิวัติ หรือ ขออำนาจคืน เราไม่ได้มายึด แต่เราจะมาปฏิรูป แช่แข็งนักการเมืองเก่า จะเอาแบบใหม่ พอเสร็จ เรียบร้อย ก็เข้าสู่ระบอบสามัญ มีการเลือกตั้ง เราไม่ได้จะมา ไม่เอาเลือกตั้ง คุณตู่พวกเราแท้ๆ

        เราได้ผลชนะรายทาง ไม่ชนะสุดยอด ทางโน้นก็โต้ต้าน ในมาตรการณ์ที่ จะทำต่อไป ก็จะมีต่อไป ก็ขอให้พลัง ของมวลประชาชน ที่จะมาแสดงว่า ยังมีมวล มากอยู่นะ เหมือนกำลังประชุมในสภา เป็นสภากลางถนน เป็นเครือแห เชื่อมโยงกันหมด ต่างจังหวัดก็มี ในกทม.ก็มี ในถ.ราชดำเนิน หรือข้างเคียง ก็มีเป้าหมาย เหมือนกันหมดเลย

        ก็ขอให้เข้าใจว่า ที่เราทำนี้ถูกต้อง ดีงามงดงาม และจะเป็นแบบใหม่ของโลก ถ้าเรายังมี มวลเป็นล้าน เป็นล้าน เมื่อต้องการเมื่อไหร่ก็มา สองล้าน แปดล้าน เราก็จะชนะๆๆๆ อันนี้จะยืนยันเลยว่า ผมสะกดคำว่า แพ้ไม่เป็น อันนี้เป็นนัย การชนะ ที่ใหม่มาก และที่วิธีเขาจะชนะ แบบเอาเงิน เอาแรงชนะนั้น แบบเก่าโสโครก วิธีการนั้น เขาทำกัน มานานแล้ว เดี๋ยวนี้ฉลาด เก่งโกงเงินจากรัฐ จึงจะมีเงิน หมื่นล้าน แสนล้าน แล้วก็เอาเงิน มาซื้อแหลกเพื่อเบ่งอำนาจต่อ ควบคุมทั้งเงิน และอำนาจ มีหายนะ เข้มข้น มีฤทธิ์มากเยอะจริง เป็นอำนาจเสื่อมทราม แล้วเขาก็ทำ โดยไม่ละอาย ท้วงชี้ผิดเท่าไหร่ ก็ไม่ยอมรับ

        เรามาทำให้เกิดพฤติกรรมใหม่ แก่สังคม เป็นการเมืองใหม่ ถ้างานนี้สำเร็จ ประชาชน ปฏิวัติ อย่างเรียบร้อยสวยงาม ไม่มีอาวุธ สันติ อหิงสา จะเป็นประวัติศาสตร์ โลกเลย เป็นความน่าภูมิใจ เป็นธรรมรส น่าภูมิใจ

        ขอย้ำว่า นี่คือจุดสำคัญ ผู้ใดที่เข้าใจ ก็ไปอธิบายเพื่อนๆ ให้เข้าใจว่า เรามาทำ การเมืองใหม่ของโลก ที่สวยสดงดงาม ทำความเข้าใจให้ดี แล้วจะได้ทำกันต่อไป ในอนาคต เป็นความก้าวหน้าของ ระบอบประชาธิปไตย ที่วิเศษ มีผลอย่างแท้จริง ที่เราทำนี้ เป็นวิถีทางที่บัญญัติไว้ ในรธน. เราจึงทำได้ อย่างไม่มีผิด เราต่อต้าน โดยสันติวิธี เราไม่ได้ยึดเป็นของเรา เราได้มา ก็จะปฏิรูป อำนาจของประชาชนนี้ ยังไม่ได้มอบหมาย อย่างเป็นทางการ แต่ขอจัดสรรก่อน เหมือนปฏิวัติ ก็จะมีคณะก่อการ มีหัวหน้ามีรอง มีคณะจัดสรร เมื่อทำเสร็จ ก็ยกเลิกคณะก่อการ เมื่อได้องค์ประกอบ คณะที่จะบริหารประเทศ ถูกต้องตามกฏหมาย ก็เลิก คณะประชาชน ที่มานี้ จะเป็น คณะก่อการ เมื่อทำเสร็จก็เลิก คณะก่อการทำเสร็จ อาจมีบางคน ได้รับตำแหน่งบ้าง แต่บางคน ขอเป็นนั่งร้าน ทำเสร็จแล้วก็รื้อไป แต่บางคน เหมาะสมจะทำ มีความรู้ ความสามารถก็ทำ อย่าไปเพ่งโทสกันก่อน เป็นนัยละเอียด ที่ขอบอกไว้ก่อน ตีกันก่อน

        อาตมาทำงานนี้ ขอบอกว่า ไม่รับตำแหน่งอะไร ทำเสร็จแล้ว ก็เป็นนักบวช แล้วมีคน บอกว่า จะให้เป็นที่ปรึกษา อันนี้ในโบราณ ท่านเรียกว่า ปุโรหิต เพราะฉะนั้น การจะเป็นปุโรหิต ก็เป็นโดยธรรม ไม่ต้องตั้ง ก็เป็นได้ จะบอกว่า ไม่ต้องมาตั้งหรอก ก็เปิด ใช้สำนวนว่า Open every Door ก็เปิดไว้ มาได้เสมอเลย ทุกประตู

        ที่เราทำนี้ไม่ผิดกม. และเป็นหน้าที่ ที่ควรจะทำ เพราะรัฐสภา และบริหาร ทำผิด ศาลตัดสิน ก็ไม่ยอมรับอีก ประชาชนก็ว่าไม่ได้ เพราะฉิบหายไป เป็นล้านๆแล้ว ในสองปีนี่ ประชาชน ต้องมา ตามเสียดอกเบี้ย อีกเท่าไหร่อีก

        สิ่งที่ได้พูดมาแล้ว เป็นวิธีการ ที่เกิดจากความจริง ที่ต้องเป็นไป ตามความความจริง ชาวไทยเป็นชาวพุทธ ศาสนาพุทธ เป็นสุดยอดแห่ง ประชาธิปไตย​ ให้อิสรเสรีภาพ เต็มที่ ถ้าจะกดดัน ที่จะใช้ศัพท์ว่า เบียดเบียน พระพุทธเจ้า ไม่ให้ทำ เมื่อไม่เบียดเบียน กดดัน แล้วก็ให้ยอมแพ้ เสียสละด้วย แม้ผู้มีเรี่ยวแรงกดข่ม ก็ต้องยอมให้จำนนให้ เขาทำผิด แต่ถ้าสามารถต้าน ไม่ให้เขาทำผิด เป็นเจตนาดี ไม่อยาก ให้เขาทำบาป แต่ถ้าเขาดันทำ สุดท้าย ก็ต้องวาง และคนมีกำลังน้อย เราไม่ไปกดขี่แน่ เราเป็นสุภาพบุรุษพอ

        พระพุทธเจ้าให้อิสรเสรีภาพ ที่เป็นหลักวินัย หลักศีลธรรม ก็ยืนยันชัดเจน ว่าพุทธ เป็นศาสนา ที่พระพุทธเจ้าพาทำ ในยุคทาส ไม่มีอิสรเสรีภาพ คนจะไม่เข้าใจเลย ไม่รู้เรื่อง อิสรเสรีภาพ หรือสิทธิส่วนตัว แม้นายทาส เขาก็ไม่รู้ว่า เขาควรให้สิทธิ์ แก่มนุษย์ เท่าไหร่ เขาก็ว่าเขาเป็นนาย ส่วนทาส ก็ไม่รู้เรื่อง สิทธิของตน พระพุทธเจ้า ไม่สามารถ ทำให้คนทั่วไป บรรลุได้ ต้องให้คน มาเข้ารีต เมื่อท่านประกาศ ธรรมนูญ เป็นศีล (จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล) ของท่าน เป็นหลักสำคัญว่า พุทธทำอย่างนี้ ถ้าไม่ทำอย่างนี้ ก็อยู่นอกรีต

         จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล คือศีลแท้ๆของภิกษุ แม้ปัจจุบัน ก็ต้องปฏิบัติ เป็นหลักแรก เป็นธรรมนูญ แต่เดี๋ยวนี้ ศาสนาพุทธ ไม่มีแล้วในเมืองไทย ภิกษุ ไม่นำมา ปฏิบัติ วินัยบางข้อเท่านั้น ที่ซ้ำซ้อนกับศีล ส่วนมาก วินัยนั้นหยาบ ไม่เข้าถึง แก่นแท้ ของพุทธ จึงได้ยินกันทั่วว่า ศีลของภิกษุ มี ๒๒๗ ที่จริงเป็นวินัย แท้จริง ศีลเป็นธรรมนูญ ของพุทธ เป็น The rule of law ผู้ใดไม่เข้าใจ ไม่ทำตามพุทธธรรมนูญ ก็ออกนอกรีต ปฏิบัติธรรม นอกเขตพุทธ ไม่ได้ผล

        พุทธเป็นประชาธิปไตย ก่อนลัทธิใดเลย ผู้มาทำตามธรรมวินัย ของพระพุทธเจ้า แล้วทำจนเกิด มรรคผลสมบูรณ์ ได้คุณธรรมคุณวิเศษ จะยิ่งเป็นนักประชาธิปไตยตัวแท้ ผู้บรรลุธรรม ของพุทธ คือนักประชาธิปไตย ตัวแท้ โสดาบัน ก็นักประชาธิปไตย สกิทาฯ ก็นักประชาธิปไตยสูงขึ้น อนาคาฯ ยิ่งสูงกว่าอีก เป็นอรหันต์ ก็สูงสุดของ นักประชาธิปไตย

        นักปฏิบัติธรรมนั้น จะตรงกันหมด อะไรที่ห้ามไม่ให้ทำ ไม่ทำเลย ไม่ละเมิด รักษาศีล และวินัย ดั่งชีวิต ไม่ลำบาก ที่จะไม่ละเมิดด้วย จิตเข้าใจความถูกผิด สิ่งที่ควรทำ ก็ทำ

        จะมีจิตที่มีสาราณียธรรม ๖ และพุทธพจน์ ๗
๑.     สาราณียะ (รู้จักระลึกถึงกัน คำนึงถึงคนที่ควรเอื้อ)
๒.     ปิยกรณะ (รักกันสัมพันธ์ดี-ปรารถนาดีต่อกัน) ไม่เป็นความรักทางกาม แต่เป็นความรัก อย่างพี่น้อง ภราดรภาพ เป็นความรัก ของพระเจ้า ที่รักมนุษย์โลก ช่วยคน พ้นทุกข์ แล้วให้ช่วยคนอื่นต่อ
๓.     ครุกรณะ (เคารพกัน รู้จักฐานะ รู้จักคุณวุฒิ) เคารพกัน ด้วยนัยต่างๆ เช่น คุณงาม ความดี วัยวุฒิ คุณวุฒิ ฯลฯ
๔.     สังคหะ (สงเคราะห์เกื้อกูล ช่วยเหลือกัน) คือการให้กัน แรกๆคือ ให้ทานกัน ให้วัตถุ ให้แรงงาน ที่สุดให้อภัย ไม่ใช่เป็นผู้เอา อยู่ในสังคหวัตถุ ๔ (ทาน เปยยวัชชะ (ตำหนิ ให้คนดื่มได้) อัตถจริยา (ผลได้เนื้อหาสิ่งดีงาม) สมานนัตตตา) แม้พามาประท้วง Neo protest สมานอัตตา แม้คนที่เป็นศัตรู เราก็ให้อภัยได้ แต่มีนัยอย่าคบคนพาล หากแก้ไม่ได้ เราก็สมานกับคนที่ จะรวมกันได้
๕.     อวิวาทะ (ไม่วิวาทแตกแยกกัน) มีมากสุด ก็แค่ปากหอก หรือมุขสตี สามารถตำหนิ ชำแรกเข้าไป อย่างมีเนื้อหาสาระ ไม่พูดให้ทะเลาะกัน ประนีประนอมกันได้ แต่ไม่ใช่ ตีกัน อย่างคนที่ไม่ยอมรับว่า ตนเองผิด
๖.     สามัคคียะ (พร้อมเพรียงกัน มีพลังรวมยิ่งใหญ่) มากัน พร้อมเพรียงกัน อย่างนี้แหละ สวยงาม ดูแล้วน่าเอ็นดู มาช่วยกันทำงาน ก็เหน็ดเหนื่อยอดทน เราทำเพื่อส่วนรวม ไม่ได้ทำเพื่อส่วนตัว
๗.     เอกีภาวะ (เป็นปึกแผ่น มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน) มีพลังแห่งความเป็นเอกภาพ

        นี่คือคุณสมบัติ ๗ ประการ ของผู้ที่ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า หรือ มีคุณธรรมอื่นอีก เช่น วรรณะ ๙
        เป็นชั้นของคุณธรรม ยิ่งชั้นสูงเท่าไหร่ ยิ่งโอบอุ้มเจือจาน ผู้ด้อยกว่า ไม่ใช่ไป เอาเปรียบ ผู้ด้อยกว่า

        วรรณะ ๙
๑.     เลี้ยงง่าย  (สุภระ) มานอนกลางถนน นี่เลี้ยงง่ายนะ เสียสละส่วนตัว เพื่อส่วนรวม ไม่เรื่องมาก ไปยาก มายาก กินยากอยู่ยากไม่เอา แต่เราเลี้ยงง่าย บำรุงง่าย
๒.     บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) ให้ความรู้สามารถ เปลี่ยนแปลง พัฒนาตนเอง ได้ง่าย
๓.     มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) พามามักน้อย อย่าไปมักมาก เป็นปุถุ (หนาอ้วน) ง่ายๆ แล้วใจพอ แค่นี้ก็พอ พยายามพัฒนาตนเอง ให้น้อยแล้วพอ น้อยจนพออีก เรื่อยๆ
๔.     ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ)
๕.     ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) แม้เป็นอรหันต์ ก็ยังต้องขัดเกลา วาสนาของตนเอง อย่างพระสารีบุตร เป็นลิงมาหลายร้อยชาติ ก็ติดนิสัยลิงมาด้วย ต้องใช้เวลาล้าง ขัดเกลาออกอีก
๖.     เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) แปลว่าศีลเคร่ง คำว่าธุดงค์ มาจาก ธูตะ เช่น เรากินมื้อเดียว ไม่ใช้เงิน ไม่ใส่รองเท้า มาละอาหาร ที่เราติดเรายึด ใครติดอะไร ก็พยายาม ลดละ มันเคร่งของเรา ของคนอื่นอาจไม่ติด แต่เราติด ก็เคร่งของเรา บางอย่าง เป็นพิษภัย เช่นติดหวานมากๆ เป็นต้น เป็นสัจธรรม ที่พระพุทธเจ้าสอนเรา ศีลเมื่อทำได้ ปกติแล้ว ก็ไม่เคร่ง แต่ก่อนกินมื้อเดียว ก็ฝืนมาก แต่ตอนนี้ กินได้ปกติ แล้วให้กินหลายมื้อ จะลำบากน่ะ
๗.     มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ)  มีสมณสารูป มีพฤติกรรม กาย วาจา ใจ ที่น่าเลื่อมใส น่าศรัทธา
๘.     ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ๙  แม้สมบัติวัตถุ ก็ไม่สะสม ยิ่งเป็น อนาคามี ไม่มีทรัพย์สมบัติเงินทอง หรือ บ้านช่องเรือนชาน ไม่มีนี่สบายนะ ไม่ต้องดูแล ห่วงหาอาทร อย่างการพกเงินนี่ ก็กลัวคนปล้นอีก ไม่สะสม ที่สำคัญสุดคือ ไม่สะสม กองกิเลส
๙.     ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ) คนที่มีความเพียร มันดูได้นะ กับคนที่ไม่เพียร

        นี่คือวรรณะ The classes ส่วนคนที่ไม่ได้ศึกษา ไม่ทำได้วรรณะ ๙ ก็ตรงกันข้ามนะ ทุกวันนี้ พวกร้องรำ พวกอบายมุข มอมเมา แม้อาหาร ก็มอมเมา ทำสารเคมี ใส่ให้เขาติดยึด ในกามคุณ ๕ เราเข้าใจ แล้วก็ไม่มอมเมา ให้คนติด ให้คนละ หน่ายคลาย ดีกว่า ....จบ
       

 
๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๖ ที่ เวทีประตู ๕ หน้าทำเนียบรัฐบาล กทม.