|
||
จิตใจของคนไทย ได้พัฒนาสังคมประเทศชาติ ด้วยธรรมะตลอดมา แม้เป็นการเมือง ก็ตาม ที่เราออกมาร่วมชุมนุมประท้วง เพื่อขอทวงอำนาจคืน จากคณะบริหาร หรือสภา ซึ่งทั้งสองสถาบัน ได้กบฏไปแล้ว แต่ก็ยัง โด้ แต่ไม่เชื่อว่าเขาโง่ ที่ได้ฉายาหนูไม่รู้ มันเหมือนเด็กๆไร้เดียงสา ความรู้แค่นี้ ไม่เข้าใจ ทำผิดแล้ว ก็ไม่รู้ว่าผิด อย่างนี้ เรื่องที่เกิดขณะนี้ ทั้งนักรู้ และประชาชน ต่างอยู่ในภาวะมึนงง สงสัย ต่างวิจัย วิจารณ์กัน เพราะเป็นเรื่องใหม่ เป็นเรื่องของ ประชาชนปฏิวัติ เรามาเปลี่ยนแปลงผู้มีอำนาจ ที่จะมาทำงาน บริหาร ให้มีการจัดตั้ง เลือกตั้งใหม่ จัดองค์ประกอบ ให้เป็นคณะเข้าไปทำงาน มีตัวบุคคล ไปทำหน้าที่ แบบแนวคิดใหม่ เพื่อที่จะได้ไม่เหมือนเก่า ๘๑ ปีมาแล้ว ทำมาแบบเก่า เป็นการเมืองน้ำเน่า จนคำว่า การเมือง เป็นเรื่องแสลง เป็นคำเสีย เป็นคำที่เอาไปเรียก ในวงการไหน ก็ไม่ดี จนพูดกันว่า อย่ามาพูดการเมืองกับข้า หมายถึงว่า การเมืองเป็นเรื่องซับซ้อน หรือ ฉันเป็นทหาร หรือ ตำรวจอาชีพ ไม่ใช่ทหารตำรวจการเมือง เป็นต้น คุณทำงานให้พลเมืองไทยทั่วประเทศ โดยรับเงินเป็นค้าจ้าง คุณอาสามาทำ สมัครใจทำ ทั้งข้าราชการประจำ ตามหลักของกฎหมาย มารับใช้พลเมืองประชาชน คือ นักการเมืองทั้งสิ้น แต่ศัพท์คำว่า การเมือง เป็นสิ่งเสียไปแล้ว ประเด็นหลัก ที่ไม่เคยมีมา จะเรียกว่า ปฏิวัติหรือรัฐประหาร คำว่ารัฐประหาร ไม่ได้ประหารรัฐประเทศนะ แต่จะบอกว่า ยึดรัฐประเทศ คืนมาก็ได้ หรือจะกำจัดอำนาจ รัฐสภาเดิมก็ได้ ริบคืนมาก็ได้ วิธีปฏิวัติ ที่เคยมีมาทั่วโลก ก็ใช้อำนาจบังคับ Force ข่มกดขี่ ที่จะยึดอำนาจ ให้เขายอม ด้วยวิธี บังคับกดขี่ ก็เหมือนอำนาจเดรัจฉาน ใช้เรี่ยวแรงเขี้ยวงาต่อสู้ เป็นอำนาจ ที่ไม่ใช่ของคนเจริญ ไม่ใช่อาริยะ อำนาจนั้นเป็นของประชาชนอยู่แล้ว ตามมาตรา ๓ ของรธน. และมาตรา ๒ (รูปแบบ การปกครอง) ประเทศไทย มีการปกครอง ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข เป็นการกำหนด อำนาจ รัฐาธิปัตย์ เป็นของ ประชาชน ร่วมกันทั้งหมด อยู่ในมาตรา ๔ (ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค) ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค ของบุคคล ย่อมได้รับความคุ้มครอง แม้คนๆเดียวมาประท้วง ก็เป็นสิทธิ์ของเขา สามารถทำได้ แม้ท้วงผิดหรือถูก โดยไม่มีอาวุธ ด้วยเนื้อหา ถ้าแกถูกก็คือ Minority right ถ้าเขาถูกต้อง คุณต้องฟังเขา แต่คนเดียว อาจไม่มีแรงพอ ก็ไปหาพวกมาสิ ถ้านายกฯนั้น มีวิจารณญาณดี คนเดียวมาท้วง แล้วท้วงถูกด้วย ผู้ที่ทำหน้าที่ รับใช้ประชาชนอยู่ แล้วถูกท้วง แล้วผิดจริง ตามเขาท้วง ก็สมควรลาออก หรือรับเปลี่ยนแปลง รับผิด นี่คือ อย่างผู้ดี อาริยชน ที่ออกมานี่ เป็นคะแนนสดๆ มายืนยันคะแนนเสียง ไม่ใช่คะแนนราคาต่ำ แต่แพงมาก ราคาสูง มากกว่า ลงคะแนนเสียง เลือกตั้งอีก เป็นเรื่องใหม่จริงๆ แต่ได้มา ขนาดนี้ ก็ต้องดีใจว่า ทำไมเมืองไทย จะได้ขนาดนี้ วันที่ ๒๔ มาตั้ง ๒,๓๖๗,๔๗๕ คน BBC มี ๕.๗ ล้านคน แต่ค้นไปก็ว่า เขาคำนวณจาก ภาพถ่ายดาวเทียม BBC ได้ ๕.๗ ล้านคน ส่วน CNN ได้ ๕ ล้านคน ก็นำรธน.มายืนยันว่า มาตรา ๒ คือการกำหนด อธิปัตย์ ของประชาชน แม้อย่างไรๆ ใครก็เอา อำนาจนี้ ไปจากประชาชนไม่ได้ แล้วก็เราเลือกตัวแทน นี่ก็เป็นเพียงตัวแทน แล้วก็ประชาชน เป็นเจ้าของอำนาจเอง จะมาบริหารเอง ทำไมไม่ได้ แล้วเขาก็ไม่ได้ว่า จะดึงดันทำ อย่างไม่มีเหตุผล แต่ว่าเพราะคุณ บริหารผิดๆ ต่างหาก ตอนนี้คนเกิดมา ก็เป็นหนี้แล้ว ประชาชนตอนนี้ ก็พยายามออกแบบ เพื่อให้เราไว้ใจ การทำสภาประชาชนนี้ เรื่องที่เราทำนี้ ไม่ใช่เรื่องปิดบัง ซ่อนเร้น แต่เป็นเรื่องสุจริต บริสุทธิ์ถูกต้อง เปิดเผย ไม่หมกเม็ด ซ่อนแฝง ประชาชนที่กำลังคิดอ่าน เพื่อรวมหลายอาชีพ เพื่อเอามาตั้ง สภาประชาชน โดยมีเงื่อนไขว่า นักการเมือง ต้องหยุดทำ ถ้าจะทำ ต้องลาออกจาก สมาชิกพรรคการเมือง มาเป็นประชาชน พอแก้ไขเสร็จ มีพิมพ์เขียว ก็จะทำการเลือกตั้ง ส่วนพวกที่ มาทำงานก่อการนี้ ก็จะให้วางมือไป ๕ ปี เพื่อไม่ให้สืบอำนาจต่อ เพราะเป็นเรื่องที่รู้ดี เพื่อให้ได้บริสุทธิ์ สะอาดจริงใจ กันไว้เลย ก็จะมีคนจริงใจ มาร่วมร่างกัน เขาก็จะไม่เล่นการเมือง หรือจะเล่น ก็ต้องรอไป ๕ ปี เป็นรายละเอียด เล็กๆน้อยๆ ที่เราวนเวียนนี้ น้ำเน่ามาก เห็นการกู้เงิน ๒.๒ ล้านๆ นี่ก็เป็นเรื่องที่ ไม่น่าทำ จริงๆใช้งบฯไม่กี่แสนล้าน แต่กู้มาเป็นล้านๆ อย่างนี้มีเจตนาไม่ดี สร้างรถไฟ มาขนผัก แล้วออกแบบ ให้ตรวจสอบไม่ได้ด้วย แล้วที่สุดนี่ มาไม่ยอมรับ อำนาจศาลอีก ยังไม่ยอมอีก คราวนี้ประชาชนอย่ายอม เอาให้สุดซอยแห่งซอย เอาให้ได้ ไม่ใช่อาตมา ยุส่งนะ แต่ว่ามันควรถึงคราว มันใหม่นี่ คนก็ลังเล ก็เลยพูดซ้ำซาก มันไม่มีตัวอย่างมาก่อน แต่ผู้รู้ทั้งหลาย ก็ยืนยันว่า ทำได้ วันนี้ คณะจปร. ก็ออกมาสนับสนุน มีเสธ.อ้ายนำ จปร. ๑๒ รุ่น มาแถลง สนับสนุน กปปส. เราลงทุนลงแรง เหน็ดเหนื่อย หนักหนา ก็น่าอนุโมทนาสาธุ ที่ช่วยกัน คนละไม้ คนละมือ สำหรับอาตมา ก็เจตนา เสียรังวัด เราช่วยโลก ให้พ้นวงวน ทางการเมือง คำว่าโลก นี่คือความวน ตามประสาเรานี่ อาตมา เป็นสิทธิที่ จะมาช่วยคน ด้วยบริสุทธิ์ เราไม่ได้ มาแย่งอำนาจ แต่มารับใช้จริงๆ พหุชนหิตายะ (เพื่อหมู่ชน เป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ (เพื่อความสุข ของหมู่ชน เป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ (รับใช้โลก ช่วยโลก) พระพุทธเจ้า มีข้ออนุญาตอยู่ ไม่ได้ห้ามไว้ ก็มาช่วยกันหน่อย แม้มาเก็บขี้ เก็บเยี่ยว เก็บขยะ ช่วยเหลือกันนี่ อาตมาผิดอะไร แม้คนจะท้วงก็ตาม เรามารับใช้ ทั้งอาหาร วัตถุอุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ เราไม่ได้มาหาเงิน หาทองอะไร แต่มาเล่าอธิบาย โดยบริสุทธิ์ใจ เป็นเรื่องของ สังคมที่ควรทำ ก็มีคนมีปัญญาเห็น ก็ออกมาช่วยกัน ถ้ามีแต่ ชาวอโศก ก็ฟุบไปนานแล้ว งานหนักขนาดนี้ เราไม่ได้จ้าง เราจน ก็มีคนอนุเคราะห์ ช่วยเหลือกัน ผู้ที่มีจิตวิญญาณ มีภูมิธรรม ที่เป็นทั้งความรู้ และความเป็นไปได้ คือจิตมันรู้ว่า อย่างนี้บริสุทธิ์ ไม่มีกิเลส จิตมันดีอย่างนี้ ศาสนาพุทธ จะรู้ก่อน แต่ยังมีกิเลสอยู่ ก็ต้องจัดการกิเลส เราเข้าใจว่า อย่างไหนดี ก็พากันทำ เรามีแรงงาน ความรู้ จิตเรารู้ก่อน แต่กิเลสมันไม่ยอม ขี้เกียจ อยากได้โลกธรรม ก็ต้องไม่เอา มากำจัดกิเลส การมาทำงานนี้ มีทั้งการปฏิบัติธรรม หลายคนมีกิเลส อย่างน้อย ก็อยากได้สรรเสริญ บางคน อยากได้ตำแหน่ง บางคนอยากได้ สิ่งตอบแทน เรียกว่า ลาภ แต่เราก็ไม่มีให้หรอก ก็มาขัดเกลา คนมาอย่างนี้ ก็ได้ประโยชน์ ตรงได้มีปฏิบัติจริง รายได้คือ ได้ล้าง กิเลสคุณให้ได้ แม้กดข่มบังคับ อันนั้นไม่บริบูรณ์ ถ้าวิปัสสนาวิธี ก็คือ เห็นให้จริงว่า กิเลส มันไม่ใช่ตัวเรา เป็นอาคันตุกะ มายึดพื้นที่จิตเรา มาแฝงอยู่ เราโง่ยอมกิเลส เรามีปัญญา ก็อย่ายอมมัน มันไม่ใช่เรา อย่ามาอยากได้ลาภยศ สรรเสริญที่นี่ จะเห็น ด้วยปัญญาจริง และกิเลสก็ไม่มี คนทำงานอย่าง ไม่มีกิเลส ไม่ต้องการอะไร ตอบแทนเลย คนนี้วิเศษนะ มารับใช้อย่าง ไม่ต้องการอะไร ตอบแทน เป็นโลกุตรธรรม การอยากได้ ตอบแทน เมื่อทำงาน ก็ยังเป็นโลกีย์อยู่ ในสัมมาอาชีวะ ๕ ข้อสุดท้ายคือ อย่าทำงาน เอาลาภแลกลาภ อย่าเอาความรู้ ไปแลกเงิน อย่าเอาสิ่งที่ เราให้แก่เขา ไปแลกเงิน สัมมาอาชีพ ก็ต้องพ้น มิจฉาชีพ ๕ ทำงานฟรี เสียสละให้คนอื่น เมื่อรู้แล้ว ก็มาทำปฏิบัติ จนจิตคุณ ไม่ต้องการอะไร ตอบแทนได้จริง จนมันเที่ยงแท้ถาวร นิจจัง (เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสสตัง (ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง (ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง (ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง (ไม่กลับกำเริบ ตายแล้วตายเลย ไม่ฟื้น) จะทำได้ คุณต้องรู้เวทนา ๑๐๘ ซึ่งลึกซึ้งทั้งอดีต ปัจจุบัน - อนาคต อย่างละ ๓๖ จะไม่อธิบายในตอนนี้ ทุกปัจจุบัน คุณพิสูจน์ความจริงว่า ไม่มีกิเลส เนื่องจาก สั่งสมอดีต เป็นความตั้งมั่นของจิต ทุกปัจจุบัน จะมาร้ายแรงแค่ไหน กิเลสก็ไม่เกิดๆๆ จนพยากรณ์ อนาคตได้เลยว่า กิเลสสูญแน่นอน โดยรู้ตัว หรือไม่รู้ตัว ก็สู้ได้เสมอ ก็มั่นใจ ในพลังอดีต ที่ตั้งมั่น เป็นสมาธิ ทดสอบมา ไม่รู้กี่แบบฝึกหัดแล้ว เหมือนคนยิงธนู ปิดตาสองข้างยิง ยังถูกเลย จึงพยากรณ์ได้ว่า กิเลสไม่มีแน่นอน จึงบอกอนาคตได้ว่า สูญแน่นอน พระพุทธเจ้า ไม่ใช่หมอดูแต่รู้ พยากรณ์ได้ว่า คนนั้นจะไปเกิดอย่างไร ไปเป็น พระพุทธเจ้าตอนไหน ชื่ออะไร มีสาวกชื่ออะไร เป็นต้น อย่างนี้ไม่ใช่ว่า ท่านโมเม เพราะทุกอย่าง มาแต่เหตุ ไม่ใช่เดา สัจจะของพระพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่เดา เหตุการณ์ครั้งนี้ของเมืองไทย ก็ดูเหตุปัจจัย หลายอย่าง ยกตัวอย่าง คนนี้ทำไม ชื่อปรีชา ทำไมคนนี้ ชื่อจำลอง ทำไมคนนี้ ชื่อชัย ทำไม ต้องวันที่ ๑๑ เดือน ๑๑ ทำไม ต้องเสร็จ ๑๑ นาฬิกา เป็นการปฏิวัติประชาชน ไม่ใช่หมอดู แต่เป็นสถิติ สำคัญที่ตัวปัจจุบัน กรรมปัจจุบันเป็นตัวแปร ที่จะสั่งสมเป็นอดีต เป็น พลัง potential energy ใครสั่งสมอยู่ แม้ไม่รู้ แต่มันทำงาน ออกฤทธิ์เดช ตลอดเวลา เมื่อเราสั่งสม อกุศล มันก็ทำงานอยู่ ห้ามไม่ได้ กรรมเป็นของๆตน ตนต้องเป็น ทายาทของกรรม แบ่งใครไม่ได้ พุทธสอนว่า แบ่งบุญแบ่งบาป ไม่ได้ บุญแปลว่า เครื่องชำระกิเลส ต้องชำระของตนเอง แบ่งบุญกันไม่ได้ ... จบ
|
||
|