_561214_พ่อครูที่เวทีมัฆวานรังสรรค์
เรื่อง ปฏิวัติใหม่แปลกมหัศจรรย์

 

            The greatest political uprising on earth เพราะเป็นการตื่นขึ้นมาปฏิวัติ ที่ยิ่งใหญ่ ในโลก เราทำมาเป็นการปฏิวัติ ที่สวยงาม เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดมาก่อน มี ๕ อย่าง ที่อาตมา ได้ประมวลมาคือ

            ๑. เป็นเรื่องใหม่ ที่ไม่เคยเกิดมาก่อน แบบนี้
            ๒. ความสงบเป็นอำนาจที่แปลกใหม่ เอาความสงบเป็น ธรรมาวุธ ไม่ต้องใช้เรี่ยวแรง
            ๓. ไม่ความสงบนั้น มีความถูกต้องดีงาม เป็นเครื่องตัดสิน หรือเป็นบุญญาวุธ หรือ ธรรมาวุธสำคัญ
            ๔. ทำไมมันไมจบซับที แล้วเมื่อไหร่ จะจบซะที ทุกทีมีการใช้อำนาจ บังคับ ด้วยอาวุธ Force แต่นี่เราใช้ Authority แล้วชนะมาเรื่อยๆ ก็ถือว่า ขอบคุณคนไทย ที่เกิดมานี่ คนก็ทึ่ง คนสงสัยว่า จะชนะได้อย่างไร แต่มันเป็นไปแล้ว ชนะมา ตามลำดับ รายทาง แม้ไม่สมบูรณ์ มีการอภิวัฒน์ คือตุลาการภิวัตน์ และประชาภิวัตน์ ตัดสินกันด้วย ความดีงาม ศาลช่วยด้วย และความเป็นจริงด้วย และด้วยมวลประชาชน วันนี้มาลง คะแนนเสียง ก็มากันพรึ่บ ตั้งแต่มากัน ไม่ถึงแสน จนครั้งก่อน ที่เราออกมากัน ตอน เสธ.อ้าย ก็มาหลายหมื่นคน จากนั้นมา เราก็มาตั้งต้นเรื่อยๆ ก็เรียกมาเป็นแสน จนมาเรือนล้าน จนมาเป็น ๕ ล้าน ซึ่งสถิติ ก็ยังไม่แน่ชัด อ.ขวัญสรวง ก็ใช้หลักวิชา การคำนวณ ว่ามามากกว่า ๒ ล้านคน

            ๕.​ เป็นโลกุตระ  ตุลาการภิวัตน์ เป็นเรื่องของคุณภาพ ความถูกต้อง ส่วนประชาภิวัตน์ เป็นเรื่องของปริมาณ มันแปลกที่ว่า ความสงบ มีอำนาจอย่างไร? ให้คู่ต่อสู้ ที่มีอาวุธมากมาย เราใช้ความดีงามอ่อนน้อม ช่วยเหลือเกื้อกูล เข้าต่อสู้จริงๆเลย อาจมีบกพร่องบ้าง แต่สรุปว่า งดงามมากเลย ทำให้สยบลงได้ เป็นการชนะ ที่เป็นไปได้ ภาคภูมิใจว่า สังคมมนุษย์เป็นไปได้ ถือว่าสังคมอย่างนี้ เป็นอาริยะ เป็นเครื่องชี้บ่งถึง ความเจริญของมนุษย์ ชนะด้วยธรรมาวุธ ซึ่งสุดยอดเลย เกิดความสงบ เป็นอาวุธ

            ในความเจริญ ก็เอาเนื้อแท้สัจธรรม มาขยายความรู้ ความจริง จนเขาไม่กล้าแพ้ มีแต่ดิ้นอย่างเดียว ที่เราเห็นได้ชัดเจน ความสงบนี้ เป็นอาวุธได้นะ เป็นอำนาจ ให้เขาจำนน เขาพูดไม่ออก เพราะเป็นความจริง ความดีงาม

            ถ้าเขารู้ว่า เขาถูกกว่าดีกว่า เขาก็จะต้องสู้ต่อ ถ้าเขาถือว่าเขาไม่ผิด เขาก็มีสิทธิ์ ต่อต้านได้ แล้วความต่อต้าน ด้วยความรุนแรงนั้น เขาสามารถทำได้ เราไม่มีอาวุธ ทำได้อย่างเขา เขามีตำรวจ แม้แต่อำนาจ ในทางความรู้ เขาก็ตะแบงกันอยู่ พยายาม มอมเมาคนอยู่ แต่ผู้รู้ ก็จะรู้ดีว่า อย่างไหนถูก

            แต่ว่ามันเจริญ คนสองฝ่ายสู้กัน คนแพ้ก็คือผิด แล้วก็ต้องยอม

            จะจบเมื่อไหร่ ก็บอกไม่ได้ …. คือผู้ผิดเราไม่รู้ว่า เขารู้ตัวไหมว่าเขาผิด แต่เรา แน่นอนว่า เรายืนยันว่าเราถูก มันก็ต้องจบ ที่เขาผิด แต่ตอนนี้ เขารู้หรือไม่ ว่าเขาผิด ถ้าเขารู้ว่า เขาผิด ก็ยอมง่าย แต่ถ้าเขาไม่รู้ เขาก็คิดว่าเขาถูก เขาก็จะไม่ยอมง่ายๆ เพราะต่างฝ่าย ต่างว่าตนถูก

            แต่ถ้าเขารู้ว่าเขาผิด เราก็ต้องมาฉีกหน้ากิเลส ตอนนี้เขาไม่รุนแรงแล้ว รุนแรง ไม่ขึ้นแล้ว เราก็ต้องเอา พฤติกรรมที่ผิดมาชี้ กิเลสมันก็ต้องยอม เมื่อไหร่ กิเลสเขา อ่อนแรง แล้วเขามีความรู้ เขาก็ยอม พลังงงาน ความถูกต้อง เผาผลาญพลัง ความดีงามได้ เราก็ต้องพากเพียรต่อ ให้ถึงที่สุด

            ใช้ความดีงามบอกกัน เด็ก คนแก่ เราก็ต้องช่วยเขา คนพิการ เราก็ต้องช่วย สังคมโลกนี้ จะเป็นโลกุตระที่แท้ มีซ้อนว่า ถ้าเราทำแต่ดี ให้แก่คน ประเทศไทย ไม่ต้องมีอาวุธ ไม่ต้องมีกองทหาร ไม่ต้องมีตำรวจ มีแต่กองสงเคราะห์กันทั่วโลก เพราะเมืองไทย ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน อย่างสมบูรณ์อยู่แล้ว เราก็ถั่วเฉลี่ย ไปช่วย ประเทศอื่นมาก

            เราทำแบบประโยชน์สูง ประหยัดสุด แต่ละคน มันน้อย สันโดษ แต่แรงงาน เราทำได้มาก ได้ผลผลิตมา ไม่สูญเสียพลังงาน ไปสร้างประโยชน์ทวีคูณ​ เจริญงอกงาม เป็นเศรษฐกิจ บุญนิยม เป็นค่าที่สูง ยังรอนักเศรษฐศาสตร์ ตื่นรู้ มาศึกษา เศรษฐศาสตร์ บุญนิยม

            เศรษฐศาสตร์ทุนนิยม กำลังแย่ ถึงทางตัน เพราะเอากิเลสมาผลักดัน ไม่มีลด ก็มีแต่เพิ่มกิเลส แก่งแย่งกัน ไม่มีเมตตา ฆ่ากันได้ เป็นผักเป็นปลา ใจดำอำมหิต โหดเหี้ยม

            เรามาทำแบบบุญนิยม รวมกลุ่มกัน ก็ยิ่งมีผลเหลือ ส่วนกลาง ก็ยิ่งมีเพิ่มขึ้นๆ เราทำมาก เราไม่ได้เป็นเจ้าของเอง เหมือนนายทุน แต่เราทำให้ส่วนกลาง เรายิ่งให้ ได้มาก เพราะไม่มีใครยึดถือ เป็นเจ้าของ ให้ได้มาก เป็นประโยชน์สูง ประหยัดสุด เป็นเศรษฐกิจบุญนิยม ไม่กักตุนสะสม สะพัดได้เร็วได้ไว ถ้าเอามากองกัน ก็มีแต่สะสม ไม่เกิดผลดี แต่ถ้าเคลื่อนที่ ก็เกิดค่า เงินเป็นสิ่งแทนค่า สะพัดไป มีบทบาท หน้าที่ ธนบัตร เมื่อกองอยู่กับที่ ก็คือเศษกระดาษ แต่ถ้าเคลื่อนที่ ไปช่วยคนนั้น คนนี้ ก็จะกลับมีค่า ทับเท่าทวี เป็นเรื่องจริงของค่า พวกเราไม่ได้ยึดถือเสพแต่ตน เราทำงานได้ เราก็สะพัด เราไม่กลัวอด แม้เราไม่มีคงคลังมาก แต่เรามีขยัน กับสมรรถนะมาก เกิดแรงงาน คุณค่า ได้ทุกวัน ถ้าป่วยก็พัก แต่มีคนทดแทน คนป่วย มีไม่มากนักหรอก

            ในคอมมิวนิสต์ไปไม่รอด ที่ต้องล้ม เพราะคนทำงานให้มาก ก็เอาไปแจก ให้คน ไม่ทำงาน คนขี้เกียจ คนก็เลยขี้เกียจทำ สุดท้าย ก็มีแต่คนขี้เกียจ มากขึ้นๆ เพราะไม่ได้ทำ ด้วยใจจริง  แต่ของเรา ที่ทำนี้ทำด้วยใจจริง ไม่ต้องมีใครมาจ้าง หรือมาบังคับ ก็ทำด้วย ปัญญา สังคมที่อุดมปัญญาอย่างนี้ อยากให้ไทยเป็นไหม? ก็ต้องมาสร้างสรร ช่วยกันทำ สังคมนี้ จะเป็นมหาอำนาจไม่ต้องรวย ไม่ต้องอวดโอ่ ไม่จำเป็นต้อง มาซื้อทองซื้อเพชร มาอวดโอ่กัน

            สิ่งที่คนเขายกว่ามีค่า เราก็รู้กับเขา เราเอามาใช้ประโยชน์ได้ ไม่จำเป็นต้อง เอามาอวดโอ่ โชว์ให้คน มานั่งปล้นจี้ คนเราฉลาด ไม่ต้องทำสิ่งเหล่านี้ คุณความดี ไม่ต้องโชว์ อวดโอ่หรอก นี่คือลักษณะซับซ้อน ของความจริง

            เป็นสังคมคนจน แต่อุดมสมบูรณ์ เครื่องกินเครื่องใช้ เราก็มีไม่ขาดแคลน เรามีของ ส่วนกลาง คุณเข้าใจว่า ทำแบบคนจน มากขึ้นไหม ส่วนตัวของแต่ละคนน่ะจน แต่ของส่วนกลาง ของประเทศรวย แต่เราก็ไม่ต้อง ไปอวดโอ่ แต่อย่างใด

            ค่าแรงงานของเรา คือตัวลดต้นทุน เราไม่เอาค่าตัว ค่าแรงงาน ไม่สะสม ก็ไม่มีกองไว้ส่วนตัวมาก แต่ให้แก่สังคมได้มาก เป็นสังคมเศรษฐกิจที่วิเศษ

            เป็นเรื่องสั่งสมบารมี ถ้าอยากได้ให้ตายหาไม่ขวนขายเอา สร้างไม่ถึง ก็ไม่ได้ ศาสนาพุทธนั้น เป็นศาสนาแห่งกรรม อย่าทำชั่ว ทำแต่ดี คนที่ทำดียังไม่ได้ดี เพราะทำดี ยังไม่มากพอ ข้อสำคัญคือ ชั่วอย่าทำ เป็นสิ่งสำคัญ เพราะความดี ไม่ทำความเสียหาย แก่คุณ แต่ความชั่ว จะพาคุณเสียหาย ต้องพยายาม มีปัญญาให้ดี ยกตัวอย่าง คนเขารังเกียจ ความสกปรก แต่คนไม่ทำความสะอาด มันก็หมักหมม สกปรก เราก็ต้อง มีการป้องกัน เชื้อโรค เราจัดการได้ เชื้อโรคก็ไม่เกิดร้ายแรง เป็นสิ่งควรทำ ความเสียหาย บกพร่อง ก็ไม่เกิด

             เราต้องศึกษา ความถูกความผิด ความดีงาม ความเลว กิเลสนั้น พาเสียหาย แล้วเราก็โง่ นึกว่าตนฉลาด แต่ฉลาดโกงนั้นโง่นะ นึกว่าตนเก่ง แต่ที่จริงโง่ ฉลาดเอาเปรียบ นึกว่าตนเก่ง ก็ไปทำซ้ำ ทำซ้อน ยิ่งเหลิงยิ่งอวดเก่ง ยิ่งทำชั่ว

            เราได้ฝึกฝนไหม แล้วเข้าใจผิดว่า สิ่งที่ทำนี้ดี ยกตัวอย่าง จะเอาแต่ใจให้ได้ คนสะสม ความรวยนี่ชั่วนะ ไปพูดได้เลยทั่วโลก พูดที่ไหนก็ได้ คนเราจะรวยนี่ ๑.ต้องโกง ๒.ต้องเอาเปรียบ

            โกงนี่บาปหนักกว่าเอาเปรียบ เมื่อโกงได้มาก ก็บาปมาก มาเป็นบุญนิยมนี่ ให้มาขาดทุน ได้เท่าไหร่ ยิ่งได้บุญ หนักเข้า ให้หมดเนื้อ หมดตัวเลย ...พูดเหมือน น่ากลัวไหม?... แต่เราทำได้ แก่ก็มีคนเลี้ยง กินก็มีให้กิน พออยู่พอกิน พอเพียง ใช้หลักพระเจ้าอยู่หัว

            พวกเราได้พิสูจน์ มาเป็นสังคมแล้ว คุณไม่ต้องกลัวว่า อยู่กับอโศก จะตกงานเลย มีงานให้ทำ มากมาย ระวังจะขี้เกียจ เท่านั้น

            วันนี้มี 10 การประท้วงของโลก ที่ไม่ได้ใช้ความรุนแรง

ในวันที่ 9 ธันวาคมที่ผ่านมา ประเทศไทย ได้มีการชุมนุมทางการเมือง ที่ใหญ่ที่สุด ครั้งหนึ่ง ในประวัติศาสตร์ การเมืองไทย เพราะมีประชาชน มาร่วมชุมนุม ประท้วง รัฐบาลไทย ถึงกว่า 5 ล้านคน จนสื่อต่างประเทศ ถึงกับกล่าวว่า ไม่เคยมี การประท้วง ครั้งไหน ที่จะเต็มไปด้วย ความสงบเรียบร้อย และปราศจากอาวุธ เหมือนการชุมนุม ครั้งนี้เลย

       และในช่วงนี้เอง ที่นิตยสาร TIME ได้จัดอันดับ 10 การประท้วงของโลก ที่เป็น สันติวิธี ได้อย่างน่าสนใจ

       มาดูกันว่า มีภาพไหน เหตุการณ์ใด ที่กลายเป็นภาพ ความทรงจำ ประทับใจ ของชาวโลก มาจนถึง ทุกวันนี้บ้าง

        1. แคมเปญเพื่อสันติภาพ 
ภาพนี้เป็นภาพที่จอหน์ เลนอน นักร้องชื่อดัง จากวง เดอะ บีทเทิลส์ หรือวงสี่เต่าทอง และภรรยา คนที่สองของเขา คือ โยโกะ โอโน่ ได้ใช้เวลา ช่วงฮันนีมูน ของพวกเขา 7 วัน ที่โรงแรม Amsterdam Hilton ( 25-31 มีนาคม 1969) เผยแพร่ภาพ แคมเปญ ที่เรียกว่า “Bed-in” เพื่อเป็นการต่อต้าน สงครามเวียดนาม

       ในภาพทั้งคู่ กำลังสวมชุดอาบน้ำ อยู่บนเตียง พร้อมแปะข้อความ บนกำแพงว่า “Hair Peace” และ “Bed Peace” ตอนหลัง ทั้งคู่ยังได้ทำ แคมเปญนี้อีกครั้ง ที่เตียงในโรงแรม Montrea ซึ่งเป็นสถานที่ จอห์น เลนนอน และกลุ่มผู้สนับสนุน ได้ทำการบันทึกเสียง เพลง "Give peace a chance" ซึ่งเพลงนี้เอง ที่ต่อมาได้กลายเป็น สัญลักษณ์ ของการต่อต้าน สงครามเวียดนาม

       2. ผู้ทรงอิทธิพลทางปัญญา   
เฮนนี่ เดวิด ทอโร่ นักปรัชญา-นักกวี ชาวอเมริกัน แห่งยุค คริสต์ศตวรรษ ที่ 19 ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ การต่อสู้อย่างสันติสุข เพราะผลงานของเขา เรื่อง "Civil Disobedience" ได้ตั้งคำถามว่า ทำไมคนจะต้อง เคารพรัฐบาล เนื่องจาก เขาคิดว่า กฎหมายไม่เป็นธรรม และไม่เห็นด้วยกับ นโยบายทาส เขาจึงปฏิเสธ ที่จะจ่ายภาษี ให้แก่รัฐบาล ทำให้ทอโร่ ถูกจำคุกหนึ่งคืน ในปี 1846 แต่ภายหลัง ญาติก็ได้ประกันตัวเขาออกไป

       3.หญิงในชุดขาว
หนึ่งในภาพของ ขบวนพาเหรด ของวันที่ 3 มีนาคม 1913 โดยมีเนส มิลฮอลแลนด์ บอสเซเวียน (nez Milholland Boissevain) นักกฎหมายหญิง เป็นผู้นำ ที่ทำให้ผู้คน ลุกขึ้นมา ร่วมเดินขบวน มากกว่า 50,000 คนในเมือง วอชิงตันดี.ซี. โดยสมาคม The National American Woman Suffrage” สามารถหาเงินบริจาค ได้มากกว่า 14,000 ดอลลาร์ เพื่อจัดอีเวนต์สำคัญ ในการโปรโมต ให้ผู้หญิง มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้ง กระทั่ง ทำให้ผู้หญิง สามารถมีสิทธิ์ ออกเสียงเลือกตั้งใน 7 ปีต่อมา

 4.เกลือสันติภาพ
ในวันที่ 12 มีนาคม ปี 1930 มหาตมะ คานธี ในวัย 61 ปี พร้อมอาสาสมัครอีก 78 คน ได้เดินทาง ไปที่ชายทะเล ในตำบลฑัณฑี ซึ่งเป็นระยะทางกว่า 241 ไมค์ เพื่อทำการ ผลิตเกลือ เพราะต้องการประท้วง อังกฤษ ที่ห้ามคนอินเดีย ผลิตเกลือกินเอง เนื่องจาก เกลือ เป็นสินค้า ที่ถูกควบคุม ด้วยรัฐบาลอังกฤษ ในสมัยนั้น ว่ากันว่า สิ่งที่คานธีทำนี้เอง ได้กลายเป็น สัญลักษณ์ และจุดเริ่มต้น ที่แสดงให้เห็นว่า อินเดียต้องการเคลื่อนไหว เพื่อเรียกร้องเอกราช
      
      5.การนั่งประท้วงของพลเมืองฟลินท์
 สหภาพ the United Auto Workers (the UAW) เป็นสหภาพ ที่ก่อตั้ง ในปี 1935 เนื่องจาก เป็นสหภาพ ที่เพิ่งก่อตั้ง จึงมีวาระที่จะต้องต่อสู้ เพื่อให้ได้มา ตามแผนของสหภาพ มากมาย ซึ่งในช่วงภาวะ แห่งความตึงเครียดนี้เอง ผู้บริหารของบริษัท เจเนอเรชัน มอเตอร์ ได้เริ่มแจกจ่ายงาน ให้แก่บุคคล ที่ไม่ใช่สมาชิก ของสหภาพ เพื่อสกัดกั้น การทำงาน ของ the UAW ดังนั้น ในเดือนธันวาคม ปี 1936 คนงาน จึงได้มานั่ง รวมตัวกัน ประท้วงที่หน้าตึก Fisher Body ซึ่งเป็นพื้นที่ของบริษัท เจเนอเรชัน มอเตอร์ ในเมืองฟลินท์ โดยมีคนงาน ร่วมประท้วงทั้งหมด กว่า 135,000 คนใน 35 เมือง ทั่วอเมริกา ตามมาด้วย เหตุการณ์จลาจล

       อย่างไรก็ตาม ภาพของวงดนตรี ที่เล่นดนตรี และกลุ่มชาย ที่นอนหลับอยู่ ก็จารึกอยู่ ในความทรงจำ ของผู้คนว่า มีความเข็มแข็ง ที่ผาสุก สงบ อยู่เบื้องหลัง ของการเคลื่อนไหว ของสหภาพอเมริกาเหนือ ที่ใหญ่ที่สุด แห่งหนึ่ง
      
       6.นั่งเพื่อต่อสู้สิทธิของคนดำ
 แม้ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน จะมีจำนวนมากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ของผู้โดยสาร รถบัส ในเมืองมอนต์เกอเมอรี่ รัฐแอละแบมา ประเทศสหรัฐอเมริกา แต่ผู้หญิง อเมริกัน เชื้อสายแอฟริกัน ที่ชื่อ “โรซ่า พาร์คส” ก็เจอปัญหา ในการนั่งรถเมล เนื่องจาก เธอฝ่าฝืน กฎหมาย ด้วยการไม่เสียสละ ที่นั่งของเธอให้แก่ชายผิวชาว ทำให้เธอ ถูกจับกุม เป็นเหตุ ให้คนดำ รวมตัวกันต่อต้าน ไม่ขึ้นรถเมล์ เป็นเวลา 381 วัน แต่หนึ่งปี หลังจากนั้น ศาลสูงสุด ของสหรัฐอเมริกา ยืนคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ว่า การจัดที่นั่ง ให้เฉพาะ คนบางกลุ่ม เป็นการขัดต่อ กฎหมาย รัฐธรรมนูญ และประกาศกฎหมาย ไม่ให้มี การแบ่งแยกสีผิว ขณะโดยสาร ยานพาหนะ

        ภายหลังพาร์คส์ จึงกลายเป็นที่รู้จักในฐานะ "mother of the civil-rightsmovement." หรือ “แม่ของการเคลื่อนไหว เพื่อสิทธิพลเมือง”
      
       7. ประท้วงในวอชิงตัน
ในภาพนี้ มีประชาชนมากกว่า 2 แสนคน มารวมตัวกันที่ อนุสรณ์ลินคอล์น ในวันที่ 28 สิงหาคม 1963 เพื่อเรียกร้องสิทธิ เท่าเทียมกัน ของชาวอเมริกัน เชื้อสายแอฟริกัน โดยครั้งนี้ ดร.มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ได้กล่าวคำปราศรัย อันโด่งดัง ที่ชื่อว่า "ฉันมีความฝัน" ( "I have a dream") ซึ่งช่วยปลุก กระแสตื่นตัว ให้คนทั้งชาติ เรียกร้องสิทธิ เท่าเทียมกัน

        ทั้งนี้ ดร. มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ เป็นผู้สนับสนุน การประท้วง ปราศจาก ความรุนแรง โดยยึดหลัก “อหิงสา” ตามแบบฉบับของ “มหาตมะ คานธี” นอกจากนั้น ยังสนับสนุน การร่างกฎหมาย เพื่อให้เกิดสิทธิพลเมือง ที่เท่าเทียมกัน ทุกสีผิว ในสหรัฐอเมริกา จนทำให้ท่านได้รับ รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ในปี 1964
      
       8. กำปั้นในอารยะขัดขืน
นักกรีฑาชาวอเมริกัน เชื้อสายแอฟริกัน สองคน คือ “ทอมมี สมิธ” (ผู้ชนะเลิศ) และ “จอห์น คาร์ลอส” (ผู้ชนะเลิศ รองอันดับที่ 2) ได้ใช้ชัยชนะของพวกเขา ในการแข่งขัน กีฬาโอลิมปิก ที่เม็กซิโกซิตี้ ในปี 1968 เป็นเวทีต่อต้าน การกดขี่ คนผิวดำ ในอเมริกา โดยทั้งคู่ ได้สวมถุงเท้าดำ เพื่อพรีเซ็นต์ ความยากจน ของคนดำ รวมถึง สวมถุงมือดำ เพื่อเรียกร้องความเป็น อันหนึ่งเดียว ของคนดำ ในขณะที่ผู้ชนะเลิศ รองอันดับที่ 1 คือ ปีเตอร์ นอร์แมน ชาวออสเตรเลีย ก็ได้ร่วมสวมเสื้อ ที่มีตราคำว่า  Human right หรือ “สิทธิมนุษยชน” จึงทำให้เขา กลายเป็น เหมือนฮีโร่ เมื่อกลับถึงบ้าน
      
       9.ดอกไม้กับปืน
 ในวันที่ 21 ตุลาคม 1967 ได้มีผู้คน มาประชุมประท้วง สงครามเวียดนาม ที่หน้า เพตากอน (จัดโดย the National Mobilization Committee) เพื่อต้องการ ให้รัฐบาล สหรัฐอเมริกา ยุติสงคราม ในเวียดนาม เหตุการณ์ในครั้งนี้เอง ที่ได้เกิดภาพ ที่ประทับใจ ผู้คนทั้งโลก คือ ภาพผู้หญิง ที่ถือดอกไม้ ประจันหน้ากับตำรวจ นับเป็นภาพ พลังดอกไม้ ที่กลายเป็น สัญลักษณ์ แห่งสันติภาพ ได้อย่างน่าชม ทีเดียว
      
       10.ผู้ต่อต้านที่ไม่ปรากฏชื่อ
หลังการตายของผู้นำ ที่เรียกร้อง ประชาธิปไตย “หู เย่าปัง” ในปี 1989 นักเรียนจีน จำนวนมาก ได้มารวมตัวกันที่ จัตุรัสเทียนอันเหมิน ของเมืองปักกิ่ง เพื่อเรียกร้อง ประชาธิปไตย และเสรีภาพ รัฐบาลจีนจึงได้ใช้รถถัง เพื่อหยุดจำนวนผู้ประท้วง และยิงปืน ใส่ผู้คนล้มตาย มากกว่าสองร้อยคน แต่แล้วก็ได้มีชายคนหนึ่ง ได้เดินเข้าไป ในถนน เพื่อยืนประจันหน้า กับรถถัง และพยายาม ปีนเข้าไป ในรถถัง

        ไม่มีใครรู้ว่า ชายคนในภาพนี้เป็นใคร บางคนบอกว่า เขาถูกฆ่าตายไปแล้ว ในขณะที่ บางส่วน ก็เชื่อว่า เขาหนีไปซ่อนตัว อยู่ที่ไต้หวัน แต่ไม่ว่า เขาจะเป็นใครก็ตาม สิ่งที่เขาทำ ก็ได้เป็นภาพตราตรึงอยู่ในใจ ของคนทั้งโลกแล้ว แม้การประท้วง ครั้งนั้น จะไม่สำเร็จก็ตาม
      
       ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ LIVE ขอบคุณภาพและข้อมูล จากนิตยสาร TIME

            การประท้วง ที่ได้รับการชื่นชม จะมีภาพที่เป็นสัญญลักษณ์ ทำให้คนประทับใจ พวกเรา ก็มาประท้วง ต้องการให้คุณ หยุดทำผิด เพราะคุณทำ ผิดพลาด มามากมาย เสียหาย แก่ประเทศชาติ มันก็เป็นความประเสริฐ ต่อสังคมประเทศชาติ นี่เป็นความเจริญ ของมนุษยชาติ สากลเลยของโลก

….จบ

 
๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๖ ที่ เวทีสะพานมัฆวานรังสรรค์ กทม.