๕๖๑๒๑๖_เรียนอิสระฯโดยพ่อครูและอ.กฤษฎา
เรื่อง การประท้วงอย่างโกลุตระ ตอน ๒

 

        อ.กฤษฎา ดำเนินรายการ... ตอนอยู่สวนลุมฯได้ยินพ่อครูว่า ให้คนออกมา เป็นล้านคน ต่อมาก็เป็นไปได้ คนออกมา ๒ ล้านต่อมา ๕ ล้าน ต่อไป คงจะมาเป็น ๑๐ ล้านเลย ผมเชื่อว่า มันจะเป็นจริงได้ แต่ออกมามาก ขนาดนี้แล้ว ทำไม ยังด้านอยู่ได้ ตอนนี้ เขาจากรัฐบาลโจร โจรมาเป็นรัฐบาล โจรจรไปแล้ว มันเป็นไปได้อย่างไร

        พ่อครูว่า...ทุกอย่างมาแต่เหตุ มันเป็นเช่นนั้นเอง เพราะเขามีกิเลสของจริง ไม่ใช่ใส่ความ ถ้าเขาไม่มีกิเลส ก็ไม่ทำสิ่งน่าอาย ถูกด่าว่า แล้วจะอยู่ให้ด่าทำไม เขาจะดันทุรัง อยู่ทำไม เพราะกิเลสตัวตัณหา อยากได้ลาภยศ สรรเสริญ มันก็เลยยาก ไม่จบซักที แต่มาถึงวันนี้แล้ว กิเลสอัตตาที่เขามี เขาจะพอรู้ว่า เขาทำไม่ถูกต้อง ดื้อด้าน แต่เขาจะต้องเอาให้ได้ ตามที่เขาต้องการ เพราะเขาลงทุนไว้มาก ถ้าไม่ได้ชีวิต เขาก็ล้มเหลว ชีวิตเขาต่อสู้ เพื่อสิ่งนี้ แม้รู้ว่าไม่ถูกหรอก แต่กิเลสมีอำนาจบังคับ เขาไม่มีความเข้มแข็ง ในการต่อต้านกับกิเลส เรียกว่า คนอ่อนแอ

        สิ่งที่พวกเราทำมานี่ เป็นสิ่งประเสริฐ ถูกต้องแล้ว ดีมากแล้ว ไม่ใช่ไปแกล้งยกยอ แล้วเขาก็ว่า เขาขอความเป็นธรรม มันส่อให้คนอื่นรู้ว่า เขาอยู่ในภาวะคนไม่รู้ หรือ เสแสร้ง เกินความเป็นจริง เราก็ไม่รู้ว่า เขาไม่รู้จริงๆ หรือว่าแกล้งทำ แต่พิจารณา ด้วยเหตุปัจจัย อาตมาว่า เขาพอรู้อยู่นะ เช่นเขาเอง ต้องการยืนหยัด ในตำแหน่ง อำนาจนั้น พวกเราก็ว่า เรามีเหตุผลหลักฐานยืนยัน เพื่อให้เขาจำนน ต่อความจริง เป็นได้ว่า เขาจำนนไปเรื่อยๆ แค่การเป่านกหวีดออกไป ก็บอกได้ ว่าเขาเอง เขากล้า ในสิ่งที่ ไม่ควรกล้า และเขาไม่ค่อยกล้าทำ สิ่งที่เขาพูด คำว่า ความเป็นธรรมนี่ เป็นการ กลบเกลื่อน คนเราก็รักโลกธรรม ก็กลบเกลื่อน แต่พฤติกรรมของเขา เขาไม่กล้าแข็งขืน อย่างอาจหาญ ไม่ค่อยพูดถึง หรือผ่านๆไป แต่ถ้าผ่านไม่ได้ ก็ทำขอไปที อยู่บ่อย ตลอดเวลา

        ส่วนผู้ที่ยืนหยัดยืนยันว่า เขาถูกต้องนั้น จะไม่ท้อถอย เราก็ว่าเขาผิด อย่างนั้น อย่างนี้ เขาก็ไม่หาเหตุผล มาแย้งยืนยัน มีแต่จะเลี่ยงหลบไป เสมอๆๆ ไม่อยู่กับร่อง กับรอย  

        มีข้อมูลจากเว็บไซด์ มาเสนอ

        เขียน ธีระวิทย์: สุเทพ เทือกสุบรรณ VS ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร : ใครเป็นกบฏ
        "..รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังคงเชิดชูระบอบทักษิณ เป็นหลัก ในการปกครอง ประเทศ ยอมให้ทักษิณ ซึ่งเป็นนักโทษหนีคุก เร่ร่อน อยู่ต่างแดนนั้น สั่งการ ให้ทำผิด กฎหมาย และ รัฐธรรมนูญซ้ำซาก เพื่อ ประโยชน์ ของตัวเอง ล่าสุดรัฐบาลนี้ ได้ทำให้บ้านเมือง ปั่นป่วน โดยทำผิด รัฐธรรมนูญ อย่างฉกรรจ์ ซ้ำสอง.."

        เมื่อวันที่ ธันวาคม ๒๕๕๖ . ดร. เขียน ธีระวิทย์ นักวิชาการดีเด่นแห่งชาติ สาขารัฐศาสตร์ และรัฐประศาสนศาสตร์ เขียนบทความเรื่อง สุเทพ เทือกสุบรรณ VS ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร : ใครเป็นกบฏ ผ่าน www.gotoknow.org โดยมีเนื้อหาดังนี้

        ข้าพเจ้าเคยเขียนไว้ ในโอกาสต่างๆ หลายครั้งแล้วว่า ตามหลักรัฐศาสตร์ เมื่อรัฐบาลใด ละเมิดกติกา สัญญาประชาคม รัฐธรรมนูญ หรือกฎหมาย ก็เท่ากับ เป็นการย้อนยุค ไปใช้กฎคนป่า คนอื่นที่อยู่ ภายใต้บังคับ ของรัฐบาลนั้น ก็สามารถใช้ กฎธรรมชาติ ของคนป่า ได้เช่นกัน ถ้าสามารถจัดตั้ง อำนาจรัฐใหม่ สร้างกฎเกณฑ์ หรือกติกาใหม่ ให้คนอื่นๆ ยอมรับได้ (ไม่ว่าจะสมัครใจ หรือกลัวก็ตาม) ก็จะกลายเป็น รัฐาธิปัตย์ หรือรัฐบาล ที่ชอบด้วยกฎหมาย

        พ่อครูว่า... เรามาประท้วงนี่ ทำอย่างถูกกฎหมายนะ เมื่อไม่มีบทบัญญัติ ตามรธน. ก็ดูมาตรา ๗
        มาตรา ๗ (การอุดช่องว่าง ในรัฐธรรมนูญ) ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติ แห่งรัฐธรรมนูญนี้ บังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัย กรณีนั้น ไปตามประเพณี การปกครอง ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข

        ที่เราทำอย่างเลือดไม่ตก ยางไม่ออกนี้ ไม่เคยมีใคร ทำมาเลยในโลก การรวมกันเป็น กปปส. นี่ก็เป็นเดือนเอง เราไม่ได้ทำ อย่างกบฏเลย เราทำอย่าง ถูกกฎหมาย แต่ที่คุณ ทำอยู่นี่ ก็ดันทุรัง ทั้งที่ไม่มีสิทธิ์ทำแล้ว คุณทำผิดหลายอย่าง อย่างการยุบสภา ก็ประกาศ ก่อนที่จะมี พระปรมาภิไธย คุณเป็นกบฏแล้ว แล้วมาจัดเลือกตั้งนี้ ทำไม่ได้ ทำอย่าง คนโมฆะทำ

        ตอนนี้ก็เป็นการวิเคราะห์วิจัยกันให้มาก ความชอบธรรม ก็จะเกิดขึ้นเรื่อยๆ เราปฏิวัติ ด้วยปืน ด้วยทหาร คุณก็ยอมกันมา กี่ครั้งแล้ว ยังไม่เคยมีการปฏิวัติ แบบที่เราทำนี่ เรียบร้อย สงบ ไม่ใช้อาวุธ เอาความถูกต้อง มายืนยัน แต่คุณก็ไม่ยอมลง ไม่ยอมเลิกรา โด้ เต็มที่ และง่านเต็มที่
        เราทำตามสิทธิหน้าที่ ตามมาตรา ๗๐ และ ๗๑ และยังตาม มาตรา ๖๓ ก็ได้ มาตรา ๖๓ ว่า "บุคคลย่อมมีสิทธิเสรีภาพ ในการชุมนุมโดยสงบ และปราศจากอาวุธ โดยไม่มี การสร้าง ข้อมูลเท็จ เอามากล่าวหา ไม่ปลุกระดม ประชาชน ให้หลงผิด ไม่ใช้สื่อ โฆษณาชวนเชื่อ ไม่บังคับ และไม่จ้างวาน กลุ่มบุคคลใดๆ ให้มาร่วมชุมนุม"

        ให้พวกเรามาช่วยกันหน่อย เขาไม่เชื่อตุลาการภิวัฒน์ เราก็ต้องใช้ ประชาภิวัฒน์ มาชี้ให้เห็น เอามวลประชาชน มาให้มากอีก ถ้าครั้งที่ ๓ นี้ จะมาอีก ก็ให้ทับทวีไป สาม หรือสี่เท่าเลย ออกมาอย่างสุภาพ เรียบร้อย ให้ดีงาม ให้เขาแพ้ อย่างไปไม่ออกเลย ยอมจำนน กับฤทธิ์เดช คุณงามความดี ความถูกต้อง มันยิ่งใหญ่ ประเสริฐกว่า อำนาจ Force ให้ขึ้น Best record เลยว่า มีการปฏิวัติ ที่สงบเรียบร้อย สวยงามไม่ใช้อาวุธ แล้วคน ก็ยอมจำนน ต่อความดีงาม อันนี้เป็น Best record เลย

        อาตมามีความมั่นใจว่า สิ่งที่ดีงาม เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องการ แม้โจรก็ต้องการ นอกจาก คนมีกิเลสมาก เขาก็จำนนต่อกิเลส ให้เห็นจริงเลยว่า ผิดถูกเป็นอย่างไร ให้เกิด หิริโอตตัปปะ เขาก็กดข่มกิเลสเขาได้ จนไม่ทำชั่วมาก อย่างที่เคย ตำรวจไม่บุกเรา ยิ่งลักษณ์ ก็ไม่สั่ง ให้รุนแรงกับเรา อาตมาไม่เชื่อว่า เขาจะล้างกิเลส เป็นแต่เพียงเขารู้ว่า ทำอย่างนี้ไม่ดี เสียผล รอก่อน ก็แค่นั้น

        เรายืนยันไปเถอะ ยิ่งมากคน มากเสียง ก็เป็นพลังที่มีอำนาจ แห่งคุณธรรม Authority ไม่ใช่พลังงาน Force ยิ่งยืนหยัดยืนยัน แข็งแรง ของแต่ละคน เด็ดเดี่ยวมั่น ไม่มีถอย เอาให้ถึงที่ ที่สุดให้ได้ เหมือนพล..ปรีชายืนยัน เหมือนกำนันสุเทพ ยืนยัน ก็เห็นความจริง คนจริง ก็เชื่อถือแข็งแรง เพราะคน ย่อมอยากได้สิ่งดี แม้โจรก็ตาม

        พวกคุณไม่รู้หรอกว่า คุณเกิดมา กี่ชาติแล้ว คุณสั่งสมบุญบารมี มามากเท่าไหร่ อย่างที่เราทำนี่ ถูกต้องดีงาม แล้วทำไม ไม่มาช่วยกันทำ มันเป็นพฤติกรรม ระดับปชต. สุดยอดเยี่ยม ประเทศไหนก็ทำไม่ได้นะ อย่างทำให้ด่างพร้อยนะ ทำมาดีที่สุดแล้ว ให้ทะลุ ซอยแห่งซอย แล้วคุณทั้งหลาย ทำไมไม่มาส่งเสริมกัน ไปอยู่ที่ไหนกัน

        การปฏิวัติขี้หมานั้น แพ้ก็เป็นกบฏ แต่เราแพ้ ก็ไม่เป็นกบฏ เลือดไม่ตก ยางไม่ออก ที่ตายไป ก็ไม่ใช่เราโดยตรง เรามีแต่ถูก แก๊สน้ำตาบ้าง อย่างเราทำนี่ งดงามแล้ว ทำต่อ ให้ประเสริฐ เลิศเลอ จะได้เป็นการปฏิวัติ แบบใหม่เอี่ยมของโลก ประเสริฐเลิศเลอเลย ให้เป็นประวัติศาสตร์ ยิ่งใหญ่เลย

        อ.กฤษฎาว่า.... บรรยากาศการเดิน ต่างคนต่างมา แต่ว่ามาแล้ว ใจเป็นหนึ่งเดียว กันเลย มีความสุขสงบ สว่างไสว ของพระสยามเทวาธิราช

        พ่อครูว่า.. ในบทกวีของ พระสยามเทวาธิราชิทธิ์ มีคำผิดให้แก้อยู่ สองแห่ง แก้คำว่า เทวธิราช เป็นอธิราช แจ้งไปในที่นี้เลย

        สยามเทวาธิราชนั้น       เหนือไท
วิศิษฐ์วิเศษสมัย                   วิสุทธิ์ล้ำ
เปรียบปราชญ์แห่งราชใด     เสมอสุด แล้วเอย
พระสถิตไทยอยู่ค้ำ              คู่ฟ้าดินสลาย

        เป็นอาเศียรพจน์ ที่อาตมาแต่งให้แก่ ในหลวงเรา เป็นคำกล่าว ถวายพระพร ในหลวง สยามเทวาธิราช ไม่เฉพาะบุคคลใด ในหลวงก็เป็น สยามเทวาธิราช เป็นพลังงาน พิเศษ ที่เราเป็นเมืองพุทธ เรามีพลังงานนี้ ในแต่ละบุคคล เป็นพลังงานของ กรรมวิบาก ของชีวะแต่ละคน เป็นพลังงานดี เป็นกุศล ของแต่ละคนๆ มารวมกัน ทั้งประเทศ นั่นแหละ คือ พลังแห่ง สยามเทวาธิราช แล้วเอาคำว่า อิทธิ มาสมาสเข้าไป ก็เป็น สยามเทวาธิราชิทธิ์ สยามประเทศ สร้างมามากน้อย ก็มีพลังงาน เท่าที่มี เป็นธรรมฤทธิ์ ในระดับโลกุตระ ที่ชนะกัน ไม่ใช่ด้วยเรี่ยวแรงอาวุธ เราเอาธรรม มาปฏิวัติ​ เอาอำนาจ แห่งคุณธรรม อำนาจธรรมะ ก็ชนะมาเรื่อยๆ ปรากฏในไทยแล้ว เหลือแต่ มาทำให้สำเร็จ ถึงที่สุด

        อ.กฤษฎาว่า... มีคนบอกว่า อยู่ต่อไป คนจะลดลงๆ แต่ว่าเท่าที่สำรวจ ในโซเชียล มีเดีย บอกว่า ถ้ามาขนาดนี้ ยังไม่ชนะ คราวหน้า ต้องมีธรรมฤทธิ์ ออกมามากกว่านี้อีก

        พ่อครูว่า.. เป็นสิ่งที่ถูกต้องหายาก ไม่ได้เจอง่ายๆนะนี่ แล้วคุณจะไปปล่อยมันได้ ง่ายๆหรือ เรารู้ว่าดีแล้ว เราจะทิ้งมันได้หรือ ชัดเจนว่า อย่ากลัวเลยว่า จะถอย นอกจาก ถูกครอบงำความคิด ไม่มีปัญญารู้ว่า ของไหนดี ก็เฮๆๆไป อยู่ได้ตามโลกธรรม พอหมด อำนาจ โลกธรรมก็หมดถอย แต่นี่เราทำตามสัจธรรม ยืนหยัดยืนยัน ตามสัจธรรมเลย ก็จะมั่นคง ยืนนานกว่ากัน มากกว่าสิ่งไม่จริง

        พิสูจน์เลยว่าคนไทยเราออกมา ด้วยเห็นความจริง หรือว่าถูกอามิสล่อไว้ หรือ ถูกบังคับไว้ หรือถูกครอบงำไว้ หรือรู้ไม่ทันความจริง แต่ถ้าเป็นความจริง ก็จะยั่งยืน ต่อไปนาน

        มั่นใจว่าเราไม่ได้ล่อหลอก ไม่ได้จ้างมา เราไม่ได้ทำก็เป็นสิ่งจริงยืนยัน
        .เราได้รับความจริง
        .เรามีปัญญารู้ความจริง
        .แล้วทุกข์ไหม? ก่อนมาได้ความจริงอย่างนี้ก็ทุกข์ อึดอัด เต็มที ก็เลยอยาก จะออก จากทุกข์ มากำจัดเหตุแห่งทุกข์ ก็คือคนชั่ว ที่กดขี่ข่มเหงอยู่ เราก็ออกมา กำจัดคนชั่ว ออกไป ก็เอาอันเก่าออกไป สิ่งใหม่มา ก็ดีกว่าเดิมแน่นอน เราต้องมาช่วยกันเลย ให้มากๆ ไทยเรามีคนมีปัญญา มากกว่าคนไม่มีปัญญาจึงมีอัตราการก้าวหน้า มากขึ้นๆ

        อ.กฤษฎาว่า... งานนี้ทฤษฏีรัฐศาสตร์ทั่วไป อธิบายไม่ได้ แต่ทฤษฏี โลกุตระตอบได้

        มาอ่านบทความของ ดร.เขียนต่อ.... การปฏิวัติ-รัฐประหารในไทย หลายครั้ง ที่ผ่านมา เป็นหลักฐาน ยืนยันความถูกต้อง ของหลักการนี้ แม้ว่าจะมีประเทศ มหาอำนาจ ที่เป็นประชาธิปไตย บางประเทศ แสดงตัวอยู่ในที ว่าไม่ยอมรับ ก็ตาม

รัฐบาลในระบอบทักษิณ ไม่ปฏิบัติตามครรลอง การปกครอง ในระบอบประชาธิปไตย แต่ละเมิด กฎหมาย และรัฐธรรมนูญ ซ้ำซาก ส่วนมาก ผู้มีอำนาจ บังคับใช้กฎหมาย ไม่ดำเนินคดี กระนั้นก็ตาม พรรคไทยรักไทย และพรรคพลังประชาชน ของทักษิณ ก็ถูกยุบ มาแล้ว ในปี ๒๕๕๐ และ ๒๕๕๑ ตามลำดับ โทษฐาน โกงการเลือกตั้ง แต่กว่าจะผ่าน ขั้นตอน การดำเนินคดี จนสิ้นสุดโดยศาลรัฐธรรมนูญ สั่งยุบพรรค และตัดสิทธิ ทางการเมือง ของกรรมการบริหารพรรคนั้น พวกทักษิณ ก็ได้โอกาส ปกครองประเทศ ไปพลาง รวมกันเป็นเวลา ปี เดือน นอกจากนั้น ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยเฉพาะ ประเด็นยุบพรรค ส่วนความผิดอื่น ทางอาญา ที่เป็นมูลเหตุ นำไปสู่ การยุบพรรคนั้น ไม่มีใครฟ้องร้อง ดำเนินคดี ต่อศาลอาญา หรือศาลฎีกา แผนกคดีอาญา ของผู้ดำรง ตำแหน่ง ทางการเมือง ซึ่งก็เป็นมูลเหตุสำคัญ ที่ทำให้มีการชุมนุม ประท้วง ของขบวนการ คนเสื้อเหลือง การบุกยึด ทำเนียบรัฐบาล สนามบินดอนเมือง สนามบิน สุวรรณภูมิ การปะทะกับ ขบวนการ คนเสื้อแดง จนเป็นเหตุสำคัญ ที่ทำให้เกิด การรัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ความเสียหาย ที่คนไทย ได้รับนั้น เกินกว่าที่จะ ประเมินมูลค่าได้

รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังคงเชิดชูระบอบทักษิณ เป็นหลักในการปกครองประเทศ ยอมให้ทักษิณ ซึ่งเป็นนักโทษหนีคุก เร่ร่อน อยู่ต่างแดนนั้น สั่งการให้ทำผิดกฎหมาย และ รัฐธรรมนูญ ซ้ำซาก เพื่อประโยชน์ของตัวเอง ล่าสุดรัฐบาลนี้ ได้ทำให้บ้านเมือง ปั่นป่วน โดยทำผิด รัฐธรรมนูญ อย่างฉกรรจ์ ซ้ำสอง

ความผิดขั้นแรก ทำการละเมิดบทบัญญัติ ในรัฐธรรมนูญ ทั้งในด้านสาระ และ กระบวนการ ในความพยายาม ที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลง รัฐธรรมนูญ จนศาลรัฐธรรมนูญ ได้วินิจฉัย ขี้ขาด เมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ว่ารัฐสภา ได้ทำผิด รัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๘ เป็นอำนาจหน้าที่ ของศาลรัฐธรรมนูญ ที่จะวินิจฉัย ชี้ขาดว่า ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และองค์กรอื่นๆ ของรัฐว่า ได้บริหารราชการ ไปตามบทบัญญัติ ในรัฐธรรมนูญ หรือไม่ ไม่ใช่เป็นอำนาจหน้าที่ ของฝ่ายนิติบัญญัติ หรือฝ่ายบริหาร ที่จะตัดสินว่า สิ่งที่ตนทำไปนั้น ถูกต้องตาม รัฐธรรมนูญหรือไม่

ความผิดซ้ำสอง คือ รัฐบาลและส.. ๓๑๒ คนที่สังกัดพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งมีนางสาว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รวมอยู่ด้วยนั้น ได้ประกาศไม่ยอมรับ อำนาจศาล รัฐธรรมนูญ ในการวินิจฉัย เรื่องนี้ นอกจากนั้น รัฐบาลยังไม่ยอมรับผิด โดยไม่ยอมขอคืน ร่างแก้ไข รัฐธรรมนูญ ที่นำเสนอ สำนักราชเลขาธิการ เพื่อให้ทูลเกล้าฯ กลับคืนมา นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ได้เร่งรีบ ในการนำร่างฯ ขึ้นทูลเกล้าฯ ทั้งๆ ที่รู้ว่า มีผู้คัดค้าน ได้ยื่นคำร้องต่อ ศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อขอคำวินิจฉัยไว้แล้ว

รัฐธรรมนูญมาตรา ๒๑๖ วรรค บัญญัติไว้ว่า “คำวินิจฉัยของ ศาลรัฐธรรมนูญ ให้เป็น เด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และองค์กรอื่นๆ ของรัฐ”

การปฏิเสธอำนาจศาล รัฐธรรมนูญ ก็เท่ากับเป็นการกบฏ ย้อนยุค กลับไปใช้ กฎคนป่า ประชาชน จะใช้กฎป่าบ้าง ก็ย่อมได้

ฉะนั้น มวลชนที่ชุมนุมกันต่อต้านร่าง พ... นิรโทษกรรม ที่เสนอโดย ส.. ฝ่ายรัฐบาล จะหันมาต่อต้านรัฐบาล หรือขับไล่รัฐบาล ระบอบทักษิณนั้น ความจริง ไม่ต้องอ้าง กฎหมายใดๆ มาสนับสนุน ก็ได้ เพราะต่างฝ่าย ต่างใช้กฎป่า ข้อสำคัญ อยู่ที่ใคร เป็นฝ่าย กุมอำนาจรัฐ ไว้ได้เท่านั้น ฝ่ายที่สามารถคุมกลไก อำนาจรัฐ อาจจับคู่ต่อสู้ มาดำเนินคดี ในข้อหากบฏ หรืออื่นๆ แม้จำเลยจะยกหลักการ หรือทฤษฎีรัฐศาสตร์ มาเป็นข้อต่อสู้ ตำรวจ อัยการ ศาล อาจจะไม่เข้าใจ และไม่รับฟัง คู่ต่อสู้ จึงต้องเสี่ยงภัยเอาเอง

ในที่สุด กฎธรรมชาติ ก็เข้าข้างกฎคนป่า “อำนาจคือความชอบธรรม” ถ้ายิ่งลักษณ์ หรือ ระบอบทักษิณ คุมกลไก ของรัฐไว้ได้ สุเทพและพรรคพวก ก็คงจะถูกดำเนินคดี ข้อหากบฏ หรืออะไรก็ตาม ผู้สอบสวน ทำสำนวนคดีเบื้องต้น ก็คือตำรวจของ ระบอบ ทักษิณ อัยการผู้สั่งฟ้อง หรือไม่ฟ้องคดี ก็ถูกระบอบทักษิณ ครอบงำอยู่ จากเบื้องบน ศาลเท่านั้น ซึ่งผู้พิพากษาส่วนมาก ยังไม่ยอมขายตัว อาจจะตัดสิน คดีความ ไปตามตัวบท กฎหมาย แต่ศาลก็ต้องพิจารณา ตัดสินคดี ตามสำนวน ที่ตำรวจ และอัยการ ฟ้องร้องขึ้นมา

ถ้าหากฝ่าย กปปส. (คณะกรรมการประชาชน เพื่อการเปลี่ยนแปลง ประเทศไทย ให้เป็น ประชาธิปไตย ที่สมบูรณ์ อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข) สามารถคุมกลไก ของรัฐไว้ได้ แกนนำของ กปปส. ก็คงจะรอดจาก การถูกดำเนินคดี ในข้อหาเป็นกบฏ ตามมาตรฐานสากล ก็ควรจะเป็นเช่นนั้น เพราะมวลชนเหล่านั้น ได้ชุมนุมต่อต้าน รัฐบาล ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยสันติวิธี ตามสิทธิของพลเมือง ที่รัฐธรรมนูญ ให้อำนาจไว้ แกนนำของผู้ชุมนุม ตอกย้ำซ้ำซาก ณ หน้าเวทีการชุมนุม ทุกแห่ง มิให้ผู้ชุมนุม ติดอาวุธ และชุมนุมโดยยึดหลัก “อารยะขัดขืน” แต่ก็เห็น มีผู้ชุมนุม ฝ่าฝืนกฎ ปาก้อนหิน หรือยิงหนังสติค ใส่ตำรวจอยู่บ้าง ประปราย นั่นดูเหมือน จะเป็นเรื่องเล็ก เกินไป ที่จะดำเนินคดีกัน ถึงโรงศาล

เรื่องการบุกรุกครอบครอง พื้นที่หน่วยราชการ ที่กระทรวงการคลัง และศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ เพื่อใช้เป็นที่ชุมนุมนั้น แกนนำก็ยอมรับว่า ทำผิดและยอมรับโทษ เพื่อแลกกับ การช่วยชาติ ที่ใหญ่หลวงกว่า

ฝ่ายรัฐบาลนั้น มีการบริหารงานผิดพลาด ซึ่งคงจะถูกดำเนินคดี เกี่ยวกับ การทำให้ ผู้ชุมนุม ที่ปราศจากอาวุธตาย คน และบาดเจ็บ ๒๖๓ คน การรักษา สถานที่ราชการ ที่ทำเนียบรัฐบาล และที่กองบัญชาการ ตำรวจนครบาลนั้น ได้ใช้ปืน ยิงกระสุนยาง และ แก๊สน้ำตา ฉีดใส่ฝูงชน ที่จะบุกเข้าสถานที่ โดยไม่จำเป็น เพราะเห็นอยู่แล้วว่า ผู้ชุมนุม ต้องการไปแสดงพลัง เท่านั้น เข้าไปพบผู้นำสถานที่ มอบดอกไม้ เจรจากัน ประกาศ ชัยชนะว่า เข้าไปได้แล้วเท่านั้น ไม่เคยเข้าไปทำร้ายใคร และไม่เคยทำลาย ทรัพย์สินใดๆ ของหน่วยราชการ

กล่าวโดยสรุป ถามว่า “ใครเป็นกบฏ” ตอบตามหลักวิชา ยิ่งลักษณ์ และผู้นำรัฐบาล บางคน น่าจะถูกดำเนินคดี ฐานเป็นกบฏ (ที่ประกาศไม่ยอมรับ อำนาจศาล รัฐธรรมนูญ) ซึ่งเท่ากับ ละเมิดรัฐธรรมนูญ เป็นเหตุให้คนไทย จำนวนนับล้าน ลุกฮือขึ้นมา ต่อต้าน รัฐบาล เพื่อพิทักษ์รัฐธรรมนูญ และการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข

ส่วนสุเทพและแกนนำ ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลนั้น จะถูกดำเนินคดี ในข้อหากบฏ คงฟังไม่ขึ้น

เพราะเป็นแกนนำ ในการต่อต้านรัฐบาล ที่ไม่ชอบ โดยสันติวิธี ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๙ ซึ่งบัญญัติว่า “บุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้าน โดยสันติวิธี ซึ่งการกระทำใดๆ ที่เป็นไป เพื่อให้ได้มา ซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการ ซึ่งมิได้เป็นไป ตามวิถีทาง ที่บัญญัติไว้ ในรัฐธรรมนูญนี้”  

        อ.กฤษฎาว่า... ได้ทราบข่าวว่า คุณสุเทพ ได้มาพบพ่อครู แล้วพ่อครู ได้สัมผัส คุณสุเทพแล้ว เป็นอย่างไร

        พ่อครูว่า... ได้เห็นคุณสุเทพก็เห็นใจว่า มันเป็นงานหนัก งานยาก งานใหม่ ที่เขาได้ต่อสู้มานี่ มันเป็นเรื่องที่ ไม่มีตัวอย่าง มาก่อน แต่ก็เท่าที่ดูนี่ ก็เห็นว่า คุณสุเทพ มีความสุข ลึกในหัวใจ อาตมาเป็นนักศึกษา เรื่องจิตวิญญาณ คุณสุเทพมี “ดวงตาเห็นธรรม”ว่า ได้มาทำงานนี้แล้ว มันเป็นสิ่งประเสริฐในชีวิต งานการเมืองนี้ ไม่เห็นได้ว่า เขากล้ามาทำงานเต็มที่ เป็นผลสำเร็จ มองเห็นเลยว่า ในชีวิตนี้ ที่ได้เล่น การเมืองมา จนมาคราวนี้ บทบาทนี้ ประเด็นนี้ ก็เกิดดวงตาเห็นธรรม ว่าต้องทำเช่นนี้ เขาจึงบอก กับครอบครัวว่า พ่อมาทำอย่างนี้ ถ้าจบแล้วถือว่า สุดยอดของชีวิตแล้ว จะเลิกเลย

        คุณสุเทพนี่ “ฟ้าส่งมา” มันเป็นเรื่องยาก ที่ต้องอาศัยหมู่มวล ถ้าคนเดียว ทำไม่ได้หรอก มันเป็นความฉลาดเฉลียว ที่เห็นว่าเป็นสิ่งดีงาม ถ้าจะมาหลอกล่อ ก็ไม่น่าได้ ขนาดนี้ เป็นบุญของประเทศ จึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ตั้งแต่สามเสนมา เดินมา คุณสุเทพ ได้เห็นสัจธรรม ก็เลยทำเต็มที่ เป็นเรื่องการเมือง ที่เหนือกว่าการเมือง เป็นการเมืองโลกุตระ ไม่ได้ทำเพื่อ ลาภยศสรรเสริญ เป็นสิ่งดีงาม เป็นอาริยธรรม

        อาตมาเห็นอัตราก้าวหน้าอยู่ ทุกอย่างที่เกิด มาจากจิตวิญญาณ คนมารวมกันนี่ คนที่เคลือบแคลง อาจไม่แน่ใจ แต่อัตราการก้าวหน้า ก็บอกเรา

        ถอยไปก่อน กลุ่มเสธ.อ้ายพาทำ ก็ยังไม่มากมาย แต่พอมาเสธ.อ้าย คนออกมา ก็แข็งแรงขึ้น เนียนสอดซ้อนด้วย แต่ไม่ยิ่งใหญ่เท่าไหร่หรอก แต่เป็นรูปธรรม ที่ได้มากพอ แต่พอเราทำ เสธ.อ้ายเสร็จ ดูเหมือนแพ้ แต่อาตมาว่า มีการก้าวหน้าเรื่อยๆ สังคมว่า เราแพ้ แต่เราไม่หยุด เราไม่แพ้ พอมาวันที่ ๒๔ พ.ย. ก็มามากแล้ว แต่ว่าพอวันที่ ๙ ธ.ค. ก็มีอัตราก้าวหน้าอีก

        เราเห็นความเปลี่ยนแปลง ของกระแสสังคม จะเข้ามาๆๆ
        ๑.คนได้สิ่งที่ร้าย ถีบให้เราออกมากัน
        ๒.คนได้สิ่งที่ดี ทำให้เรามารวมกัน
        ให้ทนอีกนิดเถอะน่า ….

        อ.กฤษฎาว่า... คุณสุเทพได้ทำ สิ่งที่พ่อครูได้เทศนาไว้ เป็นสภาวธรรม ที่ดวงตา เห็นธรรม หลายคนบอกว่า เหมือนองคุลีมาลกลับใจ

        พ่อครูว่า ...อาจผิดก็ได้นะ... อาตมาสัมผัสคุณสุเทพว่า แจ่มใส มันไม่น่าเชื่อว่า ทำมาขนาดนี้ เดิน ๒๐ กม.ไม่ล้ม ก่อนหน้านี้ ก็เดินมาแล้ว หลายครั้ง จากสามเสน มาอนุสาวรีย์ปชต. แล้วก็เดินอีกหลายที่ ก็เดินได้ อาตมานี่ เคยเดินมาแล้วรู้ดี ไม่ใช่เรื่องเล่นหรอก แทนที่จะทรุด แต่ก็กลับเห็นว่า ยังดีอยู่ แต่เหนือกว่านั้นคือ จิตวิญญาณ มีความประทับใจ

        คนที่แพ้ ก็ไม่น่าจะมีความประทับใจอะไร แต่นี่เห็นความมุ่งมั่น น่าใสตาแป๋วอยู่ ก็มาช่วยกัน

        เราคงต้องทำกันต่อไป คนถามบ่อยว่า เมื่อไหร่จะจบ มันเป็นเรื่อง “อภิมหาปรมานิจจัง” เห็นถึงความไม่เที่ยง อาตมาทำงานทุกวันนี้ เอาปัจจุบันธรรม เราประมาณ ให้ข้างหน้า เท่าที่ทำได้ เราก็พอรู้ได้ว่า มีเหตุปัจจัยอย่างไร ต้องมีการ ประมาณ มีมัตตัญญุตา ๑+๑ อาจได้เกิน ๒ ก็ได้เหตุปัจจัย ไม่เที่ยง หลายคนบอกว่า ๑+๑ ต้องได้ ๒ สิ แต่ว่าที่จริง มันอาจได้ ๑.๕ ก็ได้ เราไม่ได้ ๒ ทำไม ก็ต้องดูเหตุปัจจัย แก้ไขไป แม้ไม่เต็ม ๒ ก็อย่าไปตะกละมากมาย จะไปท้อแท้ทำไม จะซวยเลย เราต้องรู้ ความเจริญก้าวหน้า หรือถอยหลัง แต่ถ้ามันจะทำได้ ทะลุซอยก็ดี แต่ถ้าไม่ได้ ก็อุตสาหะไป

        อย่างเวทีเรา มาตั้งหลักใหม่ ทำซะถาวรเลย หมายถึงว่า จะนานใช่ไหม? ก็ไม่แน่หรอก เวทีเราก็ไม่ต้องเช่า เรี่ยวแรงเราก็พอมี เหนื่อยไหม เราก็ยินดีเหนื่อย

        เราทำงาน เราได้ผล ได้มรรคผลด้วย อย่างเราขี้เกียจ แต่เราเห็นว่าดี เราก็แก้ ความขี้เกียจ ออกมาทำ เราก็ได้มรรคผล แม้จะฝืน แต่ก็ทำด้วยสำนึก ก็ยังได้กุศล อย่างน้อย เราได้รับใช้ผู้อื่น ถ้าเราทำไป คุณภาพก็เสีย ฉิบหายเราก็ไม่ทำ แต่เราทำนี่ ไม่เสีย มีแต่ก้าวหน้า เรามีทุนมีแรง ก็ทำไป 

            อ.กฤษฎา ว่า.. พวกนายทหารใหญ่ ที่กินศีลบาตร คาดสินบน แล้วกลัวถูก เปิดเผย จะทำอย่างไร??.

            พ่อครูว่า... ก็เปิดเผยสิ คนทำผิดแล้วปกปิด จะทุกข์ใจ แต่คนเปิดเผย ความผิด แล้วตั้งใจใหม่ ไม่ทำผิดนี่สิ น่ายกย่อง นอกจาก เรื่องเล็กน้อย ไม่สำคัญ ก็แล้วไป แต่ถ้าเรื่องใหญ่ สำคัญ ก็ควรเปิดเผย ที่ไม่เปิดเผย อาจกลัวติดคุกน่ะสิ....

จบ

 
๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๖ ที่ เวทีสะพานมัฆวานรังสรรค์ กทม.