561218_พ่อครูและอ.สมศักดิ์ ที่เวทีมัฆวานฯ
เรื่อง การประท้วงอย่างโกลุตระ ตอน ๓


        พ่อครูเริ่มรายการ... มันจะมีที่ไหนหนอ มาชุมนุมประท้วง ประเทศๆไทยนี่ ก็ยังสามารถ ให้เห็นบรรยากาศ ไม่มีความรุนแรงอะไรขึ้นมา ต้องมองว่า เขาทำหน้าที่ ของเขานะ ทำไมไม่เกิดความรุนแรง เพราะเราทำการประท้วง อย่างถูกกฏหมาย เขาจะทำรุนแรง กับเราไม่ได้ ถ้าเขาทำรุนแรงขึ้นมา ก็จะถูกสังคมประณาม อย่างประชาชนเขมร ที่มาประท้วง ไล่รัฐบาล มันไม่ง่ายหรอก เขาก็ใช้อำนาจ บาตรใหญ่ มาทำร้าย ประชาชน แต่นี่เรามาประท้วง เรื่อยๆมา ที่ข้างทำเนียบ ที่เราต้องลอยคอ นำอาหารเข้ามา นั่นแหละ

        ภาพรวมของพลังประท้วง ตอนนี้นี่ เราทำอย่างไม่รุนแรง กระแสพฤติกรรมสังคม เป็นเชิงชื่นชม เป็นเครื่องชี้วัดว่า พฤติกรรมสังคมดีขึ้น ประเทศไทยเรา มีพัฒนาการ เราทำช่วยกัน คนละไม้ คนละมือ เรามากัน ตลอด ๒๔ ชม. บางคน ก็มาบางเวลา แล้วแต่ว่า ใครมาได้เท่าไหร่ บางคนก็กลับบ้าน แต่ก็ยังแบก เอาเรื่องชุมนุม กลับไปคิดต่ออีก

        ที่มันเป็นไปได้ จนถึงวันนี้ หลายคน ก็อาจรู้สึกว่า คงจะถึง ๕๐๐ วันนะ แล้วถ้ามัน จะต้องเลื่อน ออกไปอีก เราก็ไม่รู้ แม้ไม่รู้ ก็ไม่มีปัญหา ๕๐๐​ วันก็ได้  เพราะว่า จิตวิญญาณ มีการปรับเปลี่ยน มีรูปธรรมด้วย เรามาอยู่ที่นี่ นานเข้า ก็จะเข้าที่ เหมือนอยู่ ที่บ้าน เราก็รู้ว่า ไม่ใช่ที่อยู่ถาวร เราจะมาสร้างส้วม สร้างครัวได้แล้ว เราก็ช่วยกัน คนละไม้ คนละมือ บางคนอยู่ที่บ้าน ไม่เคยจับไม้กวาดเลย มีคนทำให้ แต่มาที่นี่ มันก็น่าจะทำ มันต้องทำ ต้องบังคับตัวเราให้ทำ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ต่างคน ต่างมา จากหลากหลายที่ แต่มาอยู่ร่วมกัน ก็ต้องพึ่งพากัน ช่วยกัน เมื่อมีมากเข้า คนที่มีนิสัย เอาเปรียบก็มี คนมีนิสัยดีก็มี แต่คนนิสัยดีมากขึ้น เห็นรู้ว่า ตรงไหน ขาดแคลน เราก็มีจิตใจ ช่วยเหลือ บางคนมีกิเลส ถือดีถือตัว เกิดอัตตามานะ กิเลสอย่างนี้ มางานนี้ จะได้เห็น มาที่นี่บางงาน เราก็ไม่เคยทำ อยู่ที่บ้าน เราก็มีฐานะหนึ่ง เราก็รู้สึกว่า มันไม่ใช่หน้าที่ แต่มาที่นี่ เป็นสิ่งที่จำเป็น สมควรทำ ก็ต้องช่วยกันทำ ก็ได้ลดละ อัตตามานะ ไม่ต้องถือดีถือตัว

        ผู้ไม่ถือเนื้อถือตัว ไม่มีอัตตามานะ มาทำงานเพื่อสังคม รวมกันหลากหลาย แต่เราก็มี ความเป็นอยู่ ต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วเราได้ลดละ อัตตามานะ อย่างแท้จริง หลายคนได้มา ก็ได้เข้าใจ มีปัญญา ฉลาดรู้เพิ่มขึ้น รู้ว่าการลดละอัตตามันดี เป็นประโยชน์ ทางจิตวิญญาณ ได้ลดละ อัตตามานะของเรา

        ต้นตระกูลกิเลส มีราคะ โทสะ โมหะ คือโลภ โกรธ หลง นั่นเอง หลงคือไม่รู้กิเลส ที่อยู่ในตัวเรา ไม่รู้จักตัวตนของเรา ไม่รู้ส่วนเหลือ ของกิเลสของตน เรียกว่า หลงเหลือ เราก็ต้องเรียนรู้ไป จนกระทั่ง มันไม่มี เป็นอากิญจัญญายตนะ คืออะไร ที่เราไม่ให้มี ตั้งแต่หยาบ กลาง ละเอียด จนเป็นเศษเล็ก เศษน้อย เท่าไหร่ก็ตาม ตรวจสอบ ว่าตัวไหน ที่เราทำได้ ตัวตนตัวไหน ก็คืออัตตา ตัวตนของราคะ โทสะ โมหะ มันมีตัวตน ในจิตวิญญาณ กิเลสตัวนี้ เรื่องอะไร เรื่องรักหรือชัง แค่ไหน กับวัตถุ หรือกับคน เยอะแยะ มากมาย สารพัด ที่ไปติดยึด มันยึดเรื่องนี้สิ่งนี้ แล้วเราก็จับได้ และลดละมัน เหลือสุดท้าย เราทำให้กิเลสลดได้หมด ฐานต้น เรียกว่า อุเบกขา

        อุเบกขา คือ จิตว่างจากกิเลส และไม่ใช่ว่างอย่างเฉยเด๋อ คำว่าอุเบกขา เป็นสภาพ กลางๆ ไม่มีพลังงาน ไปทางนั้นทางนี้ ที่เป็นไปตามอัตตา มันเป็นความเฉย แม้มีการกระทบ กับสิ่งที่เราเคยรัก เคยชอบ หรือเคยโกรธ มีอะไรที่เคยรักเคยชัง มากระทบ ก็เฉย ไม่ใช้เฉยหน้าด้าน กิเลสไม่ได้หาย กิเลสมันเก่ง เหมือนกัน ดื้อด้าน ดึงดัน คือ ถัมภะ เป็นตัวที่คู่กับ ตัวหยิ่งผยอง หรือ สาเฐยยะ หรือ สโฐ อวดโอ่ แสดงอยากอวด หรือ สารัมภะ คืออยากแสดงออก ส่วนถัมภะ นั้นปักแน่น ยึดแน่น ถ้าเราทำ สั่งสมกิเลส สองอย่างนี้ ก็จะเก่งอย่างไม่ดี มันพาเราเสื่อม พาเราทำไม่ดี

        สำหรับอุเบกขา ของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่เฉยๆ แต่จิตวิญญาณของเรา จะมีฌาน สั่งสมในจิต ของพุทธนั้น กิเลสมันสงบ จนกิเลสสลาย หายเกลี้ยงเลย ตรวจสอบด้วย อรูปฌานได้

        รูปฌานนั้น ตัวที่สุดท้ายคือ อุเบกขา เป็นเอกกัคคตาจิต คือ เอกคือหนึ่ง เขาก็แปลว่า จิตเป็นหนึ่ง แต่มันจะแปลว่า ยอดเยี่ยม ไม่เป็นอื่นเลยก็ได้ แข็งแรงบริบูรณ์สะอาด คำว่า อัคคะ แปลว่า เยี่ยมยอด เลิศเลอ ก็ได้ จิตเยี่ยมยอด

        ถ้าเป็นฤาษี ก็ทำให้จิตสงบให้ได้ แต่ไม่รู้จักตัวกิเลส แล้วล้างกิเลสได้ เหมือนพุทธ จิตที่กลางๆ นั้นก็มีแบบ อภยกฤติ คือไม่เป็นกุศล และอกุศล ทั้งที่มีกิเลสในจิต แต่วาระนี้ไม่ กุศลหรืออกุศล คนธรรมดาสามัญ ก็มีจิตตัวนี้ มันไม่ทำอะไร ก็เรียกว่า เคหสิตอุเบกขาเวทนา เป็น อภยกฤติ 

        การปฏิรูป คือการเปลี่ยนแปลง เราก็ทำได้มาเรื่อยๆ มากันมากขึ้น เรื่อยๆ ตั้งแต่ ๒๔ พ.ย. มาถึง ๙ ธ.ค. ต่อมา ก็จะนัดกัน วันที่ ๒๒ ธ.ค. คนมีปัญญา ก็ควรมาร่วมกัน มีให้เลือก ตั้งสามเวที แล้วแต่รสนิยม ถ้ามาเวทีนี้ ก็ได้ฟังธรรมะ มากหน่อย ถ้าเวทีโน้น ก็มีสนุก มากกว่า มีการปลุกเร้า มากกว่านี้ มันมีนัยต่างกัน ก็ได้เกิดการพัฒนามา ถ้าได้ประโยชน์ ทั้งสองส่วน ก็ได้ทั้งประโยชน์ผู้อื่น ปรัตถะ ประโยชน์ตน เรียกว่า อุภยถะ บางคนมา ได้แต่ประโยชน์ตน อย่างเดียว ไม่ได้ช่วยส่วนรวม เอาแต่นั่งฟังธรรม อย่างเดียวก็มี บางคนก็มา ทำแต่ประโยชน์ ของคนส่วนใหญ่ ตนเองไม่ค่อยได้ ประโยชน์ตน ได้แต่กุศลโลกีย์ จิตใจก็มีความรู้โลกีย์ ไม่ค่อยรู้ ทางสัจธรรม โดยเฉพาะ ความรู้ ทางปรมัตถธรรม

        ผู้ใดรู้แล้ว ก็มาเอาประโยชน์ ทั้งสองส่วน ได้ทั้งประโยชน์ตน และได้ทั้งสาระโลกีย์ ทางสังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ และอื่นๆ อีกมากมาย เช่นได้ฟัง ที่วิทยากรผู้รู้ มาบรรยาย ก็ได้ เป็นโลกายตศาสตร์ มากมาย ส่วนความรู้ทางโลกุตระ ที่เป็นปรมัตถ์ ได้เข้าใจ จิตวิญญาณ ว่าจิตที่รู้ ปรมัตถธรรม ที่เราจะได้ศึกษา จิตเจตสิก จิตเราเข้าใจว่า ทำอย่างนี้ดี แม้ยาก เราก็ฝึกฝน ทำกายกรรม แต่มีจิต เป็นตัวตั้ง ทำด้วยรู้ หรือว่าทำด้วย หมู่พาทำก็มี เราอยู่กับหมู่ดี หมู่ดีไม่พาเรา ทำเสียหรอก บางทีพาไปบู๊ บางทีพาไปเมื่อย

        ปรมัตถ์นั้น เรารู้แล้วเราแก้ไข ที่กิเลสของเรา ผู้ที่รู้ว่า อันนี้กุศล อันนี้อกุศล นี่เป็น กิเลส แม้เรารู้แต่จิตเราไม่เป็น ก็ฝึกเรา ทั้งรู้และทำได้ เป็นอุภยถะ ของจิตเลย ถ้าสูงสุดเป็น อุภโตภาควิมุติ รู้ว่ากิเลส แล้วเราก็เห็น อ่านกิเลสออก แล้วล้างกิเลส กำจัดกิเลส เห็นว่ามันดับ ไม่ใช่ว่า ไปนั่งหลับดับปี๋ โดยไม่รู้ ตัวตนกิเลสจริง เป็นนิโรธฤาษี แต่ถ้านิโรธพุทธนั้น ไม่ใช่ไปดับปี๋เลย มันดับกิเลส เป็นคำเดียวกัน แต่นัย การดับนั้น ต่างกัน แบบฤาษีนั้น ไม่ใช่นิโรธแบบพุทธ

        นิโรธคือดับสนิท ไม่เกิดอีกเลย อย่างรู้ๆ ว่าดับเหตุหรือสมุทัย ให้ถึงอาสวะอนุสัย ตรวจด้วย อรูปฌานอีก จิตเป็นอุเบกขา อ่านจิตโดยใช้ อาการ ลิงค นิมิต อุเทศ อาการอย่างนี้ เรียกว่า ราคะ โทสะ โมหะ
        คนนี้พูดมา ไม่เข้าหูเรา เราก็มีอาการจิต เราก็ทำเครื่องหมาย กำหนดรู้หมาย เอาเองว่า อย่างนี้คือ กิเลสตัวไหน มันไม่มีตัวตน แบบจับต้องได้ เป็นสรีระนะ

        อย่างเทวดา เขาก็สอนบอกกันว่า มันเป็นสรีระ รูปร่างอย่างนี้ หรือสัตว์นรก เป็นรูปอย่างนี้ คุณก็ไปปั้นเอาในจิต ไปนั่งสมาธิ ปั้นเอาว่า สัตว์นรก เทวดา มาร พรหม เป็นเช่นนี้ คุณก็เห็นเป็นรูป

        แต่ที่จริง กิเลส คือสัตว์นรก ที่มันแสดงอาการในจิต เช่น ความโกรธ เมื่อไหร่ เมื่อเจอผัสสะ คุณก็เท่ากับ ใส่คะแนนโกรธ ให้ในจิต ก็ตกผลึกในจิต เพิ่มขึ้น สั่งสมในจิต แถมอาการโกรธนี้ พอแตะสัมผัส เราก็โกรธแรงขึ้นอีก ไม่ลดลง มีความโกรธ ความชัง สูงอีก มันมีฤทธิ์แรง เพิ่มขึ้นอีก เช่นไปชังน้ำหน้าคนนี่ พอสัมผัสกับเขา ต่อมามีอีก วันต่อไป สัมผัสแล้วก็มีอีก สักวันก็ต้อง ฉะกันแน่นอน ดีไม่ดี ฆ่ากันเลย คุณฆ่าเขาแล้ว ไม่ใช่ว่า กิเลสจะหายไป แต่ว่ากิเลสยิ่งเพิ่ม เพราะว่าไปฆ่าเขา ตามกิเลสคุณ ก็สมใจอีก ให้ดีใจ ที่ได้ทำร้ายเขา สมใจอยาก กิเลสมันไม่ตายนะ กิเลสยิ่งอ้วน หนาผนึก นี่คือ ความโง่ อวิชชา ของคนทั้งหลายในโลก

        โลภและราคะก็เช่นกัน คุณก็สั่งสมราคะ ให้สมราคะ สมโลภ เช่นกัน คุณมีอาการ เกิดที่จิต มันสั่งสมทั้งนั้น คนอวิชชา ก็สั่งสมไปเรื่อยๆ บางทีไม่เกิด ก็ดีไป แต่ส่วนใหญ่ ก็แสวงหา ความชอบใจ ไม่ชอบใจเสมอ แม้กับคนก็ตาม หรือกับวัตถุก็ตาม อย่างวัตถุ มันไม่รู้เรื่องนะ กับคนเรา ก็ก่อเหตุได้ตลอดเวลา มันก็เกิดอาการเหล่านี้ เพราะอวิชชา

        คนมาเรียนรู้ ธรรมะพระพุทธเจ้า ก็ได้เรียนรู้สักกายะ ตั้งแต่ ดินน้ำไฟลม อย่างน้ำนี่ รากฐานของมัน คือ H20 แก๊สหรืออากาศ มันก็ไหลไป ไม่จำกัด มีคุณสมบัติของ สสารพลังงาน จิตของเรา ก็มีลักษณะ คล้ายสสาร หรือพลังงาน แต่ละเอียดกว่า ฤทธิ์เดช มากกว่าอีก คนไม่เก่ง ในการทำจิต ให้มีพลังงานได้มาก ในยุคนี้ ยุคพระพุทธเจ้า สามารถ ทำให้จิต เก่งมากได้ คนยุคนั้นเหาะได้ ดำดินได้  แต่ยุคนี้ ทำไม่ได้แล้ว จิตมันตกต่ำ มากแล้ว แม้ไม่ได้ เราก็ใช้พลังงานฟิสิกส์เก่ง แต่ก่อนนั้น จะใช้ อิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนา ปาฏิหาริย์ แต่เดี๋ยวนี้ จะใช้เครื่องไม้ เครื่องมือช่วย

        จิตวิญญาณ ละเอียกว่าวัตถุหรือสสาร จึงรักษาสภาพ ได้ยากกว่า ทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่คงที่ มีแต่สภาพนิพพาน อย่างเดียวเท่านั้น ที่เที่ยง เพราะว่าเป็นสภาพสูญ ไม่มีแล้ว แต่ถ้ามันเริ่มมี ขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็ไม่คงที่ ไม่ว่าจะเป็นวัตถุธรรม หรือนามธรรม

        มีแล้วรู้เราก็รู้ เรียกว่าเวทนา ตัวนี้แหละ ที่ต้องเรียน อย่างสำคัญ พระพุทธเจ้าสอน ให้รู้จักจิต ที่รู้สึก ทุกข์หรือสุข มันมีชอบหรือชัง

        กุศลคือสิ่งที่ดีงาม สร้างสรร แต่อกุศล คือสิ่งที่จะทำลาย แม้กุศล เราก็อาศัย มันเป็นพลังงานดี แม้ว่าจะเป็นเรา อยู่กับเรา มันก็ไม่ใช่ตัวเรา แต่เรารู้ว่า ต้องอนุโลม มีอยู่เพื่ออาศัย ใช้มัน จิตวิญญาณ ก็เป็นพลังงาน ตัวมันเอง ไม่รู้ตัวมันหรอก แต่เราไปนึกว่า มันมี แล้วมันก็มีคุณสมบัติ แล้วคุณสมบัตินี้ ถ้าเป็นกุศล ก็รักษาไว้ใช้งาน เหมือนกับ เรารักษา เหตุปัจจัย ไว้ใช้งาน

        ส่วนอกุศล ตัวไหน เราก็เริ่มเรียนที่ สักกายะ คำว่ากาย คือองค์ประชุม มีทั้งรูป และนาม และเน้นที่นาม เป็นสำคัญกว่ารูปด้วย ถ้ามีแต่รูป มันไม่รู้เรื่อง แม้กุศล เราก็ไม่ยึด เราแค่อาศัย คนที่จะสามารถ ทำลายอกุศล หรืออกุศล ให้แก่คนอื่นไม่ได้ ต้องทำด้วยตนเอง  ทำให้อกุศลตายไป จนมันตั้งมั่น นิจจัง (เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสสตัง (ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง (ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง (ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง (ไม่กลับกำเริบ)

        ได้แล้วได้เลย กิเลสตายแล้วตายเลย ไม่มีเกิดใหม่อีก คือคุณสมบัติของจิต ที่เกิด เป็นขั้นตอน พระพุทธเจ้า ให้อ่านเวทนา ๑๐๘ โดยเฉพาะอ่าน เคหสิต และเนกขัมสิตะได้ ต้องทำเนกขัมมะ ให้โลภโกรธหลง ออกจากจิตได้ ก็เรียกว่า วิมุติ เอากิเลสออกได้ ก็มีวิมุติ กิเลสตายลง ลดลง เหี่ยวแห้งลง มันเป็นอาการ ลิงค นิมิต อุเทส เท่านั้น ถ้าใครจับได้ ตั้งแต่ตัวต้น เรียกว่า สักกายทิฏฐิ แล้วไปถึง ขั้นกลาง และละเอียด มีวิโมกข์ ๘  และตรวจสอบ ไปถึงระดับ อากาสธาตุ คือ ปริเฉทรูป ในรูป ๒๔ ที่เป็นอุปาทายรูป
       
        .สมศักดิ์...
        การออกมาชุมนุม ทางการเมือง หลายล้านคน เป็นการยืนยัน สิทธิของตน มาเรียกร้องสิทธิ ของตนเอง ๑ สิทธิ ๑เสียง เป็นความเข้าใจ สิทธิหน้าที่ ของพลเมือง เพียงแต่คนบางส่วน ไม่เข้าใจ ไม่ใช่ประชาชนไม่เข้าใจ หรือเขารู้ แต่กันประชาชน มาเอาอำนาจคืน

        ถ้ารัฐบาล สร้างธรรมให้เป็นอำนาจ ประชาชน จะไม่มาไล่หรอก แต่ถ้ารัฐบาล สร้างอำนาจ ให้เป็นธรรมนั้น รัฐบาลนั้น เป็นทรราชย์

        ศาลรธน. มีมติ 6:3 กปปส. ชุนนุมไม่ผิดกฏหมาย - เหตุ ชุมนุมสงบ ปราศจากอาวุธ

        การที่เขาออกหมายจับ คนนั้นคนนี้ เมื่อศาลรธน. ตัดสินแล้วว่า การชุมนุมนี้ ไม่ผิดกฏหมาย แล้วไปออก หมายจับเขา ได้อย่างไร...

 
๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๖ ที่ เวทีสะพานมัฆวานรังสรรค์ กทม.