561228_พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ที่มัฆวานฯ
เรื่อง โลกุตรธรรมคือหลักประกันอันประเสริฐของชีวิต

 

        รู้สึกอบอุ่นใจ ที่เราได้ชุมนุมมา ตั้งแต่สวนลุมฯ แต่ตอนนี้ก็มี พวกที่ระห่ำทำกัน ซึ่งก็พอรู้ว่ากิเลสในใจ คนพาบ้าระห่ำได้มาก ตามทฤษฏี เรื่องอย่างนี้ ก็มีองค์รวม หลายอย่าง ของสิ่งที่พาเป็น ซึ่งเราทำมาแล้ว ก็ได้ภาพดีงาม มาเรื่อย

        ส่วนใหญ่ พวกเราก็รักษา สภาพดีงามได้ ส่วนสภาพเลวร้าย ก็เป็นจริง คนเรา หากทำเลว ทำชั่ว แล้วเอาชั่ว ไปใส่คนอื่น เป็นความเลวสุดเลว สร้างเรื่องปั้นเรื่อง ให้ความเลว ไปใส่ร้ายคนอื่น

        คนทุกคน ที่ได้อัตภาพ มาเป็นคนแล้ว แต่ไม่รู้ตัว ไปทำชั่วทำบาป ทำเลว พวกนี้ น่าสงสาร น่าสังเวชใจ คนเราเกิดมา มีมารับวิบาก เช่นบาดเจ็บ ต้องทุกข์ร้อน เกิดเหตุ อาจถึงตายเ ป็นต้น ก็เป็นวิบาก ซึ่งบางคนที่ตาย บางคน ก็ไม่ได้ไปหาเรื่อง บางคน ก็อยู่ข้างนอก ด้วยซ้ำไป แต่ก็เกิดเหตุ นั่นคือมารับวิบาก แต่บางคน มาสร้างวิบาก คำว่าวิบาก คือผลกรรม ถ้าเราทำ เรียกว่าสร้าง ถ้าในปัจจุบัน เราไม่ได้สร้าง เราก็มา รับวิบาก ที่เราเคยทำในอดีต ออกผลให้เราได้รับผล ทั้งผลทุกข์ และผลสุข ตอนนี้ เราก็พูดถึงผล ที่ทุกข์เป็นหลัก

        การสร้างวิบาก  ก็คือสร้างให้ได้ทั้ง ผลดีและผลเสีย แต่ในบริบทนี้ จะพูดถึงผลไม่ดี คือสร้างอกุศล เขาสร้างจริงๆเลย ขอออกชื่อหน่อย ก็คือ คุณทักษิณ อยู่บัญชาการ ไม่ได้เดานะ แล้วน้องสาวเขา ที่มาเป็นหนังหน้าไฟ มารับหน้าที่ เป็นนายกฯ ตอนนี้ รักษาการณ์อยู่ จะเต็มรูป หรือรักษาการณ์ ก็ถูกด่า ถูกว่า ถูกบีบ จากประชาชน คนไทย อย่างหนักหนารุนแรง กาละนี้ หนักหนาสาหัสเลย ถูกด่าว่า กระทุ้งกระแทก ต่างๆนานา พี่ชายคนนี้ เป็นพี่ที่อำมหิต โหดร้ายมาก เห็นแก่ตัว จัดจ้านมากเลย คนเรา มันน่า จะมีปฏิภาณว่า ให้น้องสาวเรา รับหน้า แล้วโดนขนาดนี้ จะทุกข์ขนาดไหน แต่ไม่สงสาร เห็นใจเลย ให้รับหน้าไป นี่ไม่ได้เดานะ อาตมาว่า คุณยิ่งลักษณ์ ต้องพยายาม ตีสีหน้า พยายามเลี่ยงอย่างมาก แต่ก็พ้นยาก ก็ต้องจำทน ทรมานทรกรรม หนักหนาสาหัส

        อาตมาระลึกไม่ได้ว่า ที่ผ่านมา เคยเจอคนแบบนี้ ขนาดนี้ไหม แต่นี่มันเจอคนจริง เจอในปัจจุบัน ชาตินี้เลย มันก็อยู่ในสัญญาไว้แล้วนะ ถ้าชาติหน้าระลึกได้ ก็จะรู้ว่า ได้เจอคนที่ สุดอำมหิตโหดเหี้ยมใจดำ ขนาดหนัก ทรมานน้องสาว เพื่อเห็นแก่ตัว ได้เจอมาในชาตินั้น อยู่ในสัญญาอาตมาแล้ว

        ชีวิตคน มีสัญญา เป็นอัตภาพติดตัว เป็นทรัพย์ ติดไปตลอด ไม่หายไปไหน จะยกตัวอย่าง เล่าเป็นธรรมะว่า พระพุทธเจ้า ทรงระลึกชาติ ย้อนไปชาติแล้วชาติเล่า นอกจากรู้ว่า ตนเองเกิด ในชาติไหนชื่ออะไร เจอเหตุการณ์อะไร ได้ดีตกยากอย่างไร ก็ระลึกได้ ย้อนไปได้มากมาย มันไม่ได้หายไปไหน ความจำ เราฝากไว้แล้ว ไม่หายไป สัญญาของเรา

        สัญญามีหน้าที่ ๒ อย่าง อย่างแรกเรียกว่า ความจำ เป็นธนาคาร เก็บทุกอย่าง ที่เราผ่านมา ทุกชาติ เมื่อเราปฏิบัติธรรม ได้สูงขึ้น จะระลึกชาติได้มากขึ้น ไกลขึ้น เป็นอภิญญาที่เก่ง อย่างอาตมา ก็ได้ตามประสาอาตมา จึงเข้าใจเห็นจริง ว่าเราทุกข์ เราสุข อย่างไร มันจึงรู้ความจริงได้ ว่ากรรมเป็นที่กำเนิด กรรมเป็นเผ่าพันธ์ เรามีกรรม เป็นของๆตน เราเป็นทายาทของกรรม (กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมพันธุ กัมมปฏิสรโณ) เราไม่รับไม่ได้ เราทำแล้ว ถ้าเราไม่มีมวลของคุณ มีแต่มวลของโทษ มีแต่มวลของบาป มากกว่าบุญ

        มันสั่งสมไว้ แล้วแบ่งเป็นดีกับชั่ว หรือกุศลกับอกุศล มันก็จะออกฤทธิ์ เป็นบุญ หรือบาป เจริญหรือไม่เจริญ มันมีอยู่ ในอัตภาพนี้ เรามีจอกอยู่จอกหนึ่ง สมมุติว่า เรามีกรรมชั่วเป็นสีแดง ส่วนกรรมดีเป็นสีเขียว คุณทำชั่ว ก็เหมือนใส่สีแดงลงไป  เมื่อใส่สีแดงไปเรื่อย น้ำก็จะมีสีแดง เพิ่มขึ้น แต่ถ้าเราใส่สีเขียว ไปเรื่อยๆ มันก็จะสังเคราะห์กันไป จะมีสีแดงหรือสีเขียว มากกว่ากัน หลักของ พระพุทธเจ้า คือหยุดทำชั่ว แล้วทำแต่ดี หยุดทำชั่ว คือหยุดบาปเลย ทำแต่กุศล

        ชั่วนั้นใช้คำว่าบาป ดีใช้คำว่ากุศล เราหยุดทำสีแดง หยุดทำชั่ว คือหยุดทำ เหตุแห่งบาป คือกิเลส เมื่อกำจัดกิเลสหมด เรียกว่า สัพพปาปัสส อกรณัง อย่าง นิจจัง (เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสสตัง (ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง (ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง (ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง (ไม่กลับกำเริบ)

        เมื่อไม่มีเหตุแห่งบาป คือกิเลสดับสนิท อย่างตายเกลี้ยง จึงมีแต่จิต ที่จะทำกุศล บุญคือ การชำระกิเลส เมื่อชำระกิเลสแล้ว ก็ไม่ต้องทำบุญอีก พระพุทธเจ้าค้นพบ กฏแห่งกรรม และสามารถหลุดพ้น เป็นอรหันต์ได้ ไม่ว่าจะกี่ชาติ เกิดมาก็ได้อรหันต์ เมื่อจิต หรือคลังสมบัติ หรืออัตภาพเรา ไม่มีเหตุ ที่จะทำให้เกิด หรือไม่สั่งสม สีแดงแล้ว มีแต่สั่งสมสีเขียว ไปตลอด จึงไม่มีวัน จะเกิดแดง มาออกฤทธิ์ ให้ทุกข์ได้อีก นี่คือ สิ่งสุดประเสิรฐ สุดยอดของมนุษย์ ที่ได้เกิดมา

        สัตว์ที่เกิดมา เป็นสัตว์ชั้นต่ำนั้น น่าสงสาร ทรมานทรกรรม มากมาย หรือเป็นคน ก็ทรมาน ตามเหตุ เป็นสัจจะของกรรม พระพุทธเจ้ารู้ เพราะตรัสรู้ กฏแห่งกรรม มีจริง ทำแล้วออกฤทธิ์กับเรา เมื่อเป็นอรหันต์แล้ว มีหลักประกัน ที่จะไม่ทำบาปแล้ว ไม่มีเหตุ ที่จะพา ทำบาปทำชั่วแล้ว

        คนเราไม่เชื่อกรรม ก็จะกล้าทำบาปทำชั่ว ไปอย่างร้ายแรง ซึ่งบางที ไม่น่าทำเลย ได้ลาภยศสรรเสริญ มากมาย ก็ยังไม่รู้จักพอ เป็นความหลง แล้วเขาก็หลงว่า เขาได้สิ่งดี อีกต่างหาก

        อาตมานำสิ่งที่ ได้ผ่านมาแล้ว ได้แล้วเป็นแล้ว มาแจกแจง มันก็จะต้องมารู้ มาเป็นอย่างนี้ คนที่ปฏิบัติ ได้ธรรมะแล้ว ก็จะต้องพูดอย่างนี้ ไม่เป็นอื่น เพราะสัจจะ มีอย่างเดียว สัจจะมีหนึ่งเดียว ไม่มีสอง

        กรรมเป็นเรื่องใหญ่ ในศาสนาพุทธ กรรมนี่แหละ คือพระเจ้า ซึ่งศาสนา แต่ละศาสนา ก็จะมีพระเจ้า ตามที่เขาเชื่อกัน มีหลายองค์ บางทีก็มีองค์เดียว ก็คือพลังงาน ชนิดหนึ่ง เกิดจากจิต (จิตนิยาม) พลังของใคร ที่ได้เป็นอัตภาพ พัฒนามา ตั้งแต่เป็น อุตุนิยาม (ความร้อน แสง สี เสียง คลื่นแม่เหล็ก ไฟฟ้า และดิน น้ำ ไฟ ลม) จนกว่า จะพัฒนาพลังงาน มาเป็น พีชะ ซึ่งเริ่มเป็นชีวะแล้ว ในนิยามแห่งชีวิตทั้ง ๕

. อุตุนิยาม   (ส่วนที่เป็นพลังงานวัตถุ ฟิสิกส์ ฯลฯ)
๒. พีชนิยาม (ส่วนที่เป็นพลังงานชีวะ พืชพันธุ์)
๓. จิตตนิยาม         (ส่วนที่เป็นจิต เวไนย-อเวไนย ให้เกิดกรรม ตามโอปปาติกะ พาเป็น)
๔. กรรมนิยาม        (บทบาทหรืออาการแห่งกิริยา ของคน - ของโอปปาติกะสัตว์)
๕. ธรรมนิยาม        (สภาพทั้งหมดของทุกสรรพสิ่ง

        ถ้าไม่มีธาตุน้ำ ในมหาจักรวาลนี้ ก็จะไม่สามารถ สังเคราะห์ชีวะได้ แต่บางอย่าง ศึกษาไม่มีวันจบ เรามาศึกษา สิ่งประเสริฐไว้ก่อน ถ้าอยากรู้สิ่งต่างๆมากมาย ก็ต้องมาทำ หลักประกัน ให้เป็นอรหันต์ให้ได้ก่อน มาเรียนรู้ อย่างลึกซึ้ง ถูกต้อง ไม่เสียเวลาด้วย จึงควรมา ปฏิบัติธรรม ให้บรรลุอรหันต์ได้เสียก่อน

        คนเราไปสุขเพื่อบำเรอ ลาภ ยศ สรรเสริญ บำเรอกาม บำเรออัตตา มันก็หลอกคุณอยู่ ตลอดเวลา แต่คนที่จะมาปฏิบัติ ลดละนั้น มีเส้นทางโคจร จะเรียกว่า บุพเพสันนิวาส ก็ตาม มีกรรมร่วมกัน จะต้องมาเจอกัน

        คนที่ได้มาฟังอาตมา หลายคนไม่เจตนา บางคนไม่เจตนาก็เจอ บางคนก็ฟัง อย่างได้ ประโยชน์คุณค่า มันก็เป็นจริง ที่คนจะเห็นคุณค่า บางคนไม่เห็นค่าด้วย หาว่าเป็นเรื่อง ไม่ได้เรื่อง ไปดูรูปรส กลิ่น เสียง ดีกว่า มาฟังอะไรไม่รู้ มันก็เป็นจริง สำหรับบางคน อาตมา ก็ไม่ได้ดีใจ หรือเสียใจ แต่อย่างใด

        คนที่จะรับได้ ก็ต้องมีฐานรับได้ ที่แสดงนี้ หว่านลงไป ธรรมดาใครรับได้ ก็ว่าดีแฮะ หรือ คนที่ได้ยินมา ก็อยากมาฟัง ก็แล้วแต่บารมี อาตมา ถ้าพอทำประโยชน์ได้ ก็ทำ ยุคกาลนี้ อาตมาเข้าใจ ที่อาตมาพูดนี้ เป็นธรรมะระดับโลกุตระ ฟังแล้ว บางคน ก็เห็นว่า ไม่มีรส บางที่แม้จะขี้เกียจ ถ้าบางคนพอใจ ก็พยายามมา เป็นสัจจะของ แต่ละคน จะเห็นค่า คนเห็นค่าในระดับไหน ก็ขวนขวาย ตามระดับ

        เมื่อได้ผลมีคุณค่า อาตมาก็มาเทศน์อีก แต่ถ้าไม่มีคนเห็นคุณค่า ไม่ได้ผล อาตมา ก็เลิก ไปทำอย่างอื่นดีกว่า แสดงธรรมที่เป็นโลกุตระ มาลดละกิเลส อย่างนี้ อาตมาก็ทำ เพราะมันมีความจำเป็น เป็นสิ่งประเสริฐ เป็นสิ่งสำคัญต่อ มนุษยชาติ สังคมประเทศชาติ ที่เดือดร้อนวุ่นวาย เพราะไม่มีธรรมะ สังคม ควรต้องเอาธรรมะเข้าไป

        ที่อาตมาทำนี่ซับซ้อน เป็นหน้าที่ของอาตมาด้วย อาตมาเป็นโพธิสัตว์ ต้องมา สืบสานศาสนา เหมือนกับทหารนี่ ต้องมีจิตวิญญาณ รักชาติศาสน์กษัตริย์ ต้องทำ ตลอดชีวิต อาตมาก็เช่นกัน ต้องทำจริงๆ ใครจะกบฏ ก็แล้วแต่ คนไหนไม่จริง ก็ตกไป คนที่มีความเข้าใจว่า ตนจะเป็นโพธิสัตว์ก็ทำ ตั้งใจช่วยเหลือผู้อื่น ช่วยเหลือโลก เป็นงาน โพธิสัตว์ แต่คนจะเป็นโพธิสัตว์ ต้องทำคุณ อันสมควรก่อน แล้วสอนคนอื่น จึงไม่มัวหมอง

        โลกุตรธรรมมี ๙ ขั้น คือโสดาปฏิมรรค โสดาปัตติผล ไปจนอรหัตมรรค อรหัตผล เป็น ๘ แล้วมีนิพพานอีก ๑ ซึ่งคนมีจริง ก็จะแสดง เท่าที่ตนมี ต้องสร้างคุณ อันสมควรก่อน แล้วจึงสอนคนอื่นภายหลัง จึงไม่มัวหมอง ศาสนาเสื่อมเพราะ คนหลงว่า ตนได้ผล หรือได้มิจฉาผล แล้วมาแสดงคุณวิเศษ ที่ไม่มีจริง มันเป็นบาป เป็นกรรม

        กัมโยนิ นี่แหละคือพระเจ้า กรรมบันดาล เกิดทุกข์สุข ได้ดีตกยาก ก็ของเราเอง นั่นแหละ พระเจ้า เพราะฉะนั้น เราจะได้ดีตกยาก ก็เพราะกรรม ที่เราสั่งสมแล้ว เกิดผล ไม่มีใครทำให้เรา กรรมโยนิ นี่แหละ คือฟ้าลิขิต สิ่งศักดิ์สิทธิ์บันดาล ใครไม่ได้ ทำกรรมไว้ แต่ว่าไปอ้อนวอนขอ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้ช่วย ก็ไม่มีทางได้หรอก

        กรรมเป็นตัวการ กรรมเป็นเทวดา ที่อาตมาเองว่า อาตมาต้อง รับทุกข์รับสุข ไม่แปลกใจหรอก เพราะมีกรรมใหม่ กับกรรมเก่า กรรมเก่าเราทำแล้ว ทั้งที่เรา ไม่อยากได้ อยากเป็นเลย ส่วนกรรมใหม่ เพราะเราถูก กิเลสตัณหาของเรา ไปแสวงหา ใส่ตัวเอง แสวงหาสิ่งดี ได้ก็ดีไป แต่ถ้าแสวงหาสิ่งไม่ดี ก็เป็นบาป

        บุญบาป ต่างจาก ดีชั่วอย่างไร
        ดีชั่วนั้น เกิดจาก สมมุติสัจจะ ส่วนบุญบาปนั้น เป็นสิ่งที่เกิดจาก ปรมัตถสัจจะ เกิดจากกิเลส พระอรหันต์ ไม่มีกิเลสเกิด จึงไม่มีบาป มีแต่กุศล ไปเรื่อยๆไม่มีทางไล่ทัน ไม่มีทางตกต่ำ เป็นหลักประกัน ของชีวิต เป็นตถตา ไม่มีเป็นอื่นได้หรอก มันมีสิ่งที่ คนเข้าใจไม่ได้ คือท่านอนุโลม ใจท่าน ไม่ได้อยากทำ อย่างที่ชาวโลกทำการ อันประกอบด้วย กิเลส อย่างการเมือง เขาว่ามีแต่กิเลส แล้วไปทำทำไม แปดเปื้อน ทั้งที่ท่าน ไม่ได้อยากได้ อยากมี อยากเป็นอย่างเขา แต่ท่าน มาทำช่วยเขา เป็นสัจจะ ย้อนสภาพ ตัวอย่างเช่น อรหันต์จี้กง หรือ พระมาลัยโปรดสัตว์

        ถ้าเราพ้นทุกข์แล้ว เราก็ควรช่วยคนอื่น หากเราภูมิคุ้มกันไม่พอ ไปช่วยเขา เราก็เสร็จสิ เราต้องมี สัปปุริสธรรม ๗ ประการ ไม่ทำสิ่งที่ ไม่ควรทำ ท่านอนุโลม ไปช่วยคน เพราะศาสนาพุทธ เป็นศาสนา ที่ไม่ได้หนีโลก ทำช่วยไป ตามลำดับขั้น ช่วยได้ ตามลำดับ อนุโลมได้ ตามลำดับ คนของพระพุทธเจ้า ที่จะพัฒนา ไม่ได้หนีโลก แต่ว่า มี พหุชนหิตายะ (เพื่อหมู่ชน เป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ (เพื่อความสุขของหมู่ชน เป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ (รับใช้โลก ช่วยโลก)

        แต่ที่สอนกันทุกวันนี้ ไปสอนให้หนีไปอยู่ ป่าเขาถ้ำ เป็นความเข้าใจผิดมาก ของศาสนาพุทธ แล้วไปบูชา เคารพนับถือฤาษี ในความมักน้อย สันโดษ แต่ที่จริง หนีโลก แต่ของพุทธนั้น อยู่กับโลก มีสัจจะย้อนสภาพ ที่คนยากจะเข้าใจ คนจึงรู้ได้ยาก การที่จะรู้ว่า ศาสนาพุทธ มีประโยชน์ต่อโลก ขนาดนี้นั้น รู้ได้ยาก มันดูภายนอก เหมือนโลกียะจัดจ้าน แต่คนเข้าใจไม่ได้

        มาพูดถึงเหตุการณ์ปัจจุบันนี้บ้าง เมืองไทยน่าจะเป็น เมืองแห่งธรรมะ เป็นเมือง แห่งศาสนาพุทธ ทั่วโลกนั้น เขาล้มไปหมดแล้ว ในไทยเขานับกันว่า มีพุทธรรม ที่ถูกต้อง มีเนื้อหามากที่สุด จะนับปริมาณก็ตาม อย่างจีนมีคนอยู่เยอะ พันกว่าล้าน ในไทยมีแต่ ๖๕ ล้านคน แต่จีนมีตั้ง พันกว่าล้าน นี่ไม่ถึงร้อยล้านเลย จีนจะมีคนนับถือ ศาสนาพุทธ มากกว่าไทยแน่นอน หรือญี่ปุ่น ก็มีคนตั้ง ๒๐๐ กว่าล้าน

        ไทยเรามีพุทธ เรียกว่า สยามวงศ์ ประเทศอื่น ก็มีวงศ์อื่น ถึงอย่างไรก็ตาม สู้ประเทศไทย ไม่ได้ มันมีอจินไตย ประเทศไทย ต้องเป็นแดนที่เกิดอันนี้ แต่ว่าโลกุตระ หรืออาริยะ ต้องอ่าน จิตเจตสิกเป็น ซึ่งหมดสุข หมดทุกข์ เป็นปรมังสุขัง

        เราแยก จิตเจตสิกออกได้ เช่น เวทนา สัญญา สังขาร เป็นต้น แม้ในเมืองไทย ที่ว่าเป็นเมืองพุทธ อาตมา มาทำงานศาสนา ต้องเริ่มอธิบาย เวทนา ๑๐๘ แต่คนก็อ่าน เวทนา ไม่ออก อ่านอารมณ์ไม่เป็น ก็มาปฏิบัติธรรมปรมัตถ์ ไม่ได้แล้ว ถ้าอ่านอารมณ์สุข ของตนไม่เป็น ทุกข์ก็ไม่รู้ได้ มันไม่มีตัวตน ให้เห็น แต่ว่าสามารถรู้ได้ แม้คนศึกษา ธรรมะ แต่ไม่ได้ศึกษา อารมณ์จริงๆ แต่ไปศึกษา อารมณ์ลำลอง เช่น ไปนั่งสมาธิ อย่าให้จิต ออกนอกตัว มันไม่ใช่ของจริง มันเป็นสัญญา เป็นความจำ อารมณ์ที่เกิด ขณะนั่งอยู่ในภพ ก็มีอาการของรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เป็นแค่สัญญา แต่การที่เรา ได้อ่านอารมณ์ ขณะที่ สัมผัสตัวจริงๆ ตอนเป็นๆนี้ มันเป็นของจริงสดๆ เป็นอารมณ์สดๆ แต่การสัมผัส ในขณะนั่งสมาธิ เป็นเพียงสัญญา หรือปั้นสร้างมาเอง

        พวกนั่งหลับตาสะกดจิต ก็ไม่ได้ล้างกิเลส ตัวจริงหรอก แต่การนั่งสมาธิ ก็เป็นอุปการะได้ ได้ใช้ทบทวน ระลึกย้อนอดีตได้ดี อยู่ในภพ เราระลึกทบทวนสิ่งเก่า เรียกว่า บุพเพนิวาสานุสติญาณ ให้เป็นความจำ ที่มีความจริง กับสิ่งที่กำหนดมาในจิต สร้างกิเลส เสริมใส่จิต กับการระลึกถึง ความจำของเราจริง คุณจะมีอำนาจ ของการระลึก ได้มากเท่าไหร่ คุณก็จะได้รู้ ความจริงของคุณได้ ถ้าคุณมี เช่นอาตมา ไม่ใช่นักศึกษา ชาตินี้ ไม่ค่อยได้มีเวลา ศึกษาของใหม่ แต่เอาของเก่ามาใช้ มันก็พอ

        เวทนา คือความรู้สึก คืออารมณ์ เวทนา ๒ คือ กายยิกเวทนา กับ เจตสิกเวทนา คือเวทนา ที่เกิดจาก กายกับจิต เป็นเหตุ

        เวทนา ๓ มีสุข ทุกข์ กับเฉยๆ แล้วมันมีดีกรี คือความแรงเบาอย่างไร สุขหนัก ขนาดนี้ ทุกข์ขนาดนี้ แล้วโสมนัส คืออยู่ข้างใน โทมนัสคือ ทุกข์อยู่ข้างใน อุเบกขาคือ ไม่สุขไม่ทุกข์ แม้เกี่ยวข้องอยู่ ก็เฉยๆ บางที กินอิ่มแล้วก็เฉยๆ อย่างนั้น เฉยพักยก เป็นเคหสิตอุเบกขา อาตมาเห็นพยัญชนะ ก็เข้าใจ เป็นของเก่า ของอาตมา

        คนเราในโลก เข้าใจผิดว่า การเอาเปรียบ คือได้กำไร แต่ทางโลกุตระนั้น ยิ่งได้เสียสละ เสียเปรียบ อย่างมีปัญญา อย่างเต็มใจเสียสละ ยิ่งได้กำไร คนเราก็รู้ว่า การเสียสละนั้น ดีกว่าการเอาเปรียบ เป็นสัจจะ ไม่เข้าใจได้ยากเลย แล้วสามารถทำได้จริง ใหม่ๆ ก็อาจดีใจฟูใจ ที่เราได้เสียสละ ดีไม่ดี ทวงบุญคุณด้วย แต่เมื่อทำได้แล้ว นานไป ก็จะเข้าใจว่า เราทำได้แล้ว ก็เป็นของเรา เป็นกรรมของเราแล้ว ไม่ต้องไปทวงบุญ ทวงคุณหรอก เป็นบารมีที่สั่งสมไป เป็นชาติๆ ได้แล้วก็เป็นของเรา ไม่ใช่ว่า ไม่สุขไม่ทุกข์แล้ว ไม่สบาย ไม่ใช่ แต่ยิ่งสบาย คำว่าสบาย มาจากภาษาบาลี ตรงข้าม กับคำว่า อบาย สบายมาจาก สัปปายะ ซึ่งแปลว่า ประกอบด้วยกิจ เป็นคนไม่มีโทษ มีคุณค่าแก่โลก เป็นสัจจะ

        ชีวิตคุณ จะเกิดมากี่ชาติ ก็แล้วแต่ ถ้าไม่สามารถรู้จัก โลกุตระนั้นเที่ยง เริ่มแต่ โสดาบัน ซึ่งโสดาบันมี ๔ ขั้น คือ เริ่มต้นเรียกว่า เข้ากระแสโลกุตระ เป็นโสตาปันนะ แล้วทำ จนได้ผล เป็นอวินิปาตธรรม แต่ยังไม่แน่นอน ต้องสั่งสม เลยสามส่วนสี่ ก็ได้แน่นอน คือ นิยตะ เลยนี่ไปแล้ว ก็เป็นสัมโพธิปรายนะ ไปสู่ที่สูงแล้ว

        โลกียะนั้นไม่เที่ยง ลงนรกขึ้นสวรรค์ เป็นของหลอก เป็นกัลยาณชน ก็ได้ดีในสมมุติ ได้ดีได้ชั่ว ตามสมมุติ ไม่เที่ยง วนเวียนในวัฏฏะสงสาร จนกว่าจะได้โลกุตระ ตามลำดับ จนได้อรหันต์ แล้วมีหลักประกัน จะเกิดอีก ก็ช่วยโลกได้ เกิดเลย กี่ชาติก็ได้ ...

จบ

 
๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๖ ที่ เวทีสะพานมัฆวานรังสรรค์ กทม.