|
||
พ่อครู .. อาตมาก็ต้องพูด เหมือนแผ่นเสียงตกร่อง เหมือนเคย จะหาว่า เอาธรรมะ มาครอบงำ คนอื่นนั้น ความรู้สึกอย่างนั้น ของคนที่ไม่เข้าใจ แต่ที่อาตมายืนยัน คืออาตมา ไม่มีเจตนาอย่างนั้น อาตมาทำงาน ตามความสำคัญของ ธาตุจิตวิญญาณ หรือ อัตภาวะ ที่วนเวียนกันอยู่ ชั่วกาลนาน ทรมาน ทรกรรม หลงความสุขหลอก สุขนั้นเป็นความเท็จ พระพุทธเจ้า ท่านมีประวัติเล่ากันมา เป็นพระเจ้า ๕๐๐ชาติ มาเล่า มาบรรยาย อาตมาจำ ไม่ได้หรอก เขามาร้อยเรียงกัน เรียกว่าทศชาติ เรียกว่า บารมี ๑๐ ทัศ เป็นต้น ที่พูดนี้ ก็เอามาเป็นหลักฐานยืนยันเท่านั้น อาตมาเชื่อว่า เป็นความจริง เพราะว่า มีการเทศน์ด้วย แสดงกัณฑ์ ชาตินั้นชาตินี้ ก็พอรู้ ตามที่ท่านเล่ากันมา เป็นเตย์มีใบ้ เป็นต้น เป็นเรื่องท่องมาจำมา แต่ที่อาตมาเอามาพูดนี้ เป็นเรื่องจริง เช่นที่พูดว่า ชีวิตที่เกิดมา ต้องสะสมอัตภาวะ เพราะจะมีเหตุปัจจัย ที่พาเกิดพาเป็น ซึ่งสิ่งนั้น อาตมา ไม่ได้จำมาจากใครมาพูด อย่างความสุข หรือความทุกข์ อาตมาก็พูด จากความจริง ความจริงคือ อาตมาระลึกชาติได้ แต่ไม่ใช่ว่า เหมือนอย่างที่ เขาพูดกัน หรืออย่างที่ พระพุทธเจ้าท่านว่า ท่านเป็นพระเวสสันดร มีชีวิตเกิดจนตาย เรื่องราวต่างๆ เป็นกรรมกิริยา ต่างๆ มันมีนิทาน มีประวัติ เป็นนิยาย ของแต่ละคน ที่อาตมาระลึกชาติได้ คือการเกิดทางธรรมะ เช่น อาตมาพูดว่า สุขนี่เป็นของเท็จ อาตมา ก็ระลึกชาติรู้ ที่อาตมา ได้วนเวียนผ่านมา จะเป็นชาติของ นวนิยาย มีร่างกาย ก็ตาม แต่ละชีวิต ก็มีธรรมะ และอธรรม ที่แทรกมา อาตมาระลึกธรรมะ ที่เกิดขึ้น อย่างสุขนี่เป็นอาการ ทุกข์ก็เป็นอาการ อาตมา มีความจริง ที่ได้รู้มา แต่ชาติก่อนๆ รู้ว่าสุขเป็นเท็จ ชาติก่อนคือ อาตมารู้ สุขเป็นเท็จ ที่อาตมาว่า ความสุขเป็นเท็จนั้น ได้มาจากชาติก่อน ไม่ได้เรียนมาจากไหน ความสุข ทุกข์ เราก็ทรงไว้ ในจิตวิญญาณ ในอัตภาพ อาตมาได้ศึกษา ได้ผ่านมา รู้จากความจริง ไม่ได้รู้เพราะท่องจำ หรือเอามาจากใคร แต่เอามาจากของจริง ของตน ที่ผ่านมา แต่ละชาติ อาตมารู้มาหลายชาติแล้ว และก็เคยพูดอย่างนี้ มาหลายชาติแล้ว เหมือนอวด อุตริมนุสธรรม แต่อาตมา เห็นความจำเป็น ที่ต้องพูด ขยายความให้ฟัง ใครจะหาว่า อวดอุตริมนุสธรรม ก็ไม่เป็นไร แต่อาตมา มีเจตนา ไม่ได้อวดอ้าง แต่พูด ให้ความเข้าใจ แม้นิดน้อย ที่เรียกว่า สาเฐยจิต คือจิตอยากอวด อยากเด่นดัง เราก็ไม่มี แม้แต่เศษ อกุศลจิต แต่ยกอ้าง เพื่อยืนยัน สัจธรรมความจริง โดยเอาตัวเอง เป็นตัวยืนยัน มาเห็นพยัญชนะว่า สุขัลลิกะ ก็รู้เลย แม้ท่านผู้รู้ ที่ได้เรียนบาลี ก็ไม่ได้เอามา อธิบาย อย่างอาตมา พออาตมา พูดไปแต่แรก เขาก็ท้วง ซึ่งอาตมายืนยันว่า สุขนั้น อัลลิกะ ชาตินี้ อาตมาได้เรียนเรื่องธรรมะ จากใคร การอธิบาย ของอาตมา ได้เหมือนใคร ไม่ได้คิดฟุ้งซ่าน เช่นคำว่า ฌาน เป็นอาการของธรรมะ เป็นคุณธรรม ซึ่งฌาน ที่อธิบายกัน ทั่วไป ไม่ใช่ฌานแบบพุทธ หลับตา เข้าไปอยู่ในภวังค์ ทำจิตให้สงบ อาตมาก็ทำเป็น อย่างนั้น อรูปฌานก็ทำเป็น สมาธิที่ว่า ท่านก็เอาไป ปนกับฌาน ฌานคือการทำกิเลสออก มันสงบจากกิเลส แต่เขาเอาคำว่า เอกกัคคตา มาเป็นหลัก ที่ว่านิ่งสงบ มันก็ถูก ในลักษณะฌานโลกีย์ เป็นความรู้ทั่วไป ลัทธิอื่น ศาสนาอื่น เขาก็มีกันทั่วไป แต่ของพระพุทธเจ้านั้น ฌานเกิดจาก จรณะ ๑๕ จรณะข้อที่ ๑๑ ถึง ๑๔ คือฌาน ๑ ถึง ๔ จรณะ ๑๕ มี ๔ ข้อแรกคือ ข้อที่ ๒ ถึง ๔ เรียกว่า อปัณกปฏิปทา หรือ การปฏิบัติที่ไม่ผิด วิธีปฏิบัติ พระพุทธเจ้านั้น ลืมตาปฏิบัติ อนาคามีเหลือกิเลส รูปภพ อรูปภพ ก็เป็นอนาคามี เหลือเป็น สังโยชน์เบื้องสูง ก็ลืมตาปฏิบัติ อยู่บนกามคุณ ๕ พระอนาคามี ก็ลืมตาสัมผัส แต่ท่าน อยู่เหนือได้หมด ท่านไม่ทุกข์ไม่สุข กับมันแล้ว เหลือแต่โทมนัส โสมมนัส ในใจท่านเท่านั้น เราสัมผัสแล้วกิเลสเกิดสดๆ แล้วเราก็ฆ่ากิเลส อย่างปัจจุบันเลย อปัณกปฏิปทา แล้วจรณะ อีก ๗ ข้อ ก็จะเกิดผล แล้วมีฌานอีก ๔ เราทำหลัก ๔ ข้อแรก ของจรณะ ๑๕ นี่แหละ เป็นวิชชาจรณสัมปัณโน คือ หลักปฏิบัติ ของพระพุทธเจ้า ทุกวันนี้ จะสูญแล้ว เพราะไม่พูดถึง ไม่ปฏิบัติ แล้วมีวิชชา อีก ๘ ที่พูดนี้ไม่ได้ลอก หรือจำจากตำราไหนเลย กายในกาย องค์ประชุมของรูปกาย นามกาย เป็นอย่างไร ก็จะรู้สภาวะต่างๆ ว่าเหมือน หรือต่างกันอย่างไร มีเวทนาแยกแยะ จนเป็นเวทนา ๑๐๘ รู้อาการสุข ทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์ จนแยกแยะเวทนา เป็นโลกุตระ หรือโลกียะ เรารู้ว่า เท่านี้เป็น เนกขัมมะ อย่างนี้เป็นเคหสิตะ อาการกาม ออกจากจิต คุณต้องรู้ของคุณเอง ว่าอย่างนี้ เป็นแบบโลกีย์ เราก็ทำออก จนเป็นโลกุตระ มันเป็นอย่างนี้ คุณจะรู้ ของคุณเอง จนเป็นสูงสุด โลกุตระธรรม ๙ (บุคคล ๘ + นิพพาน ๑) เราต้องรู้แจ้ง เห็นจริงว่า เราได้ผลอย่างไร ไม่ใช่ปฏิบัติเดาส่งไป ทำให้ศาสนาเสื่อม พระพุทธเจ้า ให้ปฏิบัติรู้แจ้งเห็นจริง นามธรรม ที่ไม่มีตัวตนให้เห็น หรือ สัมผัส ด้วยภายนอก แต่ว่ารู้ได้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทศ เช่นท่านสอน ฌานแบบลืมตา ที่ว่า สัมมาสมาธิ คือปฏิบัติมรรค ๗ องค์ เพื่อให้เกิดสัมมาสมาธิ ที่อาตมาย้ำยืนยันเรื่องธรรมะ โดยไม่กล่าวเรื่องการเมือง เพราะมีธรรมะ ขึ้นมาก่อน ตั้งใจฟังก็ได้บ้างได้น้อย ชีวิตไม่ต้องเอาอะไรหรอก เอาธรรมะให้ได้ ถ้าไม่ได้เป็นโมฆบุรุษ ซึ่งเกิดมา เสียชาติเกิด เกิดมาสะสมกิเลส ได้สวรรค์หลอก เป็นกามสุขขัลลิกะ ถ้าอาตมามีเจตนามุ่งหมาย อยากให้คนเชื่อ เมื่อเขาไม่เชื่อ เราก็ทุกข์ อาตมาไม่ทำ แต่อาตมามี มโนสัญเจตนา มุ่งหมาย แต่ไม่ยึดมั่นถือมั่น พูดโดยภาษา โวหารว่า อยากไหม ก็ว่าอยาก แต่ไม่ได้เสียใจท้อถอยท้อแท้ ไม่มี เมื่อไม่ได้ แต่ที่ทำนี้ มีมุ่งหมาย ให้คนรู้ แต่จะรู้หรือไม่ ก็บังคับกันไม่ได้ ด้วยนิรุตติปฏิภาณของเรา ก็พยายาม เอามาประกอบ ให้คนเข้าใจได้ เมื่อผู้ใดปฏิบัติ จรณะ ๑๕ ก็จะเกิด ฌานลืมตา ในพระไตรฯ ล.๑ถึง ๙ ก็ปฏิบัติฌานลืมตา ให้มีศีล แล้วสำรวมอินทรีย์ อย่างลืมตา จิตจะเกิด คุณธรรม กิเลสลดลงๆ นี่คือฌาน นี่คือสมาธิ ใครจัดการกิเลสลดได้ ก็มีฌาน เมื่อกิเลส ลดลง จิตก็สะอาด ก็จะมีจิตที่เลิศยอด ทำได้ก็เป็น เอกกัคคตา เป็นอุเบกขา เป็นฐานต้นของจิต ที่จะไม่มีสุขทุกข์ ไม่ว่าจะเป็น กิเลสกาม กิเลสอัตตา ในธัมมจักรกัปปวัตนสูตร ก็สอนเรื่อง มัชฌิมาปฏิปทา ซึ่งเขาเข้าใจผิด เรื่อง ความเป็นกลาง กันมาก ที่จริง เป็นหลักปฏิบัติ เพื่อที่จะให้เข้าถึง ความเป็นกลาง คือไม่มีกาม ไม่มีอัตตา ที่จะโต่งไปยังสองข้างใดเลย คำว่าข้าง ภาษาบาลีเรียกว่า อันตา คือ เราทำให้ลดลงๆ จนไม่มีข้างในเลย เรียกว่ากลาง นี่คือความสุดยอด ของการตรัสรู้ ของพระพุทธเจ้า การระลึกนั้น ต้องระลึกถึงนามธรรม จึงจะไม่หลง แต่ไประลึกถึงตัวตน บุคคล เราเขานั้น ก็จะไม่ได้อะไร มันต้องระลึก ค้นเจอว่า เราได้ธรรมะ รู้จักธรรมะ รู้อธรรม อย่างไร เราเสียท่าอธรรม อย่างไร เป็นนิทาน นิยายของเรา จึงจะถูก แต่ไประลึกตัวตน บุคคลเราเขา ก็เป็นเรื่องโลกๆ เท่านั้นไม่ได้ประโยชน์อะไร ในการเรียน ปรมัตถ์ ที่เจริญแท้ หรืออาริยธรรม พระพุทธเจ้าสอนว่า ท่านสอนแต่ โลกุตรธรรม เท่านั้น ท่านพุทธทาสย้ำว่า เราเกิดมาสอนแต่ทุกข์ เรื่องโลกุตรธรรม สอนเป็นหลัก ถ้าไม่ได้เรื่องนี้ ก็ไม่ถือว่า ได้เป็นพุทธ เป็นเนื้อแท้ของพุทธ โดยเฉพาะขณะนี้ ต้องการข้าราชการ ที่อยู่ในหน้าที่ เช่น คณะมวลมหาประชาชน ได้ทำปฏิวัติ ซึ่งแปลว่า เปลี่ยนแปลง เอาของเก่าออก ให้มีของใหม่มา ชัดๆคือ เปลี่ยนเอา อำนาจเก่าออก เอากลุ่มอำนาจใหม่ มาแทน นี่คือการปฏิวัติ ประชาชนคนไทยคราวนี้ แม้คราวก่อนๆ ก็ทำมา แต่คราวนี้ ออกมาปฏิวัติ สำเร็จแล้วด้วย ที่สำเร็จก็เพราะว่า ตัวรัฐบาล ทำผิดเอง หมดความชอบธรรมเอง โดยสัจจะ ผู้รู้ รู้ทั้งนั้น ผู้ไม่รู้ ก็เป็นคนงมงาย หลงผิด หรือหลงเท่านั้น ผู้ที่รู้มีปัญญาสัจจะ รู้ดีหมดแล้วว่า รัฐบาลหมดความเป็นรัฐบาล ไปตั้งนานแล้ว ด้วยความผิด ที่เขาทำ แต่เสร็จแล้ว เขาก็ตีกิน ใช้อำนาจตามจารีต อย่างนั้น ถ้าเผื่อว่า ผู้ที่มีตำแหน่งหน้าที่ ที่ควรทำ ประชาชนได้ออกมา ทำหน้าที่ แม้ในรธน. ก็ระบุไว้ว่า มีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และ ระบอบปชต. อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข เป็นต้น ในมาตรา ๗๐ หรือ ๗๑ แล้วก็ มาตรา 63 ว่า "บุคคลย่อมมีสิทธิเสรีภาพ ในการชุมนุมโดยสงบ และ ปราศจาก อาวุธ โดยไม่มีการสร้างข้อมูลเท็จ เอามากล่าวหา ไม่ปลุกระดม ประชาชน ให้หลงผิด ไม่ใช้สื่อโฆษณาชวนเชื่อ ไม่บังคับ และไม่จ้างวาน กลุ่มบุคคลใดๆ ให้มาร่วมชุมนุม" เรามาทำตามรธน. หรือว่าที่รัฐบาลทำนี้ ผิดรธน. ศาลก็ชี้ชัดแล้วว่า ทำผิดรธน. แล้วเชื่อว่า ตัวเขาเอง ก็รู้ว่าผิด เขาหมดหน้าที่ แต่ก็ดื้อดึงดัน ตามกิเลส ซึ่งไม่ต้องทำอะไร ประชาชน ได้อำนาจคืนแล้ว แต่เราก็มาแสดงออก ใช้สิทธิ์ให้ถูกต้อง คนไม่รู้ก็พูดไป เข้าข้างอำนาจเก่า อาจเพราะติด ในโลกธรรม ประชาชนทุกวันนี้ ทำได้ดีมาก ทำได้สวยสด งดงาม เป็นความสะอาด บริสุทธิ์ วิสุทธิ์ วิเศษ วิสิทธิ์ อีกด้วย เลิศยอดเยี่ยม แต่ประเพณี ยังไม่เคยมี ที่จะให้พลังงานนี้ที่ วิเศษ วิสุทธิ์ วิสิทธิ์ นี้ชนะ คนยังงง เขาว่าชนะอย่างไร เราทำมา อย่างสำคัญ ตั้งแต่ พล.อ.ปรีชา ประกาศปฏิวัติ ซึ่งประชากร ยังไม่มากเท่าไหร่ วันที่ ๑๑ พ.ย. ๕๖ เสร็จแล้ว ก็มีประชาชน มารวมกันอีก โดยมีคุณสุเทพ ร่วมผนึก เป็นตัวบทบาทหลัก ก็ได้ทำ เป็นพิธีการ มาชุมนุมกัน วันว. เวลา น. พอวันที่ ๒๔ พ.ย. ๕๖ ประชากรไทย ก็ออกมา เป็นล้านคน ที่เราเคยรวมตัวกันมา ตั้งแต่พธม. หรือเสธ.อ้าย ก็ได้ไม่เท่าไหร่ แต่คราวนี้ มันได้เพราะประชาชนตื่นตัว แม้คราวนั้นไม่ได้ ก็นัดมาอีก ๙ ธ.ค. ๕๖ ก็มามากกว่าเก่าอีก เป็นขนบใหม่ แบบใหม่ ให้ประชาชน ออกมารวมตัวกัน โบกมือเป่านกหวีด เป็นคะแนนเสียง ที่มีน้ำหนัก สรุปคือ มาไล่รัฐบาลออก เพราะคุณหมด ความชอบธรรมแล้ว เราทำอย่าง สงบเรียบร้อย ไม่ใช้แรงกดขี่คุกคาม ซึ่งจะทำให้คนกลัว เขาก็ใช้อำนาจอย่างนั้น ในสัตว์โลก เราไม่ทำอย่างนั้น แต่เขายังไม่ออก เราก็นัดกันมา ในวันที่ ๒๒ ธ.ค. ๕๖ อีก ก็มีประชาชนออกมา มากกว่าเก่าอีก สามครั้งแล้ว ที่วัดด้านปริมาณ ส่วนด้าน การชี้ผิดชี้ถูก ศาลรธน. ก็ได้ตัดสินแล้ว พวกสื่อสาร ก็มาโต้แย้งกัน ผู้ที่เป็นข้าราชการ ที่มีหน้าที่ต้องทำตามหน้าที่ ควรต้องออกมา ทำให้สำเร็จ มาช่วย ประชาชน คุณไม่เสียอะไรเลย อาตมาไม่เชื่อนะว่า เขาไม่เข้าใจว่า ประชาชน ปฏิวัติ สำเร็จแล้ว ชนะแล้ว แต่ด้วยความเคยตัว ตามกิเลส ก็ยังดื้อ แล้วประชาชนก็ทำ อย่างสงบ เรียบร้อย มวลมหาประชาชน เขาไปทำอย่างนั้นไม่ได้ เขาก็เลยดื้อด้าน อยู่อย่างนั้น เพราะฉะนั้น เจ้าหน้าที่ ที่มีหน้าที่พิทักษ์ ไม่ให้เกิดความเดือดร้อนวุ่นวาย ถ้าไม่ออกมาช่วยประชาชน อาตมาว่าผิด ไม่รู้เห็นหรือ ตำตาออกอย่างนี้ แล้วตายไป กี่ศพแล้ว เราออกมาเป็นล้าน ตั้งสามครั้งแล้ว จริงๆในรธน. ออกมาแค่สี่ หรือห้าหมื่นแล้ว ก็สามารถ ให้ออกได้ วาระนี้ จะทำอย่างไร ถ้าปล่อยไป ก็ยิ่งจะเลวร้ายมากมาย เพราะมาตั้ง ๓ ครั้งแล้ว ถึงตติแล้ว ก็ควรครบรอบแล้ว แต่ผู้มีหน้าที่ ก็ไม่ได้มาช่วยจัดการ เพราะธรรมชาติ ของคนนั้น กลัวอำนาจ เราไม่ได้มาแสดงอำนาจ แต่ว่าเรามาบอกว่า ความถูกต้อง ชอบธรรม เป็นอย่างนี้นะ ผู้ที่ผิด ก็ควรหยุด แต่ผู้ที่ควรทำ เขาก็ไม่ทำ เพราะถูกอำนาจโลกธรรม ครอบงำ เมืองไทยไม่ได้โง่ มีปัญญาอยู่ ก็ควรออกมา ช่วยประชาชน ให้เกิดสงบเรียบร้อย ประชาชนมาเสียสละ มานอนกลางดิน กินกลางถนน เป็นหลายเดือนแล้ว ก็ควรออกมาช่วยกันได้แล้ว ถ้าออกมาช่วย นิดเดียวก็จบ สวยงาม ออกไปแจ้งเขา เท่านั้น ขณะนี้ให้ประชาชน เขาทำเถอะ จัดการตามหลักกฎหมายเลย เขารู้ทำได้แน่ อาตมาว่าสำเร็จ แล้วก็มอบอำนาจ ให้ประชาชน ซึ่งเขามีหมู่กลุ่ม ที่จะมาทำ เขาทำเป็น ผู้รู้ก็มีมากมาย ทำเลย ปลดตัวที่คา เป็นไอ้เข้ขวางคลอง ออกไป ไม่เช่นนั้น จะเสียหาย ล้มตายอีกเท่าไหร่ ก็ไม่รู้ เชื่อว่ามวลหลักๆ ที่มาทำนี่ จะทำอย่างสงบเรียบร้อย ไม่รุนแรง มีแต่วิเศษ วิสุทธิ์ วิสิทธิ์ อย่างแท้จริง ตอนนี้ ยังมีเวลาพอทำได้ แม้อาจมีเสียหาย บาดเจ็บล้มตาย นอกเกณฑ์แล้วนะ ที่จริง เราทำมา ๓ ครั้ง สวยงามแล้ว เกินกว่านั้น ก็นอกเขต การปฏิวัติ ของประชาชน เจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจ ควรทำได้ ไม่ต้องทำอย่าง เอาปืนเอารถถัง ออกมาปฏิวัติ แต่ทำอย่างไร ให้ถูกต้อง เชื่อว่าเขาต้องคิดได้แน่ เดินไปบอกเขาเลย ก็ได้ว่า ให้หยุดทำ ถ้าเขาหยุด แล้วก็เอาอำนาจอธิปไตย มาให้กลุ่มที่เขาปฏิวัตินี้ ก็ทำอย่างเปิดเผย อาตมาว่า อาตมามีความจริงในตน ก็เอามาพูด มาบอกกัน ขณะนี้ โอกาสยังมี ยังไม่หนักหนามาก แม้บกพร่อง ก็สุดวิสัย จำนน แต่เราทำดีแล้ว ก็ไม่ต้อง ทำให้บกพร่องกัน เราออกมา ๒๒ ธ.ค. ๕๖ ก็น่าจะจบ แต่แทนที่จะเกิด อย่างสวยงาม มันก็ไม่เกิด เพราะเขาอยู่ใต้โลกธรรม นี่แหละ ก็พยายามฝืนมันบ้าง หรือทำผิด ก็ปลงอาบัติ เหมือนพระ ทำผิดแล้วก็หยุด แล้วก็ทำคืน อย่างน้อย ก็สารภาพ ถึงไม่สารภาพ ก็หยุดแล้วทำกลับทำคืน ให้เป็นสิ่งดี มันก็สังเคราะห์กัน ลดค่ากัน ในสัจธรรม ถ้าไม่อย่างนั้น มันก็สั่งสมเพิ่มอีก คนที่ทำผิด แล้วปกปิดไว้ นั่นคือความผิด ยังมีบทบาทอยู่ แต่ถ้าคุณสำทับว่า หยุดเถอะ แล้วก็ตั้งใจว่า จะไม่ทำอีก ก็ดีแล้ว แต่ยิ่งดีกว่านั้น คือทำคืน สิ่งนี้ไม่ดี ก็ทำคืนกลบ กรรมกิริยา เอาแต่คิดไม่ได้ ต้องทำด้วย เราเคยตกใต้อำนาจโลกธรรม แต่รู้อยู่ว่า มาช่วยประชาชนนั้นดี มาเป็นคะแนน ประชาชนมา แต่คุณเป็นเจ้าหน้าที่ คุณก็มาประท้วงด้วยได้ กฏหมายไม่ห้ามไว้ เอานอกเวลา ราชการก็ได้ เป็นการแก้กลับ ยิ่งเรามีหน้าที่ ที่จะกระทำโดยตรง ที่จะพิทักษ์ รักษา ให้เกิดความสงบเรียบร้อย มันก็ยิ่งดี แต่ยิ่งโกหก ตลบแตลงอีก มันก็บาปเพิ่มอีก ต้องพูดสัจธรรมเช่นนี้ คนไม่มีหิริโอตตัปปะ ก็ไม่ได้ประโยชน์ แต่ตนจะมี ก็น่าจะมีบ้าง คนที่สำนึกแก้กลับ ขออภัย เช่นคุณสุเทพ หลายคนก็เห็นว่า คุณสุเทพก็เห็นว่า มีอะไร ผิดพลาด ทำอะไรไม่ดีมา ตอนเป็นนักการเมือง คนก็ถือสา ไม่เชื่อว่า จะมาทำดี แต่อาตมาว่า คนเราไปดูถูกกันอย่างนั้น ได้อย่างไร ถ้าดูถูกกันอย่างนั้น คุณไม่ต้อง ปฏิบัติธรรมหรอก เพราะแต่ละคน เคยทำชั่วมาแล้วทั้งนั้น ถ้าคุณเชื่อว่า คนทำชั่วแล้ว จะแก้กลับ โดยไม่ทำชั่วอีกแล้ว ไม่ได้ ก็คนละลัทธิ กับอาตมา แต่อาตมาเชื่อคุณสุเทพนะ เชื่อว่าคุณสุเทพ ได้ธรรมะ เข้าใจธรรมะ เห็นธรรมะ เท่าที่ อาตมาเห็นได้ ตามกายวิญญัติ วจีวิญญัติ ก็แล้วแต่ อาตมาไม่บังอาจว่า อาตมา หยั่งรู้จิต อาตมาประเมินได้ว่า คุณสุเทพจริงใจ โอกาสนี้ ถ้าคุณสุเทพกบฏ พอชนะ แล้วก็หลงใหลโลกธรรม ไม่แก้ไข ไปทำการเมืองน้ำเน่า อย่างเก่าอีก คุณสุเทพ ไม่ได้ผุด ได้เกิดหรอก ขออภัย ที่ต้องพูดชัดๆ ตามฐานะ ที่พูดธรรมะ ด้วยเจตนาดี จริงใจไม่มีอะไรแฝง เป็นโอกาสอันดีงามมาก ที่ข้าราชการ จะมาช่วยกัน ที่จริงเป็นเหตุการณ์เลว สังคมตกต่ำ เพราะคนเลว ได้ทำเลว ระดับชาติ ฉิบหายมากแล้ว เพราะฉะนั้น ก็จำเป็นที่ ประชาชน ทนไม่ได้ จึงออกมาแสดงตน อย่างไม่เคยมีมาก่อน จนชุมนุมกัน เป็นลักษณะของ การประท้วง อย่างถูกต้อง ตามครรลองครองธรรม ไม่ได้ทำผิด ไม่เป็นกบฏหรอก ตามที่เขาใส่ความ คือมันน่าจะมีน้ำใจ รู้นะ คนไม่รู้ก็แล้วไปเถอะ แต่คนรู้เข้าใจอยู่ ก็มาช่วยกัน อาตมา ถึงขอบคุณ พวกที่มาช่วยกัน แม้ว่าจะไม่ได้มี ใบรับรอง มีปริญญาอะไร แต่ก็มีใจ มาช่วยกัน คนที่รู้ทั้งรู้ ว่านี่โกหก แต่ออกมาพูดฉอดๆ เขาจับได้ คาหนังคาเขา เพราะเทคโนโลยี มันจับได้ ถ้าคุณไม่แก้คืน ยอมตกใต้โลกธรรม อาตมาว่า ตกต่ำลงอบาย ลงนรก ถ้าคุณไม่สำนึก ไม่แก้กลับ ยังโกหกซ้ำ แล้วหาทาง ทำรุนแรง ให้บาปซ้ำซ้อน และ ประเทศชาติ ก็เสียหายเพิ่มอีก คุณสำนึก สักนิดได้ไหม หยุดแล้วแก้กลับ ก็ยังจะมี สิ่งดีเกิด ในชีวิตบ้าง โอกาสที่ดีกับที่ร้าย อยู่ซ้อนกัน มันเป็นเหตุร้ายมาก จึงเป็นโอกาสดี ของคนดี จะได้ออกมา ช่วยแก้ และเป็นโอกาสดี ของคนชั่ว ที่จะได้แก้คืน ปรับปรุงใหม่ เป็นโอกาสดีจริงๆ มันเป็นนามธรรม แต่มันมีค่าจริงๆ เป็นอุปสงค์ ที่สูงมากในสังคม เหตุการณ์นี้ มันราคาแพง มันเป็นเรื่องที่ เปลี่ยนแปลง ความไม่ดีงาม ความคอรัปชั่น เป็นเรื่องที่ ต้องเปลี่ยน เพราะเป็นเหตุการณ์ ของสังคมประเทศ ที่เลวร้ายหนัก อาตมาว่า จะกู้อะไร หนักหนา ตั้ง ๒.๒ล้านๆบาท ซึ่งมีคนบอกแล้วว่า ที่จะไปทำ รถไฟความเร็วสูงนี้ ไม่ถึงล้านๆ หรอก แต่ไม่กี่แสนล้าน ไม่รู้กู้ไปทำไม ตั้ง ๒ล้านๆ นี่เจตนาอย่างไรกัน นี่คือ ความประพฤติ ที่ส่อความเลวร้ายถึงขีด ปู้ยี่ปู้ยำประเทศ ขนาดนี้ ถ้าคราวนี้ มาช่วยกันกอบกู้ ประเทศชาติ มาช่วยบำบัดปัดเป่า สิ่งเลวร้าย ที่จะเสียหาย ยับเยิน สมมุติว่ายับเยิน ถ้าประชาชนแพ้ คราวนี้ อาตมาว่า ประเทศชาติ ยับเยิน อาตมาไม่อยากคิดเลย อาตมาว่าอาตมาไม่ใช่ คนดิบคนดีเท่าไหร่ ถ้าแพ้คราวนี้ อาตมาเลิก ที่จะมาช่วย สังคมกว้างอย่างนี้ อาตมาไปช่วยคน ในวงเล็กๆ พัฒนาคน ในวงสังคมเล็กๆ ดีกว่า ซึ่งอาตมา ทำมาแล้ว พัฒนาตั้งแต่ วงเล็กๆ จนมาแกล้วกล้า แสดงธรรม แก่บริษัท ตามศรัทธาสูตร ขอร้องผู้ที่ไม่ได้มาช่วยกัน ก็ช่วยออกมากัน คุณสุเทพ จะมีแผนการ ทำอย่างไร ก็ทำ อาตมาไม่เก่ง แต่อาตมา มาทำเรื่องธรรมะ มาเผยแพร่ สืบสานต่อ พุทธธรรม มายุคนี้ ซึ่งเสื่อมต่ำผิดเพี้ยน จนเกือบไม่เหลือ โลกุตรธรรมแล้ว มันกลายเป็น อบายมุข เป็นไสยศาสตร์ เสียมากแล้ว อาตมาก็เลยหนัก แต่อาตมา มีปฏิภาณ ที่เป็นโพธิสัตว์ หนักอย่างไร ก็ทำ อาตมามีหน้าที่ทางธรรม อย่างอื่น อาตมาไม่เก่ง ไม่ค่อยได้ใช้... จบ |
||
|