พ่อครูว่า.... อาตมาก็ย้ำแล้วนะว่า เกิดมาเป็นคน อาตมาสรุปได้ว่า เกิดมาเป็นคนแล้ว ไม่มีอะไรจะดีไปกว่า ให้ชีวิตของเราได้ธรรมะ ถ้าไม่ได้ธรรมะ ชาติหนึ่ง ก็เกิดมาแล้วตายสูญเปล่า แต่ที่จริงถ้าไม่ได้ธรรมะก็ได้กิเลส ถ้าไม่ศึกษาธรรมะอย่างสัมมาทิฏฐิ ก็ยากที่จะไม่สะสมกิเลสใส่ตน
ทรัพย์ที่ควรสะสมก็คือธรรมะ ยิ่งยุคนี้ใกล้กลียุค คนห่างไกลธรรมะมาก แม้เมืองไทยก็ตาม เมืองนอกก็ตาม มีหลายประเทศคล้ายกัน มันเดือดร้อนจริงๆ เขาจึงออกมาทำ แม้เราก็ตาม ออกมานี่ไม่สนุกหรอก แต่ก็ต้องทำ อาตมาได้เคยพูดถึงธรรมในแนวลึก ซึ่งเชื่อว่าไม่มีใครเคยบรรยาย ซึ่งอาตมาไม่ได้ไปเคยได้ยิน ได้รู้จากใคร แต่เป็นของอยู่กับอัตภาพของอาตมา มาแล้ว
คนหนึ่งเกิดมา ก็มีอัตภาพของตนหรืออัตตา คือตัวตนของคนๆหนึ่ง ที่เป็นนามธรรม ที่เกิดมาแล้วหมุนเวียนในวัฏฏะสงสาร เขาพามีพาเป็นไป อะไรว่าดี ก็พยายาม พากเพียรให้ตน ทำให้เกิดความดีงาม ก็ดีเรียกว่ากุศล ก็ได้อาศัยสิ่งกุศล ก็ได้สบายบ้าง หรือได้โลกธรรม ได้กามอันน่าพอใจ แล้วก็สั่งสมอัตตาตัวเอง ก็ตัวอัตตาคืออัตภาวะ หรือสภาวะหนึ่ง ที่พัฒนามาตามลำดับของนิยามชีวิต
จิตนิยาม จะสามารถเรียนรู้กรรม เรียนรู้ธรรมะ เป็นเวไนยสัตว์ มีภูมิธรรมจะเรียนรู้ได้ ถ้าไม่ได้สั่งสมมาก็เรียนรู้ไม่ได้ เกิดมาสั่งสมบาป สั่งสมกุศลอกุศลไป โดยอวิชชา จนกว่าจะพัฒนาตัวเองให้รู้จักกรรม
ต้องพากเพียร ใส่ใจยินดีเชื่อถือ แล้วทำได้ คำว่าธรรมะกับกรรมก็คล้ายกัน ก็ต้องประพฤติกันจนเกิดผล พระพุทธเจ้าตรัสรู้โลกุตรธรรม ที่มี ๙ อย่าง คือบุคคล ๘ รวมกัน นิพพานอีก ๑ ก็เป็น ๙
คุณธรรมชนิดนี้ ผู้ศึกษาก็จะอ่านออก แล้วสั่งสมเป็นสมบัติใส่ตนเองไป โลกุตรธรรมเป็นตัวที่รู้จักฐานราก หรือจิตนิยามเรียกว่าปรมัตถ์ หรืออภิธรรม เรียกย่อว่า จิต เจตสิก รูป นิพพาน
ชีวิตอาตมา ตั้งแต่รู้ว่าตนได้ธรรมอันนี้ บอกแล้วว่า ชาตินี้อาตมาไม่ได้ปฏิบัติโลกุตรธรรม แต่ว่ามาฟื้นของที่ได้มา เท่านั้นเอง พระพุทธเจ้าท่านก็ฟื้นของท่าน แต่อาตมาไม่ได้เทียบเท่าท่านหรอก แต่มีลักษณะคล้ายกัน
อาตมาเมื่อมารู้ตัวชาตินี้ ก็รู้ว่าตนเป็นใคร มาทำอะไร เมื่อบอกเข้า คนก็หาว่าอวดอุตริมนุสธรรม ก็ยืนยันว่าอาตมาอวดไปนี่ ไม่ได้ทำเพื่อให้คนนับถือ หรือทำเพื่อ แลกโลกธรรม หรือให้คนมาเป็นหมู่พวก ทำลัทธิไปล้มลัทธิอื่น
อาตมาทำนี่ ก็เป็นการขัดแย้งกับหมู่ใหญ่ เช่นท่านอธิบาย เป็นการสร้างอัตตาใส่ตน ไม่เข้าใจกามภูมิ รูปภูมิ อรูปภูมิ เพราะทำแล้วยิ่งสะสมอัตตา ที่อาตมาพาทำนี่ ก็ทวนกระแสเขา อาตมาว่ามันต้องมาล้าง ตั้งแต่กามภูมิ มาล้างรูปภูมิ อรูปภูมิ ทำแล้วก็รู้ว่าหมดภพชาติได้จริง อาตมาเห็นว่า การอยู่ในหมู่ใหญ่มันทำได้ยาก ก็เลยแยกออกมา ประกาศตนเป็นนานาสังวาส คือเป็นพุทธที่แตกต่าง ยึดถือแตกต่างกัน มีศีลไม่เสมอสมานกัน มีความรู้ความเห็น ความเข้าใจต่างกัน ศีลไม่เสมอสมานกัน เช่นศีลข้อ ๑ เราไม่กินเนื้อสัตว์ ปฏิบัติศีล เป็นเหตุให้เกิดสมาธิ เกิดวิมุติ แต่เขาทำแบบแยกส่วน อาตมาว่าสูตรปาท่องโก๋ของท่าน อาตมาว่าสูตรเขาไม่ถูกต้อง กินแล้วท้องอืดท้องเฟ้อ อาตมาก็ขอออกมา ตั้งร้านปาท่องโก๋ร้านเล็กๆ ทำมาแล้ว ๓๘ ปี ก็เกิดหมู่กลุ่มขึ้นมาได้ ทำให้สอดคล้องกับสมัย ต้องเอาภาษาที่ใช้ในยุคนี้ มีบาลีบ้าง ก็ค้นคว้าให้ตรงสภาวะ ตรวจสอบสถาวะให้ตรงกับภาษา
คนได้รับรู้ก็มาทำตาม เอาชีวิตมาทำแบบนี้ ลดละไป ตั้งแต่ก่อน มีชีวิตมุ่งมั่น ล่าลาภยศสรรเสริญ แต่พอมาเข้าใจก็มาลดละ ปล่อยวางออกมา จนเป็นคนไม่สะสม รวมกันเป็นหมู่กลุ่ม สาธารณโภคี สัจธรรมนี้ยืนนาน ไม่เปลี่ยนแปร ตั้งแต่เป็นโสดาบัน มีตั้งแต่โสตาปันนะ คือเข้ากระแส แล้วพัฒนาสู่ อวินิปาตธรรม คือไม่ตกต่ำ แต่ยังไม่ควบแน่น จนกว่าจะถึงขีดที่เรียกว่า นิยตะ คือเที่ยงแท้ เป็นคุณสมบัติแท้ เป็นของจริงถึงขั้นนั้น จึงเปลี่ยนแปลงยาก แต่พระพุทธเจ้าสอนไม่ให้ประมาท แม้ถึงขั้นนี้ ไม่เอาจริงก็เวียนกลับได้ แต่ยากแล้ว เพราะได้ลดละกิเลส มีทั้งเจโตและปัญญาเป็นหลักย่อย ถ้าเลยกว่านี้สูงกว่านี้ ก็เป็นสัมโพธิปรายนะ คือเจริญไปสู่ที่สูง จนจบเป็นอรหันต์ได้ คนเป็นโสดาบัน จะถึงโสดาปัตติผล ก็เที่ยงแท้ต่อการเป็นอรหันต์ แม้จะเหลาะแหละ ไม่ทำให้สมบูรณ์อย่างไรก็ตาม ก็วนเวียนไป ถ้าหลงระเริงกับสุข จะยาวนานมาก เรียกว่าหลงในภพของกาม ในความยินดีของรสชาติโลก ได้โลกธรรม ก็ตาม
พระพุทธเจ้าพยากรณ์ ผู้ที่เป็นโสดาบัน แต่หลงในกาม ก็ตรัสไว้ว่า จะวนเวียนในโลกนานมาก คนนั้นคือนางวิสาขา ท่านเรียกว่าโสดาชนิดที่ วัฏฏภิรตโสดาบัน คือไม่ตกต่ำในอบายแล้ว ไม่สุขไม่ทุกข์ในอบาย แต่ก็ยินดีในกาม ระเริงในกาม ในโลกธรรม ก็จะนานมาก
อโศกนี่ก็คือพุทธ มีคนแนะให้เรียกว่าศาสนาอื่น เป็นธรรมแบบโพธิ์ก็ได้ แต่อาตมาไม่บังอาจขบถต่อพุทธหรอก เพราะว่าที่ทำอยู่นี่ คือพุทธรรม ใครจะฉลาดทำแบบอื่น ก็ทำเถอะ อาตมาทำเนื้อแท้พุทธนี่แหละ ทำมา ๔๐ กว่าปีแล้ว ได้พิจสูจน์ ถ่ายทอด บรรยาย จนเกิดเนื้อแท้ขึ้นมา พระพุทธเจ้า ท่านทรงระลึกชาติได้นั้น การระลึกชาติที่คนทั่วไปทำ ก็คือระลึกว่าตนเกิดเป็นอะไร เป็นตัวตน เป็นสัตว์เป็นคน ชื่ออะไร ตระกูลไหน แต่ถ้าระลึกอย่างนั้น ก็ไม่เข้าปรมัตถ์ เพราะจะไม่เข้าใจสัตว์โอปปาติกะ ซึ่งเป็นข้อที่ ๙ ของทิฏฐิ ๑๐ สำคัญมาก ว่าสัตว์โอปปาติกะ มีคุณสมบัติอย่างไร
ถ้าไม่รู้สภาวะสิ่งเหล่านี้ ก็ท่องกันไป แต่ไม่เกิดญาณ อย่างบุพเพนิวาสานุสสติญาณ ก็ไปเข้าใจเป็นตัวตน บุคคลเราเขาหมด จริง เป็นตัวตนก็มีได้ อย่างพระเวสสันดร ระลึกได้ เหมือนฉายหนังนี่ เป็นความจำได้ ก็ไม่ใช่ของจริงในปัจจุบัน อย่างความเป็นพระเวสสันดร ท่านก็ระลึกถึงโลกุตระจิต ว่าเป็นจิตอย่างไร พระเวสสันดร เป็นปางแห่งทานยิ่งใหญ่ ก็ไม่ได้อธิบายว่า ใจโลกุตระของพระเวสสันดร เป็นอย่างไร ก็ไม่ได้เข้าถึงปรมัตถ์ ก็น่าสงสาร แยกโลกุตระกับโลกียะไม่ออก
อย่างทานนี่ทำอย่างไร ทำใจอย่างไรใจจึงเป็นผล เราได้ทำใจของเรา อาการของใจเราเป็นอย่างไร เราได้มนสิการอย่างไร คุณได้ทำใจให้ได้ทาน อย่างที่มือคุณ ได้ให้ทานหรือไม่? ถ้าทำใจให้ได้คืนกลับมาก มากกว่าเดิมมากๆ ก็คือทำใจให้โลภเพิ่มขึ้น
จิตของคุณ ทำใจไม่ให้กิเลสลด กิเลสเพิ่มอีกต่างหาก ก็คือ นัตถิ ทินนัง เขาสอนกันมาผิดๆ ซึ่งอาตมาพูดถูก ว่าเขาสอนอย่างผิดๆ แม้แต่ทาน ศีล ภาวนา ก็อธิบายกัน ไม่ตรง ทำแล้วไม่เกิดมรรคผล ศาสนาพุทธก็เลยไม่มีอาริยธรรม ไม่เกิดโลกุตรธรรม ขออภัย ที่พูดแล้วเหมือนไปว่าหมู่ใหญ่ ที่สอนกันมานะ
พระพุทธเจ้าท่านระลึกถึง สิ่งที่ท่านได้มีแล้วได้ คือธรรมะของการเป็นพระพุทธเจ้า ในพุทธุปาทกาละ ว่าคนจะมีดวงตาเห็นธรรมได้แค่ไหน ตรวจสอบสัตวโลก ท่านมี สัมมาสัมโพธิญาณแล้ว มีพุทธการกธรรมแล้ว แต่เมื่อวันเพ็ญ เดือน ๖ ท่านก็รู้ตัว แล้วท่านก็ตรวจพบว่า คนมีกิเลสหนามากเลย แล้วจะสอนให้บรรลุได้อย่างไร? ท่านก็ปริวิตกว่าจะเสียของนะ นั่นคือปริวิตก เสร็จแล้ว ชั่วเหยียดแขนออก คู้แขนเข้า สหัมบดีพรหมก็มาอาราธนา ซึ่งก็คือจิตพรหมของท่านแหละ มาอาราธนา ให้ท่านประกาศศาสนา ว่าผู้มีธุลีในดวงตาน้อยยังมีอยู่ ท่านก็ตรวจว่า พอได้ก็ประกาศศาสนา แล้วไปโปรดปัญจวัคคีย์ ซึ่งได้หนีจากพระพุทธเจ้ามา
อาตมาพาทำมา ก็ยังดีที่มีหลักฐานในพระไตรปิฎก ให้ค้นคว้าอยู่ แต่เขาก็เข้าใจไปคนละอย่าง เช่นฌาน คือการเผากิเลส อย่างที่อาตมาเข้าใจ ก็ไม่เหมือนใคร ที่เขาทำกันมาสอนกันมา ไทยเราเขายกให้ว่า เป็นต้นแบบพุทธศาสนาแห่งโลกแล้วนะ แต่เขานับถือกันทั่วโลกแล้ว แล้วอาตมาเป็นใคร ที่จะมาค้านแย้งท่าน แล้วอาตมาไม่คิดจะมาเบ่ง ก็เผยแพร่ไป อุตสาหะพากเพียรไป ผู้ใดเห็นดีได้ก็มาทำ อาตมาก็เจียมเนื้อเจียมตัว เพราะพูดเชิงยกสิ่งที่ถูกต้อง แล้วเราเองมีอย่างนั้น เช่นอธิบาย ฌาน เป็นอย่างนี้นะ แล้วเราก็ทำสมาธิแบบลืมตา สั่งสมเป็นสัมมาสมาธิ ก็ยังดีมี มหาจัตตารีสกสูตร ในพระไตรปิฎก
หรือ ฌาน สมาธิ แบบพุทธ ในพระไตรปิฎก ล.๙ อธิบายเป็น จรณะ ๑๕ เลย ฌานคือการเผากิเลส สั่งสมเป็นสมาธิ ตั้งมั่นเป็นสัมมาสมาธิ ที่เขาสอนกันมา ไม่ตรงกับที่อาตมาสอน พระพุทธเจ้าว่าศาสนาพุทธ เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่อุบัติ พุทธก็ยังไม่เกิด เมื่อท่านตรัสรู้ ก็เกิดศาสนาพุทธเลย ไม่ต้องทะเลาะกับใคร แต่อาตมาเกิดมา พุทธศาสนาเกิดแล้ว แล้วอาตมาเป็นใคร จะมาบอกว่าที่ทำกันมานี้ ไม่ใช่พุทธ อาตมาก็ตัวแค่นี้ จะไปสู้ใครเขาได้ แต่ใครเห็นดี ก็มาปฏิบัติร่วมกัน
เกิดมาแล้ว เป็นพุทธโดยกำเนิด อย่าปล่อยปละละเลย ถ้าฟังอาตมาพูด ก็ตั้งสติดีๆ ตั้งใจดีๆ หลายคนอายุยาวแล้วก็ตั้งใจ อันนี้คือคุณค่าของชีวิต พากเพียรเอาให้ได้ ชีวิตจะได้ไม่สูญเปล่า คนที่เกิดมาไม่ได้พุทธนั้น น่าสงสาร เป็นพุทธโดยสำมะโนครัวมากมาย ควรเห็นค่าของพุทธ ที่มีค่ายิ่งกว่าเพชรกว่าทอง ให้มาศึกษาพุทธนี้ให้ได้ ถ้าผู้ใดเข้าใจ แต่ละเลยว่า เราได้แค่นี้ ได้อาศัยโลกธรรมแค่นี้ คนก็เป็นกันอย่างนี้มาก แล้วก็หลงไปกับโลกธรรม ไม่เห็นว่าสิ่งที่ลึกซึ้งกว่ายังมี ถ้าจะมียศก็มีได้ แต่อย่าไป ยึดถือ ยศคือตำแหน่ง ที่เขาระบุให้ทำงานในขอบเขตนี้ ตามรู้ตามสามารถ ถ้าดีขึ้นเก่งขึ้น เขาก็ขยายขอบเขตยศ ให้ทำงานให้มากขึ้น ก็เป็นเรื่องกำหนดหมาย เราไม่จำเป็น ต้องยึดถือ เอาไปข่มเบ่ง ถือตัว ถ้าได้รับการยกย่องชมเชย ก็เป็นสัจจะ ถ้าคนเห็นดีเห็นงาม เขาก็ส่งเสริม ถ้าไม่เห็นดีงาม ก็ไม่ส่งเสริม
เช่น คนไปนับถือโจรว่าดีเยี่ยม คุณก็ไปส่งเสริมโจร ทุกวันนี้หลงโจรเสียเยอะ เรียกว่าโจรบัณฑิต ร้ายแรงมาก คือรู้ทางโลก ล่าโลกธรรมเก่ง ใช้ความรู้เล่ห์เหลี่ยม ซ้อนเชิง เป็นอกุศลมากมาย พรางลวงหลอกคน คนไม่รู้จักจอมโจรบัณฑิต แล้วมันก็เข้ากับทิฏฐิของคุณ ที่หลงใหลในโลกธรรม ก็คิดว่าคนนี้เก่งมา ก็อยากได้อย่างเขา หรือคิดว่า คนนี้เขาบันดาลโลกธรรมให้เราได้
คนที่ใจไม่ติดในโลกธรรมได้ ก็มี แต่ไม่หนีในโลกธรรม ไม่หนีในกาม แต่กิเลสไม่มี จึงอยู่เหนือลาภยศสรรเสริญ เหนือกาม ทั้งหมดคืออัตตา
เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ แต่ไปหลงปฏิบัติแบบหนีโลก ไม่เข้าใจว่า ความรู้ที่ควรมีควรเป็น ที่ได้อาศัย เลือกเฟ้นไว้ใช้สอยได้ เช่นคอมพิวเตอร์ ก็ใช้ประโยชน์ได้ แล้วในนั้น มีสิ่งมอมเมาอุจาดมากมาย เราไม่ไปเสียเวลากับสิ่งเหล่านี้ แม้เราไม่สุขไม่ทุกข์กับมัน แต่ว่าไปเสียเวลาทำไม
บาปคือเพิ่มกิเลส บุญคือการชำระกิเลส แต่เดี๋ยวนี้เขาทำบุญกัน กิเลสยิ่งอ้วนมากขึ้น ยิ่งฉลาด ยิ่งเอาไปล่าลาภยศสรรเสริญ กาม อัตตาก็โตขึ้น กิเลสยิ่งหนาขึ้น ไม่ได้บุญ หรือแต่ได้บาป เพราะคำว่าบาปหรือบุญ เป็นโลกีย์
แล้วบาปที่เขาอธิบายกัน ก็อธิบายแค่ว่า ลักทรัพย์ ฆ่าสัตว์ แต่ใจเป็นอย่างไรไม่สอน เช่นทุกวันนี้ เราออกมาชุมนุม คนไม่เข้าใจ ก็มาทำร้ายเรา ถึงขั้นฆ่าให้ตายเลย หลายคนได้รับจ้างมาทำ แล้วคุณก็ได้เงิน แต่เงินไม่ใช่สมบัติแท้จริง ดีไม่ดี ได้เงินมา ก็เอาไปทำบาปซ้ำซ้อนอีก ถ้าไม่ได้ศึกษาธรรมะ ได้เงินมาได้ยศมา ก็ได้เพิ่มกิเลสอกุศลแก่ตัวเอง
ในอัตตภาวะ วิบากคือผลของการกระทำชั่วทำเลว อันนั้นต่างหาก คือสิ่งที่เป็นทรัพย์ ผนึกในอัตภาวะไปกับเรา ออกฤทธิ์เลวร้ายกับเรา ไปอีกนานเลย ไม่คุ้มกับเงินที่เราได้มา บางคนได้เงินมาจากการรับจ้างฆ่าเขา แล้วได้เงินมา แล้วก็ตายจากไปอีก อาจถูกเขาฆ่าตายไป แล้วคุณได้เงินไหม? ยังไม่ได้ใช้นะ ก็คือไม่ได้เงินอยู่ดี แต่ได้กรรมชั่วกรรมเลว ใส่อัตภาวะไปแล้ว แม้ได้เงินมาก็ไม่ใช่สมบัติ มันไม่ได้เอาไปด้วย กับอัตภาพ กรรมที่คุณทำ กรรมที่คุณฆ่าต่างหาก คือสมบัติของคุณ ไปกับคุณ ไอ้เงิน มันไม่ไปกับคุณหรอก หรือยิ่งเอาเงินไปเสพโลกีย์ หนักหน้าเข้าไปอีก นี่เพราะไม่รู้จักธรรมะ ถ้าไม่มีเงิน ก็ไม่ได้เสพบำเรอกิเลส กิเลสก็ยิ่งอ้วน แต่ถ้ามีเงิน ก็เสพได้ กิเลสก็อ้วน ยิ่งเข้าใจผิดไปอีกว่าเป็นสิ่งดี ก็หลงเงิน ไปหาเงินให้มากๆอีก คนทำอย่างนี้ มีแต่บาปกับบาป
เขารู้ว่าคนที่อยู่บนดาดฟ้า คือตำรวจ แต่เขามาโกหกว่าไม่ใช่ตำรวจ ทั้งที่ตนสมรู้ร่วมคิดกับตำรวจนั้น แล้วถ้าตำรวจนี้ ยิงคนตายจริง แล้วโกหกว่าไม่ได้ยิงอีก ก็ยิ่งบาปซ้ำซ้อน ถ้าโกหกได้สนิท ก็ยิ่งไปดีใจอีก ยิ่งบาปซ้ำอีก แล้วพอคนจับได้ ก็มายอมรับ แต่ว่าก็ยังบอกว่า ไม่ได้ยิงอีก แล้ววิถีกระสุนเขาก็บอกว่า มาจากมุมสูง โกหก ให้เขาจับส้นได้อีก
ที่ยกมานี่ คนเขาทำให้เห็น เราไม่ทำก็ดีแล้ว นึกถึงตนว่า ถ้าเราจะฆ่าคน จะฆ่าอย่างไรนะ คนทั้งคน อาตมาในชีวิตนี้ เคยฆ่าสัตว์ฆ่าปลามาก่อน อาตมาตกปลาไม่เก่ง ได้ตัวเล็ก ได้ไม่มากอีก แม้แลกเบ็ดกับเพื่อน ก็ยังไม่ได้มากเท่าเพื่อน ทำบาปไม่ขึ้น นี่เป็นบารมีอาตมา อาตมาแค่ฆ่าสัตว์ ที่โตสุดก็คือไก่ ที่ฆ่าเพราะแม่อยู่ไฟ ต้องต้มไก่ ใส่เหล้า สูตรจีน ที่จริงพ่อเป็นคนฆ่า วันละตัว มาวันหนึ่งพ่อไม่อยู่ อาตมาเป็นลูกชายคนโต ก็ต้องทำ มาถึงก็จับหักปีก ถอนขนคอ แล้วใช้มีดเชือดคอ ทำตามที่พ่อทำมาก่อน แต่พอเชือดแล้วก็โยนใส่หม้อ แต่มันก็ยังเดินโย่งๆอยู่ อาตมาใจเสียววาบเลย สงสารมันน่ะ นี่คือตัวเดียวที่เคยฆ่าไก่ นอกนั้น ก็ฆ่าปูปลาเท่านั้น นอกนั้นสัตว์อื่น ไม่เคยไปล่าอะไร เคยไปกับเขา ล่ากระปอม ยิงหนังสะติ๊ก ไม่เคยได้สักตัวเลย เพื่อนมันได้เป็นพวง แบ่งให้กิน ไม่อร่อยเลย มันไม่ค่อยมีเนื้อเลย
ยังนึกเลยว่า ทำไมคนฆ่าคนได้ ในชีวิตอาตมา ไม่เคยไปชกต่อยกับใคร แม้เคยหัดชกมวย แต่พอนัดเพื่อนที่โกรธกัน ไปท้าชกกัน อาตมาแอบไปฝึกมวยมา แล้วไปตามนัด แต่เพื่อนที่นัดไม่ไป เลยไม่ได้ชกกัน เพื่อนคนนั้นชื่ออารีย์ มีน้องสาวชื่ออารอบ เรียน ม.๖ มาด้วยกัน อาตมาเรียน ม.๖ สองรอบ
มีคนสังเกตว่า พอ ผบ.ทบ. เดินออกมาจากบ้านป๋าเปรม ก็บอกนักข่าวว่า ตำรวจคือชายชุดดำบนตึกเลย ผบ.เหล่าทัพปฏิเสธนายกฯ ในการหยุดสุเทพ แล้วป๋าเปรม ให้เนกไทแก่นายกฯ ที่มีข้อความ บนกล่องเน็กไทว่า ต้องตอบแทนคุณแผ่นดิน โอ้โห เสียบไหมนะ เขาจะรู้สึกไหม? มีคนให้ข้อมูลมา ก็ว่ากันไป
คนเราเกิดมา มีอัตภาพ ถ้าอัตภาพของเราจะมีอยู่ ก็ควรมีแต่กุศล ต้องหยุดอกุศล ใส่อัตภาพ แม้โลกีย์กุศล เราก็จะได้อาศัย คือได้โลกธรรม โลกีย์ ได้บำเรอกาม บำเรออัตตา ก็เป็นกุศลได้ ใส่เข้าไปก็หนามากขึ้น พระพุทธเจ้าค้นพบว่า ไม่มีทางหมดอัตตาได้เลย อย่างนี้ท่านก็มาค้นพบ จิตเจตสิก รู้แล้วล้างอกุศล โลกีย์ จนเห็นว่า อัตภาพอกุศลกุศล ก็วนเวียน เรามาลดจนเป็นอรหันต์ หมดสุขหมดทุกข์ จึงได้เรียนรู้ว่า อัตภาพคือสุขคือทุกข์ การหมดอัตภาพก็เป็นอรหัตตา คือมีอัตตานะ แต่อัตตาของท่านไม่ลึกลับแล้ว อัตตาที่สุขที่ทุกข์ คืออัตตาโลกีย์ เมื่อไม่ลึกลับรู้แจ้งว่า มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา หรือใคร
จิตยึดคือ แต่ก่อนติดยึดว่า อบายคือสุขคือทุกข์ เมื่อเราล้างได้หมด ก็รู้แล้วว่า เหลือที่อาศัย จิตวิญญาณที่อาศัย ก็ไม่มีอบายภูมิ ต่อมาสกิทาคามี ก็ล้างกิเลสกาม กิเลสภพ อย่างไม่หนีโลก มีการผัสสะทวาร ๖ ครบ แต่กิเลสเกิด ตอนสัมผัสทวาร ๖ ก็เกิดกิเลส ก็รู้กิเลส แล้วล้างกิเลส เหตุของมันคือ โง่ไม่รู้ เรามาล้างจนมันหมด กามก็ยังสัมผัสอยู่ แต่เหตุแห่งสุขทุกข์หมด ก็ยังอยู่กับโลก ไม่หนีไปไหน พระอนาคามีหมดกามภพแล้ว เหลือเศษส่วนแห่งรูปราคะ อรูปราคะ แม้มีอยู่ข้างใน แต่มีหิริ โอตตัปปะ มันไม่มีรสชาติอันนั้นแล้ว มีแค่ระริกระรี้ภายใน ส่วนมากเป็นความจำ ก็ไม่ต้องอาศัยอัตตาที่ต้องสุขทุกข์อีก จนกระทั่ง ตรวจสิ่งที่เหลือในอรูปฌานอีก เผาอีกจนหมด พ้นอุทธัจจสังโยชน์ สู่สัญญาเวทยิตนิโรธ สูงสุดเป็นอรหันต์ ถึงที่สุด เป็นอรหัตตาสูงสุด
แม้เป็นอรหันต์แล้วเป็นโพธิสัตว์ ก็ยิ่งเข้าใจว่า อัตตาที่อาศัยคืออะไร คืออัตตาที่อาทาน คือไว้อาศัย ผู้ที่รู้จักแล้วคืออาทาน คือยึดไว้ด้วยความสมบูรณ์ กิเลสไม่มี ถือไว้แค่นั้น จึงรู้ว่าอาทาน หรืออาการยึดไว้คืออะไร ตั้งแต่เราไม่ยึดอบายเป็นอย่างไร หรือไม่ยึดในกามเป็นอย่างไร ไม่ยึดในรูปภพ อรูปภพ คืออย่างไร เราทำไมยึดมา ตั้งเท่าไหร่แล้ว ไม่ยึดในอัตตาคืออะไร เข้าใจง่ายนะ แต่ทำให้มันง่าย แม้ยากก็ต้องทำ
เพราะเราหัดไม่ยึด ล้างมาจนหมดความยึดถือ ตั้งแต่อบายภูมิ มาทำรูปภูมิ แล้วมาสู่อรูปภูมิ ทำเป็นจนเป็นอรหันต์ ถ้าคุณจะยึดไว้อย่างผู้สมาทาน อย่างผู้สงบ ผู้เหนือ คุณจะวางเมื่อไหร่ก็ได้ เลิกแล้ววางอัตภาวะได้ พระโพธิสัตว์จะรู้ดี
สุขนี่คือตัวหลอก เป็นสุขขัลลิกะ ตัวอัตตาคือกิลมถะ ผู้เป็นอนาคามีก็จะมีแต่อัตตา ขันธ์ ๕ หรืออัตตานี่ เป็นภาระ ไม่มีกามแล้ว ก็ยังมีอัตตา จึงต้องเลิกให้หมด สองโต่งเป็นเช่นนี้ ผู้หมดกามภพ ก็เหลืออัตตา ก็ไม่เป็นภัยแก่โลกแน่ อย่างอนาคามีบางคน ก็อยู่กับโลกได้ อย่างไม่เป็นภัยเป็นโทษแก่โลกแล้ว มีแต่โทษภัยส่วนตัว แต่ตัวก็จะรู้ว่า ขืนปล่อยให้หยาบมากกว่านี้ ก็ไม่เอา แต่ก็ดีที่เป็นประโยชน์แก่โลก อนาคามีจึงทำประโยชน์แก่โลกเยอะ คนมีเยอะที่หลง ไม่เอาอรหันต์ เอาแค่อนาคามีก็พอ แต่ผู้ที่สูงของพุทธ จะรู้ว่า จะไม่ไปเกิดในสุทธาวาส พระพุทธเจ้าท่านเป็นสายปัญญา ไม่ไปอยู่ในสุทธาวาส ๕ ท่านเป็นอนาคาฯ ก็ต่ออรหันต์เลย พระพุทธเจ้าจึงบรรลุได้เร็ว เพราะเป็นสายปัญญา ไม่วรรคไม่พัก แต่อาตมาไม่เหมือนท่าน อาตมาแวะอยู่
ในหมู่พวกเรา อาตมาบอกได้ว่า อนาคามีเยอะ ก็ระริกระรี้อยู่อย่างนั้น แต่ช่วยสังคมอยู่ ศีล ๕ คือโสดาบัน , ศีล ๘ คือสกิทาฯ , ศีล ๑๐ คืออนาคามี, แต่ก็อยู่ในสังคม สิ่งที่ติดยึด ก็เป็นส่วนตัว คนอื่นไม่รู้กับตนหรอก บางคนมีรูปราคะ อรูปราคะ แต่บางคนมีมานะ แต่จะไม่มาก เพราะอนาคามี ลดละมามากแล้ว อยู่กับโลกอย่างไม่เป็นพิษภัย อนาคามีอยู่ได้จนเป็นจักรพรรดิ์ บางทีมีผัวมีเมีย แต่ก็ลิงลมอมข้าวพอง พอเลิก ก็ง่ายมาก
เกิดมาอย่างน้อย ได้อนาคามีภูมิก็ยังดี ไม่เป็นพิษภัยต่อโลก ช่วยโลก ยิ่งเป็นอรหันต์ ยิ่งดี จะไปเสียเวลาเป็นอนาคามีทำไม เป็นอรหันต์แล้ว จิตอภิปโมทยังจิตตัง ก็มี คือจิตใสสว่าง ไม่เศร้า ไม่มีเศษธุลีหมอง อาจมีธุลีเริงบ้าง หมดอโศกะ (ธุลีหมอง) หรือ อาจมีวิรชะ (ธุลีเริง)ไม่เปลืองแครอลี่มาก แต่ประมาท ไม่ล้างของตน แต่ถ้าล้างเสียเป็นอรหันต์ ก็เป็นหลักประกัน อยู่กับโลกไปอย่างเท่าไหร่ก็ได้ ทำประโยชน์แก่สังคม ประเทศชาติไป
ก็ได้อธิบายเนื้อหาสาระธรรมะ ที่บางคนอาจเพิ่งเคยได้ยิน
จบ
|