|
||
อาตมาก็ทำงานกับมวลมนุษยชาติ ไม่ว่าจะเป็นขอทาน หรือนายกฯ ก็ยินดี เจตนา ให้คนทุกคน ไม่มีชั้นวรรณะ ยิ่งเป็นคนที่มีบทบาท มีผลกระทบ ต่อประเทศสูง ถ้าได้ฟังธรรม ได้ผลจากธรรมะจริงจัง ก็จะเป็นบุญ ต่อประเทศ ต่อสังคมโลก มหาศาลเลย มันดี ใครจะว่าอาตมาหลงธรรมะ ก็ยอมรับ ชีวิตคน ไม่มีอะไรดีกว่า ได้ธรรมะ ทั้งกาย วาจา ใจ เป็นพฤติกรรม ของแต่ละคนๆ ก็มีการประกอบ การกระทำ เรียกว่า กรรม ทำการงาน ถ้านอนอยู่เฉยๆ ก็กระทำการคิด ถ้าคิดด ีก็ทำดี คิดชั่ว ก็ทำชั่ว ถ้าฟักตัว จากความคิด ก็จะออกมาเป็น กายกรรม วจีกรรม มาจากจิต พระพุทธเจ้าตรัสว่า มโนบุพพังคมา ธัมมา มโน เสฏฐา มโน มยา ถ้ามีคุณธรรมในจิต ก็เป็นหลักประกัน แต่เมื่อไม่ใส่ใจธรรมะ ก็จะเป็นอธรรม ไปอยู่ในใจแทน มันมักไม่เป็นกลางๆ มันไม่เป็นดี ก็เป็นชั่ว คนไม่ตั้งใจศึกษา ไม่ปฏิบัติธรรม จึงมักเอนเอียง ไปทางอธรรม ก็เป็นเรื่องเสียหาย เป็นความสำคัญ ที่มนุษยชาติขาดไม่ได้ และต้องเข้าใจ ทฤษฎีหลักใหญ่ ของพุทธศาสนา ธรรมะจะมีอยู่ใน กาย วาจา ใจ ผู้มีทฤษฎีถูกต้อง จะมีสติรู้ ทั้งนอก และใน จะเกิดกรรม ถ้ากรรมภายนอก ก็หยาบรู้ได้ง่าย เป็นสติ สัมปชัญญะ เป็นปัญญา ถ้าฝึกอย่าง สัมมาทิฏฐิ ปัญญาจะเกิด ไม่เผลอเบลอ ให้อำนาจกิเลส มาครอบงำ แต่จะตั้งใจระลึก ทำแต่สิ่งดีนำหน้า ธรรมะจึงเป็นเช่นนั้น จึงไม่ประกอบ เรื่องเลวร้าย แต่จะทำดีให้มาก เป็นหลักสำคัญ อาตมาทำมา จนมีหมู่กลุ่มอโศก จนเป็นกองทัพธรรม ทำกับสังคม ประเทศชาติ ก็เกิดจาก การทำตน เป็นคุณธรรมประจำตน แล้วให้ทำต่อ ในแต่ละคนๆ จะมีมาก หรือน้อย ก็ยืนยันว่ามี ก็รวมเป็นองค์รวม มาทำงานกับสังคม เมื่อกี้นี้ มีนักนสพ.ต่างประเทศ สัมภาษณ์อาตมา ว่ากองทัพธรรม ออกมาทำงาน มีจุดมุ่งหมายอย่างไร หรือเป้าหมายหลักอย่างไร เจตนารมย์หลักอย่างไร ที่มาร่วม กิจกรรม ประท้วงนี้ อาตมาก็บอกเป้าหลักใหญ่ ให้ฟังเลยว่า เป้าหลักคือ ไม่ให้เกิด ความรุนแรง และ เราก็ทำงานได้ผล ลดความรุนแรง จนได้ผล ทุกวันนี้ จนเกิดการชุมนุม ที่เรียกให้ ออกมา รวมกัน เป็นครั้งคราว รวมเรียกว่า กปปส. จนกระทั่ง เรียกรวมพล มาเป็นครั้งๆ เป็นวิธีการ ประชาธิปไตย แล้วมาร่วมกัน เปล่งเสียงรวมกัน เมื่อมวล มหาประชาชน ออกมา รวมกัน เปล่งเสียงพร้อมกันว่า นายกฯยิ่งลักษณ์ ออกจากตำแหน่ง นายกฯ รักษาการ เสียเถิด นี่แหละ ถ้าเปล่งออกไป พร้อมกันเลย ให้กำนันสุเทพ พูดนำความนี้ คำต่อคำ ให้ชัดเจนก่อน แล้วให้พูด พร้อมกันเลย นายกฯยิ่งลักษณ์ ลาออกจาก ตำแหน่ง นายกฯ รักษาการณ์ นี้เสียเถิด ถ้าเป็นจริง กลุ่มมวลมหาประชาชน ร้องพร้อมกัน นี่แหละ คือ เสียงประชาชน แท้ๆเลย เป็นเสียงสดๆ ตัวเป็นๆ ออกมาแสดงคะแนนเสียง เป็นเจ้าของ ประชาธิปไตย ไม่ใช่ว่า มาลงคะแนนเสียง เลือกตั้ง มันคนละรุ่นเลย การลงคะแนนเสียง เป็นวิธีการที่ซับซ้อน เป็นอำนาจ ลำดับหลัง แต่นี่เป็นสิทธิ เต็มที่เลย ของประชาชน ที่เป็นเจ้าของอำนาจ นี่เป็นอำนาจที่ ๑ เลย ไม่ใช่ตอนเลือกตั้ง เท่านั้น ออกมาแล้วมาซาวเสียง ประชาชนเลย จะมีคะแนนเสียงเท่าไหร่ โดยมีญัตติว่า รัฐบาลนี้ หมดความชอบธรรมแล้ว ใช่ไหม? จริงไหม ถ้าใครไม่เห็นว่าจริง ก็งดออกเสียง แต่ถ้าใคร เห็นว่าจริง ก็ออกเสียงมา ประชาชนจะมาเอา อำนาจอธิปไตยคืน เป็นปรากฏการณ์ พิเศษของโลก ที่ไม่เคยเกิด แต่คราวนี้ น่าจะเกิด ถ้าคนมา สองล้าน หรือห้าล้านนี้ ออกเสียงมา จะกระเทือนฟ้า กระเทือนดินนะ มีพวกที่ต่อต้าน เขาหลงใหลอะไรกันขนาดนั้น เขาถามว่า ทักษิณเขาผิดอะไร? เขาอินโนเซนส์ มากเลยนะ เขาไม่ได้ผิดอะไร เขาทำแต่ คุณงามความดี เห็นบทความของคุณ สิริอัญญา ในนสพ.แนวหน้า เขียนเรื่อง.. ระบอบทักษิณ ครองอำนาจในประเทศไทย มาเป็นเวลา 12 ปีแล้ว มีลักษณะ ที่แตกต่างกับ การมีอำนาจ ทางการเมือง ของพรรคการเมือง ที่เป็นรัฐบาล ทุกพรรค ทุกสมัย นับตั้งแต่ พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา เพราะเป็นการเข้าครองอำนาจ เพื่อยึดบ้านครองเมือง เพื่อเปลี่ยนแปลง ระบอบ การปกครอง จากระบอบ ประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข ให้เป็นระบอบ การปกครองอื่น และเท่าที่เปิดเผย กันมาแล้วก็คือ ระบอบสาธารณรัฐ ที่มีประธานาธิบดี เป็นประมุข ดังนั้น การดำเนินงานตลอด 12 ปีที่ผ่านมา จึงแตกต่างจาก การบริหารบ้านเมือง ของทุกรัฐบาล ทุกยุค ทุกสมัย นั่นคือ ประการแรก มุ่งแสวงหากำลังอำนาจเงิน ให้มากที่สุด จึงเป็นต้นเหตุของ การคอร์รัปชั่น ครั้งใหญ่ที่สุด ของประเทศ และได้มีการใช้เงินนั้น ในทุกวิถีทาง เพื่อให้ได้มาซึ่ง การยึดครองแผ่นดิน ประการที่สอง ได้สร้างรัฐตำรวจขึ้น อย่างเป็นขั้น เป็นตอน เพื่อหวังครอง กำลังอำนาจรัฐสำคัญ ที่มีทั้งกฎหมาย มีทั้งปืน และมีทั้งอันธพาล ทั้งในและนอก เครื่องแบบ เป็นเครื่องมือ และมีกำลังพลร่วม 300,000 คน และมาถึงวันนี้ อำนาจ รัฐตำรวจ ก็อยู่ในเงื้อมมือ และคำบงการ ชนิดที่เป็น กองกำลังส่วนตัวไปแล้ว และ พร้อมที่จะเห็น ประชาชนเป็นศัตรู ที่พร้อมทำร้าย หรือฆ่าฟัน ได้อย่างอำมหิต ประการที่สาม ได้ครอบงำกลไก อำนาจรัฐ ในระบอบราชการประจำ ให้อยู่ในกำมือ เสมือนหนึ่ง เป็นข้าทาส หรือผีโม่แป้ง ทำให้ปวงข้าราชการ ถูกกดขี่ข่มเหง และจำใจต้อง ตกเป็นทาส กระทั่ง ยอมทำผิดกฎหมาย และกลายเป็น ผู้ต้องหา หรือจำเลย ถูกยึดทรัพย์สิน เป็นจำนวนมาก การซื้อขายตำแหน่ง การเลียแข้งเลียขา เพื่อให้มีอำนาจ ในราชการ เกิดขึ้น ทุกหัวระแหง จนคนดี ไม่สามารถมีอำนาจ ในระบอบ ข้าราชการได้เลย ประการที่สี่ เข้าครอบงำองค์กรอิสระ ให้ตกเป็นเครื่องไม้ เครื่องมือ ในการยึดครอง อำนาจรัฐ และในการตั้งตน อยู่เหนือกฎหมาย อย่างสมบูรณ์แบบ ประการที่ห้า วางรากฐานให้ญาติวงศ์พงศา เข้ามากอบโกย ผลประโยชน์ และ ยึดครองบ้าน ยึดครองเมือง ผู้คนในตระกูลเดียว มีฐานะประหนึ่ง เป็นอ๋องเป็นกง แบบเดียวกับ ระบอบการปกครองจีน ในสมัยโบราณ พฤติกรรมแย่งบ้านยึดเมือง ดังกล่าว ได้ส่งผลสะเทือน ตั้งแต่ฟ้าจรดดิน ส่งผลสะเทือน ไปทุก หัวระแหง สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ คุณธรรม ศีลธรรมในบ้านเมือง ถูกบั่นทอน บ่อนทำลาย อย่างต่อเนื่อง เพราะเหตุนั้น ประชาชน จึงลุกฮือขึ้นต่อต้าน ต่อเนื่องมาเป็นลำดับ นับตั้งแต่ การเริ่ม ลุกขึ้นต่อสู้ ของกลุ่มพันธมิตร ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มาถึงวันนี้ ก็เป็นเวลาสิบปี เต็มแล้ว ทำให้ประเทศชาติ และประชาชน ตกอยู่ในวังวน และจมปลัก อยู่กับวิกฤต ในการยื้อยึดอำนาจ หวังครองแผ่นดิน ในลักษณะนี้ จนความเดือดร้อน แผ่ขยายไป ทุกหย่อมหญ้า การลุกฮือขึ้นต่อสู้ ของประชาชน ในปัจจุบัน นำโดย กปปส. ทำให้มวลมหา ประชาชน ทั่วประเทศ สมานสามัคคีกัน ชนิดที่ไม่เคย เกิดขึ้นมาก่อน และมีเป้าหมาย อย่างเดียวกัน คือเพื่อกำจัด ระบอบทักษิณ ให้หมดสิ้นไป จากแผ่นดินไทย กปปส. ประสบความสำเร็จ ในการทำให้ระบอบทักษิณ ต้องถอยร่น ทางยุทธศาสตร์ และได้ใช้กลยุทธ์ ยื้ออำนาจ ถึงขั้นที่สามแล้ว คือจากการยื้ออำนาจ เป็นรัฐบาล ให้นาน ที่สุด ก็ยื้อไม่ไหว ต้องใช้กลยุทธ์ที่สอง คือยุบสภา หลอกให้ไปเลือกตั้ง และ หวังครองอำนาจ อยู่ในระยะ เวลาเลือกตั้ง แต่มวลมหาประชาชน ก็ยังคงขับไล่ ไม่หยุดหย่อน จนต้องร่อนเร่ เป็นสัมภเวสี นั่นคือ การใช้กลยุทธ์ ขั้นที่สาม คือถอยไปตั้งหลัก ในต่างจังหวัด จะแวบวั่บ เข้ามา ในกรุงเทพฯ บ้าง ก็ไม่สามารถใช้รถยนต์ เป็นพาหนะ ได้อีกต่อไป ต้องใช้เฮลิคอปเตอร์ บินโฉบไปโฉบมา จนเป็นที่หวั่นว่า จะเกี่ยวสายไฟฟ้า ร่วงหล่นลง สักวันหนึ่ง การยื้ออยู่ในอำนาจ เพื่อใช้อำนาจรัฐบาลรักษาการ กำลังร่อแร่เต็มที ในขณะที่การบังคับให้ประชาชน ไปเลือกตั้ง ก็ถูกต่อต้าน อย่างกว้างขวาง จนคน ทั้งหลาย เริ่มเห็นแล้วว่า การเลือกตั้ง ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 จะเกิดขึ้นไม่ได้ ซึ่งหมายความว่า เล่ห์กลฟอกตนเอง เพื่อจะกลับเข้ามา มีอำนาจ ยึดบ้าน ครองเมือง อีกครั้งหนึ่ง กำลังถูกสกัด กำลังถูกต่อต้าน อย่างกว้างขวาง ในขอบเขตทั่วประเทศ ดังนั้นการยื้ออยู่ในอำนาจ และการดึงดัน บังคับให้ประชาชน ไปเลือกตั้ง เพื่อจะฟอกตัว กลับเข้ามายึด ประเทศไทย อีกครั้งหนึ่ง จึงถูกสกัด ถูกต่อต้าน ยิ่งกว่า ทุกระยะ ที่ผ่านมา เกิดสภาพเข้าตาอับ ดังนั้นอาการดิ้นรน จึงพรวดพราด รุนแรงผิดปกติ เพราะเหตุนี้ ปรากฏการณ์ นำเอาทหาร รับจ้างเขมร นำเอาคนชุดดำ นำเอาอันธพาล ทั้งในเครื่องแบบ และ นอกเครื่องแบบ เข้ามาสังหารประชาชน จึงปรากฏโฉมให้เห็น ตั้งแต่ก่อนช่วง ส่งท้ายปีเก่า เป็นต้นมา นั่นเป็นการก่ออาชญากรรม ที่จะต้องได้รับ ผลตอบแทน ทั้งตาม กฎแห่งกรรม ตามกฎหมาย และด้วยประชาทัณฑ์ ของมวลมหาประชาชน! ผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ก็ถามมาว่า การเลือกตั้ง จะเกิดไหม อาตมาตอบว่า ไม่น่า จะเกิดได้ แต่น่าจะเพิ่มว่า ถึงแม้จะดัน ให้เลือกตั้งได้ ก็จะเป็นการเลือกตั้ง ที่ไม่สมประกอบ เสียดายเงิน ที่นำไปใช้ จัดเลือกตั้ง จะสูญเปล่า โมฆะมากกว่า เราจึงสกัด ไม่ให้เกิด การเลือกตั้ง นี่มันก็เสียไปบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่หมด ๓๘๐๐ ล้าน เราก็ต้องสกัด ไม่ให้เกิด ก็ยังไม่เคยมีมา ในประเทศไทย เรื่องประชาธิปไตยในไทย มีวิวัฒนาการ จนถึงวันนี้ เป็นความเจริญของ ประชาธิปไตย แต่คน มันเลวลง ประชาธิปไตย โดยองค์รวม ของคนไทยดีขึ้น พัฒนาขึ้น อย่างการมา ชุมนุมกันได้ เป็นเรือนล้านคน มันเป็นสิ่งเกินเชื่อ อีกฝั่งหนึ่ง หวั่นไหวมาก จึงหาวิธีการ ที่จะสู้มากขึ้น วิธีการจึงเลวลงๆ คนที่จะต่อสู้ เพื่อเอาชนะ ความเป็น ประชาธิปไตย ของประชาชน ถ้าจะต่อต้าน อย่างเจริญ คือออกมาโดยถูก รธน. แม้แต่ศาล ก็วินิจฉัยแล้วว่า เราทำถูกต้อง ตามรธน. เราจึงทำได้มาตลอด เขาจึงเดือดร้อน ดิ้นรน ใช้ทุจริต เลวร้ายหนัก เลวขึ้นในพวกเขา แต่ว่าประชาธิปไตยดีขึ้น มันห้ามไม่ได้ ถ้าประเทศอื่น ที่เจริญในประชาธิปไตย เขายอมแล้ว เพราะประชาชน เป็นเจ้าของ อำนาจอธิปไตย ก็ปล่อยให้ประชาชนทำสิ แล้วประชาชน จะไม่มีใครทำเป็นเลย นี่มันดูถูกกันมาก จริงๆเลย เราจะได้ประชาธิปไตยอย่างไร? ก็ต้องมี ก็ถ้าคนไม่รู้และไม่ดี ความเป็นอำนาจ ที่จะเป็นประชาธิปไตย ก็เป็นประชาธิปไตย ที่ร้ายหรือไม่ดี คนต้องดี จึงจะมีอำนาจที่ดี ที่เป็นอาริยะ อย่างน้อยต้องรู้ว่า ประชาธิปไตยคืออะไร แล้วรู้ว่า ดีชั่วคืออะไร แยกแยะถูก รู้ว่าอบายมุขคืออะไร อย่างการทุจริต ก็คืออบายมุข ของข้าราชการ เป็นผลกระทบต่อ ประชาชนส่วนมาก ก็ไม่ค่อยเข้าใจกัน เมื่อเรารู้แล้วว่า เกิดจากคน คนต้องรู้และต้องดี จึงได้อำนาจอันประเสริฐ แล้วทำอย่างไร คนถึงรู้และดี ขั้นแรกต้องศึกษา คำว่า รู้ จะมีได้ก็ต้องศึกษา ประเทศก็มี กระทรวง ศึกษาธิการ แต่ที่สอนกัน ตั้งแต่ปถมฯ ไปถึงมหาวิทยาลัย ก็สอนกันแต่ ความรู้เทคนิค วิชาการ ก็เลยได้รู้ แต่ลืม ความดี เลยไม่รู้ว่า อะไรดีอะไรชั่ว ก็เอาความรู้ ไปทำชั่ว เช่น ที่ทำทุจริต คอรัปชั่น ขี้โกง ข้าราชการตัดไปก่อน เอาคนทำงาน ส่วนเอกชน คุณว่าโกงไหม? ถ้าพลเมือง ของประเทศโกง เกิดจากการศึกษา ทางคุณธรรมจริยธรรม คือศาสนา ต้องรับผิดชอบนะ อาตมาไม่มีใครตั้งให้ทำ แต่อาตมาทำ แล้วรับผิดชอบด้วยนะ พยายาม ไม่ให้เกิด ทุจริต ไม่ให้เกิดการโกง แวดวงที่อาตมาดูแล ก็มีผล เกิดประชากรที่ ไม่ทุจริต ไม่คอรัปชั่นได้ ไม่ทุกคน แต่ก็ได้ ๘๐ % ขึ้น จริงๆ ใครจะมาตรวจสอบ ได้เลย ตั้งแต่นักเรียน ที่ดูแล ตั้งโรงเรียนมา ๒๐ ปี ก็ไม่ได้ข่าวว่า นร.ที่จบไป ทำเลวร้ายอะไร มากมาย ขออภัย อย่าหาว่าทวงบุญคุณ อาตมาว่า เป็นงานที่น่าทำอย่างยิ่ง เหนื่อยอย่างไร ก็ยินดีทำ ตายไป เกิดมาใหม่ ก็ทำอีก แม้จะถูก ลิงลมอมข้าวพอง แต่ถ้ารู้ตัวเมื่อไหร่ ก็ทำอีก ขอกล่าวโทษ ผู้ที่รับผิดชอบด้านนี้ ที่ทำมานานแล้ว ท่านมีเงินเดือนด้วย เรียกว่า นิตยพัตรแล้ว ถึงขนาดนี้แล้ว พระมีเงินเดือน เหมือนข้าราชการแล้ว แล้วรับผิดชอบ มีลูกศิษย์ ลูกหา มาบริหารประเทศ หรือแม้เอกชน ก็ต้องมีด้าน รับผิดชอบ คุณธรรม สังคมเป็นอย่างนี้ ก็เพราะ ผู้ที่ให้การศึกษา แม้เรื่องเทคนิค หรือให้คุณธรรม ของโรงเรียนเรามี ปรัชญา ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา เราส่งเสริม ศีลธรรม เด่นมากกว่า อันอื่น แต่อย่างที่เขาทำกัน ก็มีส่งเสริมกีฬา เป็นสำคัญ ซึ่งของเราก็มีบ้าง แต่ไม่ส่งเสริม แต่เขาส่งเสริมกัน เป็นอาชีพเลย จึงเป็นอบายมุข ที่มีกันทั่วโลก หรือ งานหลายอย่าง ที่เกินไป เช่น เต้นรำสังสรร ไม่ใช่งานอาชีพงานหลัก เราก็ไม่เอา มีอีกหลายอย่าง ในมหาวิทยาลัย มีหลายคณะ ก็ไปจัดให้เป็น ป.ตรี ป.โท ป.เอกด้วย ไม่น่าทำเลย อาตมาไม่ส่งเสริม ตำหนิด้วย แม้แต่โลกียะกุศล ก็ยังไม่ประกอบด้วยคุณธรรม ยังบกพร่องเลย เพราะฉะนั้น ที่สูงกว่านั้น เป็นโลกุตระ ที่ต่างจากโลกียะ คือ เป็นขั้นที่รู้จัก จิตเจตสิก โลกุตระคือ มีญาณ หยั่งรู้จิตตน รู้จักกิเลสตน แล้วกำจัดกิเลสได้ กิเลสเป็นตัวการใหญ่ ในการทำให้เรา ทำอกุศล โลกุตระนี่ ต้องทำให้คนรู้และดี ต้องรู้ถึงจิต เจตสิก รูป นิพพาน คือปรมัตถ์ ต่างจาก ศาสนา กระแสหลักทั่วไป ซึ่งเขาสอนแต่ โลกียกุศล ไม่มีความสามารถรู้ถึง จิตเจตสิก แต่โลกุตระ ต้องรู้จิตเจตสิก แล้ววิจัยกิเลสได้ กำจัดกิเลสได้ ผู้มีภูมิโลกุตระ จึงมีหลักประกันชีวิต สามารถรู้ สมุทัย ผีร้ายในชีวิต ที่เกิดจากใจ สามารถกำจัด เหตุร้าย คือกิเลสได้ ที่จะปฏิบัติกาย วาจา ใจ ให้ดีแท้ รู้ลึกในปรมัตถสัจจะ ที่สูงส่ง ศาสนาพุทธ รู้จริง เป็นโลกุตรธรรม เมืองไทยเป็นพุทธ ที่เป็นโลกุตรธรรม แต่ว่าขออภัย ที่สวนใหญ่เข้าใจผิด ไปทำ ใจในใจ หรือมนสิการ อย่างไม่สัมมาทิฏฐิ ขอยืนยันเลย แม้แต่สัมมาทิฏฐิ ๑๐ ข้อ ก็เป็นมิจฉา เป็นต้นว่าทาน ก็ปฏิบัติทาน อย่างไม่สัมมาทิฏฐิ ไม่เข้าโลกุตระ ไม่สามารถ รู้จิตตน ไม่สามารถทำใจในใจ ให้กิเลสลด เพราะไม่สามารถ วิจัยจิตได้ ไม่จับกิเลส แล้วกำจัดมันได้ แต่ไปทำใจในใจ อย่างมิจฉาทิฏฐิ เช่น ทำฌาน ก็ไปนั่งสมาธิหลับตา การหลับตา ไม่มีทางเห็นกิเลสจริง อาตมา ก็เคยฟังเขาสอน นั่งสมาธิ เขาก็ว่าให้นั่งไป มันก็เมื่อย กิเลสเมื่อย มันก็ไม่อยากนั่ง แล้วว่าไอ้กิเลสก็คือ ไม่อยากนั่ง ไปนั่งนิ่งให้แข็ง สะกด ให้ดูแต่ลมหายใจ เป็นกสิณ จดจ้องอยู่ที่ นิมิตต่างๆ เช่นลูกแก้ว เป็นต้น แล้วไปเห็นว่า การเมื่อยคือกิเลส ต้องไม่เมื่อย ถ้าเมื่อยคือกิเลส อันนั้นไม่ใช่กิเลส อันนั้น มันสรีระ ไปนั่งกดประสาท ให้นิ่ง ซึ่งธรรมดา มันก็ต้องขยับ แม้นอนก็ขยับอยู่เลย แต่เขาพยายามอดทน จนสรีระเสีย เป็นต้น มันไม่อยากนั่ง ส่วนมาก มันนั่ง แล้วก็ไม่ค่อยนิ่ง ก็พยายามบังคับตน ให้ทน ถ้าไม่ทำทน ก็เป็นกิเลส ส่วนมากทำอย่างนี้ แล้วก็ไม่เข้าใจกิเลสไม่เห็นกิเลส แต่ทำ จนชำนาญ ทนได้เก่ง ถือว่าไม่มีกิเลส หนักเข้า นั่งแล้วก็หลับได้ ดับแข็งทื่อ ทำให้ประสาทหยุดไป เหมือนชาวอสัญญี ทำได้ จนร่างกายแข็ง เป็นเรื่องสรีระ ไม่ใช่การลดกิเลส ยิ่งดับไม่รับรู้ ยิ่งไปใหญ่ เป็นกิณหะ ทำให้จิตดำมืด ไม่มีแสงสว่าง ดับสัญญา เป็นอสัญญี ไม่ได้ลดกิเลส อย่างพุทธ ต้องรับรู้บทบาทว่า กิเลสลดอย่างไร มันหมดอย่างไร มีปัญญารู้ว่า กดข่ม ก็เป็นองค์ประกอบ เป็นอุปการะได้ ไม่ให้มีแรง ทำให้เรา ไปทำกาย วาจา แต่ไม่สมบูรณ์ ต้องรู้ด้วยปัญญาว่า มันเป็นแค่แขก ไม่ใช่ตัวเรา มันแฝงว่า มันเป็นเรา เราทำแล้ว จะเกิดปัญญารู้ว่า มันไม่ใช่เรา มันชั่วแฝงมาทำให้เราชั่ว ปัญญาจะเห็นจริง สามารถ สลายกำจัด มีพลังงาน ทางไฟธาตุ ที่เรียกว่า ฌาน เป็นไฟกองใหญ่ มีพลังละลาย กำจัดกิเลสได้ แต่ถ้าไปนั่งหลับตา ไม่รู้ลดกิเลส อย่างนี้ ไม่ได้เห็นความจางคลายได้ ของพุทธ ต้องทำอย่างรู้ มีอนุปัสสี ๔ แต่ว่าฤาษี ไปทำนั่งหลับตา ให้จิตสงบ ไม่รู้ว่า อะไรคือฌาน อะไรคือสมาธิ ซึ่งที่จริง ฌานคือภาคปฏิบัติ ให้ลดละกิเลส ฌานต้องรู้กิเลส แล้วมีพลัง สลายกิเลสได้ อย่างมีปัญญา เมื่อกิเลสสลาย จิตก็สะอาด ยิ่งทำให้มาก ก็ตกผลึกเป็นสมาธิ ฌานเป็นเครื่องมือ ให้เกิดสมาธิ จิตจะตั้งมั่น เป็นอัปปนา พยัปปนา เจตโส อภินิโรปนา ยิ่งแน่วแน่ แนบแน่น ปักมั่น จะเป็นคุณสมบัติ ที่พัฒนาอย่างนั้น ผู้ปฏิบัติเอง จึงประเมินค่า ความควบแน่น ของตนได้ พุทธจึงเป็นฌานลืมตา ไม่ได้หลับตาทำ ต้องรู้ปฏิจจสมุปบาท ที่เป็นสภาวธรรม อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ โศกะ ปริเทวะ ทุกข โทมนัส อุปายาสะ ซึ่งการนั่งหลับตาทำนั้น เป็นการสั่งสม ภพชาติ แต่การทำแบบลืมตานี่ ได้ล้างตั้งแต่ กามภพ แล้วจะเหลือ รูปภพ อรูปภพ เมื่อดับอรูปหมด ก็สิ้นชาติ ทุกขั้นตอน ทำอย่างลืมตา ฌานก็ลืมตาทำ สมาธิก็เกิด อย่างลืมตาทำ ชาติมี ๕ อย่าง (ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ) นี่คือปฏิจจสมุปบาท ซึ่งเป็นข้อสุดท้ายของ อวิชชา ๘ ซึ่งส่วนอดีตและอนาคตนั้น เที่ยงแล้วคือ ความเป็นนิพพานนี้เที่ยง ถ้าไม่เที่ยง ยังไม่ใช่นิพพาน เที่ยงคือไม่ใช่ตัวตน แต่เที่ยงคือหมดตัวตน อย่าง พหุชนหิตายะ (เพื่อหมู่ชน เป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ (เพื่อความสุข ของหมู่ชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ (รับใช้โลก ช่วยโลก) กิเลสนี้มันไม่เที่ยง แต่นิพพานี่แหละ คือสิ่งเที่ยง ทำอย่างลืมตา แล้วเที่ยง แล้วหลับตา ก็ยิ่งทำได้ สบายมากเลย สบม ธมด ปกต หหจจ มชยลล. เลย สบายมาก ธรรมดา ปกติ หายห่วง จริงจริง ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ อันนี้ทำอย่าง Supra-mundane เป็นสิ่งที่เหนือกว่า ปกติธรรมดาสามัญ พระพุทธเจ้าท่านนั่งสมาธิ แล้วได้เป็นพระพุทธเจ้า อย่างนี้ใครไม่เอา เหมือนอย่างที่ เขาคิดกันว่า ถ้านั่งสมาธิแล้ว ไม่บรรลุในวันนี้ จะไม่ลุกเลย ให้ตายกับการนั่งเลย อย่างนี้ ไม่ถูกต้อง ที่พระพุทธเจ้าท่านทำ คือการเตวิชโช ไม่ได้ทำสิ่งใหม่เลย ระลึกของเก่า ที่ท่านมี ตรวจสอบแค่นั้น แต่ถ้าคน ไม่มีของเก่า ไปนั่งก็ไม่ได้หรอก แต่การระลึกอดีต ก็ถ้าไประลึกได้แค่ว่า มีตัวตน บุคคลเราเขา เป็นอย่างไร แค่นั้น ก็ไม่ได้ประโยชน์เท่า ระลึกชาติ ที่เป็นปรมัตถ์ พระพุทธเจ้าท่านระลึกชาติ เข้าไปถึงสัจธรรม เป็นปรมัตถ์ ที่ท่านได้ทำสำเร็จ มาหมดแล้ว ในชาตินี้ ท่านไม่ได้ปฏิบัติธรรม เป็นสยัมภูแล้ว อย่างอาตมา ชาตินี้ก็ไม่ได้ ปฏิบัติธรรมกับใคร ที่สัมมาทิฏฐิ จนอาตมา ไปเป็นศิษย์ สำนักนั้น แล้วมีศิษย์พี่ ศิษย์น้อง แต่อาตมาไม่มี พระไตรปิฏก ล.๑๖ อาตมาขยายความเรื่อง... วิญญาณจะเกิด ต้องมีผัสสะ ก่อนมีผัสสะ ต้องมีชาติ ซึ่ง โอกกันติ ท่านแปลว่า การหยั่งลง อะไร? คือการเรียนรู้ได้ แทนที่จะเกิดอย่าง สัญชาติ แต่คุณมีปัญญารู้ว่า อันนี้มันจะเกิดนะ หยั่งลงหรือตั้งขึ้น คือญาณเรา หยั่งลงไปรู้ ความเกิดของจิต การเกิดนี้ ไม่ใช่แบบตัวตน บุคคลเราเขา การเกิดทั้ง ๕ ไม่ใช่หมายถึง รูปธรรม ตัวตน บุคคลเราเขา แต่หมายถึง นามธรรม การสัมผัสรูป ในรูปต้องมีญาณไปรู้ ถ้าไม่มีญาณ ก็ไม่รู้จัก รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ซึ่งการเกิดตรงกลาง ของการหยั่งรู้นี่คือ ญาณ แล้วเกิดการแยกแยะ (วิภังค์) ว่ามันรู้อะไร แยกแยะให้รู้ เช่น เราสัมผัสอันนี้ กัดมันแกว หวานมันดีจังเลย รสดี ถูกกิเลสมากเลย ภาคกลางเรียก มันสำเภา กัดเข้าไป ก็ว่าหวานกรอบ จะเป็นไทย ฝรั่ง จีน แขก กัดมันหัวนี้ ก็ได้รสเดียวกันหมด นี่เรียกว่า รสธรรมชาติ แต่ทีนี้ มันมีอีกรสหนึ่ง คือรสกิเลส เป็นอัสสาทะ ต้องกำจัดอันนี้ ไม่ใช่ไปกำจัด รสสัมผัสที่ลิ้น แต่รู้ความจริงตามจริง ของรสประสาท แต่อีกรสหนึ่ง ที่เป็นรสทิพย์ อันนี้แหละ ที่เป็นความรู้ใน วิชชาข้อที่ ๔ ในวิชชา ๙ รสหนึ่งคือ รสธรรมชาติ อีกรสหนึ่งคือ รสกิเลส แต่ถ้าทำแบบ ไม่รู้รสที่ลิ้น อันนั้น คือรสประสาทเสีย หูได้ยินเสียง ถ้าเทียบเสียงนี้ ได้ยินว่าไกล ใกล้ นอกจากได้ยินแล้ว ก็มีสัญญะว่า นี่เสียงกลอง เป็นเสียงตะโพน พวกนักกลองจะรู้ว่า เสียงมันคืออะไร มันต่างกันอยู่ เสียงนี้ เสียงเปิงมาง อันนี้เสียงบัณเฑาะ นี่คือเสียงธรรมชาติ แต่ที่เป็นธรรมะ คือคุณชอบ หรือไม่ชอบ คุณอยาก หรือไม่อยาก อย่างรสนี้ ก็รู้ว่านี่หวาน รู้ว่ามันมีธาตุ ที่จะเอามา ใช้ได้ มันเป็นมันแกว ก็รสอย่างนี้ รสกล้วย ก็รสอย่างนี้ แล้วรู้จิตว่า จะทำลายตัวไหน แต่การนั่ง หลับตาดับนี่ ทำลายเกลี้ยงเลย ไม่รับรู้เลย ไม่ได้เรียนรู้แยกแยะ เวทนาเลย ว่าชอบหรือชัง สุขหรือทุกข์ ถ้าเป็นอุเบกขา ก็ต้องรู้ตามจริง รู้หวาน เค็ม เผ็ด รู้ว่าเสียงเบา หรือแรง อย่างไรก็รู้ แต่ไม่มีอัสสาทะ ที่ว่าเป็นรสชอบใจ หรือไม่ชอบใจ ถ้าคุณไปหลับตา แล้วจะแยกแยะกิเลส ได้อย่างไร คุณกระทบทวาร ๖ จะรู้ได้ อย่างไรว่า กิเลสเกิดจาก การกระทบสัมผัส เพราะนั่งหลับตา ไม่ได้สัมผัส คุณจะเดา ได้อย่างไร คุณเดาก็คือสัญญา เคยจำได้ ก็เป็นคราวๆ แต่เกิดจริง ก็ต้องพิสูจน์ยืนยัน ตอนเกิดจริง ถ้าไปนั่งหลับตาสมาธิ ไม่มีทางได้นิพพาน เป็นได้แต่ มิจฉาฌาน มิจฉาสมาธิ มิจฉาผล อาตมา ทำเป็นทั้งสองอย่าง ทั้งนิโรธแบบหลับตาดับ ซึ่งไม่ยากหรอก แต่ของพระพุทธเจ้า ให้แยกแยะ กุศลอกุศล แล้วกำจัดเหตุ จนไม่มีทั้งสุขทุกข์ เป็นเฉยๆ โดยเฉพาะ ได้ฐานนิพพาน คืออุเบกขา ต้องรู้แยกแยะว่า เป็นเนกขัมมะ หรือเคหสิตะ เราออกจากสิ่งติดยึด ที่เป็นอยู่ เกิดโอกกันติ หยั่งลงแล้วเกิด ให้กิเลสลดได้ เป็นนิพพัตติ แล้วลดกิเลส จนหมด เกิดเป็นขั้นสูงสุด เรียกว่า อภินิพพัตติ จะทำอย่างรู้ๆเห็นๆ เป็นอนุปัสสี ๔ มี อนิจจานุปัสสี วิราคานุปัสสี นิโรธานุปัสสี จนเป็น ปฏินิสสัคคานุปัสสี โอกกันติ คือเริ่มมีญาณปัญญาหยั่งรู้ ถ้า ชาติ สัญชาติ ยังไม่มีญาณหยั่งรู้ จิตเจตสิก ถ้าทำได้ เป็นนิพพัตติ ก็จะเกิดใหม่ เป็นพันธ์ใหม่ เกิดนิพพัตติ เป็นการเกิด ที่รู้ กิเลสละ กิเลสตาย คุณทำอนิจจานุปัสสี จะรู้ว่ากิเลสไม่เที่ยง เราทำมันลดได้ เห็นความไม่เที่ยง แบบลดลง หรือทวีขึ้นๆ ถ้ากิเลสมันเพิ่ม ก็ไม่ไปหานิพพาน แต่ถ้ากิเลสลดลง เราก็เห็น ความจางคลาย จนมันดับ เราก็รู้ความต่างว่า การลดลง หรือหมด ก็ต่างกัน ถ้าไม่หมด ก็อ่านออก ยังมีลีลาอยู่ มีอาการรูป มันยังมีวิญญัติยังไหวอยู่ หรือมันดับแล้ว ไม่เคลื่อนไหวแล้ว ทำอย่างลืมตา อย่างมีปัญญา มีจักษุ ปัญญา ญาณ วิชชา แสงสว่าง เราทำอย่างรู้สัมผัส นามธรรม ที่ไม่มีตัวตนสีสันให้เห็น แต่รู้ได้ ด้วยการฝึก กำหนดรู้ใน อาการ ลิงค นิมิต ซึ่งมันมีอาการก็รู้ แล้วมันต่างกันอย่างไร เป็นลิงค มันมีความแรง มันมีความเบาอย่างไร ในลักขณรูป มีวิการรูป มันมีอาการ หรือ ไม่มีอาการก็รู้ ยิ่งรู้วิญญัติรูป แล้วคุณก็รู้จัก อาการในรูป ๒๔ ซึ่งไม่ใช่รู้แค่ภาษา แต่อ่านสภาวะออกด้วย จะปฏิบัติธรรมได้สนุก มันอ่านรู้ของจริง เหมือนดูหนังจีน สนุกกว่าไปรบราฆ่ากัน แย่งลาภยศด้วย ศัตรูอันนี้ร้ายกาจ ทำได้แล้วสนุกสนาน การเกิด ๕ ชนิดนี้ มีความชัดเจน เข้าใจแล้วไปปฏิบัติ รูปมีความหมาย สองอย่าง ๑.รูปคือโครงร่าง ๒.รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ แม้นามธรรม ก็ถูกรู้ได้ นามธรรมไม่มีสีสันตัวตน วิญญาณ นั้น อนิทัสสนัง แต่รู้ได้ด้วยอาการ อย่างการโกรธ คนเราเคยโกรธไหม แล้วมัน มีสีอย่างไร ไม่มีเส้นสายอะไร หรืออาการอร่อย มันมีสีสันรูปร่างไหม ไม่มี แต่มันเป็น อาการทางใจ แต่คุณรู้มันได้ว่า นี่โลภ นี่โกรธ นี่ราคะ คุณต้องกำหนดหมายรู้ ได้ด้วยตนเอง กำหนดหมายได้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส การเกิดตายทางจิต เรียกว่า โอปปาติกโยนิ สัตว์นรกก็คือในจิต ทำให้สัตว์นรกตาย จิตก็เริ่ม เกิดเป็นเทวดา จิตเราทำลาย กำจัดเหตุแห่งนรกได้ ก็อุบัติเป็นอุบัติเทพ แล้วทำได้บริสุทธิ์ เป็นวิสุทธิเทพ จิตกุศล จิตเจริญ จิตสะอาดจะเกิด ถ้าไม่ถึงบริสุทธิ์เลย ก็จะสะอาด เพิ่มขึ้น เป็นอุบัติเทพ แต่เป็นการตายการเกิด อย่างไม่มีซาก ไม่มีรูปร่าง แต่รู้ได้ด้วยอาการ ลิงค นิมิต อุเทส เป็นการเกิดการตาย ทางปรมัตถ์ ถ้าคุณอ่านออกเข้าใจ จากนิพพัตติ เป็นอภินิพพัตติ ก็คือตัวปลาย เกิดนิโรธ ถาวร เป็นวิสุทธิเทพ เป็นเทพเจ้า เป็นพลังจิต ที่สะอาด บริสุทธิ์จริง เป็นพรหม เทวดา เป็นเทพเจ้า ส่วนสมมุติเทพ เป็นความพอใจ ถูกใจตามโลก เช่นได้ลาภมาก มีอำนาจมาก เป็นพระเจ้าแผ่นดิน เรียกว่า สมมุติเทพ เสพกาม เสพอัตตา ได้เต็มที่ ก็เป็นผู้เจริญ ทางโลก เป็นเทวดา สมบัติผลัดกันชม ตกนรก ขึ้นสวรรค์ ไม่รู้กี่ชาติ สวรรค์นั้น มีเพียงตอนเสพ แต่แวบเดียว หมดสัมผัส ก็ไม่มีแล้ว เหลือแต่ความจำ อร่อยไม่มี ตอนหมดสัมผัสแล้ว แต่ที่ระลึกได้ว่า อร่อยนั้น ไม่ใช่รสของจริง แต่คุณยึดติด ความอร่อย เป็นอุปาทาน ไว้ในอัตภาพนี้ เป็นเวร เป็นวิบากไหม จึงเรียกว่า สุขหลอก สุขไม่จริง แต่ทุกข์นั้น ติดไปอีกนาน อย่างไปได้กิน มันแกวนี้อีก พอดีรส ตรงกับ ที่เคยจำไว้ว่า อร่อย ก็ชื่นใจอีก มาต่อเรื่อง ภพ ในทวารทั้ง ๕ มีโผฏฐัพพารมย์ เป็นอันที่ ๕ ที่เหลือคือ ตา หู จมูก ลิ้น อีก ๔ อัน เรียกว่า ปสาทรูป ส่วนโคจรรูป มี ๔ อย่างคือ ดำเนินเรื่องบทบาทอยู่ ในกามภพ ท่านตั้งต้นอย่างหยาบ คือ อบาย มันหยาบของใครของมัน เช่นโลภมาก ราคะมาก สุขมาก ทุกข์มาก ไม่เท่ากัน คนเรา กระทบสิ่งเดียวกัน แต่หลงไม่เท่ากัน สารพัด แล้วแต่สมมุติ เช่นกระเป๋าหนังแรด หนังจรเข้ แพง ก็หลงไปใช้จิตวิทยาว่ากันไป งงเลยว่า กระเป๋าใบละ ๔ ล้านบาท บางที ก็แล้วแต่เทรนด์ ในแต่ละปีๆ ปีนี้สีเหลืองนำ ก็เหลืองสวย ปีหน้าเขียวสวย ก็เขียวสวย ปีนี้ส้นสูงสวยก็สวย ปีนี้ส้นเตี้ยสวย ก็สวยไปกับเขา ถ้าคนเป็นส้น ก็คงงงว่า ปีนี้เอ็งบอกว่า กูสวย แต่ปีหน้า เอ็งบอกว่า กูไม่สวย ถ้าส้นพูดได้ คงว่าแล้วนะ นี่คือ การไปทำให้จิต หลงงมงาย เป็นอบายมุข รสชาติ ต้องฮาร์ดร็อค ถ้าไม่แรงไม่ถึงใจ เป็นต้น อาตมาพาคืน มาเลิกโง่ เลิกถูกหลอก มาได้พอสมควร ที่หลุดมาได้นี่ ริสยาที่เขา ยังอร่อย หรูหรา ฟู่ฟ่าอยู่ไหม?... ก็ไม่ริสยาเขาหรอก รู้สึกตลกเลย บางคนดีไม่ดี ไปด่าเขาอีก ระวังเขาตอกกลับนะ วันนี้ได้ขยายความ อบายมุขก็มีหลากหลาย อย่างไปโลภมาก จัดจ้านนี่ ก็อบายมุข .
|
||
|