|
||
ตอนนี้เอาบทความมาอ่าน ประกอบการบรรยาย... ฟ้าเป็นผู้กำหนด-มนุษย์เป็นผู้เดิน ไม่เกิน ๑๕ มกรา ๕๗ ชนะที่มีผลสำเร็จ เป็นรูปธรรม จะเป็นรางวัลแรก "ล้างเหงื่อ" มหาชน. ขณะนี้ก็มีคนถามกันมาก ว่าจะจบอย่างไร ที่ประชาชนมาปฏิวัติ อย่างสันติ อหิงสา ไม่มีอาวุธ แล้วจะชนะอย่างไร โดยเฉพาะ เจอกับพวก ง่านโด้ อย่างนี้ อย่างที่ พวกเราทำนี่ เป็น Authority ไม่ใช้ Force เราเอาความถูกต้อง ความจริงต่อสู้ คนถูก ควรชนะ คนผิดควรแพ้ ยกตัวอย่างเช่น ผบ.ตร.ออกมายอมรับว่า คนชุดดำบนดาดฟ้า และที่ทุบรถ เป็นตำรวจจริงๆ แม้แต่นายกฯ เป็นสัมภเวสี เร่ร่อนไปเรื่อย ไปเจอประชาชน อย่างแรงสุด ก็เป่านกหวีดไล่ เป็นปรากฏการณ์ ที่เป็นโอกาสที่ ไม่เคยพบ ไม่เคยเห็น ได้บันทึก จดจำไว้ ให้ลูกหลานฟัง มีคนเขียนทางออกไว้หลายอย่าง อย่างทางออกที่ ๑ ที่เขาว่าไว้คือ ยิ่งลักษณ์จะต้อง ลาออกจาก รักษาการณ์ และ ไม่แต่งตั้งใคร มารักษาการณ์ นี่เป็นทางหนึ่ง ถ้าเป็นอย่างนี้ได้ จะราบลื่นมากเลย จะเกิดสุญญากาศ ประธานสภาฯ ก็จะเสนอคนดี มาเป็นนายกฯ ตามมาตรา ๗ ให้ผู้ใดเสนอ ก็แล้วแต่ แล้วก็จัด ให้มีเลือกตั้ง เราไม่ปฏิเสธเลย เราไม่ได้มา ล้มล้างสิ่งนี้ แต่ต้องทำ อย่างมีปัญญา ไปตีกินว่า เราจะล้มการเลือกตั้ง คิดว่าเขารู้อยู่นะ ว่าเราไม่ได้ ไม่เอาเลือกตั้ง เราทำอย่างสากล ทั้งนั้นแหละ เราทำอย่างถูกต้อง ตามรธน.สากล ตามคุณธรรมด้วย ผู้ที่เป็นแก่นแกนทำได้ นอกนั้น มีบกพร่อง ไม่มากนั้น แม้ว่าไม่สามารถ เอาอำนาจเก่า ลงได้ก็ตาม ถึงอย่างนั้น มันก็มี ปรากฏการณ์เกิดว่า ประชาชนไทย ได้ทำหน้าที่ ในระบอบ ประชาธิปไตย อย่างงดงามวิเศษ แต่สู้ความเลวร้ายไม่ได้ ก็ต้องรับวิบากต่อ แต่ถึงวันนี้แล้ว ประเมินองค์รวม ของงาน ประชาชนปฏิวัตินี้ อาตมาว่า มันมีผล ก้าวหน้า ชนะได้แต้มมาตลอด เป็นมวย เก็บคะแนนมาเรื่อย คะแนนนำลิ่ว ถ้ากรรมการ ตาถั่ว ให้เราแพ้อีก ก็แย่แล้ว เพราะมวยศีลธรรม ไม่มีน็อคอย่างมวย ใช้ความรุนแรง ที่ทำกัน จนตาย หมอบคาเวที เราไม่ทำอย่างนั้น เราไม่ได้รบ ด้วยวิธีอย่างนั้น เรารบกัน ด้วยวิธีเจริญ อย่างอาริยะ พวกเราผ่านข้าม วิธีเก่าแล้ว ก็ตั้งใจทำต่อ พากเพียรร่วมกันคนไทย นัดกันวันที่ ๑๓ ก็มาเถอะ แม้วันนี้ ก็ไปกัน แน่นถนน ถ้ายิ่งลักษณ์ลาออก ก็จะดี แต่ถ้าไม่ลาออก ยังยึดเก้าอี้ รักษาการณ์นายกฯ แล้วใช้เงินหลวง ไม่ถูกต้อง ตามอำนาจ หน้าที่ก็ตาม เราก็ประเมินดู ถ้าไม่ออก มวลมหาประชาชน ก็ต้องใช้อำนาจตาม มาตรา ๓ (อำนาจอธิปไตย) อำนาจอธิปไตย เป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อำนาจนั้น ทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติ แห่งรัฐธรรมนูญนี้ อำนาจอธิปไตย เป็นของปวงชนชาวไทย อันนี้ขยายมาจาก มาตรา ๒ (รูปแบบ การปกครอง) ประเทศไทย มีการปกครอง ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข เมื่อทำหน้าที่แล้ว เป็นตัวแทนประชาชน เป็นผู้รับใช้ เป็นครม. เป็นรัฐสภา กลับกบฏ ต่อหน้าที่ ทำผิด ซ้ำแล้วซ้ำอีก แล้วออกมา ต่อต้านผู้ตัดสิน คือศาลอีก อย่างนี้เรียกว่า ง่านโด้มากนัก เราก็บอกดีๆให้ออกก็ไม่ออก ต่อไป เราก็ต้องใช้วิธี ตัดแขนตัดขา ระบอบทักษิณ ไม่ให้รัฐบาลนี้ ทำงานได้ต่อไป อีกนัยหนึ่ง คืออำนาจที่ชี้ถูกผิด บอกให้เขาหยุดได้ ถ้าทำผิด สามารถบอกได้ ชัดเจนว่า คุณควรหยุด ไม่ควรอยู่ต่อ เป็นสองนัยใหญ่ๆ ซึ่งเราได้ทำแล้ว เขาเถียงไม่ออก โกหกไปวันๆ จำนนทุกอย่าง แต่ไม่ออก ไม่ปล่อยวาง แล้วเราก็ไม่ทำรุนแรง เกินการณ์ เป็นเรื่องยาก ที่จะทำกับคนด้าน อำนาจที่ว่านี้เกิดอย่างไร ประกอบอย่างไร คำว่าอธิปไตย แปลว่า อำนาจ ส่วน ประชา ก็คือมวลของประเทศ อำนาจเป็นของประชาชน ในระบอบประชาธิปไตย ประชาธิปไตย คือประชาชน และ อธิปไตยหรืออำนาจ เมื่อมีสองส่วนคือ คนและอำนาจ ถ้าคนไม่รู้ ไม่มีปัญญา และไม่ดีอีกด้วย ก็จะเกิดอำนาจ ตามหน้าที่ ที่ตนคิด และ ทำออกมา เป็นอำนาจไม่ดี เป็นหน้าที่ไม่ดี ทำไม่ดี เกิดภาวะที่ไม่ดี รวมกัน เป็นเนื้ออะไร ออกมา ที่ไม่ดีในสังคม เป็น Force ส่วนอำนาจที่เกิดจากคนดี มีปัญญา ก็กระทำออกมาดี เป็นอำนาจประเสริฐ อำนาจดี เป็นAuthority ถ้าสูงส่งก็เป็นโลกุตระ เป็นระดับอาริยะ เราทำอย่างสงบ ไม่รุนแรง รักษาไว้อย่างดี เหน็ดเหนื่อย ทนทรมานทำ แต่ก็ได้ผล ที่เกิดมาดีอย่างนี้ ถือว่าเป็นบุญ ของประเทศมากเลย ที่จะเข้าใจ และยืนหยัด ยืนยันทำ ไม่ใช่เรื่องเล่นเลย โดยเฉพาะเขาทำมา ก็ทำให้ตาย และบาดเจ็บ ไปหลายคน มันเป็นการเสี่ยง แต่งานใหญ่สำคัญหนักหนา ยากขนาดนี้ เกิดผลเสียขนาดนี้ ถือว่าเล็กน้อย แต่ว่าพูดไปอย่างนี้ ต้องขออภัย ไม่เจตนาดูถูก คนบาดเจ็บ และตายนะ อธิบายเนื้อหา ที่เกิดได้อย่างนี้ ภูมิใจในคนไทย ที่ทำได้ อย่างนี้คือประเสริฐ นี่คืออาริยะ พอสะกิด เตือนกันได้ ให้เข้าใจ ออกมาทำร่วมกัน ไม่มีปรากฏการณ์มาก่อน ไม่มีใคร คิดว่า วันที่ ๒๔ พ.ย. ๕๖ ที่กำนันสุเทพนัดมา โอ้โห เกิดความประหลาด ว่าออกมามาก และเรียบร้อย ไม่มีเจ็บ ไม่มีตาย ทางคู่ต่อสู้ ก็ไม่คิดว่าจะได้มากขนาดนี้ มาถึง ๒ล้านคน ออกมา แสดงมวล ดื้อๆตรงๆ เป็นปรากฏการณ์ ที่สุดยอดแล้ว กำนันสุเทพ ก็เลยนัดออกมาอีก วันที่ ๙ ธันวาคม ๕๖ ก็ออกมา ๕ ล้านเลย ก็มหัศจรรย์ มากเลย ไม่เคยมี ปรากฏการณ์ขึ้นมา กำนันก็ยังไม่ชัดใจ ขออีกทีหนึ่ง วันที่ ๒๒ ธันวาคม ๕๖ คราวนี้มามาก จนไม่มีที่ จะเดินเลย เต็มถนนหนทาง มามากกว่า ๕ ล้านเลย เป็นคำตอบที่ สื่อสารออกไปทั่วโลก เรื่องนี้จบเมื่อไหร่ ถ้าเหตุการณ์ข้างหน้า จะบานปลาย เมืองไทย มีสิ่งประเสริฐ เลิศยอด มันน่าจะยอมเสียเถอะ ให้สิ่งนี้เป็น ปรากฏการณ์ ที่ยิ่งยอด ในวันที่ ๑๓ ม.ค. ๕๗ นี้มั่นใจว่า คนจะมา มากกว่าเดิม แล้วคนที่ดันทุรังอยู่ จะยอมไหม จะยกธงขาวไหม? อาตมาว่า คนไทยนี่ จะมีอภัย ให้เห็นนะ แล้วให้มี รัฐบาลเฉพาะกาลมา ประชาชนทำได้ มีผู้รู้ ผู้มีประสพการณ์มาก พอทำได้ แผ่นดินไม่ไร้ เท่าใบพุทธา เป็นปรากฏการณ์ใหม่ของโลก เป็นประชาธิปไตย ที่งดงามมาก ถ้าประชาชน ออกมามาก จริงๆ แล้วเรียบร้อย ในวันที่ ๑๓ สุดยอด อาตมาว่า จะลงเอย งดงามมาก เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ที่ยิ่งใหญ่กว่าวัตถุ เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ทางการเมือง การปกครอง ที่ยิ่งใหญ่ ผู้ที่ดึงดันอยู่ เสียสละหน่อยได้ไหม เพื่อประเทศไทย แม้แต่ข้าราชการ ที่ดึงดันอยู่ เลิกเลยออกมาอยู่กับ มวลมหาประชาชนเลย มาเติมคะแนน ให้บริบูรณ์สูงส่ง วันที่ ๑๓ นี้ออกมากันได้ ๒๐ ล้านคน แล้วทางคณะ ที่ดึงดันอยู่ ก็ตัดสินใจ เห็นแก่ประเทศชาติ ยอมยกให้แก่ ประชาชนเลย จะได้มีสิ่งบันทึกไว้ว่า สุดยอด เป็น A Great Record เลย เป็นบันทึก ที่ยิ่งใหญ่ อย่างวิเศษ วิเสโสเลย พูดไปให้สติ ให้รู้ให้เข้าใจว่า สิ่งที่จะดีต่อมนุษย์ต่อสังคม ต่อประเทศชาติ คืออย่างนี้นะ วันก่อน ประธานองคมนตรี พล.อ.เปรม มีเนคไทเป็นของขวัญ ที่กล่องมีเขียนว่า เกิดมา ต้องตอบแทน คุณแผ่นดิน เป็นการเสียสละ เพื่อส่วนรวม จริงๆแล้ว การเสียสละ เพื่อส่วนรวม เป็น จิตโลกุตระ ถ้าไม่มีกิเลส จะทำได้ง่าย เมื่อรู้ว่าเป็นกุศล ก็ทำได้ง่าย เพราะไม่มี จิตต้าน แต่ถ้ามีจิตต้าน แล้วได้ทำ ฝืนทำสิ่งดี ก็ได้ทำจิตโลกุตระ เป็นค่าทางธรรม ที่สูงส่งยิ่งใหญ่ ที่ศาสนาพุทธสอนนี่ เป็นโลกุตรธรรมทั้งสิ้น ส่วนโลกียธรรม เขาสอนกันมา ทั่วโลก สอนให้ทำดีละชั่ว ก็เป็นของสามัญ แต่ตัวสำคัญ คือเหตุที่อยู่ในใจ มีตัวการ เป็นอกุศลจิต มาจากจิตเป็นประธาน การศึกษาพระพุทธเจ้า จึงให้ตามรู้ในจิต รู้เหตุ ที่เกิดในจิต ที่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ แล้วมีปัญญาด้วย จนมีวิธีกำจัดกิเลสได้อย่างจริงจัง และกิเลสก็ลดได้ เป็นโลกุตรธรรม ซึ่งไม่ใช่แค่ ละชั่ว ประพฤติดี แค่นั้น แต่ว่าต้องรู้ จิต เจตสิก รูป นิพพานด้วย อย่างรู้แจ้ง เห็นจริง แม้เป็นนามธรรม ก็รู้ได้ พระพุทธเจ้า ตรัสรู้อันนี้ ทุกพระองค์ แล้วมาสั่งสอน ให้คนทำตามได้ มีทฤษฎีนี้ เมืองไทยเป็นพุทธ แต่ทฤษฎีเพี้ยนไปจาก ของพระพุทธเจ้า จึงไม่เกิดผล แต่พุทธ ก็ยังไม่หมด ไปจากไทย ยังมีผู้รู้ค้นออกมา แล้วพาทำ จนคนมีโลกุตรธรรม มาจริง เป็นจิตที่ ลดกิเลสได้จริง กิเลสลดหมดสูงสุด ก็คืออรหัตผล โสดาบันลดได้ ๒๕% ,สกิทาฯลดได้ ๕๐% ,อนาคาฯลดได้ ๗๕ % ,ลดได้ ๑๐๐% ก็เป็นอรหันต์ มีหลักสูตร ชัดทุกอย่าง ในรายละเอียด เมื่อวาน ก็ได้ลงลึกใน ปฏิจจสมุปบาท วันนี้ มาต่อเมื่อวานนี้ ความรู้ของพระพุทธเจ้านี้ ได้แล้วประเสริฐสุด ในความเป็นมนุษย์แล้ว สังขาร มีสังขารกาย กับสังขารจิต สังขารคือการปนปรุง มีของนามธรรม และรูปธรรม ในนามธรรม ก็มีจิตเจตสิก ปนปรุงกันได้หลายอย่าง พระพุทธเจ้าให้แยกแยะ การปนปรุงให้ออก ให้รู้ว่า อาการอย่างนี้คือ วิญญาณ อย่างนี้คือสังขาร อย่างนี้คือ เวทนา อย่างนี้คือสัญญา วิญญาณอยู่ในตัวเรานี่แหละ แต่มันไม่มีสีสันรูปร่าง ตายไป ก็จะออกจากร่าง อย่างที่เขา เรียนกันว่า วิญญาณ เมื่อตายไป ก็ล่องลอยออกไปมีตัวๆ อย่างนี้ เป็นความรู้ที่ผิด พระพุทธเจ้า ได้บริภาษ ภิกษุสาติ ที่บอกว่า วิญญาณล่องลอย ออกจากร่าง ตอนตายไปแล้วนั้น นั้นไม่ถูกต้อง เราไม่เคยสอน แต่เราสอน ให้เห็นวิญญาณ ตอนเป็นๆ เห็นที่เราเอง เมื่อตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น เมื่อกระทบแล้ว เราก็รู้ การรู้นี่แหละ คือวิญญาณ ก็ไม่เข้าใจกัน แต่ว่าไปสอน ให้เห็นวิญญาณ เป็นรูปร่าง ล่องลอย เป็นรูปเทวดา เป็นรูปสัตว์นรก อย่างนี้ ไม่ตรงคำสอน พระพุทธเจ้า วิญญาณ นั้นไม่มีรูปร่างตัวตน แต่รู้ได้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส เช่นเราตายไป ไม่มีทวาร ๕ ไปกระทบแล้ว แม้คุณ จะจำรูปได้ มันก็เป็นความจำ ไม่ใช่ความจริง แต่ไปเข้าใจผิดว่า นี่คือสัตว์นรก จริง แล้วไปยึดว่า นี่คือของจริง ไปยึดว่า อุปาทาน เป็นสิ่งจริง เอาความจำ เป็นตัวตนจริง เลยไปหลงเลอะ แม้ตายไป มีอวิชชา ก็เห็นของปลอมทั้งนั้น แต่เขาก็ยืนยันเลยว่า เห็นจริงๆ ก็ว่าเห็นจริงๆ แต่มันไม่ใช่ของจริง ทำนองเดียวกับ คำโกหก มีจริง แต่มันเป็น คำไม่จริง แต่หลงความไม่จริง เป็นของจริงอยู่ เท่ากาลนาน ตอนเห็นๆ กระทบนี่แหละ คือวิญญาณ แต่ว่าพอหลับตา ก็ไม่เห็นแล้ว แต่ที่รู้ได้นี่ คือสัญญา คุณมีปัญญารู้ว่า ที่สัมผัสนี่ คือวิญญาณ ขณะนี้เป็นของจริง ในขณะที่ คุณกระทบสิ่งนี้ เช่น กระทบดอกไม้ ก็รู้สึกว่าสวย สมมุติว่าสวย เราก็เข้าใจ ตามเขา กำหนดว่าสวย แต่มันมีลึกซึ้งว่า ตนชอบ หรือไม่ชอบ นี่แหละคือกิเลส ถ้าคุณรู้ว่า สวยตามสมมุติ ก็ทำได้ ที่เขายอมรับ นับถือกัน แต่อาตมา ไม่มีอารมณ์ ชอบหรือชัง นี่คือ การแยกความซ้อน ในวิญญาณได้ วิญญาณเป็นองค์รวมของ เวทนา สัญญา สังขาร เช่นคุณสุข ก็แค่ตอนสัมผัส เมื่อหยุดสัมผัส ก็ไม่มีแล้ว แต่คุณจำไว้ว่า มีรสสุข มันเป็นความจำ ไม่ใช่ความจริง หรือ คุณกระทบเสียง รู้สึกสุข แต่ว่าพอไม่กระทบ ก็ยังรู้สึกสุขอยู่ เป็นความจำ เพราะฉะนั้น ล้างสุขในความจำ ยากกว่า จะล้างสุข ในตอนความจริง สรุปแล้ว วิญญาณมันสุข คือเทวดาสมมุติเทพ เมื่อทุกข์ ก็คือสัตว์นรก เราต้องล้าง ความชอบ ไม่ชอบ เรารู้หอมเหม็น สวยหรือขี้เหร่ ตามสมมุติได้ ไม่ว่าเชื้อชาติไหน สัมผัส ก็จะรู้เหมือนกัน แต่ภาษา อาจต่างกัน ตามสัจธรรมทุกคน เหมือนกันหมด สัมผัสได้ แต่อารมณ์ ที่เป็นกิเลส ต่างกันมาก หรือเหมือนกันก็มี คล้ายกันก็มี แต่ไม่มาก เช่น เป็นรสนิยม เป็นแฟชั่น หลายคนรวมกัน ก็แบบเดียวกัน แล้วก็เกิดสุขทุกข์ พระพุทธเจ้าสอน ไม่ใช่ให้ดับ ความรับรู้ แม้ลืมตา ก็ไม่ให้มันรับรู้แข็งทื่อ คุณไม่รับรู้ หรือทำหูดับ ตัดทวารได้ ใช้พลังกดข่ม ดับการกำหนดรู้ ทั้งที่เสียง มันเข้าหูอยู่นะ เหมือนคุณหลับ แต่ไม่รับรู้ เป็นต้น ตามันหลับ ก็ไม่รับรู้อะไร แล้วการไม่ได้ยินไม่ได้เห็นไม่ได้กลิ่น เขาเข้าใจว่า นี่คือนิโรธ ไม่ให้จิตรับรู้ มันก็ไม่ทำงาน แม้มีเสียง กระทบหู ก็ไม่ได้ยิน ต่อให้ตาลืม กระทบแสง เข้าม่านตา ก็ไม่รับรู้ไม่เห็น เพราะคุณระงับ ตัดประสาท นี่คือ การฝึกนั่งทำนิโรธ แบบฤาษี แล้วหลงว่า นี่คือนิโรธพุทธ เขาทำกันเกลื่อนเลย ดับไม่รับรู้ แข็งทื่อ อย่างนี้ผิด นิโรธของพุทธ คือตาเห็นรูป ก็เห็นเหมือนกัน ตามจริง รูปเสียง กลิ่นรส เห็นเหมือนกัน เป็นธรรมชาติ ส่วนเมื่อรู้แล้ว คุณมีชอบชัง หรือสุขทุกข์ อันนี้แหละ คือที่คุณต้องดับ ได้รับรู้ ทุกทวาร แต่ว่าไม่ให้ เกิดสุขเกิดทุกข์ มาเป็น ไม่สุขไม่ทุกข์ หรืออุเบกขา ซึ่งเป็น ฐานนิพพาน วางเฉย อย่างรู้แจ้ง เห็นจริงหมด นี่คือ นิโรธพระพุทธเจ้า เป็นธรรมะ ที่ลึกซึ้ง ละเอียด (นิปปุนา) เพราะถึงขั้นอุเบกขา ทำได้ก็สั่งสมอุเบกขา ไปทุกขณะ ที่ทำได้ แม้กระทบรูป รส กลิ่นเสียง กระทบโลกธรรม เราก็อุเบกขาให้ได้ ก็สั่งสม นิพพพาน เราต้องฆ่าเหตุให้ได้ จิตก็สะอาด เป็นวิญญาณที่ใส ไม่มีเวทนา สัญญาที่เป็น เคหสิตเวทนา ในเวทนา ๑๘ อยู่ในเวทนา ๑๐๘ เคหสิตเวทนา ๑๘ นี่คือ มโนปวิจาร ๑๘ สำคัญมาก เกิดจาก เวทนา ๓ มี สุข -ทุกข์ -อุเบกขา เกิดได้ในการกระทบ ทางทวารทั้ง ๖ เป็นเวทนา ๖ แล้วแต่ละทวาร ก็มีเกิดได้ เป็น สุข-ทุกข์-อุเบกขา รวมเป็น ๑๘ (สำคัญคือ ต้องมีการกระทบ สัมผัสด้วย ไม่ได้กระทบ ก็มีแต่สัญญา) การกระทบสัมผัส จะเกิดวิญญาณ แล้วคุณต้องแยก เวทนา สัญญา สังขาร ตัวสัญญา จะทำหน้าที่สำคัญ ในการกำหนดรู้ รู้ว่าสังขารอย่างไร ปรุงแต่งเป็นสุข เป็นเทวดาสมมุติ สุขทุกข์แบบโลกีย์ ได้ลาภได้ยศมา เพราะพี่ให้ ก็สุขใจ ยิ่งสุขมาก ก็ชอบมาก ก็ดิ้นรน อยากได้มามากๆ ขนาดฆ่าผัวมันเสีย เอาเมียมันมา แต่พอมาเรียนรู้ มโนปวิจาร ๑๘ เป็นทางโลก ๑๘ (เคหสิตเวทนา) แล้วก็เป็น ทางธรรมอีก ๑๘ (เนกขัมสิตเวทนา) ให้รู้รูปภายใน แต่ก็เนื่องจาก รูปภายนอก รูปคือ สิ่งที่ถูกรู้ นามธรรมก็ถูกรู้ แม้ไม่มีรูปที่เป็นวัตถุ แต่เป็นนามธรรม ที่ถูกรู้ภายใน เป็นองค์ประชุม ของนามธรรม เรียกว่า นามกาย เมื่อเราแยกเนกขัมมะ กับเคหสิตะได้ แยกออกว่า เราได้ออกจากกาม ออกจากโทสะ ทำให้มันลด มันหายออกจากใจเราได้ ขณะสัมผัสจริง เห็นอยู่หลัดๆ เห็นมันจางคลาย รู้แจ้งเป็นวิทยาศาสตร์ ผู้ใดรู้เคหสิตเวทนา แล้วทำออก ทำให้เป็น เนกขัมสติเวทนาได้ก็คือ ผู้ได้โลกุตระ รู้เห็นว่า กิเลสดับไป หลัดๆเลย เป็นจักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่างเลย ไม่ใช่ไปดับ อย่างไม่รู้แจ้งเห็นจริง ไปดับทำ ไม่ใช่ไปดับสัญญาทั้งดุ้น เป็นอสัญญีสัตว์ ทั้งที่สัญญา ทำหน้าที่ กำหนดรู้ ก็ไปดับสัญญา เมื่อดับสัญญา เวทนาก็ดับไปด้วย แล้วไปแปลว่า สัญญาเวทยิตนิโรธ คือการดับ ทั้งสัญญาและเวทนา นี่คือความผิด เป็นความเข้าใจ ที่ผิดมาก ทำแบบ ไม่รู้สึก อะไรเลย ดับเข้าไปในภพ นั่งสมาธิ จิตนิ่งอย่างเดียวไม่รับรู้อะไรเลย มืดเป็นกิณหะ ... จบ
|
||
|