_570109_เรียนอิสระฯ พ่อครูและอ.กฤษฎา
เรื่อง ดีเอ็นเอของพุทธถูกจุดชวาน

        อ.กฤษฎาว่า... ที่ผ่านมา รายการพ่อครู มีเรื่องเกี่ยวกับ “สันติปฏิวัติ” วันนี้เรามี การพูดคุย ประเด็นข้อกฎหมาย ซึ่งระหว่าง กฎหมาย และศีลธรรมนั้น ควรเกี่ยวเนื่อง กันอย่างไร การใช้กฎหมาย อย่างไม่คำนึง จริยธรรมนั้น เป็นอย่างไร

        ทำไมทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า อยู่อย่างนั้น เนื่องจากอะไร เกี่ยวกับเรื่อง มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา

        พ่อครูว่า.... จุดนี้เป็นจุดที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา คือ ปุพพังคือมาก่อน อะไรก็มาจากจิต แล้วจะเจริญสำเร็จ ก็ด้วยจิต ที่ว่า จิตเป็นหลัก เป็นต้นตอ คือทำไมไม่เสร็จสักที เพราะไม่สำเร็จไปที่จิต ต้องแก้ไขที่ตัวเหตุ ที่อยู่ที่จิต ที่รู้ในอริยสัจ คือ สมุทัยอริยสัจ

        ต้องค้นที่ จิต เจตสิก รูป นิพพาน เป็นสิ่งที่ตรัสรู้ของพุทธ  เป็นปรมัตถธรรม ปรมะคือบรม , อัต คืออัตถะ หรือเนื้อแท้ , ส่วนบรม คือสูงส่งยิ่งใหญ่

        รวมเป็นเนื้อแท้ ที่สูงส่งยิ่งใหญ่ ที่เป็นต้นตอ ที่แก้ไขแล้วเสร็จจบ เราต้องศึกษา มุ่งให้ได้ ที่นี่คือจิต เราต้องตรวจสอบให้ดี แต่ละคน ยิ่งมาทำงาน บริหารประเทศสังคม ที่เดือดร้อน เพราะผู้ที่เรามอบหมาย ให้ไปทำงาน มีอำนาจในการทำงาน มีอำนาจสั่งการ สามารถแก้ไข หลักเกณฑ์ต่างๆ สามารถใช้ทรัพยากร ของประเทศ ก็เลยเป็นโอกาสที่ ถ้ากิเลสมาก ก็ตาลาย เห็นลาภยศต่างๆ มีอำนาจทำด้วย ก็สั่งการได้ ถ้าคนไม่จริง จิตเห็นแก่ได้ ขี้โลภจัด อาฆาตมาดร้าย เห็นแก่ตัว อัตตาจัด บ้านเมือง ก็เสียหาย เดือดร้อน อย่างที่เป็น

        การแก้ไข ต้องแก้หลักแรกเลย ต้องตรวจภาวะทางจิต ต้องมีคุณธรรม แล้วจึงให้ คนเหล่านั้น มีโอกาสไปทำงาน ต้องตรวจสอบจิตใจ คุณธรรม ที่ลึกซึ้งถึงจิต มีวิธีตรวจสอบได้ โดยการคบคุ้นกัน ในสังคม ก็พออ่านออกได้ ว่าใครเห็นแก่ตัว หรือ เสียสละ มักน้อยสันโดษ มันพอรู้กันอยู่ ในสังคม ผู้มีบทบาท ในสังคม ก็พอรู้กันได้ ใครมีชื่อเสียง แม้เขาไม่อยากมีชื่อเสียง ก็เป็นปรากฏการณ์ได้

        แล้วความประพฤติ ที่จะให้มีคุณธรรม เกิดได้ต้องศึกษาฝึกฝน ให้จิตเจริญให้ได้ การศึกษา ทุกวันนี้ ทั่วโลกเลย ไม่คำนึงถึงจิต คำนึงแต่เทคนิค ความรู้สามารถ เป็นหลัก เรียนมีฝีมือ สามารถเลี้ยงตนเป็นหลัก คนเลยเผิน ไม่ลึกในคุณธรรมความดี เป็นความผิดพลาด ทั้งโลกเลย ทุกมหาวิทยาลัยเลย แล้วไม่คำนึง ด้านจิตใจเลย ไม่คำนึง คุณธรรมเลย ข้อบกพร่องมันคือ ตามภูมิอาตมานะ

        คือ ผู้รู้ไม่ได้รู้ทฤษฏี ที่วิเศษในโลก เพราะความรู้พุทธ ไม่กว้างพอในโลก หลายประเทศ ในโลก ไม่รู้จักศาสนาพุทธ นอกจากนักรู้ ไม่มากนัก ส่วนประชากรโลก ส่วนใหญ่ ไม่ค่อยรู้จักพุทธ​ จะรู้คริสต์ อิสลาม หรือ ฮินดู มากกว่าอีก

        นอกจากไม่รู้พุทธแล้ว ผู้รู้พุทธ ยังไม่รู้พุทธ อย่างสัมมาทิฏฐิอีก เพราะพุทธ ไม่เหมือน ศาสนาใดในโลก ศาสนาทั่วไปในโลก เป็นเทวนิยม นับถือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นพระเจ้า ก็เข้าใจว่ามีอยู่ แต่ไม่รู้แจ้งว่า คือพลังอะไร แต่ก็พอรู้ว่า เกี่ยวกับชีวะ แต่เรียก โดยภาษาว่า soul หรือ spirit ก็แล้วแต่ หรือเรียกอื่นๆอีก ก็คือพลังงาน ที่มีความรับรู้ เหมือนมนุษย์ นี่แหละ แต่ยกให้ว่า เป็นพลังงาน เหนือมนุษย์ ยกย่องเป็นพลังงาน ที่มีอำนาจ เป็นผู้สร้างทุกอย่าง ในมหาจักรวาลนี้เลย บันดาลได้ มีสิทธิ์เด็ดขาด นี่คือ ความเข้าใจทั่วไป ก็เป็นส่วนใหญ่ ที่คนในโลก เข้าใจอย่างนี้ ไม่ชัดเจน จึงเป็นสิ่งที่ยกไว้ เป็นพิเศษ ที่จะให้เอามาใช้ในโลก เป็นตัวแทน เพื่อที่จะนำสาร นำโองการพระเจ้ามา เป็นวจนะ ก็จะมีคนเกิดมา ถือว่าเป็นพระบุตร หรือสาวกที่ ต้องเป็นของที่ พระเจ้า ประทานมา ใครจะเป็นเองไม่ได้ ต้องมีพระบุตรที่เอาโองการพระเจ้า มาประกาศ

        อ.กฤษฎาว่า... เป็นภาวะที่อยู่ใน มโนลึกๆ จิตนั้นละเอียด ลึกซึ้งมาก โดยอัตภาวะ เป็นสิ่งหนึ่งของแต่ละชีวิต สัตว์โลกแต่ละชนิด คนแต่ละคน ก็มีอัตภาพ เป็นมโน หรือ วิญญาณ เป็นของตนๆ ภาวะพระพุทธเจ้า ระลึกรู้ละเอียด ชาติต่อชาติ เริ่มต้นที่จะรู้จักจิต เจตสิก ชัดเจน จิตเข้ากระแส เป็นผู้เป็นพระเจ้า

        ในจิตมีพลังไม่ดี คริสต์เรียกว่าซาตาน ส่วนฮินดูเรียกว่ามาร อิสลามเรียก ไซตอน หรือซิน  เป็นอัตภาวะนั้นที่ไม่ดี  ส่วนจิตดี เรียกว่าพระเจ้า ส่วนความลึกซึ้ง คือสัตว์โลก มีจิตวิญญาณ อันนั้นได้ ทั้งจิตซาตาน ก็ตัวเรา จิตพระเจ้า ก็ตัวเรา มันมีสองลักษณะ อยู่ในนั้น

        โสดาบันจะรู้จักลักษณะนี้ เรียกว่า สักกายะ เป็นตัวตน เริ่มต้นโสดาบัน จะเริ่มรู้จักอันนี้ ต้องรู้ได้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทศ คำว่าอุเทศ คืออธิบายบอกได้ ให้คนอื่นรู้ได้ ต้องเป็นผู้ที่ รู้แจ้งมาก่อน จึงอธิบายได้ เป็นสิ่งที่ ไม่มีตัวตน รูปร่าง

        อ.กฤษฎาว่า.. ภาษาหนึ่งที่เขามักพูดกันว่า ของขึ้น มันหมายถึง ลักษณะอาการโกรธ จี๊ดเลย ภาษาวัยรุ่น คือจี๊ดเลย เป็นอาการสภาวะ พ่อครูอธิบายว่า ถ้าเป็นโสดาบัน จะทันลักษณะนี้ รู้ทันอารมณ์นี้ ทั่วไปเรารู้ว่า เราของขึ้น แล้วเราก็ยังรู้สึกอยู่

        พ่อครูว่า.. มันก็ปรากฏอยู่ ถ้ามันหาย ก็คือมันหายไป แต่มันจะมีความจำอยู่
        อาการรวมเรียกว่า สังขาร อาการรู้สึกจี๊ด หรือร้อนขึ้นมา ไม่ชอบใจ เป็นโทสะมูล ส่วนต้องการได้มา คืออาการโลภ ส่วนราคะ คือต้องมามาเสพรส ทางทวาร ๕ เรียก กามคุณ ๕

        สรุปแล้ว ที่เจาะให้ฟังบ้างคือ พุทธสอนเรื่องความจริง ของจิตวิญญาณ จะเรียกว่า มโนหรือหทัย ซึ่งแปลว่า ที่ตั้งของจิต ที่ไม่มีที่อยู่แน่นอน เช่น เมื่อตาสัมผัสรูป ก็เกิดวิญญาณ ที่เราเห็นนี่ รู้ที่ใจเรา เราต้องกำหนด ตรงนั้นแหละ เป็นหทยรูป คือเกิดสังขาร เกิดวิญญาณ หรือเกิดเวทนา ก็อยู่ตรงนั้นแหละ

        ผู้ไม่รู้ก็ไปกำนดที่ตั้ง ในร่างของตน คืออยู่ในห้องของหัวใจ ในห้องใด ห้องหนึ่ง อย่างนั้นไม่ใช่

         แต่เมื่อเราเห็นภาพ แล้วเรากำหนดรู้ เสียงเราได้ยิน ก็กำหนดรู้ เกิดวิญญาณ ทางทวาร ๖ ตรงที่มันรู้ มันไม่กำหนด สถานที่ ตรงไหนๆเลย ถ้าเราสัมผัส ก็ว่าเราเอานิ้ว แตะตรงนี้ แล้วกำหนดรู้ว่า เราสัมผัสว่า นี่คือโลหะ นี่คือแก้ว แล้วเราจะบอกว่า นี่คือ หทยรูป ส่วนเสียง รูป นั้นเรากำหนด สัมผัสไม่ได้ แต่ว่าสัมผัสกายนั้น เรารับรู้ได้ เย็นร้อน อ่อนแข็ง ว่าหทยรูป มันตั้งอยู่ตรงนี้ๆ อย่างกายสัมผัสนี้ ชี้ชัดง่าย

        อ.กฤษฎาว่า ผมได้ยินเสียง แล้วเรากำหนดที่ไหน ที่หูมันก็ไม่ใช่ แล้วที่ไหนล่ะ ก็ไม่รู้ แต่ผมกำหนดได้ว่า ผมได้ยินเสียง รับรู้ได้ เป็นต้น

        พ่อครูว่า... พระพุทธเจ้าตรัสรู้อันนี้ เป็นอเทวนิยม Atheism หรืออเทวนิยม คำว่า อ แปลว่าไม่ แต่ไม่ได้แปลว่า ไม่เอาเทวะ ไม่รับเทวะ ไม่นับถือพระเจ้า ไม่เอาเทวดา อย่างนี้ เป็นมิจฉาทิฏฐิ เสียหาย แล้วก็ทำให้ศาสนา แบ่งแยกกัน หาว่าพวกเทวนิยม งมงาย แตกแยกชั้นวรรณะ ตนเองก็ไม่ได้เรียนรู้

        พลังงานที่เทวนิยมเรียนรู้ ก็มีจริง อเทวนิยมก็มีจริง แต่ไม่ใช่ ไม่รับพระเจ้า แต่ว่า กลับรู้จัก พระเจ้าจริง รู้ว่าจิตวิญญาณพระเจ้า คือ (พระปัญญาธิคุณ  พระกรุณาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ) เป็นตรีมูรติ เป็นรากฐาน ที่สุดยอด คุณสมบัติ สามอย่าง วิเศษนี้ พุทธรู้ดี ผู้ที่สร้าง ให้ตนมี ต้องเป็นผู้รู้ก่อน มีปัญญาธิคุณ รู้ว่าสร้างเลวไม่ดีก็เลิก หาเหตุที่สร้างเลว แล้วกำจัดเหตุ เหลือแต่พลังงานดี สร้างดี จนสะอาดไปเรื่อยๆ สูงสุดเป็นอรหันต์

        อัตภาวะของแต่ละคน สามารถเรียนรู้ได้ เป็นพระเจ้าได้ ล้างหมดไปจากจิต เป็นอรหันต์ จิตเจริญจริง มีคุณสมบัติเช่นนี้ ไม่หนีสังคม รู้จักทำการงาน รู้งานเลว เป็นอกุศลกรรม รู้งานดี เป็นกุศลกรรม รู้เลิกงานชั่ว ทั้งปัญญาก็รู้ กิเลสก็เอาออกได้ มีกรุณา คือช่วยผู้อื่นได้ ทำการงาน มีคุณค่า ครบสมบูรณ์จริง ศานาพุทธ จึงเป็นจริง ในแต่ละคน

        เริ่มจากโสดาบัน ก็ไล่ผีไปได้ เริ่มเป็นสกิทาฯ ก็ดีขึ้น เป็นอนาคาฯ ก็ได้มากไล่ผี ภายนอกได้ แล้วช่วยโลก ไปตามลำดับ ความรู้ความสามารถตน ซึ่งบังคับกันไม่ได้ จึงเป็นความรู้ อเทวนิยม เป็นความรู้ของเทวดา ที่จริงชัด ไม่เหมือนเทวนิยม ที่สามารถ ทำให้เกิด อาการสภาวะ เหมือนพระเจ้า ประหนึ่งพระเจ้า เพราะพระเจ้านี่ สูงสุดแล้ว ทำตนใกล้พระเจ้า ไปเรื่อยๆ แต่ของพุทธ เป็นจริงที่ตนเลย เมื่อเป็นลูกพระเจ้าได้ สูงสุดก็เป็น พ่อพระเจ้าเลย เป็นสภาวะ

        สามารถเป็น ผู้เป็นเจ้าของ พระเจ้าได้ คำว่าอเวทนิยม คือไม่มีอวิชชา ในความเป็นเทวะ มีความรู้เต็มในเทวะ ก็คืออเทวนิยม มีตรีมูรติ พระอรหันต์ทุกองค์ มีความบริสุทธิ์ใจ ในการทำงาน แต่ความรู้ปัญญา จะต่างกัน ช่วยได้ต่างกัน แต่ท่าน ไม่มีเห็นแก่ตัวแล้ว 

        อรหันต์จึงมีตรีมูรติจริง เป็นคนที่มีความรู้สามารถ มีประโยชน์ต่อโลก ต่อสังคม เป็นผู้ไม่ทำบาป ทำแต่กุศล มีจิตบริสุทธิ์ผ่องใส

        ไม่ทำบาปคือฆ่าซาตาน หรือไซตอน กิเลสแบ่งได้ง่ายๆ ๓ อย่าง คือ หยาบ กลาง ละเอียด หรือแบ่งได้ ละเอียดกว่านั้นอีกก็ได้  บาปแปลว่ากิเลส ส่วนบุญ คือการชำระ กิเลส ถ้าล้างกิเลสหมด ก็ไม่ต้อง ทำบุญอีก ทำจนแข็งแรง ตั้งมั่น นิจจัง (เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสสตัง (ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง (ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง (ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง (ไม่กลับกำเริบ)

        ทำจนเป็นเอง เรียกว่า ตถตา เป็นอัตโนมัตเลย กิเลสสูญเป็นปกติเลย จิตบริสุทธิ์ เป็นเช่นนั้นเอง เป็นความจริง ที่เป็นเอง เราไม่ต้องทำอะไร มันก็สะอาด สั่งสมไป ทุกๆปัจจุบัน จนแน่ชัดเลยว่า เป็นเอง จนมั่นใจว่า ต่อไป หากเจออย่างนี้อีก เมื่อไหร่ กิเลสก็ไม่ขึ้น ขาวสะอาด เป็นจิตพระเจ้า เป็นคุณสมบัติของอาริยะ ไปตามลำดับ โสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ อนุโพธิสัตว์ อนิยตโพธิสัตว์ นิยตโพธิสัตว์ มหาโพธิสัตว์ แล้วเป็น พระพุทธเจ้าในที่สุด
       

       อ.กฤษฎาว่า.. เมื่อพระพุทธเจ้าเผยแพร่ธรรมะ ในช่วงแรกๆที่ตรัสรู้ ทุกท่าน ที่เป็นอรหันต์ ก็ต้องมี ลักษณะตรีมูรติ ไปตามบารมีแต่ละคน

        พ่อครูว่า.. ไม่มีคำถาม ไม่มีข้อแย้ง เพราะอรหันต์ ทุกองค์ โพธิสัตว์ทุกองค์ รับใช้โลก เข้าใจโลก ตามฐานะของตน แล้วท่านรู้แล้วว่า ต้องทำงานแก่โลก ความสงบ ของพระพุทธเจ้า คือกิเลสตายไป เมื่อสงบคือ กิเลสตายสนิท ก็ไม่ต้องหนีไปไหน จึงอยู่กับสังคม เพราะจะช่วยสังคมได้ ไม่หนีออกป่า อย่างนั้น เป็นโลกันตะ ไปอยู่สุดโลก เหมือนมีคนที่ เขาตามหา ที่สุดของโลก แล้วถามพระพรหมว่าที่สุดของโลก อยู่ที่ไหน? (ปุคคลาทิฏฐาน) พรหมก็ว่า เรานี่แหละครอบงำโลก เราใหญ่สุด เขาก็งง ก็ถามอีกว่า ไม่ได้ถามว่าใครใหญ่ เราถามว่า ที่สุดของโลกอยู่ที่ไหน? ก็ถามอีก พรหมก็ตอบเช่นเดิม เราใหญ่ที่สุดในโลก เขาก็จะถามอีก พรหมก็ดึงตัวเขามาเลย บอกว่า ที่สุดแห่งโลก อยู่ที่ไหน เราตอบไม่ได้ ต้องกลับไปถาม พระพุทธเจ้า

        พุทธเป็นศาสนาที่ ไม่ใช่รู้แบบเทวนิยม ที่เขาจะรู้แบบ  Prophecy คือรู้ตาม โองการพระเจ้า เรียกว่า ศาสดาพยากรณ์ ไม่มีเหตุผล ซึ่งแบบเหตุผลนั้น เรียกว่า Philosophy คือรู้ที่มาที่ไป รู้เหตุผลหมด แต่เข้าไม่ถึงความจริง ดังนั้น สายเทวนิยม เป็น Prophecy จะสูงสุดได้ ก็เป็น prophet คือศาสดาพยากรณ์ แต่สาย Philosophy เป็นได้สูงสุด คือ Philosopher

        ถ้าเป็นปรากฏการณ์วิทยา ก็สามารถรู้แยกแยะได้ ทางทวาร ๖ เรียกว่า Phenomenology เขาก็ศึกษากันมาก่อนก็มี

        ทุกวันนี้สังคม เกือบจะไม่เห็นเลย ที่จะคำนึงถึง สภาวจิต ที่มีคุณธรรม เมื่อไม่มีคุณธรรม แต่กลับ มีแต่กิเลส เห็นแก่ตัวมาก ก็เลยแย่อย่างนี้ สรุปคือ ต้องคัดคน มาทำงาน เป็นนักกฎหมาย ให้เป็นผู้มีคุณธรรม ผู้อาสาทำงานการเมือง คือมารับใช้สังคม ไม่มีสิทธิ์พูดว่า ไปทำงานอาชีพการเมือง เพราะกิเลสมันเห็นแก่ตัว ถ้าไม่เป็นอรหันต์จริง ก็ยังไม่บริสุทธิ์

        พระพุทธเจ้า เมื่อได้อรหันต์ ๖๐ องค์แรก ก็ส่งไปทำงานในเมือง กับสังคม ไม่ได้ส่งไป ปลีกเดี่ยวอยู่ป่า ดังนั้น ที่ศาสนาเสื่อมนั้น คือมีอยู่ ๑๐ อย่าง เช่น ไปหา อาจารย์ในป่า ไปหลงว่า การปฏิบัติในป่า เป็นฐานสูง ก็กลับกัน พระพุทธเจ้า ตรัสไว้ ตั้งแต่เผยแพร่ศาสนาใหม่ๆ ในอัมพัฏฐสูตร ผู้ยังไม่มี วิชชาและจรณะ แต่ไปแสวงหา อาจารย์ในป่า  โดยเก็บผลไม้หล่นกิน บำรุงชีพ อย่างมักน้อยมากๆ ไม่เก็บผลไม้กิน  แต่ถือเสียม ตะกร้า หาขุดเหง้าไม้ หาผลไม้กิน ระหว่าง ออกแสวงหา อาจารย์ในป่า สร้างเรือนไฟ ไว้ใกล้หมู่บ้าน แล้วบำเรอไฟ รออาจารย์ สร้างเรือน มีประตูสี่ด้าน ไว้ที่หนทางใหญ่ สี่แพร่ง  แล้ว......... สำนัก รอท่านผู้อยู่มีวิชชา และจรณะอยู่ ........ (อัมพัฏฐสูตร  เล่ม ๙  ข้อ ๑๖๓) 

        พุทธสอนให้คนรู้จริง เรื่องกิเลส แล้วกำจัดกิเลสได้ ให้มีเหลือ ความไม่เห็นแก่ตัว อย่างค่อยเป็นค่อยไป ตามลำดับ ทุกวันนี้ คนไม่มีหิริ โอตตัปปะเลย เป็นโด้ง่านเลย หนักหนา สาหัส เราต้องมาไล่อย่างนี้ ไล่ไม่ค่อยไปเลย ดันทุรัง ขายหน้าตัวเอง ตลอดเวลา

        ให้การศึกษา เอาคุณธรรมเป็นหลัก ต้องแก้การศึกษา เรามีการศึกษา มีปรัชญา คือ ศีลเด่น ๔๕ ส่วน เป็นงาน ๓๕ ส่วน แล้วชาญวิชา ๒๕ ส่วน ไม่ต้องกลัวว่า จะไม่รู้ เท่าทันโลก ถ้ามีคุณธรรมจริง จะได้เอง

        เราต้องเลือกบุคคลมาทำงาน แบ่งเป็น
        . คนฉลาดมีความเก่งทางสมอง (ต้องรักษาศีล ปราชญ์ต้องรักษาศีล)
        คนมีสมอง แต่ไม่มีศีลธรรม คนที่ฉลาดมากๆ แต่ไร้ศีลธรรม นี้น่ากลัวมากเลย อย่าใช้ ต้องให้มีศีลธรรม เป็นตัวหลัก แต่ถ้าคนไม่ฉลาด จะไม่กล้าทำชั่วมาก เพราะทำชั่วทีไร ก็โดนคนจับได้ ไปไม่รอดหรอก

        . คนมีฝีมือ มีความสามารถ (ถูกเอาเปรียบโดยผู้ฉลาด) เราต้องปราบ คนที่หลงฉลาด แล้วเอาไปกด ความรู้สามารถ ในสังคมจำนน เพราะคนฉลาดไปกดไว้

        ดังนั้น ผู้ฉลาดต้องรักษาศีล หรือต้องมีคุณธรรม เป็นเครื่องประกัน  การศึกษา จึงต้องมี คุณธรรม หรือมีศีลธรรม เป็นหลักประกัน

        อ.กฤษฎาว่า... คำสั่งศาลวันนี้ ที่ DSI เขาจะขอออกหมายจับ กปปส. ๓๓ คน ศาลก็ไม่ออกหมายจับให้ เพราะไม่มีเหตุผลพอ

        พ่อครูว่า... เรายิ่งฉลาด เรายิ่งต้องศึกษาศีลธรรม เพราะไม่อย่างนั้น เราจะใช้ ความฉลาด ในการเอาเปรียบ ได้เปรียบ จงจำไว้ว่า ได้เปรียบเป็นบาป แล้วยิ่งเอา ความได้เปรียบไ ปเอาเปรียบ ยิ่งเป็นบาปอีก

        อ.กฤษฎาว่า... อย่างคุณสุเทพที่เดิน แล้วคนยิ่งมาช่วย มาให้เงินอีก นี่คือ ปรากฏการณ์ ของสังคมที่ดี เป็นดีเอ็นเอพุทธ มาแต่อ้อนแต่ออก ตั้งแต่กำนัน สุเทพ เริ่มเดิน แล้วมีคน เอาเงินมาให้ ทั้งที่ไม่ตั้งใจไปรับ ต่อมามีมากขึ้นๆ ก็เป็นปรากฏการณ์

        พ่อครูว่า... เป็นสิ่งงดงามมาก ทำไปเถอะ แต่อาตมาเห็นคุณธรรม ของคุณสุเทพ เป็นสิ่งดีซ้อน ในตัวคุณสุเทพอีก คนเห็นใจมาก ก็มาช่วย

        อ.กฤษฎาว่า... ตอนนี้โซเชียลมีเดียส่งมาคือ มีเด็กนร.ศึกษานารี ออกมาโบกมือ ให้ลุงกำนัน สุเทพ เต็มชั้นเลย

        พ่อครูว่า... นี่คือดีเอ็นเอพุทธ กำลังจุดชวาน อันนี้บอกอีกฝั่งหนึ่ง ให้ทราบว่า อย่าบังอาจ ต้านโต้เลย แพ้แล้วล่ะ! เพราะว่าตอนนี้ ไม่ใช้เรื่องบังเอิญ คลุมเครือ ถ้าคุณ ยังง่านอยู่ ก็ไม่รู้ แต่เป็นความจริง ของการตื่นรู้ตื่นตัว เป็นดีเอ็นเอของพุทธะ คือผู้รู้ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เกินต้านแล้ว จะไม่เชื่อ ก็ดูต่อไป

        อ.กฤษฎาว่า... ตอนนั้นอยู่ที่สวนลุมฯ ก็จินตนาการว่า จะเกิดอย่างไร ความเป็นพุทธ จะเป็นตื่นรู้ เบิกบาน ผมนึกถึงภาพเด็กๆ ที่ออกมาตอนนี้ เป็นสิ่งที่บอกถึง ความเบิกบาน ทุกคนออกมาร่วม

        พ่อครูว่า... คุณสุเทพมาทำ ก็เกิดอันนี้ มีหญิงชรา เอาแบงค์ ๒๐ ยับยู่ยี่ ใส่มือให้ คุณสุเทพ ก็สัมผัสเลยว่า อันนี้มันเลือดวิญญาณเลยนะ ๒๐ บาท กำเงินมาให้แซมดินดูว่า นี่เขาเอามาให้ จากจิตวิญญาณเขานะ ทั้งที่มีแบงค์ ๑๐๐๐ เป็นเช็คแสนเป็นล้าน ก็ไม่ได้ วิญญาณสัมผัสเช่นนี้ เหมือนหญิงชราคนหนึ่ง กำดอกบัวเหี่ยวๆ มารอให้ในหลวง ในหลวง ก็มาสัมผัส กับมือหญิงชรา อันนี้แสดง ถึงจิตวิญญาณ ถ้ามักมาก ก็จะไปหา รวยใหญ่ รวยมาก เป็นความหรูหราใหญ่โต มันออกนอกทางพุทธ

        อ.กฤษฎาว่า...นี่คือพุทธ หลายคนขึ้นเวที ก็แสดงตัวว่า กล้าเป็นกบฏนะ

        พ่อครูว่า..ไม่กลัวตายด้วย พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน
พลัง ๔ (ผู้มีพลัง ๔ ​จะพ้นภัย ๕)
.     ปัญญาพลัง  (กำลังคือ ปัญญา)
.     วิริยพลัง  (กำลังคือ ความเพียร ขยันไม่ได้ทำเพื่อเอาอามิส ทำงานเพื่องาน ก็ไม่ทำงานที่ผิด มีปัญญารู้ จะไปทำงานที่ผิดทำไม แต่ถ้าเสี่ยงมากไป ก็ไม่ทำ ต้องมีผลดี ตั้งแต่ ๗๐ % ขึ้นไป จึงจะทำถ้าจำเป็น เรามีงานมากมาย ปกติแล้ว ต้องซัก ๘๐ % ขึ้นไปจึงทำ
.     อนวัชชพลัง  (กำลังคือ การงานที่ปราชญ์ไม่ติ)
.     สังคหพลัง  (กำลังคือ  การสงเคราะห์ช่วยผู้อื่น)  #

พ้นภัย
.     อาชีวิตภัย (ภัยอันเนื่องด้วยชีวิต ไม่กลัว แม้ศ..จะแย่)
.     อสิโลกภัย (ภัย คือ  การติเตียนจากคนโลกๆ) เพราะชัดเจนว่า เราทำดีทำถูก คนมาติ ก็คนโง่เท่านั้น มีพลังปัญญา
.     ปริสสารัชภัย (ภัยคือ  การสะทกสะท้านต่อสังคม)  .
.     มรณภัย (ภัยคือ  ความตาย)
.     ทุคติภัย (ภัยคือ ทุคติ  เช่น อบายภูมิ  นรก เดรัจฉาน  ฯ)
(พลสูตร  พตปฎ. เล่ม ๒๓   ข้อ ๒๐๙)
       
        ผู้มีคุณอันสมควรก่อน จึงพร่ำสอนผู้อื่น จึงไม่มัวหมอง ผู้เป็นโสดาบัน แล้วก็สอนได้ อย่างโสดาบัน ผู้มีคุณธรรมสูงขึ้น ก็สอนได้มากขึ้น ตามศรัทธา ๑๐ ประการ
.     ศรัทธา  (เชื่อถือเลื่อมใส ในอริยสัจ เป็นต้น)
.     ศีล (ในบริบทที่สูงไปสู่ สีลสัมปทา แห่ง จรณะ๑๕)
.     พหูสูต / พาหุสัจจะ (รู้สัจจะบรรลุจริง จนรู้มากขึ้น)
.     เป็นพระธรรมกถิกะ (อธิบายสัจธรรม สอนความจริง)
.     เข้าสู่บริษัท (สู่หมู่กลุ่มอื่น)
.     แกล้วกล้าแสดงธรรมแก่บริษัท
.     ทรงวินัย
.     อยู่ป่าเป็นวัตร  ยินดีในเสนาสนะอันสงัด (คืออุเบกขา)
.     ได้ตามความปรารถนาโดยไม่ยาก ไม่ลำบากซึ่งฌาน ๔ 
๑๐.    ได้ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ-ปัญญาวิมุติอันหาอาสวะมิได้
ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการนี้แล  ย่อมเป็นผู้ก่อให้ เกิดความเลื่อมใสโดยรอบ และเป็นผู้บริบูรณ์ ด้วยอาการทั้งปวง

      ฌานของพุทธ เป็นฌานลืมตา จะได้ตามลำดับ จะอนุโลม มีปีติบ้าง คุณจะมี สัจจานุโลมิกญาณ ต้องมีการวางเฉย ต่อสังขารได้มากพอ ต้องมีฐานมั่น มากพอ ที่จะสังขาร ถ้าฐานไม่มั่นพอ ก็จะตกได้ ต้องเผื่อพอไว้เลย คุณมีฐานอุเบกขา ที่มีคุณสมบัติ มากพอไหม?
.     ปริสุทธา   (บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสนิวรณ์ ๕) .
.     ปริโยทาตา  (ผุดผ่องขาวรอบแข็งแรง แม้ผัสสะกระแทก)
.     มุทุ  (รู้แววไว  อ่อน-ง่ายต่อการดัด ปรับปรุงให้เจริญ) .
.     กัมมัญญา   (สละสลวย ควรแก่การงาน อันไร้อคติ) . 
.     ปภัสสรา   (จิตผ่องแผ้วแจ่มใส ถาวรอยู่ แม้มีผัสสะ) #ปริสุทธา ปริโยธาตา
        จิตตั้งมั่น อันโลกธรรมทั้งหลาย กระทบแล้ว ย่อมไม่หวั่นไหว  (ผุฏฐัสสะ โลกธัมเมหิ จิตตัง ยัสสะ น กัมปติ) เพราะลาภยศสรรเสริญ เป็นอันตราย อันแสบเผ็ด แม้พระอรหันต์ ขีณาสพ

        ถ้าพระอรหันต์ จะมีสังขารุเปกขาญาณ มากพอ จึงจะสัจจานุโลมิกญาณได้ ทำงานได้มาก ปรุงเพื่อช่วยโลก ได้มากขึ้น นี่เป็นสัจจะของ พระพุทธเจ้าที่จริง จะอนุโลมได้มากแค่ไหน ก็ต้องประมาณ

        อาริยะบางคน ถ้าไม่มีปีติ ก็ทำงานไม่ออก จิตมันสุขสงบ ก็ยินดีในความสุขสงบ แต่ไม่ได้ยินดี ในการได้โลกธรรม เรียกว่า วูปสมสุข มันจะต่างกับ โลกียสุข ต้องอ่าน จิตสุขตัวนี้ออก แรกๆ ก็มีสุขใจบ้าง เป็นสุขสงบ ยืมภาษามาพูด เท่านั้น โดยเนื้อแท้นั้น ไม่ตรงหรอก สุดท้าย เป็นอุเบกขา เป็นฐานนิพพาน เป็นฌาน ๔ แต่อุเบกขา ไม่ใช่แห้งๆ

        อุเบกขาพระพุทธเจ้า มีคุณสมบัติ ๕ อย่าง แข็งแรง คลุกคลีกับโลกธรรม ก็สะอาดได้ มีจิตที่ มุทุ (จิตหัวอ่อน) เชิงปัญญาก็ไว เชิงเจโตก็ไว ในการปรับจิต 

      อ.กฤษฎาว่า... วันนี้ดูเหมือนฝ่ายรัฐบาล จะออกข่าว พยายามให้เกิดความกลัว คนจะได้ ไม่มาชุมนุมกันมาก

        พ่อครูว่า... ต้องฟังความสองฝ่าย แล้วตามไปตรวจสอบความจริงด้วย แล้วคุณ จะเกิดปัญญา ในการเลือก พระพุทธเจ้าให้เลือกเลยว่า เห็นอันไหน เป็นธรรมวาที อันไหน เป็นอธรรมวาที ให้อิสระในการเลือกเอง
       
        เพราะเขายิ่งสู้ ยิ่งอธิบาย ทั้งที่เขารู้ทั้งรู้ว่าผิด เขาก็จะโกหก ไปเรื่อยๆ มันอาจโง่ และโกหกด้วย ดั้งนั้น ควรจำนนเถอะ ถ้ารู้ว่า เราต้องโกหก ก็เลิกเถอะ แต่ถ้าไม่รู้ว่าผิด ก็ต้องแสดงออก อย่างโง่ๆ ก็แสดงมาเถอะ เราก็จะเห็นโง่ ยกกำลัง ไปกดดูใน Google เลยว่า ใครโง่ที่สุด
       
        อ.กฤษฎาว่า... เขาอาจหาว่า ที่เราจะปิดกทม.วันที่ ๑๓ ม.ค.นี้ เขาก็จะบอกว่า เพราะเรา ปิดกทม. จึงทำให้ชาวนา ไม่ได้เงินในวันที่ ๑๕ ม.ค.นี้ เป็นต้น ที่เขาจะหาเรื่อง

        พ่อครูว่า... อยากจะเผยหลักหนึ่งว่า กฏหมายหรือกฎเกณฑ์ กับสิ่งจริง ที่เป็นจริยธรรม เป็นอย่างไร

        สังคมเราต้องมีกฎหมาย ตั้งขึ้นแล้ว ก็ต้องช่วยกันทำ ต้องรักษา บางอย่าง มีโทษด้วย ถ้าทำผิด เป็นสิ่งจำเป็น แต่การใช้กฎหมาย อย่างไม่คำนึงจริยธรรมก็มี อันนี้แหละ การใช้กฎหมาย อย่างพาซื่อ ไม่คำนึงคุณธรรม อันนี้นักรัฐศาสตร์ ต้องคำนึง เราต้อง เรียนรู้ คนที่มีคุณธรรม ต้องใช้หลัก Minority right คำว่า right แปลว่า ความดีงาม ความถูกต้องด้วย หรือแปลว่า สิทธิมนุษยชนด้วย

        คนดีมีคุณธรรมนั้น หรือคนมีกิเลสน้อย หรือไม่มีกิเลส ก็จะทำตรงข้ามกับ คนมีกิเลสมาก ดังนั้น จึงให้คำนึงถึง  Minority right ซึ่งอาจเป็นส่วนน้อย จะไปเป๊ะๆ เอาแต่ rule หรือกฎหมายอย่างนั้น จะทำลายคนดี ให้เสียหาย การที่ใช้กฎเกณฑ์นี้ อีกฝ่ายหนึ่ง ที่ตรงข้ามกับเราทำ ต่างคนต่างว่า ปชช. เป็นพวกตนเอง ต่างคนต่างเป็น ปชต. ก็เอาพยัญชนะไปใช้ เขาก็ยึดหลักเกณฑ์ เท่านั้น เขาจะไม่พูดถึง คุณธรรม เขาจะพูดถึง แต่กฎหมาย ทั้งที่เขาต่างหาก ผิดกฎเกณฑ์มากกว่า เขาไม่มีทางมาแย้ง เรื่องคุณธรรม

        เราเอาความบกพร่องผิดพลาด มาพูดเท่าไหร่ เขาแพ้หมด มีแต่ใช้วาทะกรรม มาครอบงำความคิด  ให้ดูแต่สื่อสาร ของตนเอง ดังนั้น ฝ่ายไหน ที่ให้ดูแต่ข้อมูล ด้านเดียว พวกนี้แคบ และเชื่อง่าย คนโง่จะชอบแบบนี้ จะอยู่ในกะลาครอบ เท่านั้น ต้องดูช่องนี้ ช่องเดียว เป็นความแคบตื้น ไม่รู้ถ้วนทั่ว เป็นความบกพร่อง ของสังคม

        การใช้กฎหมายหรือหลัก ต้องคำนึงถึงธรรมะ หรือ คุณธรรมจริยธรรม มาวินิจฉัย

        ในการใช้กฎเกณฑ์ ในนิติศาสตร์ และรัฐศาสตร์ ก็ต้องสอน ว่าต้องใช้คุณธรรม จริยธรรม ในการวินิจฉัย ถ้าเอาแต่กฎเกณฑ์ จะผิดพลาด ทำลายสัจธรรม

        อย่าพาซื่อ สิ่งเหล่านี้ต้องคำนึง อย่างผู้พิพากษา จะเข้าใจได้ดี พวกที่ใช้แต่กฎหมาย เอาไม้บรรทัดมาวัด นี่ไม่ได้เข้าใจ รัฐศาสตร์ จะไปไม่ออก สังคมไปไม่ได้ เราต้องใช้ สัปปุริสธรรม

        พระพุทธเจ้าสอน อย่างละเอียดเลย ให้ยืดหยุ่น มีสัจจานุโลมิกญาณ

        อ.กฤษฎาว่า... การประชุมวันนี้ ของกระทรวงสาธารณสุข สรุปว่า จะไม่ทำงาน ให้รัฐบาล และจะร่วมชุมนุมด้วย ปลัดกระทรวงบอกว่า จะเป็นตัวอย่าง ให้กับกระทรวงอื่น

        พ่อครูว่า...สาธุ สาธุ สาธุ

        ที่มีดวงตาเห็นธรรม ประเทศไทย ได้ขนาดนี้แล้ว อาตมาจึงพูดว่า พวกคุณ อย่าต้านเลย ยิ่งดิ้น ยิ่งเข้าเนื้อ

        อ.กฤษฎาว่า.. ทางรพ.หลายรพ. เตรียมพร้อม สนับสนุนกปปส.ด้วย จะจัดทีมรักษา ใครมีบัตรปชช. มาแสดง ก็ไม่ต้องเสียค่ารักษาเลย มีซุ้มอาหาร ให้บริการด้วย

        พ่อครูว่า... เป็นเรื่องงดงามมากเลย ที่เกิดขึ้นได้ ต้องมาร่วมกัน ช่วยกัน เสียสละไป ลดกิเลสไป  เมื่อรู้ตัว ก็สูงเสียแล้ว เรามีมิตรดีสหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี ที่เราได้เป็นไป ตามธรรม ของพระพุทธเจ้า เป็นวรรณะ ๙
.     เลี้ยงง่าย  (สุภระ)
.     บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)
.     มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) . . 
.     ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ)
.     ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ)
.     เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์)
.     มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ
.     ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ๙ 
.     ขยันเสมอ , ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ) #
        สรุปที่ ธรรมะย่อมชนะอธรรม...

จบ   

 
๙ มกราคม ๒๕๕๗ ที่ เวทีสะพานมัฆวานรังสรรค์ กทม.