|
||
พ่อครูว่า... พวกเรามาอยู่กันนี่ เราชนะรายทางมาเรื่อยๆ เราได้มาด้วยธรรมะ เรายืนหยัดยืนยันในหลักธรรม สงบ สันติ อหิงสา ไม่รุนแรง จนกระทั่ง แม้คณะ ที่เคยรุนแรง ก็ต้องลดบทบาทรุนแรง ลงมา แต่เขาก็ขึ้นอยู่บ้าง เพราะอำนาจ พลังธรรมะ สิ่งเหล่านี้ มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น แต่มีจริง คนทั้งโลกนับถือศาสนาพระเจ้า เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่มองไม่เห็น เป็นเรื่องจริง แต่กว่าจะมีความรู้ได้ ต้องศึกษาจริงๆ จึงรู้ การศึกษาอย่างไม่มีโลกุตระ จะรู้ได้ยาก เพราะไม่เห็นเหตุผล ไม่เป็นหลัก วิทยาศาสตร์ จะเห็นได้ยาก แต่เขาก็มีประสพการณ์ จริง นับถือกันมา ชั่วนาตาปี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระเจ้ามีมานานแล้ว เทวนิยม ส่วนของพระพุทธเจ้า อเทวนิยม ไม่ใช่ไม่นับถือพระเจ้า แต่รู้แจ้ง มีรูปมีนาม รู้ได้จริง ใครไม่เข้าใจว่า พุทธเป็นอเทวนิยม ไม่มีพระเจ้า ไม่มีผี ก็ไม่เข้าใจพุทธ ซึ่งพุทธนั้นมี แต่ก็ยากที่จะเข้าใจได้ง่าย ผู้ศึกษาสัมมาทิฏฐิ จะเห็นได้ด้วยญาณ ปัญญา อย่างสัมผัส ของจริงเลย เห็นแจ้งรู้จริง เรียกว่า มีวิปัสสนาญาณ (ปัสสะคือ สัมผัสของจริง) ตอนนี้ คนก็ทยอยมามากเลย ภูเก็ต เหมามา ๕ ลำเลย ส่วนทางใต้เห็นว่า ต้องซ่อม รางรถไฟ ทำไมประจวบเหมาะ เสียเหลือเกิน คนที่มีปัญญาน้อย ก็สร้างเรื่องอย่างนี้แหละ มาฟังกวีบทหนึ่ง ชื่อว่า เผด็จศึกการเมืองอันธพาล เป็นสันติปฏิวัติเป็นปาฏิหาริย์ (๑) แปดสิบเอ็ดศกแล้ว เลยมา (๒) ตำนานระบอบบ้าน เมืองไทย (๓) วิญญาณไทยตื่นรู้ สัจกรรม (๔) เหลวเป๋วรัฐล่มล้ม สิ้นสิทธิ์ ตามธรรม
(๕) สันติ นี้แหละเข้า ปะประหัต (๖) ธรรม์นี้สุดลึกซึ้ง ในกรรม (๗) คนไทยปฏิวัติด้วย สันติธรรม สไมย์ จำปาแพง สังคมตอนนี้ มีคนที่มีกิเลสครอบงำ จึงพาให้ทำสิ่งที่ต่ำ ตามกิเลส คนไปเข้าใจว่า ยิ่งศึกษามาก ยิ่งดี แต่ว่าไม่ได้ลดกิเลส ไม่ได้ศึกษาการลดกิเลส จนเลวร้าย ใกล้กลียุค แต่เมืองไทยน ี้จะรอด เป็นผลของธรรมะ เป็นผลของประเทศไทย มีศาสนา ประจำชาติ มีมาตั้งแต่ เกิดประเทศไทย มีเชื้อพุทธ เป็น ดีเอ็นเอพุทธ ไม่ได้ถูกกลบเกลื่อน ครอบงำด้วย กระแสกิเลส ไปทั้งหมด ถ้าไม่มีเชื้อ ก็ยากมาก เปิดฉากขึ้นมา ก็พยายามใช้คุณธรรม ระดับโลกุตระ เช่น เอาความสงบ ไปสู้กับ ความรุนแรง หอกดาบมีดปืน นี่แหละคือโลกุตระ มันทวนกระแส ปฏิโสตัง ถ้าเขารุนแรง คนจะเอาชนะ ก็ต้องรุนแรงกว่า นักมวย ใครหมัดหนักกว่า ต่อยเข้าเป้ากว่า ก็ชนะ แต่นี่ไม่ใช่ เรากลับกัน เป็นสิ่งเข้าใจยากแต่เป็นผลสำเร็จรายทาง มาเรื่อยๆ จนมาถึงวันนี้ ประชาชน ตื่นรู้ วิญญาณไทยตื่นรู้ เพราะนักการเมืองทำชั่วช้า ก็เลยทำให้คนเห็น เอามาเปิดเผย อย่างที่เราทำ ใครมีวิธีการ มีความสามารถ ก็เปิดเผย เอาหลักฐานต่างๆ มายืนยัน จนกระทั่ง เข้าใจ เห็นชัดเจนขึ้น ส่วนฝ่ายที่ทำผิด ไม่ถูก เขาก็ต้อง ปกป้องตัวเอง หนักเข้า ก็โกหก ตลบแตลงไป เราก็เห็นได้ว่าปกปิด ยิ่งทำก็ยิ่งเห็น ก็ยิ่งถูกเปิดโปง จนกระทั่ง วันนี้ มีวาทะกรรม ออกมาจาก ผบ.ทบ. บอกว่า ถ้าไม่มีแผล กามันก็ไม่จิก โอ้โห คำนี้นี่ ชัดเจนมากเลย แผลหมายถึงอะไร ก็คือความเสียหาย ความชั่วร้าย ซึ่งเขาก็ด้านมากเลย อาตมาก็หาคำมาใช้ คือคำว่า โด้กับคำว่าง่าน (โง่ยกกำลังด้าน เรียกว่าง่าน ส่วนด้าน ยกกำลังโง่ เรียกว่าโด้) เราออกมาแสดงสิทธิ์ ๑ คน ๑ เสียง ออกมาแสดงเสียงจริงๆ สดๆ ออกมายืนยันว่า ฉันต้องการอะไร ไม่ต้องมีแผล มาชี้ความจริงเลย ไม่ใช่เป็นแค่ เลือกตั้งผู้แทนไป เท่านั้น สิ่งเหล่านี้ คนไม่ค่อยเข้าใจ ว่าประชาธิปไตย คือการเลือกตั้ง ถ้าไม่เลือกตั้ง ไม่ใช่ประชาธิปไตย อย่างนั้น เราก็เข้าใจ แต่การเลือกตั้งนั้น ผู้ไปเลือกนั้น บริสุทธิ์ สะอาดไหม ผู้ไปเลือก บริสุทธิ์สะอาดไหม? เขาจะเลือกตั้งให้ได้ เพราะวางค่ายกลไว้แล้ว ถูกซื้อตัว เหมือนสินค้า เหมือนวัว เหมือนควาย ซื้อเข้าสภา คอกไหนเงินดีก็ไป มันต้องพูดกันชัดๆอย่างนี้ ผู้ที่เป็นสส. ดีสะอาด บริสุทธิ์ ก็ขออภัย ส่วนสส.ขายตัว เหมือนวัวควายมากกว่า เสียเวลา เลือกตั้งทำไม ความคิดเขาได้เปรียบ ก็ดึงดันเลือกตั้ง เพราะว่า มีค่ายกล ได้เปรียบ ทั้งที่พรรคไทยรักไทย ก็ยุบไปแล้ว พรรคพลังประชาชน ก็ล้มละลายอีก ถูกยุบอีก แต่ตอนนี้ ใช้อำนาจบาทใหญ่ คุมไว้อยู่ เลือกมาก็ถูกยุบๆ วันพรุ่งนี้ น่าจะเป็นวัน พิชิตชัยนะ การรวมคนครั้งนี้ อันนี้เราไม่ต้องไปริสยากัน คนเรา มีบุญบารมีต่างกัน ซึ่งคนไทย ก็จะรู้ว่า แข่งอะไรก็แข่งได้ แต่อย่าแข่ง บุญวาสนา ตอนนี้ คุณสุเทพขึ้นมา เป็นบารมี ได้รับเลือก คว้าบุคคลแห่งปีของเอเชีย ประจำปี 2013 ด้วยผลโหวต 116,000 เสียง ตามมาด้วย มาลาลา ยูซุฟไซ เด็กสาววัย 16 ปี ชาวปากีสถาน หลังจากเว็บไซต์ http://asiasociety.org เปิดให้บุคคลทั่วไป โหวตเลือก บุคคลแห่งปี ของเอเชีย ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2556 ล่าสุด 10 มกราคม 2557 เมื่อมีการปิด การลงคะแนน ผลปรากฏว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตนักการเมือง จากประเทศไทย ในฐานะแกนนำ คณะกรรมการประชาชน เพื่อการเปลี่ยนแปลง ประเทศไทย ให้เป็นประชาธิปไตย ที่สมบูรณ์ อันมีพระมหากษัตริย์ เป็นประมุข (กปปส.) มีผลคะแนนโหวต 116,000 เสียง หรือคิดเป็น 88% ยกให้เป็น บุคคลแห่งปี ของเอเชีย ประจำปี 2013 ตามมาด้วย มาลาลา ยูซุฟไซ (Malala Yousafzai) เด็กสาววัย 16 ปีชาวปากีสถาน ซึ่งรณรงค์ต่อสู้ เพื่อสิทธิการศึกษา ของเด็กผู้หญิง ในปากีสถาน ได้รับผลโหวต ตามมาลำดับที่ 2 ด้วยคะแนน 12,000 เสียง หรือคิดเป็น 9% ทั้งนี้ มีรายงานว่า ช่วงแรกของการเปิดให้โหวตลงคะแนน คะแนนของ มาลาลา ยูซุฟไซ ดูไหลรื่น เช่นเดียวกับโหวตของ ผู้กำกับภาพยนตร์ของจีน เจี่ย จางเคอ (Jia Zhangke) แตกต่างจาก คะแนนโหวต ของสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ยังนิ่ง ไม่มีผล คะแนนโหวต ด้วยซ้ำ แต่พอเริ่มต้นปี 2014 ช่วง 2-3 วันแรก มีผู้เข้าหน้าเว็บ เพื่อลงคะแนนโหวต 172,000 เพจวิว ในจำนวนนี้กว่า 165,000 มาจากประเทศไทย ผ่านทางเฟชบุค และกระดาน สนทนา กระทั่ง ทำให้ผลโหวต ของสุเทพ นำโด่งถึง 97% และถือเป็น ผลคะแนนโหวต ที่มากกว่า อิมราน ข่าน (Imran Khan) บุคคลแห่งปี ของเอเชีย ปี 2012 กว่า 10 เท่า จากนั้นเว็บไซต์ http://asiasociety.org ได้ออกบทวิเคราะห์ ที่ไปที่มา เรียนรู้ ปรากฎการณ์ สุเทพ เทือกสุบรรณ ทำไมถึงได้คะแนนโหวต อย่างท่วมท้นด้วย ก็อย่าไปริสยากัน คนเราใครทำประโยชน์ ให้สังคมแก่ประเทศชาติ ส่วนรวม เป็นเรื่อง สุดยอด น่าอนุโมทนา ก็น่ายกย่อง เป็นบุญของประเทศ ที่มีคนเช่นนี้เกิด และการเกิดเช่นนี้ เราไม่มีความโหดร้ายรุนแรง นอกจาก เขามาคุกคามเรา ใช้เล่ห์เหลี่ยม สารพัด แต่คนไทย ตื่นรู้ว่า ต้องสงบ สันติ อย่างคุณสุเทพ บอกว่า ถ้าเขามาแรง เรานั่งลงสงบ สวดมนต์ จะพิมพ์บทสวดมนต์ แจกเลย มันน่าดีใจ น่าชื่นใจ ที่มันชนะ ด้วยความสงบ สยบความรุนแรง เป็นสิ่งวิเศษ เป็นคุณธรรม ของสังคมไทย เป็นความเจริญ ของสังคม โดยสามัญสำนึก ของมนุษย์โลก เขามีความเข้าใจ แต่เขาเอง ทำได้ไหม ออกมา รวมตัว เป็นธรรมฤทธิ์ แห่งความสงบไหม? ตอนนี้แข่งกันว่า ใครจะมีความสงบ แน่จริง กว่ากัน เอาให้ชัดฝ่ายทักษิณ ถ้าเขาทำสงบ แข่งกับเรานะ ใครเป็นของจริงก็ชนะ เขาก็มีมวลสงบ เหมือนกัน ตอนนี้ เปลี่ยนสีแล้ว จากแดงเป็นขาว ใส่เสื้อขาว ปล่อยลูกโป่ง ฉลาดนะ ยืนบนสะพาน ไม่กล้าเบียดกัน บนถนน เพราะมันกว้าง ไม่เหมือนเรา ไปเบียดกัน บนถนน มีลูกโป่ง คนละอันปล่อย แล้วเหมือนหมู่ ตัวอสุจิ เคลื่อนที่ ปรากฏว่า เขาคงเห็นแล้วคงไม่ดี ก็เลยตัดภาพนี้ออก เขาก็พยายามทำ อาตมาว่า เป็นนิมิตดี ก็ขอบคุณ อนุโมทนา ที่เขาก็พยายามรักษา ความสงบ แข่งกัน ใครจะสงบ กว่ากัน แต่แข่งกันว่า ใครหน้าด้านกว่า เราไม่แข่งนะ ตัวจิตเป็นประธาน ที่ทำให้ออกมาเป็น กายกับวาจา ก็ล้วนแล้วมาจาก จิตเป็นประธาน ถ้าไม่มีจิตวิญญาณ คนก็พูดไม่ได้ เราก็ใช้หลักวิชา ในการปฏิบัติ มีวิชชาจรณ สัมปันโณ เป็นของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ที่เข้าถึงบรรลุทั้งสิ้น มีหลักสูตร เป็นไตรสิกขา โพธิปักขิยธรรม ๓๗ เป็นต้น เป็นเรื่องที่ จะเรียนรู้ จิตในจิต มีญาณ หยั่งรู้ใน อธิปัญญาสิกขา จิตนั้น ไม่มีสีกลิ่นรสรูปร่าง แต่พวกมิจฉาทิฏฐิ จะเห็นจิต เป็นตัวตน พระพรหมก็มีจิตวิญญาณ เทวดา มาร ผีก็ไม่มีรูปร่าง แต่เขาก็เห็นเป็นตัว เป็นรูปร่าง เห็นว่า คนมีตาทิพย์ จะเห็นผีได้เป็นตัวๆ จิตเป็นพลังงาน ไม่มีตัวตนรูปร่างสีสัน เช่น เวลาคุณโกรธ ใครเคยอ่าน จิตตนไหม มันไม่มี สีสันรูปร่างตัวตน นั่นแหละ ถ้าได้เรียนรู้อันนี้ ก็ได้รู้ทุกคน อ่านได้ เมื่อเกิดอาการ มันไม่มีรูปร่าง เส้นแสง อาการโกรธ รัก โลภ ก็มีอาการต่างๆกัน เวลาศึกษาธรรมะ เมื่อมีสุขก็เรียกว่าเป็น ๑.เทวดาสมมุติเทพ ขึ้นสวรรค์หอฮ่อ แล้วก็ไปปั้นรูป เป็นเทวดา มีชฎาด้วยนะ แต่แปลกที่ เทวดาผู้หญิง ไม่ใส่เสื้อ มีสังวาลย์ ประดับ เป็นเทวดาโบราณ มันเป็นจินตนาการ ทั้งที่มันไม่มีตัวตนรูปร่าง ความทุกข์ทรมาน โกรธ แค้น ไม่สบาย เป็นอาการจิตทั้งนั้น เทวดาของ พระพุทธเจ้า แบ่งเป็น ๓ ชนิด การลดละกิเลสตนได้ ก็ได้ประโยชน์ตน แล้วก็จะมีพลัง ไปช่วยเหลือสังคม เทวดาสมมุติเทพ ๒. อุบัติเทพ ๓.วิสุทธิเทพ เทวดาคือ จิตวิญญาณที่สุข อร่อย สนุกสนานบันเทิง จิตเทวดาทั่วไป ของปุถุชน คือ สมมุติเทพ แล้วก็หลงวนตรงนี้ เข้าใจความเป็นเทวดา ชนิดโลกุตระไม่ได้ ส่วนอุบัติเทพ กับ สมมุติเทพนั้น เป็นโลกุตระ ใครทำจิตตน ให้อกุศลจิตตาย กิเลสตาย จิตจะเกิดใหม่ เป็นการเกิดที่เรียกว่า โอปปาติกโยนิ เกิดอย่างไม่มีซาก เกิดตามเหตุปัจจัย ถ้าปฏิบัติสัมมาทิฏฐิ จิตจะล้างกิเลส แล้วเกิดใหม่ ความเกิดของจิต ภาษาวิชาการเรียกว่า หยั่งลง ถ้าไม่เกิดก็หยั่งลง เป็นกุศล อกุศล แต่สามารถ ทำให้อุบัติได้ โอกกันติ คือหยั่งลงสู่อาริยบุคคล เป็นนิพพัตติ เกิดอย่างลดกิเลส ฆ่ากิเลสตายไป เป็นโสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ ผู้ศึกษาอย่างมีวิชชาแท้ ก็จะเห็นสัตว์นรก เปรต เดรัจฉาน ซึ่งไม่มีปีกมีขามีตัว แต่อย่างใด แต่เป็นสัตว์โอปปาติกะ สมมุติเทพ เป็นความสุขสบายอร่อย คือการบำเรอกิเลส เช่น อยากได้ลาภ ได้เงินทอง ถ้าได้มาก็สบายใจ กิเลสก็อ้วนโตขึ้น บำเรอตัณหา อยากได้กามคุณ ๕ มาเสพรส อาการสุขนั่นคือ สมมุติเทพ เป็นความหลอก ไม่ใช่ความจริง ถ้าได้เสพ กามคุณ ๕ เป็นสุขเท็จ เป็นเทวดาเก๊ เมื่อมาเรียนรู้กิเลส ที่เป็นตัวปลอม เป็นอาคันตุกะ มายึดครองเรา ท่านเรียกว่า แขกหรือผู้มาเยือนจิตเรา ไม่ใช่ตัวจริง มาเยือนแล้วมายึดเลย แล้วเจ้าของจิต ก็โง่ให้กิเลสยึด ทั้งนั้นเลย มีทุกคน ก็มีคนหาทางออก จนมาเรียนรู้ว่า กิเลสฆ่าได้ ลดได้ตามลำดับ เป็นอาริยบุคคล ตามลำดับ จนหมดความสุขขัลลิกะ อารมณ์สุข หายไปเลย ซึ่งเป็นเรื่อง ลึกซึ้งจริง แม้เขาสอนกันในพุทธ ก็ไม่ถูก เช่น เราสัมผัสทางลิ้น แล้ว อันนี้เค็ม ภาษาไทย เรียกว่า เค็ม ภาษาจีน จะเรียกอื่น ภาษาฝรั่ง จะเรียกอื่น แต่ว่าความเค็ม จะลิ้นของคน เผ่าไหน ก็รับรู้ได้เช่นกัน มันเค็มเหมือนกัน รสเค็มเป็นรสสัจจะ แต่คนนี้ ชอบเค็ม ก็จะมีอาการ อร่อย นี่คือเท็จ คนบางคน ไม่ชอบเค็ม บอกไม่อร่อย อันนี้ก็เท็จ แต่ถ้าจริง แตะลิ้น ก็เค็มเหมือนกัน ชาติไหนๆ ก็รับรสได้เหมือนกัน แล้วแต่จะเรียก ภาษาต่างกันไป พระพุทธเจ้าเรียกว่า เสียง ๒ อันหนึ่งเป็นทิพย์ อันหนึ่งเป็นสามัญ ที่เขาหลอกว่ามันอร่อย หลอกว่ามันชัง เมื่อชอบก็อร่อย เมื่อชังก็ไม่อร่อย ทั้งสอง อาการนี้ เกิดจากเหตุ ถ้าไม่พอใจตรงอุปาทาน เรียก อนิฏฐารมย์ ถ้าชอบใจก็ อิฏฐารมย์ อย่างสามีภรรยา ถ้าภรรยาทำอาหารไม่ชอบใจ สามีก็จานบินเลย ถ้าอร่อย ก็ชอบใจ เป็นเทวดาสมมุติ ไม่มีตัวตนรูปร่าง สีสันหรอก แต่รู้ได้ด้วย ญาณปัญญา เราศึกษา ก็ลดละได้ ตามลำดับ อย่างสิ่งหยาบๆแรงๆ ก็ลดเถอะ บางอย่างเป็นพิษภัยด้วย จะชอบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็ตามเป็นกิเลส หรือแม้ลาภ ยศ ไปหลงใหลได้มากมาย ขี้โลภ ไปเบียดเบียน ทำร้ายผู้อื่น ไม่ดี ชีวิตคนเราก็อาศัยได้ ทั้งทวาร ๕ สัมผัส ทั้งโลกธรรม แต่เราเรียนรู้กิเลส ดับกิเลส ดับให้สนิท ฆ่าแล้วสบาย ไม่ต้องไปบำเรอ กิเลส ตัณหา อุปาทาน แล้วอย่าไปคิดว่า ถ้าไม่ได้สิ่งเหล่านั้น จะเหี่ยวแห้งตาย ไม่มีรสชาติ ไม่ใช่เลย เราพ้นแล้ว เราสบาย เอาเวลา แรงงาน ทุนรอน คืนมาได้เลย เราลดกิเลสได้หมด เป็นวิสุทธิเทพเลย จิตวิญญาณ สะอาดบริสุทธิ์ เป็นจิตวิญญาณพรหม เป็นศาสนาที่รู้แจ้ง ในเทวดา มาร พรหม เราเป็นมารก่อน แล้วก็เป็นอุบัติเทพ วิสุทธิเทพ แล้วก็เป็นพรหม เป็นพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์ถาวรเลย ไม่มีสุขทุกข์ ไม่ดูดไม่ผลัก กลางสบาย วางเฉยต่อโลกธรรม รู้แจ้งโลก มีโลกุตรธรรม ช่วยโลก มีประโยชน์ต่อโลกมาก พหุชนหิตายะ (เพื่อหมู่ชน เป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ (เพื่อความสุขของหมู่ชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ (รับใช้โลก ช่วยโลก) ไทยมีพุทธ เป็นศาสนาประจำชาติ สอนให้เป็นคนดี ช่วยเหลือสังคม เช่นเดียวกับ ศาสนาอื่น แต่พุทธ เป็นรากเหล้าของไทย เราก็ต้องเอาพุทธแต่แรก ก็เลย อาจเป็นเชิง ข่มบ้าง ก็ขออภัย ทุกวันนี้อาตมาเห็นผลว่า เป็นเวลาวาระ เป็นสยามเทวาธิราช เป็นพลังงาน ศักดิ์สิทธิ์ ที่มองไม่เห็น ของแต่ละคนๆ พลังงานที่ดี เป็นกุศล สะอาดจากกิเลส มีประสิทธิภาพ สูงมาก กิเลสมันหมักดองไว้ เรียกว่า อนุสัย อาสวะมันไม่ทำงาน แต่ไม่หมดไป คนไม่ศึกษา จะกำจัด กิเลสจริง ก็ไม่หมดอาสวะ อานุสัยหรอก ต้องเรียนรู้จริงๆ กิเลสไม่ทำงาน ไม่ได้หมายถึงหมด มันยังอยู่ แม้มีสามัญสำนึก มีจิตดี คนเราก็มีกิเลสอยู่ แต่ถ้าเป็นพลังที่ ไม่มีกิเลสชั่วคราว ก็มีจริง ยิ่งคนลดกิเลสได้ด้วย ก็ยิ่งจริง พฤติกรรม กาย วาจา ใจ เป็นองค์รวม มารวมกันเป็นล้านคน ก็มีอำนาจ ฤทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ มองไม่เห็นตัว นี่คือพลังงาน ที่แท้จริง มาเถอะ แต่ละคน มาทำกุศล ปรารถนาดี เพื่อที่จะไปต้าน กับพลังที่ไม่ดี จนกระทั่ง เขาหยุด ชั่วคราว หรือเลิกไปเลย เราจะมาสร้างพลังบริสุทธิ์ แทนอันเก่าที่มี ผี มาร ซาตาน ทำชั่ว จนบ้านเมืองแย่แล้ว เลวร้าย กดขี่ข่มเหง สารพัดที่โกหก ตอแหลตลอดหมด แล้วก็ไปมี หน้าที่ใหญ่ เลยเป็นอำนาจ บาตรใหญ่ คนที่ตกอยู่ใต้ โลกธรรม ถ้าไม่ปฏิบัติตาม อำนาจบาตรใหญ่ ก็เสียลาภยศ สรรเสริญ เสียกาม เสียโลกธรรม เอาเงินมาจ้าง เป็นผีโม่แป้ง เขาเอาเงินมาซื้อ ก็ให้เขาซื้อ เรากำลังทำให้มารสยบ ซาตานสยบ ผนึกกันให้เกิดพลัง สยามเทวาธิราช เป็นพลัง ศักดิ์สิทธิ์ ไม่เห็นตัวตน แต่มีประสิทธิภาพ พรุ่งนี้เป็นวันนัด เป็นรอบที่ ๔ ซึ่งรอบแรก เขาดูถูกว่า เรามาไม่ถึงแสนหรอก เพราะแต่ละครั้ง ที่รวมตัวกันมา ไม่เคยเลย ที่ทำได้ อย่างมาก ได้อย่างเก่ง ก็เรือนหมื่น เรือนแสน บางครั้งหลวมๆ ก็เท่านั้น แต่วันที่ ๒๔ พ.ย. นี่เกินล้านเลย พอมาครั้งที่ ๓ เมื่อ ๒๒ ธ.ค. ก็มากกว่าวันที่ ๙ อีก แยกกลุ่มกันอยู่ ก็คำนวณยากอยู่ พอมาครั้งที่ ๔ นี่ คิดอย่างตัวเลขคือ อะไรก็ตาม ทั้งรูปและนาม เมื่อเกิดพลังงานแรก เป็น ๑ ก็ไม่เกิดอะไรมาก แต่พอ มีเกิด ๒ ก็เป็นพลังงานระนาบ ไม่มีอะไรมาก ไม่โค้งไม่วน อยู่ในระนาบ จะยาวไป ตามระนาบ จนกว่าจะเกิดองศา แยกตัว เป็นพลังงาน อีกอันขึ้นมา เป็น ๓ เส้า มันจะวิ่ง ดิ้นวน วงกลม อย่างเรียบร้อย มีแรงสมบูรณ์ ถ้าเบี้ยว ก็วิ่งไม่ตรง แต่ว่าถ้าตรง ก็จะวิ่งวน เร็วมาก เป็น Cyclic order เป็นหนึ่งหน่วย แห่งพลังงานแข็งแรง พลังงานจะทดไปเรื่อยๆ เป็นหนึ่งแยกไปอีก แล้วเป็น ๕ เป็น ๖ ก็จะเป็นสองสามเหลี่ยม จนกว่า จะเป็น ๙ จึงเป็น Cyclic order ทับทวีไปเรื่อยๆ คราวนี้ พลังงานของประชาธิปไตย อำนาจประชาชน ที่เอาความสงบ สยบความรุนแรง จะเกิด ๔ พลังงานจะแรงขึ้น จาก ๔ ถ้าได้เรียบร้อย จะมี ๕ มี ๖ ทับทวี ถ้าเป็นสัจจะ จะเป็นเช่นนั้น ถ้าไม่ใช่สัจจะ จะฝ่อไป พลังงานเรามองไม่เห็น เพราะเป็นนามธรรม เกิดจากจิตวิญญาณมนุษย์ ที่เกิด ความเข้าใจ เป็นปัญญา มีพลังงานเป็นศรัทธา หรือเจโต มีทั้งสองอย่างมา เข้ามารวมกัน เป็นพลัง ถ้ามีแต่ปัญญา ไม่มีศรัทธาหรือเจโต ก็ไม่เกิดแรงอะไร แต่นี่ทั้งเชื่อมัน เข้าใจ และรู้จริง จะมีพลังสูง เรามาประท้วงด้วยธรรมะ ที่จะให้เข้าใจเรียกว่า ปัญญา และให้แต่ละคน เกิดความเชื่อ เพราะเข้าใจ เห็นจริง ไม่ใช่ถูกครอบงำความคิด ไม่ใช่ ไม่ได้ถูกหลอก แต่ถูกหลอก ก็มีกำลังได้เหมือนกัน ถูกครอบงำ ด้วยลาภ ยศ สรรเสิรญ ได้เงินก็เชื่อแล้ว ได้ยศตำแหน่ง ก็มาทำ ก็มีกำลัง แต่ไม่เหมือนกับเชื่อเอง ด้วยปัญญาชาญฉลาด เราจึงเปิดเผยความจริง ให้มากๆหมดๆ ประจานไป เขาก็โกรธ ต้องการให้คน ตื่นรู้ ใครไม่ถูก ครอบงำความคิด เป็นจิตเปิด ก็ไม่ถูกครอบงำ ตั้งใจฟัง ฟังด้วยดี ย่อมเกิด ปัญญา ฟังด้วยไม่หลงติดยึด รับรู้ศึกษาตามดีๆ มีเหตุผล หลักฐานต่างๆมาชี้ เราจึงรบ ด้วยความรู้ ความจริง ไม่ได้ใช้เรี่ยวแรงอาวุธ เราชนะด้วยความจริง ความถูกต้อง ความรู้ จึงได้ประโยชน์ทุกอย่าง ประโยชน์ในการรบก็ชนะ ประโยชน์ในการรู้ก็ชนะ รู้ความจริง ความถูกต้อง เกิดความเฉลียวฉลาดด้วย เพราะเขาไขเหตุผล เหลี่ยมคู เล่ห์กล ความซับซ้อน ปิดบังอำพราง เราก็ยิ่งรู้ ยิ่งฉลาด ได้ขึ้นมาหมดเลย นอกจากได้ ความรู้_จริง_ฉลาด ก็ออกมาช่วยแก้ไข ความไม่ดี ไม่จริง ไม่ถูก ให้ดีขึ้น ต่อสังคม ลงทุนลงแรง อย่างภูเก็ต เหมาเครื่องบินมา ๕ ลำเลย จะเหมารถไฟ เขาก็บอกว่าเสีย จะต้องซ่อม ถึงวันที่ ๑๔ ด้วยนะ ทำไมกะวัน แม่นอย่างนี้ ถึงเหตุปัจจัยแล้วนะ ถึงจุดระเบิด จุดชวาน แล้วมาบรรจบ ครบรอบแล้ว ถ้า ๑๐ กระทรวง มาพรึ่บ ก็จบเลย มันจะเป็นความฝัน กลางลมหนาวไหมหนอ อยากให้ฝัน เป็นจริงไหม? ใครจะว่าอยาก ก็อยากซิ เราไม่ต้องเอามีดเอาปืน มาทำร้ายทำลายกัน เอาความจริงความรู้ ถูกต้อง มาแสดง แล้วคนที่รู้ ก็มารวมกัน เป็นธรรมฤทธิ์ แน่นอน ถ้าออกมา เป็นความถูกต้อง เป็นพลังที่มารวมกัน แต่ละคน มารวมกัน เป็นถึงขั้น เป็นกระทรวงๆ ไม่เป็นไรหรอก กระทรวงกลาโหม มาช้าหน่อยก็ได้ เพราะคุณมีพลัง แรงมากเลยนะ คุณจะไม่กล้า ก็ไม่ออกมาก็ได้ แต่จะออกมา อย่างถือปืนมานี่ ไม่เอานะ ออกมาอย่าง เป็นประชาชนนะ ให้กระทรวงอื่น ออกมาเถอะ ถ้าอึดอัด ก็ออกมาเลย พรุ่งนี้เปิดตัวกันเลย ต้องขอบคุณ กระทรวงสาธารณสุขจริงๆ สิ่งไม่เคยเห็น ก็เห็นนะ เป่านกหวีดกันเลยนะ คนที่มีความกล้านี่ คนเป็นพันเป็นแสน เป็นล้านนี่ จะมีซักคน ที่มีความกล้าซัก ๑ คน ก็มีได้ยากแล้ว อารยะคือผู้ฉลาด ที่จะรู้ความจริง ตามความเป็นจริง ไม่หลงความหลอก มาเป็นความจริง ก็เกิดไป ตามลำดับๆ ประเทศไทยนี่ กล่าวได้ว่า เป็นชมพูทวีป ไม่ได้กล่าวลอยๆ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ชมพูทวีป มีเครื่องแสดง ๓ อย่าง สุรภาโว สติมันโต อิธะ พรหมจริยวาโส นี่คือคุณสมบัติ มนุษย์ชมพูทวีป ใครมีครบ สามารถทำให้โลกลูกนี้ คือกาย ยาววา หนาคืบ กว้างศอก พร้อมสัญญา และใจนี้ ทำให้สะอาดจากกิเลส เรียกว่า มีความประพฤติ หรือจรรยาของพระพรหม ใครก็ตาม มีโลกลูกนี้ สามารถบรรลุ พรหมจรรย์ไปเรื่อยๆ นี่แหละคือ ผู้ที่เป็นชมพูทวีป ใจของคนสามารถเกิดพรหมจรรย์ ลดกิเลสลงได้ ต้องมี ๑.สุรภาโว ๒.สติมันโต สุระแปลว่ากล้า ภาโว คือสิ่งที่เกิดขึ้น ถ้าเกิดขึ้นแข็งแรง ถ้าเอาตัวเรากายเรา คนๆ หนึ่ง มีอาการ ๓๒ แข็งแรง ครบบริบูรณ์ ก็ถือว่ามี สุรภาโว ระดับหนึ่ง ยิ่งมีกาย วาจา แข็งแรง แกล้วกล้า อาจหาญ อย่างที่มี สติมันโต มีสติเป็นองค์ธรรมสำคัญ เป็นธาตุ สำคัญด้วย ระลึกรู้ตัว จากสติ เป็นสัปชัญญะ เป็นปัญญา เป็นหลักสำคัญเลย เมื่อรู้จักสติ แล้วเอาสตินำ เป็นโพชฌงค์ ๗ หรือมรรคองค์ ๘ แล้วพิจารณาเป็น สติปัฏฐาน ลดกิเลส ไปได้เรื่อยๆ สติก็เป็น สติสัมโพชฌงค์ เจริญด้วย สติ_ธัมวิจัย_วิริยะ สัมโพชฌงค์ มีสตินำ ผู้ที่มีพร้อมทั้ง สุรภาโว สติมันโต อิธะ พรหมจริยวาโส คนๆนั้นคือ ชมพูทวีป เป็นนามธรรม ที่มีในคน ในถิ่นแคว้นใด มีคนชมพูทวีป มีน้อยก็เป็น ชมพูทวีปน้อยๆ มีมากก็เป็น ชมพูทวีป มากๆ แล้วในไทย เป็นพุทธศาสนิกชน ๙๕ % จนชาวโลกเขาเห็นแล้วว่า ไทยเป็น แหล่งกลางของ ศาสนาพุทธ เพราะมีสภาพของ พุทธศาสนา อยู่ในคนจริงมาก ประเทศไทย จึงเป็น ชมพูทวีปเช่นนี้ อย่างอินเดีย ศรีลังกา พม่า ก็มีคนพุทธเยอะ ลาวก็มี เวียดนาม ญี่ปุ่น จีนก็มีพุทธ แต่คิดค่าเฉลี่ย ทั้งปริมาณ และคุณภาพ ตกลงประเทศไทย มีเหนือชั้นกว่า ทุกประเทศ ตอนที่พระพุทธเจ้า ประกาศพุทธศาสนา ในอินเดีย แน่นอน อินเดียเป็นชมพูทวีป ในสมัย พระพุทธเจ้า แล้วอยู่มาพอสมควร คนแผ่มาเรื่อยๆ จนมาถึงวันนี้ อย่างที่ อาตมาว่า ทำสถิติ ตรวจสอบว่า ไทยนี่ค่าเฉลี่ย สูงกว่าประเทศใดๆ ไทยจึงชื่อว่าเป็น ชมพูทวีป เรามาร่วมกัน เพื่อพิชิตผู้บริหาร ที่ทำชาติย่อยยับ กู้มา ๒ ล้านๆ แล้วว่ากันว่า จะเป็นหนี้ ไปถึง ๕๐ ปี มันอำมหิต โหดร้ายจริงๆ มันแสดงว่า ไม่มีภูมิปัญญา จะหาเงิน มาเลี้ยงประเทศ ไม่สามารถหารายได้ แก่ประเทศได้ ตั้งหน้าตั้งตากู้ หมาที่ไหน ก็ทำได้ ใช่ไหม และมันมีนัยซ่อน จะกู้อะไรมา ตั้งเยอะแยะ อ้างว่าจะมาทำ รถไฟความเร็วสูง เพื่อขนผัก มันขายขี้เท่อ ต่างประเทศ เขาสร้าง รถไฟความเร็วสูง เพื่อขนคน... จบ
|
||
|