_570116_พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ และอ.กฤษฎา ที่เวทีพระราม ๘
เรื่อง จะเป็นครูต้องมีพาหุสัจจะ

 

        อ.กฤษฎาดำเนินรายการ …. วันนี้เป็นวันประวัติศาสตร์ และเป็นวันครูด้วย เป็นโอกาสดี พ่อครูก็เป็นบรมครู ที่พวกเราได้ติดตาม ฟังธรรมะจากพ่อครู เพื่อให้ได้ อยู่ในหลักธรรม ที่แท้จริง ก่อนเข้ารายการ จะขออ่านกลอน... บูชาครูก่อนเลย

        สมณโพธิรักษคุรุบูชา
        กราบพ่อครูสมณะโพธิรักษ์
อริยสงฆ์เน้นหนักพรหมจรรยา
อุทิศกายใจในพระพุทธศาสนา
กราบบูชาพ่อครูปูชนียอริยสงฆ์
ดำรงโพธิญาณฐานธรรมวินัย
ดำรงธรรมาธิปไตยไทยสูงส่ง
ดำรงชาติศาสน์กษัตริย์อุทิศองค์
ดำรงไทยให้มั่นคงธำรงไท
จากสันติอโศกลุมพินีมัฆวาน
สู่สะพานผ่านฟ้ามหามงคลชัย
พระรามแปดพระราชาผู้ยิ่งใหญ่
ประชาชนชาวไทยบูชาสถาพร
 ธรรมสถานท่านพ่อครูโพธิรักษ์
ครูนำหลักธรรมมาสั่งสืบสอน
หลักธรรมประชาธิปไตยใสบวร
ประชาธรรมสังวรประชากรไทย
 ธรรมยาตราธิปไตยโปร่งใสสาง
วางแนวทางปราบอาธรรมอนุสัย
ปราบโจรธนาธิปไตย
ปราบโจรภัยในคราบคาบคัมภีร์
รัฐธรรมนูญทั้งสิบแปดฉบับ
หนาร้อยนับมาตราจำนวนเลขคู่คี่
ร้อยอรรถอักษรเรียงรายตามที่มี
ถ้าไร้มีหลักศีลธรรมย้ำตำรา
 พ่อครูสู้กู้ธรรมนำคนไทย
นำหลักธรรมาธิปไตยในสัญญา
มวลมหาประชาชนมีปัญญา
วางไตรสิกขาประชาธิปไตย
 พระพุทธองค์ทรงตรัสบัญญัติไว้
พระสงฆ์ได้ดูแลสัตว์เวไนย
สำเร็จพระอรหันต์แล้วอย่าปลีกไป
จงสนใจในมวลมหาประชาชน
พระสงฆ์ใดไม่สนใจต้องทุกกฎ
พระทรงวางพรตเพื่อมรรคผล
แต่ที่สำคัญอย่าได้หลงลืมประชาชน
เป็นอุดมผลสูงสูดของพุทธศาสนา
 วันครูขอกราบบูชามหาสงฆ์
ผู้ดำรงคงสืบพระพุทธจริยา
สมณโพธิรักษ์ครูคนมวลประชา
กราบบูชาวันทาสังฆมหาพ่อครู
สมณโพธิรักษ์....ชิตัง เม ชิตัง เม ชิตัง เม

        อ.กฤษฎาว่า.. พวกเราก็เป็นลูกศิษย์ลูกหา ก็ซาบซึ้งใจ ที่พ่อครูต้องเกิดมาเป็น คุรุผู้ยิ่งใหญ่

        พ่อครูว่า... อาตมาเคยเล่าเคยเขียนไว้ว่า อาตมาไม่ชอบอาชีพครู ไม่คิด ไม่อยากเป็นครู บอกไม่ถูกเหมือนกัน ตั้งแต่เด็กแล้ว ไม่รู้สึกว่า ครูจะเป็นงาน ที่น่าทำตรงไหน แต่ว่าสุดท้าย ทุกวันนี้ ก็ต้องจำนนว่า ชีวิตเรา ต้องมาเป็นครู ไปเรียน หนังสือ ก็ไม่ได้เรียนสายครู แต่ไปเรียนศิลปะโดยตรง Pure Art แต่แล้วจบออกมา มีคนขอร้อง ให้ไปเป็นครู ก็เลยต้องไปเป็น

        เป็นครูตั้งแต่ อยู่ที่ทำงานโทรทัศน์ เป็นครูสอนคน ร้องเพลง ศิลปะ สอนนักร้อง ต่างๆ จนกระทั่ง มีคณะ คัดเลือกนักร้อง เสร็จแล้ว เป็นดาราโทรทัศน์ คนรุ่นอายุ ๕๐ ปีขึ้นไป ก็คงจะรู้จัก เพราะว่าอาตมา เลิกออกจากโทรทัศน์ มาบวช ตอน ๒๕๑๓ ใครเกิดก่อนนี้ ก็ไม่น่าจะ ไม่รู้จักอาตมา ตอน ๒๕๑๐​ ก็ค่อยๆลดงาน ทางโทรทัศน์แล้ว

        ออกมาก่อนมิ.ย. ออกจริงก็ส.ค. ๒๕๑๓ ออกจากงานทางโลก ในขณะที่ทำงาน อยู่โทรทัศน์ เกือบทุกวัน บางวันออก ๒ ถึง ๓ รายการ รายการสารคดี รายการเด็ก รายการวิชาการ รายการสังคม ราชการ อาตมาดูแลทั้งนั้น ก็เลยเป็นคน เหมือนดารานะ เพราะโทรทัศน์ มีเป็นช่องแรก ของประเทศ มันใหม่ก็เห่อ เสนออะไร เขาก็ดูทั้งนั้น

        แล้วอาตมาสอนร้องเพลง ต่อมารร.ต่างๆ เช่น เบญจมราชาลัย สตรีวิทย์ ฯ ก็ไปสอน เมื่อมีงานกาชาด งานศิลปะต่างๆ ก็มีการประกวดร้องเพลง ชิงถ้วย อาตมาก็แต่งเพลง ให้เด็กไปร้อง กวาดถ้วยรางวัลมากมาย เขาก็ยิ่งรู้จัก ก็ให้ไปสอนร้องเพลง ทั้งสอน ภาษาไทยด้วย

        เขาให้สอน เป็นครูพิเศษ ยุคนั้น ชม.หนึ่งจะได้ ชม.ละ ๑๕ บาท สอนโรงเรียน ประถม มัธยม ตั้งแต่ พศ.๒๕๐๐ กว่าๆ ไม่ถึง ๒๕๑๐​ เขาให้อาตมา ชม.ละ ๓๐ บาท ซึ่งครูธรรมดา จะได้ชม.ละ ๑๕ บาท อาตมาต้องเลี้ยงน้องด้วย เพราะเงินเดือนชั้นตรี ตอนนั้น สตาร์ท ๑๐๐๐ บาท ชั้นโท ๒๕๐๐ บาท แต่อาตมา ต้องจ่าย ค่าเช่าบ้าน เดือนละ ๗๕๐ บาทแล้ว ตอนนั้น ยังเรียนไม่จบ ก็ต้องหา รายได้พิเศษ เพื่อเลี้ยงดูกันไป

        ก็เลยกลายเป็นครู หลายรร.ก็ให้ไปสอน ก็เลยต้องวิ่งสอน หลายที่ เป็น ครูรัก รักพงษ์ นอกจากจะสอน อย่างนั้นแล้ว ได้เงินจากสอน นอกนั้น ก็หารายได้พิเศษอื่น เช่น งานศิลปะ

        ตอนนั้นนายกฯ เงินเดือน ๘๕๐๐ บาท แต่อาตมาทำรายได้ สูงขึ้นเรื่อยๆ จนเงินเดือน อาตมา ได้ถึง ๒ หมื่นบาทแล้ว อาตมาก็ไม่ได้ชินชา กับอาชีพครู ก็รู้จักวิธีสอน วิธีพูด        

        พอออกบวช ออกมาทำงานศาสนา มารู้ตัว ว่าตนเป็นครูจริงๆ จังๆ ไม่มีงานอื่น มีงานบรรยาย ก็เลยกลายเป็น ครูแท้ๆ ก็มารู้ว่า งานครู เป็นงานที่ยิ่งใหญ่ พระพุทธเจ้า สอนไว้ ว่าผู้เป็นครู ก็ต้องมีคุณสมบัติ ต้องสร้างคุณ อันสมควรก่อน แล้วค่อยพร่ำสอน ผู้อื่น ภายหลัง จึงไม่มัวหมอง

        ต้องได้ความจริง จากสิ่งที่ตนสอนแล้ว ถ้าเป็นธรรมะ ขั้นบรรลุธรรม ต้องเป็น ธัมกถึก ซึ่งต้องมีความรู้ ความเชื่อมั่นในตน ตามศรัทธา ๑๐
        เป็นพหูสูตร หรือพาหุสัจจะ คือมีความจริงมาก
.     ศรัทธา  (เชื่อถือเลื่อมใสในอริยสัจเป็นต้น)
๒.     ศีล (ในบริบทที่สูงไปสู่สีลสัมปทา แห่ง จรณะ๑๕)
๓.     พหูสูต / พาหุสัจจะ (รู้สัจจะบรรลุจริง จนรู้มากขึ้น) เมื่อไม่มีความจริง ก็จะเดาไปเรื่อยๆ
๔.     เป็นพระธรรมกถิกะ (อธิบายสัจธรรม สอนความจริง)
๕.     เข้าสู่บริษัท (สู่หมู่กลุ่มอื่น) .
๖.     แกล้วกล้าแสดงธรรมแก่บริษัท
๗.     ทรงวินัย
๘.     อยู่ป่าเป็นวัตร  ยินดีในเสนาสนะอันสงัด (คืออุเบกขา) . .
๙.     ได้ตามความปรารถนาโดยไม่ยาก ไม่ลำบากซึ่งฌาน ๔ 
๑๐.    ได้ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ-ปัญญาวิมุติอันหาอาสวะมิได้

ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการนี้แล  ย่อมเป็นผู้ก่อให้เกิด ความเลื่อมใสโดยรอบ และเป็นผู้บริบูรณ์ ด้วยอาการทั้งปวง

         ต้องพร่ำสอนตนเอง ให้มี พาหุสัจจะก่อน จึงสอน ก็จะไม่มัวหมอง โลกก็มีผู้สอน เป็นศาสดา คือพระพุทธเจ้า เป็นบรมครูที่ยิ่งใหญ่ ผู้ที่จะเป็นสาวก มาสอน ก็จะต้องนึกถึง ธรรมะที่ว่า ต้องมีของจริง ย่อมไม่มัวหมอง เพราะว่าทุกวันนี้ ศาสนาเสื่อม เพราะ ไม่บรรลุธรรม

        บรรลุธรรมคือกิเลสลด ต้องลดกิเลสได้มากพอ ก็จะเป็นผู้สอนได้ อย่างพระป่านี่ เขาจะไม่ให้สอน ไม่ให้เทศน์ง่ายๆ อย่างวัดอโศการาม ต้องบวชมา ๑๐ พรรษามา จึงเป็นผู้เทศน์บนศาลา หรือบนธรรมาสน์ได้

        อย่างอาตมา เป็นกรณีพิเศษ อาตมาบวชไม่ถึง ๑๐ พรรษาเลย แต่ก็ได้เทศน์ บรรยายธรรมะ ( เปิดคอลัมน์ บรรยายธรรมะ มาตั้งแต่เป็นฆราวาส เขียนสอน) พอมาบวช ก็บรรยายธรรมะเลย ออกไปบรรยาย วัดต่างๆ เช่นวัดธาตุทอง วัดนรนาถฯ​ แม้วัดมหาธาตุฯ ก็บรรยาย

        แต่ก่อนวัดมหาธาตุฯ เขาเรียกตักศิลา ถกปัญหาธรรมะ กันมากเลย อาตมาก็บรรยาย ใต้ต้นอโศก ใครมีความรู้สามารถ เท่าไหร่ ก็บรรยายเต็มที่

        ศาสนาพุทธ ประเด็นที่คำว่า สาวกะหรือสาวก แปลว่า ผู้ฟัง คือฟังจาก ผู้บรรลุธรรม ทุกคนต้องเป็น สาวกภูมิก่อน เพราะศาสนาพุทธ เป็นศาสนาโลกุตรธรรม เกิดเองรู้เอง ไม่ได้ ต้องได้รับ ถ่ายทอดมา

        พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า ท่านเป็นเพียง ผู้ชี้ทาง เมื่อตนได้รับ ก็ไปทำ ให้เป็นของตน เป็นปัจเจกภูมิ เพื่อได้รับมาทำ ก็มาทำให้กิเลสลดได้ ก็เป็นปัจจัตตัง เป็นนามธรรม
       
        ผลของกิเลสลด รสที่ไม่มีกิเลสแล้ว เป็นอย่างไร หยิบให้กันดูไม่ได้ เป็นนามธรรม มันต้องรู้สึกเอง เป็นสภาว นามธรรม ได้แล้วเป็นปัจเจก แล้วเราจึงถ่ายทอด ให้แก่คนอื่น

        อ.กฤษฎาว่า... ต้องเกิดจากฟังก่อน เวลาอาจารย์ สอนเสมอว่า หมั่นฟังธรรม เป็นนิตย์ คนต้องฟังก่อนไปเดิน ยุบหนอพองหนอ

        พ่อครูว่า... ยุบหนอพองหนอ ไม่ใช่ของพุทธ แต่เป็นเรื่อง ประยุกต์เอามา

        ที่พูดไปวันนี้ เป็นวันครู อาจเป็นเรื่องหนักนะ ก็สรุปลงที่ว่า ผู้เป็นครูทางธรรม จะต้องบรรลุธรรม ถ้าไม่มีเนื้อหา ธรรมะจริง ไปพูดจะมัวหมอง ศาสนาเสื่อมเพราะ อวดดีเป็นครู ทั้งที่ภูมิตนเองไม่ได้ ทั้งบางที ไม่เจตนา เวลาเขาถาม จนแต้ม มีเหลี่ยม ที่ต้องอธิบาย แต่ตนเอง ตอบไม่ได้ กลัวขายหน้า ก็ด้นเอา ก็เลยเพี้ยนไปเรื่อยๆ ทำให้ศาสนาเสื่อม ครูต่างๆ ที่สอนกันอยู่ โดยไม่คำนึงถึงตรงนี้ ก็ทำให้ศาสนาเสื่อม

        อ.กฤษฎาว่า...

        พ่อครูว่า.. อันสำคัญ เมื่ออาตมา ตกกระไดพลอยโจน ซึ่งไม่ใช่ซะทีเดียว คือ อาตมา ยิ่งเห็นชัดเจน เกิดปัญญา ยิ่งเป็นเรื่องศาสนา เป็นโลกุตรธรรม ถ้าผู้บรรลุธรรมแล้ว ไม่สอน คนอื่นแล้ว ประเด็นนี้ เพี้ยนไป ในวงการศาสนา ไปสอนกันว่า ผู้บรรลุธรรม อย่าไปบอก ประกาศว่า ตนบรรบุ บรรลุแล้ว ไปบอกใครไม่ได้ ว่าตนบรรลุธรรม เป็นโสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์แล้ว ไปบอกใครไม่ได้ โดยกำชับกำชาว่า ถ้าบอก ก็เป็นการอวด อุตริมนุสธรรม ก็เลยกลายเป็นว่า ผู้บรรลุธรรม ถือภาษานี้โดยไม่รู้ ก็ไม่บอก ทั้งที่ตนบรรลุแล้ว แต่บอกคนไม่ได้ ก็พูดไปตามภาษาธรรม

        เมื่อบรรลุแล้ว ก็จะเป็นสิ่งที่ตนบรรลุแล้ว แล้วยังต้องมีการอนุโลม มาเกี่ยวข้องกับ สิ่งที่ตนละแล้ว บรรลุแล้ว ก็เลยคล้ายว่า ตนยังเกี่ยวข้อง ไม่บรรลุ แต่ที่จริง ตนต้องเกี่ยวข้อง สัมพันธ์กับ สิ่งที่ตนบรรลุ เช่น เราต้องเล่นตุ๊กตา กับลูกๆ เด็กๆต้องเล่น หม้อข้าวหม้อแกง เราก็เลิกเล่นแล้ว แต่เราก็ต้อง กลับมาเล่นกับเด็กๆ เขาก็หาว่า เราไปเล่นทำไม

        ผู้ที่อนุโลมด้วย เลิกสิ่งนั้นแล้ว แต่ต้องมาอนุโลม เช่น อาตมาไม่เป็นหรอก นักการเมือง ที่ต้องไปบริหาร ไม่ไปรับหน้าที่ตำแหน่ง แต่อาตมา มาทำงาน ทำเต็มที่ อาตมาก็อนุโลม มาทำงานด้วย เขาก็มองว่า เราไปทำ เพื่อไปเป็น อย่างที่เขาคิด

        อาตมาทำอย่าง สัจจานุโลมิกญาณ ไม่ได้มีรสชาติ เหมือนไม่สนุก ไปกับลูกหรอก ในการเล่น หม้อข้าวหม้อแกง จิตเราไม่มีรส แต่เรารู้จักสมมุติ ให้จริงๆเลย อย่างดารา เวลาเขาจะแสดง ก็ทำให้เหมือนที่สุด จริงที่สุดเลย

        คนเขาไม่เข้าใจอาตมา อาตมาเป็นดารา ตุ๊กตาท้อง เหนือกว่าดารา ตุ๊กตาทอง แสดงอย่าง จริงใจเลย คนที่เข้าใจยาก ก็ไม่เข้าใจ

        ความเป็นครูจึงยากมาก ในระดับโลกุตระ ต้องถึงก่อน แล้วอนุโลมมา เราอนุโลมมา ต้องเผื่อพอ  ยกตัวอย่าง เหมือนช่วยคนตกบ่อ เราต้องรู้ประมาณเลยว่า เอื้อมไปได้ ลึกเท่าไหร่ น้ำหนักข้างล่าง จึงไม่ดึงเราลงไป เราต้องเผื่อพอ

        ถ้าเสี่ยงมาก ไม่มั่นใจถึง ๗๐ หรือ ๘๐ % ขึ้นไป เราไม่เสี่ยง เราถึงทำ อย่างที่เรา มาทำนี่ ด้วยประท้วงนี่

       อ.กฤษฎาว่า... แล้วจะจบอย่างไร มั่นใจแล้วที่มาทำ

        พ่อครูว่า... มาถึงวันนี้แล้ว ไทยเราทำได้ เกินหน้าเกินตา ชาวโลกเขานะ เราทำ ประชาธิปไตย อย่างสร้างอธิปไตย ของประชาชน ประชาธิปไตย คือการมาชุมนุม ประท้วง คนก็ไม่เข้าใจกันดี

        เขาสอนกันว่า การเมืองคือ การแสดงอำนาจ แย่งอำนาจ ใครมีอำนาจ คนนั้น เป็นนักการเมือง แล้วการแสดงอำนาจ อยู่ที่ใคร

        ถ้าเราเบ่งอำนาจ กลับกลายเป็น อัตตาธิปไตย คือตัวกูมีอำนาจ ถ้านักการเมือง ทำเช่นนี้ คนนี้ไม่ใช่ นักการเมือง คำว่าอำนาจนี้ จะบอกว่า การแสดงอำนาจนั้นถูก แต่ประชาธิปไตย คือให้ประชาชน ออกมาแสดงอำนาจ รวมกัน เป็นจำนวนมาก นี่คืออำนาจ แล้วเป็นอำนาจ ของประชาชน ไม่ใช่ของ คนใดคนหนึ่ง
       
        อธิบายว่า คนเดียวก็ออกมาประท้วงได้ ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น ออกมาประท้วง คนเดียว เรือตรีฉลาด วรฉัตร แกมาคนเดียวเลย จนกระทั่ง คนสร้างคอก ให้แกอยู่เลย แม้ท้วงผิดๆก็ช่าง ก็ไม่ผิดกฎหมาย ความเข้าใจของเขาผิด แต่เขาไม่ผิดกฎหมาย คือเขาโง่นะ

        หรือแม้เขาถูกต้อง ออกมาคนเดียว ก็ต้องฟังเขา อย่างคุณฉลาด ก็ไม่มีใคร วินิจฉัยว่า แกถูกหรือผิด เป็นสิทธิเสรีภาพ ยิ่งมากยิ่งแสดงประชาธิปไตย

        เราก็นัดกันมาหลายครั้ง ประเด็นก็เข้าใจกันดี แต่ก่อน ก็พยายาม รวมตัวกันได้มาก แล้วก็ไม่ได้มาก ขนาดคราวนี้ เขาบอกว่า เป็นล้านเลย ในวันที่ ๒๔ พ.ย. ๕๖

        มาแสดงตัว ๑ คน ๑ เสียง เหมือนกับที่ฝ่ายโน้น เขาก็ทำ ๑ คน ๑ เสียง ให้ไปเลือกตั้ง  แต่เราออกมานี่ ไม่ใช่เลือกผู้แทน แต่เราออกมา แสดงสิทธิ์เลย เรื่องอะไร ก็เรื่องไล่คุณออกไง ไม่ให้คุณทำงาน แต่เขาก็แย้งเถียง แล้วไปดัน ให้ไปเลือกผู้แทน ซึ่งเป็นอำนาจ ขั้นที่ ๖ แต่นี่ผู้เป็น เจ้าของอำนาจรัฐโดยตรง ออกมาเลย

        เขาเรียกพวกเราที่ออกมาว่า กบฏ แสดงว่าพวกคุณ ไม่รู้เรื่องรธน.เลย ทั้งที่ในรธน. มาตรา ต้นๆเลย ให้อำนาจ เป็นของประชาชน แม้แต่การประท้วง โดยสันติ ปราศจาก อาวุธ รธน. ก็ให้สิทธิ์หมดเลย ไม่ต้องกลัวเลยว่า จะถูกข้อหากบฏ แต่ผู้ที่จะต้องเลิก เพราะทำผิดหน้าที่ ทำผิดกฎหมาย อยู่ตลอด ทำผิด รธน. แล้วก็ไม่ยอมรับ คุณนั่นแหละ คือผู้ไม่ชอบธรรม ถ้ายังดันทุรัง ต่อต้าน คุณนั่นแหละ คือกบฏ คือผู้ที่รักษาการณ์ อยู่นั่นแหละ ที่จริงต้อง ขอลาออกไปแล้ว ถ้าเป็นประเทศอื่น เขาไม่หน้าแข็ง ขนาดนี้หรอก ออกไปนานแล้ว ไม่มีความรู้รัฐศาสตร์เลย ไม่รู้หน้าที่เลย ว่าเราต้องทำ ถูกต้อง อย่างไร

        แล้วก็หน้าด้านพูดว่า เราต้องรักษา ประชาธิปไตย​  แต่คุณทำผิด ประชาธิปไตย เสียเองแล้วนี่ เราเลยต้องมา ไขความจริง ไขความรู้ให้มากๆ ประชาชน จึงได้รับความรู้ ถ้าสื่อสารมวลชน ได้เผยแพร่อย่าง ไม่อคติ ประชาชนไทย จะได้รับความรู้ มากกว่านี้เลย เราก็ช่วยกันอยู่ ไม่กี่เจ้า แต่เมื่อทำ มากๆเข้า เขาก็จำเป็นต้องรู้ สื่อสารจำเป็นต้องรู้ เพราะประชาชน แสดงตัวตนมากๆ มีพฤติกรรมรัฐศาสตร์ ถูกต้องมากๆ สื่อสารก็ต้องเรียนรู้

        ทั้งที่สื่อสาร ตกอยู่ใต้อำนาจ แห่งความกลัว กลัวเสียลาภ เสียยศ เพราะไปรับสินจ้าง รางวัลมา ก็เกรงใจเขา กลัวเสียโลกธรรม แม้ข้าราชการต่างๆ ก็มีอำนาจสั่งการ ปลดได้ ก็ด้วย ก็เลยตกอยู่ในอาณาจักร แห่งความกลัว

        เขาฉลาดหาทางเอาเปรียบ ได้เปรียบ อำนาจเงิน อัดเข้าไป เป็นง่อยเลย ให้ผีโม่แป้งเลย ​

  

 
๑๖ มกราคม ๒๕๕๗ ที่ เวทีสะพานพระราม ๘ กทม.