_ 570202_พ่อครูที่เวทีป้อมมหากาฬ

 

เรื่อง แบบคนจน และอำนาจในกระจกเงา

 

        ชีวิตนี้ก็มีเรื่องธรรมะที่สำคัญ เพราะว่าอาตมา ได้หันเหชีวิต มาทางนี้แล้ว ซึ่งมนุษย์ ก็ไม่มีเรื่องอะไร สำคัญกว่าธรรมะ แม้ผู้มีบารมีมา ได้ปฏิบัติมา แต่ละชาติ ถึงขั้นมีคุณธรรมเต็มรอบ เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว แต่พอเกิดมาแล้ว โลกีย์ยังครอบงำ ให้ทำตามโลกีย์เลย ยังไม่รู้ตัวเองว่า มีบารมี พระบิดาดูแล ไม่ให้เจอกับ ความทุกข์เลย แต่พออายุ ๒๙ ก็ได้คิด จึงออกบวช แต่ว่า แม้บวชแล้ว บารมีที่มีแล้ว ก็ยังไม่ขึ้นมา ไม่มีพุทธคุณ พุทธรรมขึ้นมา เพราะศาสนาพุทธ สูญหายไปหมดแล้ว ต้องถึงเวลา ถึงจะรู้ตัวเองว่า เป็นพระพุทธเจ้า ขนาดท่าน มีบารมีขนาดนี้ ยังถูกครอบงำ ดังนั้น เราต้องสะสม โลกุตรธรรม ใส่ในสัญญา ถ้าได้แล้วได้เลย

        ตั้งแต่โสดาบัน รู้อาริยสัจ ๔ (ทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ ความดับทุกข์ ทางดับทุกข์)
        โสดบันจะมีคุณสมบัติ
        ๑.โสตาปันนะ คือจิตมีทิศทางไปสู่โลกุตระ ทวนกระแส ปฏิโสตัง ได้ ๑ ใน ๔ ส่วน
        ๒.อวินิปาตธรรม คือมีเนื้อหามากขึ้น ๒ ใน ๔ส่วน ที่จะเต็มรอบ
        ๓.นิยตะ คือเที่ยงแท้ แน่นอน ไม่ตกต่ำ ไม่ถอยหลังแล้ว แต่ประมาทไม่ได้ แม้ไม่ติดแหงก แต่เสียเวลา ต้องพากเพียรต่อไป
        ๔.สัมโพธิปรายนะ คือ มีอันจะตรัสรู้ ในเบื้องหน้าแน่นอน

        จิตต้องมีคุณสมบัติเหล่านี้จริง สัมผัส สักกายะที่เป็นกิเลสตัวตน ของตัวเองได้ รู้เห็นสัมผัสของตน พ้นสังโยชน์ ข้อ ๑ ได้ แม้เป็นนามธรรม แต่เป็นวิทยาศาสตร์ ยืนยันกับตนได้ ไม่หลงทิศทาง มีรายละเอียด ในตำราบอกไว้หมด แต่ท่านไม่เห็นใช้กัน เห็นแต่จะทำสมาธิ ก็ไปนั่งทำสมาธิเอา

        แต่พุทธสอนให้กำจัดกิเลส ที่เป็นผีเป็นมารในใจ ที่เป็นเหตุ เป็นตัณหา เป็นตัวการ ที่ทำให้เราสุขหรือทุกข์ ให้เราตกนรก หรือขึ้นสวรรค์เก๊ แต่ทุกวันนี้ สอนกันผิดๆ ก็เลยไม่ได้แก่นสาร ศาสนาพุทธ ได้แต่นับถือพุทธ ตามทะเบียน ถือไปอย่างนั้น ไม่เข้าใจ ไม่ใส่ใจศึกษา ปฏิบัติพุทธธรรม

        เมื่อผู้ใดได้ศึกษา แต่ละชาติๆ หลุดพ้นได้ ลดกิเลสได้จริง เป็นโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล จะได้จริง เกิดมาชาติหน้า ก็จะมีจริง แต่อาจถูกโลก ครอบงำ เสียเวลาได้ แต่ไม่หายไปไหน ในคุณสมบัติ โลกุตรธรรม ยิ่งทำให้โลกุตรธรรม สูงขึ้นๆ เป็นสกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ ก็ยิ่ง นิจจัง (เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสสตัง (ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง (ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง (ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง (ไม่กลับกำเริบ)

        เมื่อได้คุณสมบัติที่ประเสริฐ ยอดเยี่ยมกว่า ยอดเพชรยอดทอง กองท่วมโลก ก็ไม่ยิ่งใหญ่ เท่าอันนี้ เพราะไม่ติดตัวไปตลอด ตายแล้ว ก็เอาไปไม่ได้ แต่ธรรมะตายแล้ว เอาไปด้วยได้ ไปกับเรา เป็นของๆเรา ไม่เอาก็ไม่ได้ ทำแล้วสั่งสม ในจิตวิญญาณไม่มีทางลบ นอกจาก ทำอันใหม่ ไปสังเคราะห์กัน บวกลบ ลดดีกรีของกันได้จริง

        เป็นหลักประกันของคน เอามาย้ำกันพูดกัน เพราะเป็นสิ่งสำคัญ ผู้รำคาญ ก็ต้องขออภัย

        ผู้ที่มีอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ตัว บางคนไม่แสวงหา แต่เจอได้ บางคนแสวงหา ก็เจอได้ บางคนไม่มีบารมีเลย แต่มาพบได้ แต่ไม่เข้าใจ ฟังแล้ว รับไม่ได้ ไม่ใช่ เพราะเป็นเรื่อง ทวนกระแส

        มาบอกว่า ธรรมะต้องมุ่งมาจน แต่ทั้งโลก เขามุ่งมารวยกัน จะมาเป็น ไอ้เข้ขวางคลอง กันอยู่ทำไม มันไม่สามัญ ที่เขานึกได้ มาเป็นคนจน แล้วจะดีได้ อย่างไร ไม่มีมันก็ไม่ได้ใช้ เอามาทำอะไรไม่ได้ แล้วจะอยู่อย่างไร

        วันนี้จะขยายความเรื่อง แบบคนจน ของในหลวงเราอีกที
        แบบคนจน และเราไม่ก้าวหน้าอย่างมาก ท่านกลับเห็นว่า การก้าวหน้าอย่างมาก เป็นการถอยหลัง

        คนจนนี่คือ คนไม่มีสมบัติวัตถุมาก แต่ไม่ใช่คนจนใจ หรือจนน้ำใจ จนแต่มากด้วย คุณสมบัติขยัน หมั่นเพียร แต่จนโลกธรรม ไม่มีโลกียทรัพย์มาก จนไม่สะสม (อปยจะ) แม้ตนเอง จะสร้างได้มาก ผลิตได้มากดีอย่างไร แม้ราคาจะแพง หาได้ยาก เพราะคนทำได้น้อยก็ตาม สร้างได้ ก็ไม่เอาเปรียบขายแพง แต่จะใช้อาศัยกินอยู่ ในชีวิตบ้าง  ใช้อาศัยนิดหน่อย เพราะมักน้อย สันโดษ จึงมีเหลือมาก แต่ไม่สะสม สะพัดแจกจ่าย

        คนไม่สะสม และแจกจ่าย จะไม่รวย แต่ทรัพย์ที่แท้คือ ความขยัน และสมรรถนะ ใครมาแย่งไม่ได้ สร้างมาก เอาน้อย สะพัดได้ทุกวัน มากๆ ก็ไม่รวยแน่

        ประเทศที่มีทฤษฏีแบบคนจน คนในประเทศ จะไม่รวย จะจน แต่ของเอามาร่วม ส่วนกลางมาก แต่ประเทศจะรวย แต่ถึงประเทศจะรวย ก็ไม่สะสม เรามั่นใจว่า เรามีความรู้ ความสามารถ กับขยัน เป็นทรัพย์แท้ ถ้าคนในประเทศ มีคุณสมบัติ เป็นอาริยะอย่างนี้ ประเทศนี้ เลี้ยงคนในชาติ และเลี้ยงประเทศอื่นได้

        เป็นคนมีวรรณะ ๙  
๑.     เลี้ยงง่าย  (สุภระ)
๒.     บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)
๓.     มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) . . 
๔.     ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) เป็นเศรษฐีเงินถัง แต่สตังค์ไม่มี
๕.     ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ)
๖.     เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์)
๗.     มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) 
๘.     ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ๙ 
๙.     ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)#

        ในไทยเรา มีพระโพธิสัตว์ ในหลวงเรานี่เอง ที่เอาทฤษฎี มาประกาศ แต่คนก็ฟัง ไม่เข้าถึง เอามาปฏิบัติได้ยาก แต่ดีที่อาตมา เป็นลูกศิษย์ พระพุทธเจ้าด้วยกัน มีความรู้เรื่องเดียวกัน จึงพาทำได้ ขยายความ ให้พวกเราทำ จึงเกิดความจริง เป็นหมู่มวลอโศก ที่มี ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา ร่วมกัน จึงเกิด หมู่กลุ่มที่ ส่วนกลางที่อุดมสมบูรณ์ แต่ไม่ได้เอาไป งอกผลเข้าหาตัว แต่กลับเอาไป แจกจ่าย เจือจาน ไม่เอาต้นทุนนี้ ไปเอาเปรียบเขา ไม่เอากำไร กับสังคม เหมือนอย่างโลกีย์ทำ แต่ทำสวนกระแสโลก ปฏิโสตัง มีแต่จะเสียสละให้เขา แต่ละคน มีคุณธรรมที่จริง ก็จนได้ ตลอดชีวิตไม่ทุกข์ อยู่พึ่งแก่เจ็บตายกันได้ ไม่กลัวหมดหรือไม่พอ เพราะเราสร้างได้ ด้วยมือตน

        ต้องมีทฤษฎี คนจนที่มหัศจรรย์ ส่วนตัวจน แต่ส่วนรวม อุดมสมบูรณ์​ ในหลวงตรัสว่า ถ้ารวยอย่างเขาเป็นนั้น เป็นการถอยหลัง... ทุนนิยมถอยหลัง เพราะแย่งกัน คนรวย ก็แย่งเอามา แล้วเอาไปออกดอกผล เพื่อเอาเปรียบหลอกล่า โกยเข้าหาตน มากๆขึ้นๆ คิดวิธีสารพัด Maximize profit ได้มาเท่าไหร่ ไม่พอ ดีใจที่ได้เปรียบ แต่มีสามัญสำนึกว่า ต้องแจกจ่ายบ้าง ก็ทำที ทำทานบ้าง ทำทีทำทาน ให้ภาพตน เป็นภาพที่ดี หลอกคนให้เขาเชื่อว่า เราทำดี เป็นคนดี ปะหน้า แต่ไม่กล้า หมดเนื้อหมดตัว

        ยิ่งจะหมดเป็น อนาคาริกชน คือไม่มีบ้านช่องเรือนชาน เป็นของตน อาศัยกับมนุษยชาติ มีชีวิตเนื่องด้วยผู้อื่น

        คนจะอยู่เย็นเป็นสุข เพราะช่วยเหลือกัน มีการแย่งชิงกันน้อย หรือไม่มีเลย เป็นความก้าวหน้าจริง แต่ทางโลกียะนั้น มีแต่จะเอาชนะ รวมหัวกันปล้น เพื่อจะให้เอามา แก่ตนมากๆ มีแต่ทำให้ สังคมเดือดร้อน อย่างนายทุนใหญ่ ที่ทำมาตอนนี้ นายทุนใหญ่ตัวแม่ ตัวพ่อ นี่แหละ โกงทั้งโคตร และโคตรโกง เป็นการถอยหลัง อย่างน่ากลัว

        ขนาดเลือกตั้งวันนี้ ดันทุรังไป ฉิบหายไปกว่า สามพันล้านแล้ว มั่นใจว่าผลนั้น ฉิบหายแน่ แต่ความโง่เง่า เกินโง่เงาแล้ว จนง่านแล้ว ถอยหลัง อย่างน่ากลัว เขาไม่รู้จักนรก เพราะถ้ารู้เขาไม่ทำ เพราะเขาต้อง ตกนรก นี่คือ การถอยหลัง อย่างน่ากลัว ประเทศอื่น ก็ทำอย่างนี้ ล่าโลกธรรม พาไปรวยกันทั้งโลก

        ที่พูดกันว่า จะพาไปรวย ในหลวงจึงไม่เอา อาตมาก็ไม่เอา แต่มาเอา แบบคนจน อาตมาพาพวกเรา ทำมา ๔๐ ปีแล้ว อยู่สบาย แล้วออกมา ทำงานกับสังคม รอบกว้างมากขึ้น เห็นผลดี ไม่วูบวาบ ไม่มีเล่ห์หมดเม็ด ซึ่งคนไม่บริสุทธิ์ จะทำไป แต่เรานั้นภูมิใจ ที่สะอาดบริสุทธิ์ อาตมาภูมิใจที่ กำนันสุเทพ ว่าเราต้องทำอย่าง สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากอาวุธ พวกที่มีก็แฝงมา ก็เป็นกปปส.ด้วย ห้ามยาก บางทีกลัวตาย และก็เข้าใจว่า เราปล่อย ให้เขายิงเรา เราก็ตายสิ เขาไม่กล้าตาย ไม่กล้าเจ็บปวด แต่กำนันสุเทพ ยืนยันเลย เขาจะมาฆ่า ก็สวดอิติปิโสฯเลย ต้องย้ำและทำให้จริง ยืนยัน เป็นแก่นแกนเลย และพวกเราก็มีจริง เป็นส่วนใหญ่

        พวกที่ตกหล่น ก็มีบ้างเป็น Error ไม่กี่ส่วนหรอก แต่ก็มีให้เห็น เพราะคนเป็นแสน เป็นล้านและอยู่นานด้วยนะ ต้องบกพร่องบ้าง ไม่บริสุทธิ์เต็มร้อย ก็ธรรมดา

        สิ่งจริงที่เกิดในสังคม เป็นเรื่องอธิบายได้ ตามธรรมะพระพุทธเจ้า ถ้าไม่มี คนมีคุณธรรมจริงเกิดไม่ได้หรอก ประเทศหลายๆประเทศ ก็เข้าใจ แต่ธรรมะ ที่เขาได้ทำนั้น ยังไม่ถึงจริงก็ยาก แต่ว่าที่ๆเขาเข้าถึงจริงก็ได้ เช่น คานธีทำได้ ห้ามแม้แต่คนตี ก็ไม่ยกมือรับ ถ้ายกมือรับ นี่ถือว่าต่อสู้นะ หลบเอา หลบไม่ได้ ก็ถือว่า วิบากเรา

        แบบพอเพียง แบบคนจน ขาดทุนของเรา คือกำไรของเรา

        ขาดทุนคือ เช่น เรามีสมรรถนะ ตีราคาตามสากล วันหนึ่ง หรือเดือนหนึ่ง ได้ห้าหมื่น ซึ่งก็ไม่แพงเท่าไหร่ ในสมัยนี้ หรือเดือนละแสน ต่อเดือน แต่เขากินใช้อาศัย เดือนหนึ่งสองหมื่น ที่เหลือเป็นส่วนเกิน ก็เอาส่วนเกิน ไปเข้าส่วนกลาง ซึ่งจะมีคณะบริหารส่วนกลาง เป็นรัฐบาล  ระบบที่อโศก เป็นแกน คือระบบบุญนิยม ระดับสาธารณโภคี ทุกคนทำ แล้วเอาเข้าส่วนกลาง เต็มร้อยเลย ไม่ยักไว้ส่วนตัว ก็อาศัยกินใช้ส่วนกลาง 

        หลักใหญ่คือ
        .ไม่เป็นหนี้ ๒.พึ่งตนเองรอด ๓.ทำให้เกินกินใช้ ๔.แจกจ่ายเจือจาน เอื้อเฟื้อผู้อื่นต่อไป
        ทุกชุมชนอโศกทำได้ ไม่เป็นหนี้เลย ทุกชุมชน พึ่งตนเองรอด ไม่ต้องเบียดเบียนใคร ทำเกินกินใช้ เอาส่วนเกินไปขาดทุน ไปเสียสละแก่คนอื่น ไม่ใช่แลกกลับมา ยิ่งกว่าเก่า ไม่เอาลาภแลกลาภ(มิจฉาอาชีวะ ข้อที่ ๕) ทุนร้อยก็ขายต่ำกว่าร้อย ต่ำได้มากเท่าไหร่ ถือว่ากำไรเรา มากเท่านั้น ส่วนโลกีย์ ทุนนิยมนั้น ขายได้มากกว่าทุน มากเท่าไหร่ถือว่า ได้กำไร ซึ่งไปไม่รอด

        ของบุญนิยมนี่ ก็จะไปได้รอด เพราะมีประโยชน์สูง ประหยัดสุด เลี้ยงตนรอด จนตลอดเวลา แต่มีกำไร ตลอดเวลา เสียสละตลอด เป็นการได้บุญ ได้กุศล ได้สิ่งติดตัวเราไป ทุกชาติ เป็นทรัพย์แท้ เป็นกุศลวิบาก ให้ทานนี่ เป็นกุศลวิบาก ติดชีวิต เป็นทรัพย์แท้ของเรา นี่คือเนื้อแท้ ที่เป็น ขาดทุนของเรา คือกำไรของเรา อย่างแท้จริง

        คนเขารู้ว่า เราเสียสละ เขาก็นับถือ เพราะเห็นว่า เรามีคุณค่า เสียสละต่อสังคม ไม่ใช่กอบโกยเอาจาก สังคมตลอด ไม่ขี้หวงแหน อย่างการขายข้าว นี่ ไม่มีเงินจ่าย แก่ชาวนา ทำไมไม่เอา จากตระกูลเขา ที่มีเป็นแสนล้าน มาช่วยเล่า ... เขาทำไม่ได้ เพราะจิต ไม่มีทานมัย มีแต่จะหลอกล่อ ให้เขากิน เศษเนื้อข้างเขียง แต่ตนกินเนื้อชิ้นโต นี่คือเล่ห์กล

        ในสัจธรรมที่สาธยาย เป็นเรื่องจริง ที่ทุกวันนี้ ในไทยมีขึ้นแล้ว แต่ละคน ต้องมาสืบสาน แต่ละคน ต้องมาทำให้ไทย เป็นประเทศ แบบที่ในหลวงตรัส แล้วเราจะเจริญ งอกงามไปตลอด ไม่มีถอยหลัง

        ตอนนี้อเมริกา เป็นยอดทุนนิยม ก็ถอยหลังมาเรื่อย คนรู้ไส้พุงเขา ก็น่ากลัว เขาปั๊มเงินดอลล่าห์ มามากมาย ไม่มีหลักประกัน มีแต่หนี้ สักวัน จะเป็นแบงค์ กงเต็ก เขาหลงโลกธรรมมากเลย เขาเล็กไม่ลง ต้องใหญ่ไปตลอด จะเห็นผลต่อไป มีมาแต่สมัยโบราณ ที่ได้ชื่อว่า เป็นประเทศ เจริญทางวัตถุ ล่าอาณาจักร เป็นประเทศทางตะวันตก ก็เคยร่ำรวย มาทั้งนั้น เคยเป็นมหาอำนาจ เป็นสมบัติ ผลัดกันชม หมุนเวียน แต่ถ้าเราเป็นประเทศ จนถาวรเลย แต่จนมหัศจรรย์ ไม่มีใครแย่งเราด้วย เพราะเราจน ไม่มีให้แย่ง แต่เราแจกอีกด้วย เขาจะมาปล้นทำไม เพราะเรา ให้เขาอยู่แล้ว เรามีพฤติกรรมขยัน สร้างสรร เสียสละ ไม่เบียดเบียนใคร เราไม่วุ่นวายในโลก เขาจะยกประเทศเราไว้เลย นี่คือ คนจนยั่งยืนถาวร ถ้าคนในประเทศ มีคุณสมบัติ เป็นคนจน อย่างที่ว่า อย่างชาวอโศก เป็นสุขนะ สุขสงบอบอุ่น ไม่ได้สุขอย่าง บำเรอโลกธรรม เสพกามหรือบำเรออัตตา ไม่ใช่ เราล้างกิเลสจริง จึงเป็นสุขวิเศษ เป็นอุตริมนุสธรรม เกินสามัญชนคิด

        เป็นความรู้สึกเกินปกติ ของมนุษย์สามัญ เป็นเรื่องพิเศษสูงส่ง เขาสุขเพราะ มีการบำเรอ โลกธรรม กามคุณ ๕ แต่เมื่อเรา ไม่มีกิเลส เข้าใจ ปล่อยวางกิเลส เป็นมัชฌิมา เป็นกลาง ที่ไม่มีกาม หรืออัตตา ในธัมมจักกัปปวัตสูตร เป็นสูตรหลักใหญ่ ที่จิตเป็นนิพพาน เป็นมัชฌิมา ซึ่งโลกีย์ก็มีกาม กับอัตตา เราไม่โต่งไปทางไหน ไม่มีปลาย จึงเหลือกลาง เป็นฐานนิพพาน

        จึงต้องเรียนรู้กามเป็นเรื่องต้น แล้วเรียนรู้อัตตา
        โสดาบัน ล้างกามในอบาย แล้วล้างกามคุณ ในสกิทาคามี จนหมดกามคุณ เหลือกามานุสัย เหลือในรูปตัณหา อรูปตัณหา เป็นส่วนตน ไม่เบียดเบียนใคร เมื่อล้างอัตตาได้หมด จิตก็กลาง เป็นมัชฌิมา

        เดี๋ยวนี้เพี้ยนแล้ว ไปศึกษากาม ก็ไปปลีกหนีเดี่ยว ไม่รู้เรื่องว่า ความเป็นกลาง คืออย่างไร เข้าใจว่า เป็นกลางคือ อยู่เฉยๆ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร ‘

        ความเป็นกลางคือ อุเบกขา เป็นฐานนิพพาน พอทำฌานได้ฌาน ๔ ก็จะมีจิต เอกัคคตา (จิตเป็นหนึ่งเดียว ไม่มีเพื่อนสอง สูงสุดยอด) เมื่อได้เอกัคคตา ก็ได้ฐาน นิพพาน เป็นอุเบกขาฐาน ทำให้สมบูรณ์​ แม้เป็นอุเบกขาลำลอง ที่ได้บ้าง แม้ไม่ถาวรแข็งแรง อาจมีวอกแวกบ้าง ก็ต้องทำต่อ จนอุเบกขา แข็งแรง มั่นคงได้ เป็นคุณสมบัติ
​๑.     ปริสุทธา   (บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสนิวรณ์ ๕) .
๒.     ปริโยทาตา  (ผุดผ่องขาวรอบแข็งแรง แม้ผัสสะกระแทก)
๓.     มุทุ  (รู้แววไว  อ่อน-ง่ายต่อการดัด ปรับปรุงให้เจริญ) .
๔.     กัมมัญญา   (สละสลวยควรแก่การงาน อันไร้อคติ) . 
๕.     ปภัสสรา   (จิตผ่องแผ้วแจ่มใสถาวรอยู่ แม้มีผัสสะ) 
        สูงสุดของอุเบกขา คือมัชฌิมา ซึ่งต่างจาก ที่ทั่วไปรู้ว่า อุเบกขาคือ นิ่งๆหยุด ไม่เกี่ยวกับใคร ไม่คิดอะไร ไม่รู้สึกอะไร นั่นไม่ตรง ตามที่ พระพุทธเจ้าสอน ที่เป็นสิ่งที่
๑.     คัมภีรา (ลึกซึ้ง)
๒.     ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก)
๓.     ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก)
๔.     สันตา (สงบระงับ อย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) .
๕.     ปณีตา (สุขุมประณีต ไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น)
๖.     อตักกาวจรา (คาดคะเน ด้นเดามิได้)
๗.     นิปุณา (ละเอียดลึก ถึงขั้นนิพพาน)
๘.     ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะ ผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริง เท่านั้น) #

        พุทธที่บรรลุนั้น จิตจะมีปัญญา อย่างปัญญาปาสาโท คือเหมือนนก มองจากที่สูง แล้วเลือกทำ สิ่งที่ควร ในกรรม ๓ พุทธนั้น ไม่ใช่อุเบกขา แบบเด๋อ ไม่ใช่เคหสิตอุเบกขา ต้องอ่านรู้จิตว่า อุเบกขาแบบโลกๆ ไม่เข้าท่าเป็นแบบใด ต้องรู้ มโนปวิจาร ๑๘

        แบบเคหสิตอุเบกขา คือ นิ่งเฉยอย่างโลกีย์ แต่ถ้าแบบพุทธ จะเห็นตลอดรอบว่า กลางคือพ้นกาม พ้นอัตตา เห็นอย่างจักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ว่ากิเลสดับ ไม่ใช่ไปดับสัญญา ดับเวทนา แต่จะเลือกดับ ส่วนที่เป็นอกุศล ในสัญญาในเวทนา เราวางมาตั้งแต่ ความหยาบใหญ่ ที่ติดยึด จนเบามาเรื่อยๆ ก็จะมีภูมิธรรม ที่แท้จริง สะสมมา

        สุขอย่างโลกุตระนั้น ได้ลาภมาก็เฉย ได้ยศมาก็เฉย ได้สรรเสริญก็เฉย ไม่ดีใจไม่เสียใจ แม้สัมผัสกามคุณ ก็ไม่ยินดี ไม่เสียใจ เราไม่สุขทุกข์กับโลกีย์ กับกามแล้ว

        ยกตัวอย่างเช่น ผู้ชายบางคน ไม่ติดลิปสติก ไม่ยินดียินร้าย กับลิปสติก แต่คนที่ติด ได้มาก็ยินดีมาก แต่ผู้ชายคนนี้ ทาแล้ว ก็ไม่รู้สึกอะไร ไม่มีอุปาทาน ไม่มีตัณหา จะมีจิตว่างจากลิปสติก

        จะมีปัญญารู้ว่า งานไหนควร งานไหนไม่ควร เรามีเวลา ทุนรอน แรงงาน มาสร้างสิ่งที่ควร ที่มีประโยชน์ ต่อสังคม เราก็ได้อาศัยใช้สอย ทำให้แก่สังคมด้วย สังคมก็เจริญ ยกตัวอย่างเช่น คนไปอเมริกา แล้วก็ไปอินเดีย

        พอไปเห็นอินเดีย ก็เห็นว่าไม่หรูหรา น่าอับเฉา ซกมก อะไรต่างๆนานา แต่ของเขา ไม่เปลืองผลาญ เหมือนอเมริกา หรือจีน ที่หลงโลกีย์ ดีแต่จีนเป็นคอมมูนฯ ก็เลยกดไว้ได้ แต่ชักเปิดเหมือนกันเดี๋ยวนี้

        อินเดียไม่หลงไหลโลกีย์มาก ไม่หลงขุดคุ้ยทรัพยากร ไปทำลายมาก เขาก็มีสมบัติ ของเขาอยู่

        ไทยตอนนี้ ก็หลงโกลีย์ หลงโลกธรรม ที่ที่เป็นเมืองพุทธ แต่ไม่มีคุณธรรมพุทธ คนไปบริหารก็เป็นคนโลกๆ หลงโลกธรรม หลงกาม หลงอัตตา แย่งชิง สิ่งเหล่านั้น มาเป็นอำนาจ แล้วใช้อำนาจทางลาภ ยศ สรรเสริญ​ ทางกาม ทางอัตตา ซึ่งเป็นอำนาจปลอม อำนาจลวง
       
        อำนาจโลกีย์ เป็นสมบัติผลัดกันชม อาตมาเรียกอำนาจในกระจกเงา

        อำนาจในระบอบประชาธิปไตยมีหลายขั้น
        อำนาจประชาชน เป็นอำนาจ ลำดับหนึ่ง แล้วก็จะต่อมา เป็นลำดับ ..
        อำนาจขั้นที่ ๑ คือประชาชน อำนาจขั้น ๒ คือ พระมหากษัตริย์ อำนาจขั้น ๓ คือพระมหากษัตริย์ ใช้อำนาจผ่าน ๓ สถาบัน อำนาจขั้นที่ ๔ คือ กฎหมาย ให้ประชาชน ใช้สิทธิ์เลือกตั้งผู้แทนฯ ส่วนผู้แทน เป็นอำนาจขั้นที่ ๕ อย่ามาทำกร่าง ส่วน นายกฯเป็นอำนาจ ลำดับ ๖ ต่อจากสส. ที่ไปโหวตนายกฯ แล้วนายกฯ ก็ไปตั้งรมต.อีก เป็นอำนาจลำดับ ๗ แล้วมาทำกร่าง ทุกวันนี้

        อำนาจเหล่านี้ ทั้งมีแบบเลือก และแบบแต่งตั้ง ทั้งหมด เป็นอำนาจกระจกเงา ประชาชน เป็นเจ้าของ กระจกเงา แต่นายกฯ เป็นภาพหลอกๆ ในกระจกเงา ต้องทำตาม ที่กำหนดในรธน. ทำผิดหรือทำเกินไม่ได้ ไม่ทำก็ไม่ได้ ประชาชนต้องควบคุมดูแล มีเจตนารมย์ ให้ประชาชน อยู่เย็นเป็นสุข ถ้าทำไม่ดี บริหารไม่ดี ผิดหลักเป็นขบถ เช่นที่เขาทำมานี่ ไปคอรัปชั่น ไปตั้งอะไรไม่ควรตั้ง ออกกฎหมาย ที่ไม่เหมาะสม เช่น พรก.ฉุกเฉิน เป็นต้น สารพัด

        กู้เงิน โกงกิน โกหก หลอกลวงกัน อย่างที่เดือดร้อนกันนี่ สงสัยชาวนา จะออกมาไหมนี่ เอาข้าวเขาไปแล้ว ไม่ให้เงินเขา ไม่เป็นไป ตามที่ เจ้าของกระจก ต้องการ เมื่อรู้ว่าไม่ดี ก็ต้องไล่ออกจาก กระจกได้ แต่เขาไม่รู้ตัวว่า เขามีแค่อำนาจ ในกระจกเงา เขาไม่รู้จักตัวเองจริงๆ

        ประชาชนมีสิทธิ์ เอาตัวแสดง ในกระจกตัวใหม่ อย่างไม่ผิดกฎหมายเลย มาหาว่า เราเป็นกบฏ ขออภัยเถอะ “ถ ถุง สระอุ ยอยักษ์) แล้วมาว่า เราเป็นกบฏ หรือ สุเทพเป็นกบฏ ที่จริงกบฏตัวแม่ คือ ยิ่งลักษณ์ไม่รู้ว่า ตัวอยู่ในกระจกเงา น่าสังเวชเห็นใจ แต่ไม่รู้ทำไง เหมือนกัน

        พวกเราเข้าใจ เพราะไม่ได้หลง ไปกับเขา เราศึกษา ไม่ให้ติดยึด หลงผิดไปกับเขา เกิดจากเราลดกิเลสได้ กิเลสเรา ไม่หนักหนา ไม่โลภจัด ไม่โกรธจัด ไม่โมหะจัด เราจึงมารวมตัวกันได้ มีพฤติกรรมจริง ถึงเวลาที่ประชาชน ต้องตื่นรู้ เห็นแจ้งความจริง

        เรื่องสังคมที่เกิดขึ้น แล้วก็แย่งชิง ตู่ท้วงกันไปมา แม้แต่เรื่องเลือกตั้ง หรือปฏิรูปก่อน ก็เถียงกันไปมา ถ้ามีกิเลส ก็ต้องเอาส่วนกิเลส มาเป็นใหญ่ ให้ได้เปรียบ ความจริงแล้ว เลือกตั้งนั้น เป็นอำนาจลำดับต่ำกว่า เจ้าของอำนาจ ที่มาแสดง เขาก็ว่า มวลเขามาก ที่ออกมาท้วงนี่ ส่วนน้อย แล้วเขามากตอนไหน ก็ว่าตอนเลือกตั้ง แล้วเลือกตั้ง เขาบริสุทธิ์หรือไม่? เขาก็พยายามล้อบบี้ ตะล่อมข้าราชการ ประชาชน เขาทำได้สำเร็จด้วย เพราะใช้อามิส เอาโลกธรรมปั่น ให้เขาเลือกตั้งเขามา ทำทีไรก็ได้ เอาเสาไฟฟ้าลงก็ได้

        เราก็เลยว่า ไม่เอาเลือกตั้งครั้งนี้ เพราะเลือกแบบเก่า ก็ได้คนเก่ามา ทำแย่อย่างเก่าอีก เราก็ไม่เอา เราไม่ปฏิเสธว่า เลือกตั้งไม่ดี แต่ว่าต้องมี การประกอบด้วย ความบริสุทธิ์ ถูกต้อง อาจมีพวกที่ยึดติด ในระบอบ เห็นว่าเลือกตั้ง เป็นประชาธิปไตย แบบเดียว ซึ่งความจริง ประชาธิปไตย มีหลายแบบ แม้สมบูรณายาสิทธิราช ก็เป็นประชาธิปไตยได้ ท่านเกรงใจประชาชน ทำงานเพื่อประชาชน แม้มีอำนาจสิทธิ์ขาด ในการบริหาร แต่ ช่วยประชาชน อย่างมีทศพิธราชธรรม ก็เป็นประชาธิปไตย โดยเนื้อหา แม้ชื่อระบอบ อาจเป็นราชาธิปไตย หรือ สมบูรณาญาสิทธิราช แม้ว่าไม่โดยประชาชน แต่เป็นของประชาชน แม้เป็นระบอบใดก็ตาม หากมีธรรมะ ก็จบเลย ยิ่งเป็นประชาธิปไตย ก็ยิ่งสบายเลยทั้งชื่อทั้งนาม ก็เป็นอันหนึ่ง อันเดียวกันเลย

        ประชาธิปไตยต้องมีธรรมะ ถ้าประชาชน ไม่มีธรรมะ แม้จะรู้เก่งอย่างไร แต่ไม่มีธรรมะ ก็ไม่เป็นประชาธิปไตย จึงสำคัญ ที่ต้องให้ประชาชน มีการศึกษา สัมมาทิฏฐิ มีคุณธรรมเป็นเอก มีความสามารถ เลี้ยงตนในสังคม ไม่ทุจริต ไม่เบียดเบียนใคร ก็ต้องมีธรรมะ ส่วนความรู้สามารถนั้น พระพุทธเจ้าไม่ทิ้ง ไม่ใช่ว่า เป็นพุทธ เป็นภิกษุแล้ว ไม่สนใจสังคม ได้แต่สอนธรรม ซึ่งคนเขาก็สอนกันได้ ให้เสียสละทำดี แต่ตนหลงใหญ่โต กอบโกยเอาเปรียบ หลงรวย จะไปรอดอย่างไร มีแต่ทิศทาง มักมากมักใหญ่ หรูหรา ธรรมใดวินัยใด เป็นไปเพื่อความมักมาก ไม่ใช่ธรรมของเรา ตถาคต

        ที่หลงหรูหราใหญ่โต สวยงามมากเกิน นี่คืออบายมุข ถ้าไม่รู้เนื้อหาสาระ ของพระพุทธเจ้าว่าเป็นธรรมะ เพื่อประชาชน โดยประชาชน ของประชาชน ถ้าไม่เข้าใจอันนี้ ไม่ทันสมัย การเป็นคนจนนี่แหละ ทันสมัย เป็นคนจน ก็มีคุณค่า มีประโยชน์ต่อ มนุษยชาติ เป็นคนจน ที่ช่วยคนรวย

        ช่วยให้คนรวย รู้จักตนเองว่า คุณกำลังกอบโกย เบียดเบียนคนอื่น มันเป็นโทษต่อตน และสังคมด้วย คนไหนเข้าใจ ก็มาลดละ เรามีสาราณียธรรม ๖ พุทธพจน์ ๗ คนรวยนั้น ก็มากลายเป็นคนอย่างที่ พระพุทธเจ้าสอน มาเป็นคนจน มีวรรณะ ๙ เราจะปฏิรูป ให้คนในประเทศไทย เป็นเช่นนี้

        เรารู้ว่าชีวิตเกิดมา ควรได้อะไร เอาอะไร พากเพียร อย่าให้สูญเปล่า ไปหลงกับอบายมุข เป็นโมฆบุรุษ เกิดมาเป็นมนุษย์ทั้งที ได้กิเลสสะสมไปเพิ่มขึ้น พระพุทธเจ้า จึงตรัสว่า คนตายไป จะเกิดมาเป็นมนุษย์อีก หรือขึ้นสวรรค์นั้น น้อยมาก เท่ากับดินในขี้เล็บ นอกนั้น คนตกนรก เท่ากับพื้นปฐพีทั้งหมด แล้วจริงด้วยนะ คนหลงโลกียะ หายใจออกเข้า ได้แต่นรก คุณบำเรอได้ลาภมา ก็ดีใจ หัวใจพองโต กิเลสก็พองโต กิเลสได้พอใจ ที่ได้โลกธรรม เป็นปุถุชน

        อำนาจ และ ยศ คือตำแหน่งหน้าที่ ที่เขาให้รับผิดชอบ แต่ถ้าไปหลงตำแหน่ง ใช้ไปเอาเปรียบอีก ก็ยิ่งแย่ เป็นหัวหน้านี่ ยิ่งต้อง จนกว่าลูกน้อง แต่ว่าบางที ต้องมีอลังการ แต่ว่าส่วนตน ต้องมักน้อยสันโดษ ไม่หลงหรูหรา ฟุ่มเฟือย

        อำนาจนี่คือ การกำหนดหน้าที่ ถ้ามีอำนาจมากขึ้น ไม่ใช่ว่า เอาไปเบ่งข่ม ปล้นคนอื่น อย่างที่เขาทำ เช่น ตำรวจที่เขาทำกัน ประชาชนเสียประโยชน์ เพราะเอาคนเหล่านี้ มาให้มีอำนาจ ทำเห็นแก่ตัว ไม่ชอบธรรม ไม่ยุติธรรม ตนเองเห็นแก่ตัว ลำเอียงก็ไม่รู้ ทำอย่างหน้าด้าน แก้ตัวน้ำขุ่น เสื่อมต่ำมากเลย ในสังคมทุกวันนี้

        เรามาตื่นฟื้น กอบกู้ธรรมะพระพุทธเจ้า เราก็ได้ด้วย สังคมก็ได้ ประเทศก็จะเจริญ ประเสริฐ อย่างเดียวกับ ในหลวงเราตรัส แบบคนจน ไม่ก้าวหน้า อย่างมาก เพราะเป็นการถอยหลังน่ากลัว แต่ก้าวหน้า อย่างพุทธธรรมนี่แหละ ที่ในหลวงเราตรัส น่าสมเพศประเทศไทย ในหลวงตรัส ก็อ้างว้างว้าเหว่ ไปขยายผลไม่ได้ เศรษฐกิจพอเพียง ก็ไม่ได้ แบบคนจน ก็ไม่ได้ ยิ่งมาขาดทุนคือกำไร ยิ่งมืดหน้า

        แต่เป็นไปได้ ดีด้วยประเสริฐด้วย ให้ตั้งใจศึกษาเถอะ เราศึกษาวิชาเทคนิค ทางโลกมากมาย แม้ไปศึกษาธรรมะ ไม่สัมมาทิฏฐิก็ทำ ให้ศึกษาให้ดีว่า โลกุตระ คืออย่างไร จะได้มี พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่ชน เป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ (เพื่อความสุขของหมู่ชน เป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ (รับใช้โลก ช่วยโลก)

        อาตมาทำเต็มที่แล้ว แต่ไม่เก่งเท่าไหร่เลย ... ไม่ได้ถ่อมตนนะ อย่างกำนันสุเทพ ขยายความดีกว่าอาตมาพูด ให้คนเข้าใจได้ดี

        ตอนนี้ ถึงยุคที่ควรได้ ควรมีธรรมะ เห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ ช่วยเอาแสงสว่าง มาไว้กลางอุโมงค์กันหน่อย ยังมีความหวัง ไม่สูญเปล่า เราได้ชนะรายทาง ได้ผลมาเรื่อยๆ แม้ไม่ได้สุดยอด แต่เราไม่เอาแพ้เอาชนะ ไม่คว่ำคู่ต่อสู้ให้ล้ม แต่เราชนะรายทาง ไปเรื่อยๆ ในแต่ละกรอบ ที่เราทำ พยายามเข้าใจให้ได้

        เราพยายามเอาอำนาจของ ผู้หลงตนเอง ในกระจกเงา ออกไปก่อน แล้วเราจะให้ คนที่ไปทำงาน ในกระจกเงา ไม่หลงตนเอง อย่างเขาไปทำ เหมือนอย่าง นางแม่มด ในเรื่องสโนไวท์ ส่องกระจก แล้วนึกว่า ตนเองสวยที่สุด แต่ที่จริง หลงตนเอง

        ในข้อเขียนของธีรยุทธ บุญมี
        ประชาธิปไตยที่จะต้องกำหนด ให้อยู่จำกัด ในพรรคการเมืองนี่ ไม่ใช่ประชาธิปไตยแล้ว ประชาธิปไตย คือความอิสรเสรี ไม่ต้องอยู่ในคอก แต่ว่าอยู่ในพรรคแล้ว ก็ต้องมีวิปอีก ก็ยิ่งจำกัด สิทธิอีก แม้แต่สมัครเลือกตั้ง แต่หาเสียงโฆษณาตนเอง ปั้นนโยบาย ประชานิยม แล้วทำอย่าง ยิ่งลักษณ์​ จะกระชาก ค่าครองชีพ พูดไปก็ทำไม่ได้ พูดไปแล้วทำไม่ได้ ก็เฉย ถ้าเป็นที่อื่นเขา เขาย้อนมาก็น่า จะลาออกแล้ว แม้แต่โฆษณาว่าเลือกฉันนะ ก็เป็นการอวดอ้างตนแล้ว ซึ่งคนจริง ที่ทำงานแก่สังคมเขตนั้นๆ ยิ่งเป็นคนทำประโยชน์ แก่ประเทศ คนรู้จัก ทั่วประเทศ เขาก็จะเลือกมาเอง ไม่ต้องหาเสียงปะหน้า ที่เป็นเรื่องไม่จริง เป็นเรื่องไม่แท้ ควรทำงานให้จริง มีประโยชน์ต่อเขตนั้นจริง จนมีประโยชน์ ต่อประเทศจริง คุณสมัครเมื่อไหร่ ก็ได้แน่นอน

        พรรคการเมือง ทุกวันนี้ มีนายทุนเป็นเจ้าของพรรค พวกที่เป็นสมาชิกพรรค ที่มีหน้าที่ทำงานในสังคม เป็นลูกน้องของนายทุน ที่บงการ นี่ไม่ใช่ ประชาธิปไตยเลย ดังนั้น ระบบพรรคการเมืองพังทลายหมดแล้ว โดยเฉพาะโครงสร้าง ระบบศีลธรรม เราจึงต้อง ปฏิรูปประเทศใหม่ ต้องปฏิรูป ก่อนเลือกตั้ง แล้วก็มีข้าราชการ ออกมากัน หลายกระทรวงเลย

        จะปฏิรูปกฏหมายนั้น เป็นรอง แต่ปฏิรูปคนนั้น เป็นใหญ่ หากสร้างคนให้สุจริต ยุติธรรมไม่ได้นั้น ไปไม่รอดหรอก ต่อให้รธน. ดีให้ตายอย่างไร คนชั่ว ก็หาทางเบี้ยวได้ ดื้อต่อกฎหมาย ไม่ยอมรับกฎหมาย อย่างที่เป็นอยู่นี่...

        การจะบูรณะ ต้องให้คนมีคุณธรรม อย่างแท้จริง จึงไปรอด ขอยืนยัน จะมีเลือกตั้ง จะมีการตั้งคณะร่างรธน. อะไรก็แล้วแต่ มันอยู่ที่ตัวคน จะมาทำ ถ้ามีคนเห็นแก่ตัวน้อย หรือไม่มีกิเลสเลย มารวมกันทำ เพื่อประเทศ จะเป็นผลสำเร็จ ไม่อย่างนั้นไม่สำเร็จ

        คนเราสามัญก็รู้ว่า สิ่งไหนดี สิ่งไหนชั่ว ก็แสดงออกดี ไม่ชั่ว จะพูดดี แต่ความจริง ก็อีกอย่าง ถ้าสามารถ ล้างกิเลสได้ พูดออกมา ก็ไม่มีกิเลส ทำก็ไม่มีกิเลส เพราะใจไม่มีกิเลส แม้ยากแสนยาก ก็ต้องทำ ให้คนลดกิเลส ส่วนการศึกษา ทางโลกนั้น เจริญมากแล้ว ไม่ต้องกังวล

        ธรรมะนั้น ขาดมากเลย เป็นอุปสงค์ที่ขาดมากเลย ในสังคม เป็นสิ่งที่ต้องการ มากที่สุด ในสังคม แต่ละคน ให้ตั้งใจลดละ หัดปฏิบัติธรรม แล้วจะอยู่รอด ประเทศชาติ จะไปรอดด้วย...

๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ที่ เวทีสะพาน ผ่านฟ้าลีลาศ กทม.