_ 570203_พ่อครูและอ.กฤษฎา 

 

เรื่อง รูป-นามของการเลือกตั้ง สื่อ ส่อ อะไรบ้าง?

 

        วันนี้ เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ในสัปดาห์ที่ผ่านมา วันนี้ก็มีงานเผาศพ คุณสุทิน

        พ่อครูว่า... การเลือกตั้งครั้งนี้ ในประเทศไทย ของประเทศอื่น ไม่เหมือนประเทศไทย เป็นเหตุเฉพาะ วัฒนธรรม จิตวิญญาณคนไทย  จิตเป็นอย่างไร กายกับวาจา ก็ออกมาเช่นนั้น มีเท่าไหร่ก็ออกมา ของสังคม ซึ่งจะมีผลอะไรบ้าง อาตมาลองรวบรวมดู

        การเลือกตั้งครั้งนี้ มีภาวะที่สื่อ ที่ส่อ ให้เราได้รู้อะไรบ้าง?

  1. แสดงถึงความล้มเหลว อย่างย่อยยับของรัฐบาล ที่ไม่สามารถ บริหารจัดการ เจ้าหน้าที่ภาครัฐ ให้ทำงาน อย่างมีประสิทธิภาพได้
  1. แสดงถึง ชัยชนะ ของประชาชน อย่างโจ่งแจ้งเปิดเผย โล่งโจ้ง ทั้งมวลปริมาณ แสดงตัว ทั่วประเทศ และทั้งคุณภาพ ที่เป็นคุณงามความดี และความถูกต้อง
  1. ทั้ง ๑+๒ ชี้ให้เป็นถึง ความเป็นประชาธิปไตยอย่างชัดยิ่ง แสดงลักษณะ รับสัมผัสได้ มากแง่มากมุม อย่างหมดเปลือก คือพฤติกรรมของประชาชน ถูกต้องชัดเจน และแสดงพลังอำนาจ อย่างเต็มที่ และชอบธรรมยิ่ง ส่วนรัฐบาล แสดงถึง ความไร้อำนาจ และแสดงถึงความไม่ชอบธรรม อย่างเต็มที่
  1. แสดงถึง ความยึดมั่นถือมั่น อย่างเห็นได้ จนเกินคำ ที่คนไทยเรียกว่า ดื้อด้าน ดึงดัน หรือหน้าด้าน หน้าทน ยึดอำนาจอันไม่มีแล้ว ไม่ชอบธรรมแล้ว ที่เรียกกันว่า เป็นกบฏแล้ว และอะไรอื่นๆ เยอะแยะ แต่นายกฯ ก็ดี มวลลิ่วล้อ ที่มีตำแหน่งหน้าที่ ทางรัฐก็ดี ก็ยังช่วยกันหน้าด้าน หน้าทน กันเกินบรรยายจริงๆ หน้าดันทุรัง ไม่มียาง
  1. เห็นความอุตสาหะอดทน ของมวลประชาชน
  1. เห็นความ เสียสละ ของมวลประชาชน
  1. เห็นความมีปัญญาที่รู้สัจจะมากขึ้นๆ ของประชาชน ทั้งฝ่ายรัฐบาล ที่แปลตัวมาเข้ากับประชาชน ทั้งมวลมหาประชาชนเอง
  1. เห็นความตรงกันข้ามของฝ่ายบริหารรัฐบาล และข้าราชการ บางหมู่ บางผู้บางคน ว่า ...ไม่เสียสละ ไม่อุตสาหะ แต่ดื้อดึงดัน (ไม่เรียกว่าอดทน) ไม่มีปัญญา ไม่รู้ว่าตัวเอง เห็นแก่ตัวอย่างร้าย รวมทั้ง เห็นความไม่ถูกธรรม –ไม่ชอบธรรม อีกมากมาย
  1. เห็นประกายแห่งความเป็นประชาธิปไตย โดยประชาชน เพื่อประชาชน และของประชาชน ลุกโชนขึ้น ในผืนแผ่นดินไทย

 

  1. เห็นปรากฏการใหม่ของไทย ที่ไม่เคยเกิดได้ มาก่อนเลย
  1. เห็นความสุภาพความเป็นระเบียบวินัย ขององค์รวม มวลมหาประชาชน 
  1. เห็นความหยาบคาย ความลุแก่อำนาจของรัฐบาล และของข้าราชการ ทั้งประชาชนที่สนับสนุนรัฐบาล ว่าหนักหนาสาหัส ยิ่งๆขึ้น
  1. เห็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างยิ่ง คือ เห็นว่าประชาชนคนไทย เข้าใจ ความสงบ ชนะความรุนแรง โหดเหี้ยมได้ เห็นผลว่า คนไทยเข้าใจอิทธิฤทธิ์ ของความสงบสุภาพ ว่าชนะความรุนแรง ได้มากขึ้น ยิ่งขึ้น
  1. เห็นความมหัศจรรย์อย่างยิ่ง คือ คนดี คนรักความถูกต้อง มีมวลปริมาณออกมาแสดงตัว ต่อต้านคนชั่ว คนไม่ถูกต้อง ออกมาแสดงตัว (ปกติแล้ว คนดีก็ตาม คนถูกต้อง ก็ตาม จะไม่กระตือรืนร้น ออกมาแสดงตัว ต่อต้าน อะไรนัก มักจะอยู่เฉยๆ หรือไม่รู้ไม่ชี้)
  1. เห็นภาวะจนแต้มของคน ...เมื่ออ้างคุณงามความดี ความถูกต้อง ตามสัจจะไม่ได้ ก็หันหน้าเข้าเถียง โดยอ้างเอาข้อกำหนด ข้อกฎหมาย โดยอธิบาย รายละเอียด ในพฤตินัยของข้อกำหนด และกฎหมายนั้นๆว่า ตนมีพฤตินัย โดยถูกข้อกำหนด ตนละเมิด กฎหมายนั้นๆไม่ได้ ต้องปกปิด กลบเกลื่อน ความจริง เอาแต่ข้อกฎหมาย มาแย้งมาอ้าง ทั้งๆที่ตนก็ไม่ใช้ หรือผิดข้อกฎหมายนั้นๆแท้ๆ

 

การเลือกตั้งครั้งนี้สื่ออะไร? (เอาตามรูปธรรม ที่จับต้องได้)

  1. รัฐบาลหวังใช้ใบประทวน เป็นประกัน ดึงชาวนา ให้เลือกพรรคเพื่อไทย ซึ่งใบประทวน กินไม่ได้
  2. รัฐบาลหวังจะใช้การเลือกตั้ง เรียกคืนฟื้น สส.เพื่อไทย
  3. รัฐบาลใช้คนในมือ เช่น ข้าราชการระดับบริหาร ,ตำรวจ,คนในสายบังคับบัญชา มาอวยประจบ ให้เกิดการเลือกตั้ง
  4. รัฐบาลใช้งบประมาณจัดการเลือกตั้ง ผลที่ได้คุ้มค่าหรือไม่?
  5. ไม่มีผู้ออกมาชี้นำสังคม อย่างมีน้ำหนักพอ เช่น กกต.กลัว, ศาลติดกรอบ, องค์กรอิสระ,ผู้นำเหล่าทัพ ตัดสินใจไม่เด็ดขาด
  6. ประชาชนถูกแบ่งแยกชัดเจน พวกเลือกตั้งกับพวก ไม่ไปเลือกตั้ง อาจเกิดการทะเลาะกันรุนแรง ก่อนความรุนแรงได้
  7. สังคมไทย ขาดผู้พิทักษ์สันติราษฏร์ ตำรวจไม่ทำหน้าที่ ทหารระมัดระวัง ในการช่วยประชาชน
  8. กฎหมายเป็นกติกาสังคมไม่ถูกนำมาใช้ ประชาชนต่างเรียกร้อง โดยไม่เคารพกฎหมาย, กติกา เช่น ยุให้คนพกปืน ไปเลือกตั้ง เพื่อป้องกันตัวเอง
  9. ประชาชนในกทม. ไม่ไปเลือกตั้ง ๗๓ % ,ผู้ชนะเลือกตั้งในจ.ภาคใต้ ด้วยคะแนน ๑๐ คะแนน (ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง สองพันคน มาใช้สิทธิ์ ลงคะแนน ๒๗ คน, vote  no ๒๐ คะแนน, บัตรดี ๑๐ คะแนน หมู่บ้านราชธานีอโศก ไม่มีใครไปลงคะแนนเลย แต่มีเจ้าหน้าที่ ไปลงคะแนนได้ ๙ คะแนน )

       
        หมู่บ้านของชาวอโศก มีที่เป็นหมู่บ้าน โดยนิตินัย เขาก็แจ้งว่า จะมาใช้หมู่บ้านเรา เป็นหน่วยเลือกตั้ง แต่ว่าเราก็ปฏิเสธ เพราะว่า เราต่อต้าน การเลือกตั้ง ครั้งนี้ เขาก็มาตื๊อ แล้วก็มีคนบอกว่า ถ้าเราไม่จัดเลือกตั้งที่เรา เขาก็จะไปจัดที่อื่น แล้วจะสวมสิทธิ์เราได้ เราก็เลยให้จัด หน่วยเลือกตั้ง ที่เราได้ แล้วก็ได้ผล ดังกล่าวมา

        เป็นเรื่องเหลือเชื่อ แล้วกรรมการ ที่เลือกตั้งนั้น เขาลงคะแนนให้ พรรคเพื่อไทยนั้นมี ๑ ใน ๙ เท่านั้นเอง ส่อให้เห็นว่า แม้ข้าราชการ ที่มาเป็น กกต. หน่วย ส่อเห็นว่า เขาสุดทน แต่เขาจำเป็น ต้องเลี้ยงชีพ เห็นใจข้าราชการ

        อ.กฤษฎาว่า..มีข้าราชการหลายหน่วย ช่วยให้เราไปปิด สถานที่ราชการ

        พ่อครูว่า... ดีเป็นเหตุประหลาด ให้สังคมมนุษย์เรียนรู้ ถ้าไม่มีจริง ก็จะได้แค่คิดตรรกะ ไม่มีจริง ซึ่งเหตุการณ์ในไทยที่เกิด เป็นเรื่องกำไร อย่างมากเลย แม้มีการสูญเสีย แต่เป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องการหล่อหลอม ความเป็นประชาธิปไตย ให้แก่ประเทศชาติ ไม่ใช่เรื่องเล็ก ถ้าการหล่อหลอมพัฒนา สร้างระบอบ ประชาธิปไตยนี้ ให้แก่ประเทศได้ดีขึ้น ก็คุ้มกับการลงทุนมากเลย ไม่แพง ที่เสียไป มีคนตาย คนเจ็บ เสียทรัพย์วัตถุ เสียเวลา พลังงานบ้าง แต่เป็นเรื่องที่ เรารวมกันทำ เราต้องสร้างกรอบ วัฒนธรรม ประเพณี พฤติกรรม ระเบียบ แม้รธน.ก็ต้องทำ ถ้าไม่ทำ ชาติก็อยู่ไม่ได้

        อ.กฤษฎาว่า...ในความรู้สึก เมื่อวันที่ คุณสุทิน เสียชีวิต รู้สึกว่า เขาได้ทำหน้าที่ จวบจนวันสุดท้าย แล้วความมีคุณค่านั้น เป็นอย่างไร? ผมทำงาน ร่วมกับคุณสุทิน ตั้งแต่กองทุนซิป มาหลายปีแล้ว คุณสุทิน มีความเป็นผู้นำ แล้วจบชีวิต อย่างสงบ เป็นการตายที่มีค่า ดั่งภูเขา หรือการตายที่เบา อย่างขนนก.. มันเป็นมิติโลกุตระไหม?

        พ่อครูว่า...ยกตัวอย่างเช่น พระเยซู ที่เป็นศาสดาของคริสต์ ท่านประกาศศาสนา มาเพียงไม่กี่ปี ก็ถูกศัตรู จับไปฆ่า ตรึงกางเขนตาย ... การตายของ พระเยซู มีคุณค่าไหม ยิ่งใหญ่ในโลก จนทุกวันนี้ การตายที่มีค่า ดั่งภูเขา หรือการตาย ที่เบาอย่างขนนก …. การตายของพระเยซู เป็นการตาย ที่ยิ่งใหญ่

        ในศาสนาพุทธ ผู้ที่ออกไป เป็นทหารกล้าของพุทธ ตั้งแต่เริ่มสร้างศาสนา ก็ได้อรหันต์ ๖๐ องค์แรก ก็ส่งออกไปสู่สังคม ไปสนามรบ ก็ต้องไปต่อสู้กับ ศาสนาเก่า จะว่าไป ก็เหมือนไทยเรา กำลังปฏิรูป เอาการเมืองใหม่ ไปแทนอันเก่า ก็ต้องสู้หนัก อย่างพระพุทธเจ้า ทหารเอก ที่ส่งไป ก็ตายไปมาก ตายหนักด้วย ในประวัติ มีร่องรอยกล่าวถึงบ้าง ในตำนาน แม้ยกตัวอย่าง พระโมคคัลลานะ ก็ต้องตาย ในการสร้างศาสนา ซึ่งท่านเป็นทหารเอก เป็นอัครสาวก เบื้องซ้าย นี่คือการตายอย่างขุนเขา ไม่ได้เบาอย่างขนนก

        ทางอิสลาม ยกให้ผู้ที่ตายเพื่อพระเจ้า เพื่อศาสนา ไม่ต้องตัดสินเลย ไปอยู่สวรรค์ กับพระเจ้าเลย เขาจึงรักษาศาสนามาได้

        ถ้าไม่มีใครกล้าตาย ในสิ่งที่ควรตาย ก็จะรักษา ปกป้องประเทศ มาไม่ได้ มีบรรพชน รักษาประเทศ กอบกู้ชาติ ต่อสู้ รักษามาให้แก่ลูกหลาน ใช้ชีวิต เลือดเนื้อวิญญาณ รักษามาทั้งนั้น สมัยโบราณ เห็นชัด แม้ทุกวันนี้ ก็เห็นได้อยู่ ดูเหมือนไม่โหด เหมือนโบราณ

        ขอให้อดทนอุตสาหะ ถือว่าฝึกปรือไป  ฝึกก็ได้ความอดทน อุตสาหะ ไม่เสียหาย เรามาทำสิ่งดี ไม่ได้ทำสิ่งเลว เราทำเราได้พฤติกรรมดี ใส่ชีวิต
        คำว่า สันติ อหิงสา นี่ยิ่งใหญ่
        ครั้งนี้เห็นได้ชัดว่า อำนาจแห่งความสงบ ประชาชน ทั้งฝ่ายเราฝ่ายเขา ก็เกิดปัญญาเห็นได้ มีภูมิปัญญาเกิด มหัศจรรย์แท้ เป็นไปได้อย่างไร ที่ความสงบ เอาชนะความรุนแรง โหดเหี้ยมได้ ทางฝ่ายโน้น ก็พยายามรักษา ความสงบนะ แต่ที่ไม่สงบ ก็ทำอยู่ ยกตัวอย่าง ที่หลักสี่ ถ้าไม่มีโกตี๋ ก็ไม่เกิดเรื่อง

        อ.กฤษฎาว่า... ฝั่งรัฐบาล ใช้ความดึงดัน ดื้อด้าน หน้าด้านหน้าทน แต่วันนี้ ฟังลุงกำนันสุเทพ ว่า ฝั่งโน้น ก็มอนิเตอร์เราอยู่ พอเราว่า จะไปที่ไหน เขาก็เอาตำรวจไป มากมายเลย แต่เราไม่ว่าง เราเลยไม่ไป ให้เขาเมาไวน์ไปซะ

        พ่อครูว่า... เป็นการดึงดัน หน้าด้านหน้าทน ยึดอำนาจ ที่ไม่เป็นธรรม เป็นกบฏแล้ว ก็ยังยึด เป็นสิ่งเกิดจริง เป็นจริง ให้เราเห็น

        อ.กฤษฎาว่า...ปรากฏการณ์อย่างหนึ่งคือ นายกฯหย่อนบัตรผิด …

        พ่อครูว่า...เป็นเรื่องที่ธรรมดาสามัญ ใครขี้กองเท่าไหร่ คนก็เห็นได้ ดังนั้น อย่าไปขี้กองโต ให้เด็กเห็น ... และนายกฯ เป็นผู้ใหญ่ ในบ้านเมือง แม้ตาสีตาสา ชาวบ้าน ก็ไม่เห็นว่า เขาหย่อนผิดนะ มันเป็นไหวพริบ ตื้นๆง่ายๆ ไม่ต้องฉลาดมากก็ได้ แต่มันก็ผิดจนได้ มันส่อแสดง สองอย่าง คือ ให้เห็นจิต ผู้ทำนั้น เขาไม่อยากให้ผิด เพราะอาย แต่มันทำไม ต้องทำจนได้ เพราะกู เจ็บใจตนเอง เหมือนกัน ก็แสดงว่า ไม่เหมาะจะเป็นนายกฯหรอก แค่นี้ก็ส่อว่า บ่ มีไก๊ เวลาไปกดกูเกิ้ลว่า ...โง่ นี่ขึ้นมาเลย ให้จำนนเสียบ้างเถอะน่า

        หรือว่า... แสดงให้เห็นถึง ความสับสน ของจิตวิญญาณ ที่ไม่ปกติ มันสะทกสะท้าน คนเราไม่น่าผิดก็ผิด แสดงว่าจิตวิญญาณ ไม่น่าปกติ เรื่องเล็กน้อย แค่นี้ทำผิด มันมีอยู่สองกล่อง แต่ใส่ผิด

        อีกอย่างคือ มันมีสิ่งที่เกิดให้เห็น แม้เล็กน้อย แต่มันจะเกิดถึงสิ่งที่ ส่อแสดงถึง เวลาโอกาส ที่ชี้บ่ง เราเรียกภาษาไทยว่า “รางร้าย” มันเกิด หรือ ศาสนาคริสต์ ก็จะบอกว่า จะต้องมี แบบทิสต์ หรืออย่างท้องฟ้า จะสว่าง ก่อนจะมืดมิดสนิท ก็อธิบาย ไม่ได้ละเอียดพอ เช่นว่า ผู้มีบุญจะมาเกิด ก็จะมีอะไร มาก่อน แต่ผู้ที่ตัวร้ายๆ จะต้องตาย ก็มีอะไรเกิดก่อน นัยเดียว

         อ.กฤษฎาว่า... มีการโพสต์ในเน็ต ฝั่งหนึ่งว่า เป็นนายกฯ ทำไมหย่อนผิด แต่อีกคนหนึ่งว่า คนตั้งกล่องนั้น วางกล่องผิด

        พ่อครูว่า.. มันเหมือนว่า ทำไมตอบ ไม่ตรงคำถาม... ก็บอกว่า ทำไมไม่ถาม ให้ตรงคำตอบ

        อ.กฤษฎาว่า.. เหมือนกรณี คนชุดขาวไปจุดเทียน เป็นสัญญลักษณ์ สันติภาพ แล้วก็ทำผิดไปเป็นสัญญลักษณ์ เหมือนเบนซ์​ ก็แถไปเรื่อยๆ

        พ่อครูว่า... เรื่องของเหตุการณ์ที่เกิด เป็นองค์รวมของ การเมืองในยุคนี้ อาตมาว่า มันเกิดพัฒนาการ ของสังคมไทยมาก ที่แปลกก็คือ ยังไม่เคยมีมาเลย ก็คือ พวกบันเทิงเริงรมย์ ไม่เคยออกมาเลือกข้าง เพราะพวกนี้ ไม่เอาข้างไหน มันเอาเงิน มันไม่เคยเกิดเลยว่า จะมาเลือกข้าง ดังนั้น เหตุการณ์ครั้งนี้ ในไทย

        คำว่าการเมือง เขาถือว่า เป็นคำเสีย ผู้ใดไม่ยุ่งการเมืองได้เป็นดี ไม่ว่าอาชีพใด เช่นว่า ฉันเป็นทหารอาชีพ ไม่เป็นทหารการเมือง ยิ่งประชาชน เขาก็ไม่ยุ่งการเมือง ตีการเมือง ทิ้งไปหมด เพราะเห็นว่า การเมืองนี้เน่าเฟะ ที่จริงงานการเมืองนี้ เป็นเรื่องสุดยอดดีงาม

        การเมือง เป็นงานที่ต้องเคารพ ยกย่องเชิดชู เป็นงานมีประโยชน์ คุณค่าสูงส่ง เป็นความมีเกียรติ คนให้เกียรติ แต่นักการเมือง ทำพฤติกรรม ไม่น่ายกย่อง ให้เกียรติเลย

        แต่คนจำนนต้องให้เกียรติ ที่จริงแล้ว นักการเมือง ต้องน่ายกย่องบูชา น่าเคารพ

        งานการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยแท้ มี ๑๓ ข้อ
1. งานการเมืองต้องมีคุณธรรมและเป็นกุศล พุทธสอนถึงขั้น โลกุตรธรรม หรืออาริยธรรม (ต้องมีภูมิธรรม รู้จักจิตวิญญาณตนเอง ลดกิเลสตนเองได้ เริ่มตั้งแต่ โสดาบัน

         ถ้าได้แค่กัลยาณธรรม ตอนแรกก็ดี แต่พอกิเลสโต ก็จะแสดงผล เพราะไม่ได้ล้าง กิเลสจริง เขากดข่มไว้ ถ้าแค่ ห้าร้อยล้านไม่เอา แต่ว่าถ้าพันล้านเอา ยิ่งหมื่นล้านล่ะก็ โกงเลย นอกจากจะล้างกิเลสได้ เป็นอาริยบุคคล จะมีคุณธรรมจริง ไม่เวียนกลับ แต่ทุกวันนี้ ไปเข้าใจอรหันต์ ว่าเป็นคนหนีโลก เข้าป่าเขาถ้ำ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับสังคม ไม่มี โลกุตรจิต จึงไม่มีโลกวิทู ไม่มีโลกานุกัมปายะ ช่วยโลกไม่ได้ ของพุทธนั้นรู้ มีโลกุตรจิต จึงสามารถอยู่กับโลกโดยไม่ทุกข์ไม่สุข รู้โลกวิทู และมีโลกานุกัมปายะ จึงเป็นการทำการเมืองที่แท้   อาตมาแปล โลกานุกัมปายะว่า รับใช้โลก
2. นักการเมืองต้อง “รู้จัก” ประชาธิปไตยที่แท้
3. นักการเมืองต้อง “สอน” หรือเผยแพร่ประชาธิปไตยให้กับประชาชน  (ประชาชน ก็ใส่ใจขวนขวายเรียนรู้ ไม่ใช่รู้แค่ว่า ไปเลือกตั้งเท่านั้น)  
4. นักการเมืองต้องเป็นผู้พึ่งตัวเองได้แล้ว ไม่ใช่คนไม่มีทางทำมาหากิน เลี้ยงตนเองไม่ได้ พฤติกรรมของตนนั้น เป็นพฤติกรรมเพื่อสังคมไม่ได้ ถ้าใคร มีพฤติกรรม ทำงานเพื่อสังคมการงานเพื่อประชาชน คนนั้นคือ นักการเมือง คนรับได้ เพราะเขาทำงาน เพื่อประชาชน ประชาชน จะเลี้ยงดูเขาไว้ ยกตัวอย่างเช่น อาตมาได้พยายาม ปลูกฝัง ให้ชาวอโศก ทำงานการค้าขาย เรียกว่า ค้าขายอย่างบุญนิยม อย่างในหลวงตรัส คือขาดทุนของเรา คือกำไรของเรา อโศกก็ทำได้ แม้ขาดทุนไม่ได้ ก็เอากำไรให้น้อยลง แต่ถ้าเอากำไร ได้น้อยลงเท่าไหร่ ก็เจริญเท่านั้น ยิ่งเท่าทุนเลย ก็เจริญ แล้วยิ่งขาดทุนได้ นี่คือเจริญจริง การค้าขาย เขาก็เลี้ยงตน ด้วยการค้า แต่เขาขาดทุนแก่สังคม นี่แหละคือ นักการเมือง คือผู้พึ่งตนเองได้
5. นักการเมือง ต้องเป็นผู้มักน้อยสันโดษ  อย่างปธน.โฮเซ่ มูจิก้า เป็นปธน. ที่จนที่สุดในโลก ประเทศอุรุกวัย
6. นักการเมืองต้องไม่ทำงานการเมืองเป็นอาชีพหากิน 
7. งานการเมืองต้องเป็นงานอาสาเสียสละ
8. นักการเมืองจะต้องไม่มีอคติ (ต้องพ้น อคติ ๔)
9. นักการเมือง คือ ผู้มีอิสระแท้จริง ไม่เป็นทาสโลกธรรม แล้วทุกวันนี้ นักการเมือง ประกาศตนอย่างไม่เหนียมอายเลยว่า ผมเป็นขี้ข้านักโทษเลย
10. งานการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่งานเพื่อตัวเรา  เพื่อครอบครัว  เพื่อหมู่พวก  เพื่อพรรค  แต่เป็นงานเพื่อบ้านเมือง  เพื่อประชาชนทั้งมวล  เพื่อผู้อื่น ที่พ้นไปจากตัวเอง  พ้นไปจากครอบครัว  พ้นไปจากหมู่พวก  แม้แต่พ้นไปจาก “พรรค” ของตน
#      แต่ในไทย มีการออกกฎหมายว่า ต้องมีพรรคการเมือง แล้วจะต้องเป็น สมาชิกพรรคการเมือง เท่านั้น จึงสมัครได้ เป็นการส่อแสดง ความเป็นอนารยะ ของประเทศ แต่ที่จริงเมืองไทยน่าจะทำได้ อย่างไม่ต้อง ออกข้อจำกัดว่า จะต้องมีพรรคการเมือง แล้วยิ่งบอกว่า นายกฯต้องมาจากสส. ก็เลยจำกัดอีก

       


๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ที่ เวทีสะพานผ่านฟ้าลีลาศ กทม.