_ 570208_พ่อครูที่เวทีป้อมมหากาฬ

 

เรื่อง อำนาจรัฐบาลไม่ใช่อำนาจรัฐชาติ

 
            ที่ผ่านฟ้านี้ เราเนรมิตเป็น ศาลาพุทธาภิเษกผ่านฟ้าลีลาศ ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่ม กปท. ส่วนเรานี่ เป็นส่วนเสริม จาก กปท. ซึ่งกปท. ได้ดำริออกมา ตั้งแต่ ๔ ส.ค. ๕๖ แล้ววันที่ ๗ ส.ค. ๕๖ เราก็มาสมทบ ตอนนี้ มาอยู่ได้ หกเดือนแล้ว บวกอีก ๔ วัน แต่เมื่อ ถึง วันนี้ก็เป็นวันที่
            สถิติการชุมนุม ในเมืองไทย สูงสุดนานสุดก็ ๑๙๓ วัน เพราะฉะนั้น เราก็เหลืออีกกี่วัน จะทำลายสถิติ ก็อีก ไม่กี่วัน ก็ทำลายสถิติ คือเมื่อตรงกับ วันที่ ๑๓ ก.พ.ก็ได้ ๑๙๓ วัน แต่ว่า ถ้าเป็นวันที่ ๑๔ ก็เป็นวันที่ ทำลายสถิติ และตรงกับวันวาเลนไทน์ด้วย เป็นวันมาฆบูชาด้วย ทำลายสถิติแน่ๆ

            อาตมาได้เคยเปรยไว้ เห็นว่าเป็นจริงเป็นจังว่า ๕๐๐ วัน แล้วแต่เทวดาบอก ถ้าศาสนาพระเจ้า ก็ว่า แล้วแต่ประสงค์ ของพระเจ้า อาตมาก็ดูว่า ประเมินไป เวลาสู้กันจริงๆก็ยาว เพราะการต่อสู้ของเราต้องใช้เวลา มันเกิดเหตุปัจจัยใหญ่ๆ สองเหตุ คือ
            ๑. ตัวผู้ที่ยึดอำนาจเก่า
            ๒.ประชาชน
            ที่มันช้าเพราะ ผู้ยึดอำนาจเก่า เขาไม่ปล่อยแน่ๆ ซื้อเวลา หาทางทุกอย่าง จะต่อสู้อย่างไรก็เอา ส่วนอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ ประชาชน ยังไม่ตื่น ยังไม่แข็งแรง ก็เพราะว่า ปัญญายังไม่ตื่นรู้ ไม่มีปัญญารู้ว่าประชาธิปไตย คืออะไร? ซึ่งพ่อครู ก็พูดย้ำ ซ้ำซากว่า ประชาธิปไตยคือ การที่ประชาชน ออกมาประท้วง

            ที่พูดนี่ยืนยันว่าไม่ผิด การออกมาประท้วงนี้คือ ประชาธิปไตย หมูหมากาไก่  ออกมาประท้วงไม่เป็น แล้วประชาชน ออกมาประท้วง เรื่องการเมือง ออกมาแสดง อำนาจอธิปไตยของเขา ตัวคนประชาชน และแสดงอธิปไตย มาประท้วงเรื่องนี้ๆ เป็นอำนาจที่สวยสดงดงาม

            และอย่างนี้ ไม่ถือว่าเป็นประชาธิปไตย ได้อย่างไร นี่คือตัวตนของ ประชาธิปไตย ออกมาปรากฏตัว นักรัฐศาสตร์ ไม่เข้าใจ ก็ไม่เป็นไร ให้ประชาชน เข้าใจ แล้วออกมาประท้วง ก็แล้วกัน

            เป็นหน้าที่ของประชาชน ที่ต้องออกมา ตามรธน. ในมาตรา ๗๐ และ๗๑ มีสิทธิพิทักษ์รธน.
            มาตรา ๗๐  “บุคคลมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุช ส่วน
            มาตรา ๗๑ บอกว่า...บุคคลมีหน้าที่ป้องกันประเทศ และรักษาผลประโยชน์ชาติ ตามกฎหมาย
            มาตรา ๖๘ (วรรคหนึ่ง) "บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพ ตามรัฐธรรมนูญ เพื่อล้มล้างการปกครอง ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุขตาม รัฐธรรมนูญนี้ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอํานาจ ในการปกครองประเทศ โดยวิธีการ ซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทาง ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ ... มิได้"
            มาตรา ๖๘ (วรรคสอง) "ในกรณีที่บุคคลหรือพรรคการเมืองใด กระทําการตามวรรคหนึ่ง ผู้ทราบการกระทําดังกล่าว ย่อมมีสิทธิ เสนอเรื่อง ให้อัยการสูงสุด ตรวจสอบข้อเท็จจริง และยื่นคําร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยสั่งการ ให้เลิกการกระทํา ดังกล่าว แต่ทั้งนี้ไม่กระทบกระเทือน การดําเนินคดีอาญา ต่อผูกระทําการดังกล่าว”
            มาตรา ๖๙ (การต่อต้านโดยสันติวิธี) บุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้าน โดยสันติวิธี ซึ่งการกระทำใด ๆ ที่เป็นไปเพื่อ ให้ได้มาซึ่งอำนาจ ในการปกครอง ประเทศ โดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไป ตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ ในรัฐธรรมนูญนี้

            เราประท้วงครั้งนี้เปรยไว้ ๕๐๐​วันเป็นการประท้วงที่
            วิเศษ แจ่มเยี่ยม วิสุทธิ์(บริสุทธิ์) วิศิฏฐ์(เลิศเลอ ยอดเยี่ยม)
            เรากะไว้ ๕๐๐ วัน เห็นฝีมือประชาชน ว่าได้ เกียรตินิยม
            อาตมาก็ให้ผ่าน ไม่ต้องใช้เวลา ๕๐๐ วัน เอาแค่ ๒๕๐ วันก็เอา ถ้าเป็น ๒๕๐ วัน เราทำมา ๑๘๘ วันแล้ว อีกไม่กี่วันจะถึง ๒๐๐ วันในวันที่ ๒๐ ก.พ. ๕๗ นี้
            ถ้าไปอีก ถึงวันที่ ๑๑ เม.ย. ๕๗ ก็ครบ ๒๕๐ วัน เป็นวันสุดท้ายนะ เราเอาให้เสร็จสักที เราต้องเร่งเครื่อง ให้เต็มที่
            การชุมนุมครั้งนี้ คนไทยทำได้วิเศษ วิสุทธิ์ วิศิฏฐ์
           
หม่อมอุ๋ยมาบอกว่า นายกฯ ให้ลาออกซะ ก็สะเทือน แต่นายกฯก็ออกมาพูดว่า ถ้าให้มีนายกฯคนกลาง ก็ต้องฉีก รธน.นะ
            ซึ่งการฉีก รธน.นี้ เป็นมานานแล้วหลายที เกิดการปฏิวัติทีไร ก็คือการฉีกรธน. แล้วก็ต้องออก รธน.ฉบับใหม่เอง เพราะต้องมีบทหนึ่ง ที่ยกเว้น ความผิดของ คณะปฏิวัติ ถือเป็นประเพณี

            การปฏิวัติ คือยกเลิกอำนาจเก่า ให้เป็นอำนาจใหม่ ก็เป็นเรื่องดี แต่ถ้าไม่ดี คือไปแย่งอำนาจเขา  ที่เขาทำดีอยู่แล้ว ส่วนการปฏิวัติ ที่อำนาจเก่าไม่ดี เช่น ทักษิณบริหารอยู่ แล้วมีคณะของ พล.อ.สนธิ ฯ ออกมา ปฏิวัติ เขาก็เห็นว่า อำนาจเก่าไม่ดี ต้องเอาออก พอมีกำลังอาวุธมาไล่ ทักษิณก็กลัว หนีออกไป ต่างประเทศ ก็เรียกว่าปฏิวัติ ​แต่ประชาชนชอบ เอาดอกไม้ไปให้ ดีใจที่เอาทักษิณออกได้ เริ่มแต่ครั้งนั้นมา แล้วก็ทำเป็นจารีตประเพณี

            ในรธน.มาตรา ๗ (การอุดช่องว่างในรัฐธรรมนูญ) ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติ แห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัยกรณีนั้น ไปตามประเพณี การปกครอง ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหา กษัตริย์ ทรงเป็นประมุข

            ก็ประเพณี ก็มีการปฏิวัติมาแล้ว และเป็นแบบอำนาจบาตรใหญ่ เป็นกำลังที่ไม่ดี เพราะงั้นจะต้องถือว่าผิด ไม่ดี แต่ก็ยอมรับกันใช่ไหม เมื่อฉีกรธน. แล้วก็ทูลเกล้าฯ ตั้งนายกฯตั้งครม. สส.ใหม่ หลายคณะ ก็ไม่ได้เลือกตั้งกัน กี่ชุดต่อกี่ชุด ก็บริหารไป เป็นประเพณี ทำมาก่อนนายกฯเปรม มาจนพล.อ.สนธิ ก็ทำกันมา แล้วยอมรับกันมา เป็นประชาธิปไตย จริงๆผิด แต่ก็ใช้กันมา ผ่านยุคกาลมา กี่ครั้งในโลก

            ทีนี้ การปฏิวัติอีกชนิดหนึ่ง คือประชาชนปฏิวัติ ไม่ใช่เอาอำนาจบาตรใหญ่ มาทำ
            การปฏิวัติ อาตมาแยกเป็น ๖ แบบคือ
.การปฏิวัติโดยอำนาจอาวุธ มีทหารมีรถถัง มาบังคับรัฐบาลนั้น ให้ยอมแพ้เลย
. ประชาชนร่วมกับทหาร ร่วมกับอำนาจบาตรใหญ่ อำนาจอาวุธ ยึดอำนาจมาด้วย กดขี่แย่งชิง ได้อำนาจมา ประชาชนก็ยัง ไม่ได้มีส่วนร่วม ยังไม่เห็นแก่ ประชาชน อย่างแท้จริง
. การปฏิวัติตัวเอง ตัวเองครองอำนาจอยู่แล้ว แต่ว่าเปลี่ยนเป็น ตนเองอีกรัฐบาลใหม่ อย่างจอมพลถนอม เป็นต้น อยากเปลี่ยน ล้มอำนาจเดิม คณะเดิม แล้วตนเองยึดเอง แล้วได้อำนาจเต็ม เปลี่ยนได้ดังใจ
. ประชาชนร่วมกับพลังอำนาจจากนอกประเทศ ที่เขามีอำนาจมาช่วย ด้วยอาวุธยุทธภันฑ์ เป็นต้น นี่เป็นอีกแบบหนึ่ง
.การปฏิวัติโดยประชาชนจริงๆ อาจแบ่งได้สองแบบ
.(..) แบบโดยประชาชน แต่เป็นอำนาจโลกีย์ เป็นอำนาจที่ไม่ต้องใช้อาวุธ ทำด้วยความดีงาม แต่เป็นการบังคับ กดขี่กัน พอสมควร ก็อาจมีการตาย การฆ่ากันบ้าง เพราะคนมีอำนาจ ก็ไปฆ่าเขา ซึ่งเมืองไทย ยังไม่ได้ทำ
.(..) แบบประชาชนใช้อำนาจที่เป็นอธิปไตยแท้ๆ Sovereign power สุดยอดของประชาธิปไตย คืออำนาจแห่ง ความถูกต้องดีงาม ชอบธรรม ถูกสากล ถูกรธน. เป็นอำนาจที่ไม่เบ่งข่มทำร้าย กับอำนาจเก่า อย่างที่เราทำอยู่นี่ ทำด้วยกลุ่มของ มวลประชาชน ปฏิวัติอย่างสงบ ไม่มีอาวุธเลย เอาความดีงาม ความถูกต้อง มายืนยัน ว่าคุณผิดอย่างไร ทั้งทางกฎหมาย และวัฒนธรรม หลักเกณฑ์ เรามาแจกแจงกัน คุณทำไม่ดีนะ ประชาชน ให้คุณทำแทน แต่คุณ ไปทำเสียหาย ไม่ดีไม่งาม ฟ้องไปถึงตุลาการ ถึงองค์กรอิสระ ที่มีหน้าที่ ชี้ผิดถูก มีการตัดสินพิพากษาได้ เป็นตุลาการภิวัฒน์

            ถ้าทหารมาปฏิวัติ นายกฯยิ่งลักษณ์ก็ต้องยอม  แต่ทีนี้ พวกเราประชาชน มาปฏิวัติ แน่นอน ฉีกรธน. แล้วก็ต้องมีนายกฯคนกลาง คนใหม่เช่นกัน แต่เราทำ อย่างถูกต้อง ตามรธน. สันติ อหิงสา มันไม่เคยมี ในโลกเลย จึงไม่มีใครรู้เท่าไหร่ คราวนี้ออกมา เป็นจำนวนล้านคน ยาวนาน ตั้งหลายร้อยวันเลย ผ่าน ๖ เดือนมาแล้ว นี่คือสิ่งที่ วิเศษ วิสุทธิ์ วิศิฏฐ์ เพราะฉะนั้น เราใจเย็นๆเลย เราทำถูกต้องตามประชาธิปไตยเลย เขาจะมาว่า เราทำผิด นายกฯจะว่า เราฉีกรธน. เป็นการปฏิวัติ เราก็บอกว่า คือการปฏิวัติ ประชาธิปไตยคือการปฏิวัติ หรือจะเรียกว่า ปฏิรูปหรือปฏิวัติ เราก็ให้คุณออกไปเร็วๆ แล้วเราจะ ปฏิรูปต่อ อาจใช้เวลา ๒ ปี ให้คณะก่อการ ทำการไป ให้คณะนี้ เฟ้นหาคณะบริหาร และคณะสภาที่ต้องมาร่างรธน. เสร็จแล้วคณะก่อการ ก็ยุบตัวไป สลายไป

            เหมือนกับการตั้งมูลนิธิ สมาคม ก็มีคณะก่อการ แล้วก็ให้คณะถาวร ทำการต่อ โดยให้บริสุทธิ์สะอาด คณะก่อการ ทำเสร็จแล้วเลิก ไม่ได้ทำ เพื่อตัวเอง ไม่มาเสวยอำนาจอะไร

            เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ นายกฯยิ่งลักษณ์ มีประชาธิปไตย แค่ที่เขาแสดงออก ทำทีว่าผิดรธน. แต่เราทำ ไม่ผิดประชาธิปไตย เลย เขาความรู้ไม่ถึงจริงๆ ไม่เคยมีใคร ทำมาได้ เรากำลังทำได้ นายกฯยิ่งลักษณ์ จึงพูดว่า การประท้วงนี้ พวกนอกระบบ เป็นพวกข้างถนน ประชาชน ทำไม่ถูก ระบอบ ประชาธิปไตย อาตมาก็บอก พูดมาแล้วว่า การประท้วงนี่ เป็นประชาธิปไตยตัวแท้ และการเมือง ภาคประชาชนนี่มันมี
            นักการเมืองในระดับใหญ่ เถียงแย้งว่า การเมืองข้างถนน ไม่ใช่ประชาธิปไตย อาตมามองว่า เขามีความรู้ ประชาธิปไตย ไม่เหมือนอาตมา ประชาชน เป็นเจ้าของ ประชาธิปไตย ตามมาตรา ๒ และ ๓
            มาตรา ๒ (รูปแบบการปกครอง) ประเทศไทย มีการปกครอง ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข
            มาตรา ๓ (อำนาจอธิปไตย) อำนาจอธิปไตย เป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อำนาจนั้น ทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่ง รัฐธรรมนูญนี้

            อำนาจที่จะได้ ประชาชนเป็นผู้ให้มา ทั้งนั้น แม้การเลือกตั้ง ประชาชนก็ให้ทั้งนั้น เมื่อมีกฎหมายเลือกตั้ง ประชาชนก็เลือกผู้แทน หรือ สส. ให้ได้อำนาจ จากเจ้าของอำนาจ คือประชาชน ให้อำนาจไปทำงาน ไม่ใช่อำนาจ รัฐาธิปัตย์นะ ฟังให้ออก ว่าอำนาจให้ไปทำงาน กับอำนาจทั้งรัฐ

            รัฐบาล กับ รัฐชาติ (รัฐประเทศ) คนละอันกัน ผู้แทนเราเรียกว่า รัฐบาล (บาล คือการเลี้ยงการดูแลบริหาร) เพื่อให้ชัดเจน

            นายกฯมีความรู้แค่นั้น หรือนักการเมือง ก็เข้าใจแค่นั้นว่า การประท้วงของประชาชน เป็นเรื่องนอกรีต ไม่มีสิทธิ์ทำ ไม่มีผลอะไรหรอก ผิด จะจับเข้าคุก อาตมายืนยันว่า เป็นความเข้าใจที่ผิด ไม่เป็นประชาธิปไตย ซึ่งเขามีสิทธิ์มีผล มีฤทธิ์อำนาจ ให้รัฐบาลตอนนี้ เป็นหมาจนตรอกแล้ว เป็นอำนาจแท้ เป็นอธิปไตยแท้ๆ แต่นายกฯ หรือนักการเมืองใหญ่ๆ มองว่าไม่ใช่ แล้วเมื่อบอกว่าไม่ใช่ จะไปไล่ออกได้อย่างไร

 อาตมาว่าไล่ได้ เป็นอำนาจใหญ่ยิ่งเป็น Sovereing power เป็น Independence Power เป็น อำนาจที่ไม่ใช่ Force แต่เป็น Authority เป็นความถูกต้อง ชอบธรรม คุณไม่ถูกต้องชอบธรรม ออกไป เราจะเอาความถูกต้อง ชอบธรรมดีงาม

            เมื่อนายกฯเข้าใจผิดๆ จึงมองว่า การประท้วงของประชาชน เป็นเรื่องไร้สาระ เราก็ว่า ทำไมเขาหน้าด้าน เขากลับว่าไม่ใช่ หาว่าเราผิดธรรมเนียม ผิดประชาธิปไตย คุณจะทำไป กี่เดือนกี่ปี ให้ตายอย่างไรก็ทำไป เราไม่ทำแรง มีแต่ด่าอย่างเดียว จนไม่รู้จะสรรหา คำด่าอะไรมาแล้ว พระพุทธเจ้าว่าเป็น มุขสตี ใช้ปากเป็นอาวุธ ทิ่มแทง คนพวกนี้ ไม่มีปัญญารู้รายละเอียด จิตวิญญาณ

            พระพุทธเจ้าว่า ถ้าไม่รู้ นามรูป ไม่รู้จิตวิญญาณ เทวดาหรือสัตว์นรก การทำผิด หน้าด้านนี่สัตว์นรกนะ แต่เขาไม่รู้ ความเป็นสัตว์นรกของเขา จะฆ่าให้ตายไป ก็เสียเปล่า

            พระพุทธเจ้าว่าไว้ใน ปุตตมังสสูตร (วิญญาณาหาร) คนไม่รู้ตัวเอง เป็นวิญญาณร้าย เป็นโจร พระราชา ก็ให้เอาไปฆ่า ตอนเช้า พอมาถึงกลางวัน ก็บอกว่า ยังไม่ตาย ก็ให้ไปฆ่าอีก กลางวัน ด้วยหอกร้อยเล่ม เช่นเดิม แต่มันก็ทนจัง ไม่ตายอีก พอมาตอนเย็น ก็บอกว่า ยังไม่ตายอีก ก็ให้เอาไปฆ่า ด้วยหอก ร้อยเล่มอีก มันก็ยังไม่ตาย เหมือนกันเลย เพราะมันไม่รู้ว่า มันทำผิด เขาจะด่า ว่าเป็นสัตว์นรกอย่างไร เขาก็ว่าฉันสวย ฉันเป็นเทวดา ประเสริฐเลิศเลอ ฉันมีคนเป็นพวก มากนะ แดงทั้งแผ่นดิน จนตอนนี้ แดงหายไปมากแล้ว เราก็เอาสีแดง มาใส่เลย

            คำว่า อธิปไตย หรืออำนาจของประชาชนนี่ มันเป็นของประชาชน แม้ว่าจะบัญญัติ อยู่ในรธน.แล้ว ในมาตราต่างๆ ว่าอำนาจเป็นของประชาชน แต่นายกฯ คนนี้ ยังไม่เข้าใจพอ ว่าประชาชนเป็น รัฐาธิปัตย์

            สำหรับตัวนายกฯ คือผู้แทนประชาชนไม่ใช่ตัวรัฐาธิปัตย์เลย เป็นผู้แทนที่ ประชาชน เลือกตั้ง ทางอ้อมด้วย
ประชาชน เลือกให้ไปเป็น คนรับใช้ประชาชนนะ มีหน้าที่ กำหนดในรธน. ไม่ทำตามหน้าที่ ทำน้อยหรือมากไป ก็ผิดนะ ทำอย่างไม่สมควร ก็ไม่ได้ เช่น ทำงานมาแล้ว ก็ต้องแถลงผลงาน แต่ว่านี่ไม่มีอะไรแถลง มีแต่ แถ-ลง ๆ ผิดอะไรอีกมากมาย

            ที่ทำอยู่นี่ เขาไม่ชัดเจน ไม่รู้ว่าตัวเองคือใคร ขนาดไหน ที่ต้องมาเป็น ผู้รับใช้ประชาชน ตามหน้าที่ ทำเกินทำขาด ไม่ทำก็ผิด

            ประชาชนเป็นนายนะ เป็นนายของท่าน นา-ยะ-กะ ,ประชาชนเป็นใหญ่กว่า แต่คุณปู ไม่รู้เรื่อง หลายคนก็ไม่รู้เรื่อง นายกฯก็เป็นนาย ของรัฐมนตรี อีกที เป็นหัวหน้าครม. ทำหน้าที่อีกที

            เขามีหน้าที่กำหนดให้ทำ จะทำผิด ทำเกิน ทำขาด ไม่ได้ทั้งนั้น แล้วครม. ก็เป็นลูกน้องของนายกฯ อีกทีหนึ่ง แต่ก็เข้าใจผิดว่าใหญ่มาก ที่จริง ต้องเป็น ลูกน้องประชาชน ยิ่งกว่านายกฯอีก แต่เขาก็หลงตัวอีก เพราะมีการเลือกเป็นชั้นๆอีก เป็นลูกน้องของลูกน้องอีกที แบ่งงานให้ดูแล มีอีกหลายชั้น รองลงๆ

            ข้าราชการการเมือง หรือประจำก็ตาม ไม่มีสิทธิ์มาเป็น เจ้านายประชาชนเลย มีขอบเขต การทำงาน ตามนายกฯ ซึ่งนายกฯ เป็นผู้ดูแลงานการ ตามหน้าที่ นายกฯมีอำนาจในการ “บาล” หรือ “ปาล” ให้แก่รัฐ บาล แปลว่า รักษา ดูแล เลี้ยง มาเป็นลูกน้องประชาชน จัดการรัฐ ให้อยู่เย็นเป็นสุข หรือจ้างนายกฯ ให้มาทำงาน จัดการจัดแจง ให้ประชาชน อยู่เย็นเป็นสุข แต่ถ้าทำไม่ได้ ก็ต้องไล่ออกได้ ไม่ใช่ว่า ให้เป็นนายของประชาชน จะเป็นนาย ก็เป็นนาย ของลูกน้องอีกที ตามลำดับ หัวหน้าแผนก กรมกอง อย่าเลยเถิดนะ แต่ทุกวันนี้ เลยเถิดว่า มีอำนาจมาก เบ่งขี้แตกเลย

            บาล ไม่ได้แปลว่า นาย เลย ผู้ที่ถูกเลือกให้ไปเป็น รัฐบาล คือมาทำ บาล ให้แก่รัฐ ไม่ได้ให้มาเป็น นายของรัฐ แต่ให้มาเป็นนายของ บาล คือหน้าที่ ที่มอบหมายให้ทำ อย่าหลงตัว ว่าเป็นหัวหน้าประชาชน ซึ่งหัวหน้าประชาชน คือตำแหน่งของในหลวง ในมาตรา ๒ และ ๓ ของรธน. แล้วเขาเคยเผลอ เรียกกันว่า นายกฯเป็นประมุข ของประเทศ (นายทาริด)

            เทียบให้ฟังว่า ผู้ที่มีหน้าที่ ดูแลฝูงสัตว์หรือพืช ให้มีความเป็นอยู่ที่ดี นี่คือหน้าที่ คล้ายๆของรัฐบาล นายกฯ ครม. ขออภัยที่เปรียบเทียบ ไม่ได้ดูถูกว่า ประชาชนเป็นโขลงสัตว์ แต่ให้เข้าใจชัดๆ รัฐบาล “บาล” นี้ไม่ใช่เจ้าของ สัตว์หรือพืช ให้ไปทำหน้าที่ ดูแลสัตว์ โดยมีนายจ้าง เป็นประชาชน เหมือน นาย โคบาล เป็นต้น ให้มีหน้าที่เท่านี้ มีหน้าที่จำกัด คนละบริบทกับ รัฐชาติ หรือรัฐประเทศ

            รัฐบาลนี่ไม่ได้ยิ่งใหญ่ ให้มาเลี้ยงสัตว์ พูดให้ชัดคือ “เด็กเลี่ยงแกะ” ให้มาดูแลแกะ หาน้ำหาหญ้าให้กิน ให้นอนดีๆ อย่าให้เสือมากิน .... เปรียบเทียบ ให้ชัด เท่านั้นนะ          

            สรุปคือ อำนาจอธิปไตย ในตำแหน่งหน้าที่ ของนายกฯ หรือข้าราชการ หรือผู้แต่งตั้ง ทำหน้าที่อีกมาก มารับเงินเดือนของรัฐ แม้รัฐวิสาหกิจ ก็เป็น ลูกจ้างประชาชน มารับใช้ประชาชน ไม่ใช่อำนาจอธิปไตยเต็มๆ ของประชาชนนะ ซึ่งคนละเรื่องเลย อำนาจอธิปไตย ของประชาชนนี่ คลุมทั้งประเทศเลย มีอำนาจ โขลกหัวคุณได้ คุณไม่มีสิทธิ์ โขลกหัวประชาชนนะ ให้มาทำหน้าที่ เท่านั้นนะ เขากำหนดหน้าที่ไว้หมดแล้ว ทำออกไปผิดไม่ได้ ถ้าทำผิด ก็ฟ้องร้องได้ แต่ทำผิดมาก ฟ้องไม่ไหว ก็ไล่ออกไปเลย ศาลว่าความ ไม่ไหวแล้ว

            ต้องรู้ชัดเจนว่า อำนาจเป็นของประชาชน ​ส่วนผู้ที่ได้รับเลือก รับสมัครไปทำงาน ให้แก่ชาติ ก็อีกอย่างหนึ่ง อำนาจของประชาชน ในมาตรา ๒ และ ๓ นี้ต้องย้ำให้ชัด กำนันสุเทพ ก็ย้ำบ่อยๆ ว่าเราทำถูกตาม รธน.นะ
           
            อำนาจประชาธิปไตย คืออำนาจประชาชน ตามมาตรา ๒ และ ๓ นี้ต้องจำไว้ให้ชัด ในประชาชนทุกคน เราก็เลือกคน ไปทำหน้าที่รับใช้ ไปทำแทนเรา โดยประชาชน เป็นผู้เลือก แต่งตั้งไปทำหน้าที่ ก็ได้แค่ตัวแทน จะเป็นนายกฯหรือครม. ก็เป็นตัวแทน หรือข้าราชการ ก็เป็นตัวแทน ไม่ใช่ตัวจริง เพราะตัวจริง เจ้าของอำนาจ คือประชาชน

            สรุปชัดเจนอีกทีว่า อย่าหลงตัวว่า เป็น นายกฯ คำว่า นายกรัฐมนตรี เป็นตำแหน่ง ที่มีขีดจำกัดไม่ได้หมายถึง ผู้มีอธิปไตยสมบูรณ์ ในประเทศชาติ ไม่ได้ใหญ่ อย่างนั้น แต่ประชาชนต่างหาก คือนาย มีอำนาจอธิปไตย แต่เขาเลือกคุณ ให้ไปทำงาน แก่ประชาชน เท่านั้น

            เมื่อคุณทำไม่ถูกต้อง ผิดหลักเกณฑ์ ไม่หมาะสม ไม่คุ้ม ประชาชนก็มีหน้าที่ประท้วง ให้แก้ไขหรือให้ออกได้ คุณทำให้เสียหาย ฉิบหาย ประชาชน ก็ต้องเอาคืน ต่อต้าน ไม่ให้ทำ ประชาชนมีสิทธิ์ แล้วมาบอกว่า ประชาชนทำผิดนั้น หน้าด้านมาก ทำผิดแล้ว ยังมาว่าคนอื่น เป็นนายกฯได้อย่างไร ไม่รู้จัก หน้าที่ตัวเอง แม้นักวิชาการ ก็มาเถียง ตาบอดหรือไม่ ที่ไม่รู้ว่า นายกฯ ทำผิดอย่างไร ครม. ทำผิดอย่างไร

            ความหลงตัวว่า มีอำนาจอธิปไตยที่ผิดนี่ อย่างนายกฯทำนี่ หลงผิดไป ผู้ยังเข้าใจ อำนาจอธิปไตย ของประชาชน ไม่ชัดเจน ก็ถูกหลอก หลงเชียร์ หลงถือข้าง แต่บัดนี้ ประชาชน มีความรู้เรื่องอธิปไตย ตื่นรู้กันมากแล้ว ออกมายืนยันว่า เต็มทีแล้ว

            ทักษิณโนมิกส์นี่ ตั้งแต่ทักษิณมาใช้นี่ หลอกคนให้หลงว่า ต้องให้ทักษิณทำ มันถึงดี แล้วมาไล่เขาออกไปทำไม เราก็ว่า ทักษิณนี่ หนีคดีออกไปเอง หนีคุก แล้วมีคดีอีก เป็นสิบคดี เขาจะฟ้องอีก อยู่ข้างนอกก็ทำผิด เข้ามาสิ รับรองว่า ไม่ต่ำกว่า ร้อยคดี เขาถึงดิ้นสุดที่ ที่จะต้องเลิกรธน. แล้วเขียนรธน.ใหม่ ไม่อย่างนั้น ไม่มีอายุพอที่จะติดคุก หรือประหารชีวิต ก็ชีวิตหนึ่ง ไม่พอหรอก เขาทำผิด หนักหนาสาหัสมาก

            รัฐบาลยิ่งลักษณ์นี้ หมดความชอบธรรมชัดเจน
            ๑.คอรัปชั่นหลายอย่าง และอยู่ใต้อำนาจของ นักโทษหนีคดี แล้วร่วมมือกับตำรวจ ทำผิดอีกมากมาย
            ๒.รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ไม่ยอมรับอำนาจตุลาการ ก็คือกบฏชัดๆ
            ๓.มหาประชาชน เป็นจำนวนล้านคน หลายล้านคน รวมกับข้าราชการ มาประท้วง ปฏิวัติ ยึดอำนาจคืน อย่างสวยสดงดงามด้วย  ออกมาแสดง รัฐาธิปัตย์ ของประชาชน มาอยู่แสดงตัวนี่ ไม่ใช่ตัวหมัด ตัวเล็นนะ แต่มาแสดงอำนาจอธิปไตย อย่างถูกต้องชอบธรรม สงบ สันติ อหิงสา ปราศจากอาวุธ มีแต่คุณมีอาวุธ มายัดใส่เรา มาฆ่าเรา นอกจากทำชั่วแล้ว ยังยัดความชั่ว ใส่คนอื่น มันชั่วกี่ชั่วนะนี่

            ในประชาชน ที่ออกมาแสดงตัว อธิปไตย มาแสดงตัว เป็นเจ้าของอำนาจ ประชาธิปไตย อยู่ในที่สาธารณะด้วย ออกมาใช้สิทธิของเรา เป็นหน้าที่ของ เจ้าของอำนาจตัวเป็นๆให้เป็นยืนยันสงบเรียบร้อย ยาวนาน เป็นหลายเดือนด้วย อาจหลายปี จะทรมานเกิน จะทำลายสถิติ ที่เคยทำมาแล้ว วันมาฆบูชา วันวาเลนไทน์นี้ ทำลายสถิติเลย ๑๙๔ วัน นี่มันเป็นเรื่องของสัจจะ จัดสรรทั้งนั้นเลย เป็นเรื่องที่ คนไทยทำได้ อย่างไม่เคยมีมาเลย

            แม้ในคนไทยเอง ก็ไม่เชื่อกันง่ายๆ ว่าทำถูก เป็นอำนาจอธิปไตยจริงหรือ ปฏิวัติอย่าง ไม่มีรถถังเลย แต่เป็นปฏิวัติ อย่างสุภาพเรียบร้อย ไม่ข่มขู่ เอาความดี ความถูกต้อง ตามกฎหมาย ตามวัฒนธรรมประเสริฐ มีเมตตา เสียสละ อดทน เป็นต้น เอาคุณงามความดี เป็นบุญญาวุธ ความดีงาม เป็นธรรมนี่ ชนะทุกที เขาอาอาวุธมาสู้เมื่อไหร่ ก็แพ้เราทุกที ใครไม่ตัดสิน สัจธรรมตัดสิน เรารักษาให้ถูกต้อง ดีงามเลย คนในโลกไม่เข้าใจ ไม่เชื่อ เพราะเป็นปรมัตถ์ สูงเกินวิสามัญ เราต้องอาศัย ความอดทนโดยไม่ต้องอดทน เราจึงอดทน โดยไม่มีขีดจำกัด กี่วันก็สบาย ๒๐๐ วันหรือ ๒๕๐ วัน ก็สบาย น่าจะชนะนะ      
            แต่ถ้ามันเลยมันเกิน จะสู้ไหวไหม...ไหว

            มันมีปัญญารู้ว่า นี่ควรทำ แล้วมีการอยู่ดูแลกัน เรามาอยู่เป็นพัน เป็นหมื่น รวมแล้ว เป็นแสนคนมาอยู่หลายเดือน ก็อยู่ได้ เป็นสาธารณโภคี เลี้ยงดูกัน ปัจจัย ๔ ก็พร้อม พิสูจน์ได้ เป็นเดือนแล้ว มาอยู่กว่าครึ่งปีแล้ว คนเชื่อยาก ถ้าต้องกดข่มฝืน หรือ มีจิตริสยา โลภ โกรธมากก็ขโมย รุนแรงกัน มากแล้ว แต่นี่สงบ เผื่อแผ่เกื้อกูลกัน

            คนน่าจะมาดูงาน ว่าการประท้วงอย่างนี้ มีด้วย แล้วมีผล ให้รัฐบาล ขาเป๋ไปเรื่อยๆ เขาใช้อะไรเป็นอาวุธนะ มหัศจรรย์ ๆ แม้คนไทย ก็ยังเชื่อไม่ง่าย แต่คนไทย ทำได้ เป็นการแสดง มวลมหาประชาชน ปฏิวัติอย่างชอบธรรม เป็นเรื่องมหัศจรรย์ของโลก แม้ประเทศใหญ่ๆ ก็ไม่เชื่อว่า จะเกิดจริง แต่เกิดจริงแล้ว เราก็ต้องพิสูจน์กันไป เป็นอำนาจอธิปไตยบริสุทธิ์ พิสูจน์ให้โลกเห็นว่า ไม่ใช่สามัญไม่ได้เป็นได้ง่ายๆ แต่คนไทย ทำไมทำได้ นี่แหละคนไทย มีอะไรดีๆ แสดงออก

            มีเหตุปัจจัยอย่างนี้ ที่ต้องแสดงออก เพราะคนชั่วทำชั่ว จนทนไม่ไหว ขืนปล่อยให้ คนชั่วทำชั่วเกินไป ไม่ไหวแล้ว นี่ประเด็น ขอบคุณคนชั่ว จนเราต้อง ออกมาจัดการ ให้คนชั่ว หยุดทำชั่ว เป็นจิตปรารถนาดี ไม่ได้ทำด้วย ความชอบใจ เหมือนพ่อแม่ด่าลูก ไม่ได้ทำร้ายด้วย กายกรรม มีแต่มุขสตี คนสุภาพ ก็ไม่มีหอกดาบอะไร มีแต่ชี้ผิด ชี้ถูก

            ถ้าผู้ใดมีปฏิภาณ สังเกตดีๆว่า การต่อสู้ ที่เราทำนี่เป็น ธรรมาธรรมะสงคราม เป็นการต่อสู้ ทางการเมือง ที่จะต้องเปลี่ยนแปลง การบริหารประเทศ ในการต่อสู้นี้ เหมือนอยู่ในสนามรบ ต้องรบกันด้วยความถูกต้อง ดีงาม ไม่ฆ่าแกงทำร้ายกัน ผู้ใดสงบ สันติ อหิงสา มีเมตตาเสียสละ เกื้อกูล ยิ่งมีปัญญา ให้คนผิด มาทำถูกต้องได้ ยิ่งประเสริฐ เป็นธรรมะ ไม่ได้มาฆ่าแกง แย่งยศกัน ไม่แย่งแผ่นดินกันเหมือนโบราณ เช่น เจ็งกิสข่าน เป็นต้น หรือ มาล่าอาณานิคม ไทยเราก็เคยทำ แต่หยุดมานานแล้ว ตั้งแต่ยุครัตโกสินทร์ เราหยุดรุกราน ประเทศอื่น มีแต่ประเทศอื่น มารุกรานเรา จนเสียดินแดน มากกว่าส่วนที่เหลือด้วย เราไม่ล่าเมืองขึ้น ไม่มีนิสัยอย่างนั้น เป็นต้น

            ในยุครัตนโกสินทร์มา คนไทยไม่ได้รุกรานใครมา แล้วเราก็บริหาร ปกครอง อาตมาก็เสียดาย ที่ศาสนาพุทธผิดเพี้ยน ไม่เป็นโลกุตรธรรม กลายเป็นแค่ ศาสนา พิธีกรรม ไม่ได้ประโยชน์ จิตวิญญาณ แม้พิธีกรรม ก็เอาเปรียบ เอารัดมาก ในกาม ในพยาบาท เพราะโมหะ อวิชชา ไม่ไห้เรียนรู้ ความจริง ที่เป็นวิชชา อะไรเป็นสัจธรรม หรือ อสัจธรรม แต่เมืองไทย เป็นเมืองพุทธ มาแต่นาน ในจิตอนุสัย หรือUnconscious ยังมีความเป็นพุทธ เป็น DNA ความเป็นพุทธอยู่ ถึงเวลา ก็ต้องตื่นรู้ ขึ้นมาได้
           
            โลกุตรหรืออาริยธรรม ที่เป็นโสดาฯสกิทาฯอนาคาฯอรหันต์ นี่คนบรรลุ ต้องอยู่ป่าเขาถ้ำ ไม่เกี่ยวข้องกับ สังคมเลย มีแต่พิธีการสวดมนต์ พอให้ประโลมใจ เป็นหลัก บรรยาย เป็นประโลมใจ เป็นหลัก ไม่หยั่งถึงปรมัตถ์ ไม่รู้ประธานใหญ่ ที่จะพาทำดี คือจิต ท่องคำสอนได้ แต่ไม่หยั่งความจริง ถึง ไม่มีความหยั่งลง ไม่มี สโมสรณา ไม่มี โอคธา ไม่มีการรวม เข้ามารู้องค์รวม ที่เรียกว่า
            กาย เวทนา จิต ธรรม ที่เรียกว่า สติปัฏฐาน ๔

            ทุกวันนี้คำว่า กาย นี้ อาจารย์ทางพุทธ ก็ไม่รู้แล้ว ไปเข้าใจว่า กายคือสรีระ แต่ว่าที่จริง กายคือนามธรรม เป็นหลัก ในวิโมกข์ ๘ เป็นต้น คือธรรมะตรัสรู้ รู้จิตเจตสิก
           
            กายคือ จิตเจตสิก มันประชุมกับข้างนอก พหิทา รูปานิ ปัสสติ สัมผัสกาย เป็นปสาทรูป เป็นโคจรรูป ในการสัมผัส เพราะฉะนั้น จิตที่รู้รูปเหล่านี้ จึงเป็นปรมัตถ์ ส่วนรูปรูป นั้นเป็น มหาภูตรูป ๔ นั้นไม่ใช่ปรมัตถ์ ต้องนับที่ อุปาทายรูป ๒๔ จึงเป็นปรมัตถ์

            คำว่า รู้ด้วยกาย ต้องเข้าใจว่า กายนี้เป็นองค์รวม ไม่ใช่แค่ กายที่เป็น สิ่งภายนอกเป็น รูปรูปเท่านั้น จะบรรลุธรรม ต้องรู้ด้วย กาย ตั้งแต่
๑. สัทธานุสารี  ผู้แล่นตามไปด้วยศรัทธา คือ ผู้ปฏิบัติเพื่อบรรลุ โสดาปัตติผล มีสัทธินทรีย์ แก่กล้า อบรมอริยมรรคโดยมีศรัทธา เป็นตัวนำ  (ท่านผู้นี้ ถ้าบรรลุผลแล้ว จะกลาย เป็นสัทธาวิมุติ) .

๒. ธัมมานุสารี  ผู้แล่นไปตามธรรม  คือ ท่านผู้ปฏิบัติ เพื่อบรรลุ โสดาปัตติผล ที่มีปัญญินทรีย์ แก่กล้า อบรมอริยมรรค โดยมีปัญญาเป็นตัวนำ (ท่านผู้นี้ ถ้าบรรลุผล แล้วจะกลาย เป็น ทิฏฐิปัตตะ) 

๓. สัทธาวิมุติ  ผู้หลุดพ้นด้วยศรัทธา คือ  ท่านที่เข้าใจอริยสัจ ถูกต้องแล้ว และ อาสวะบางส่วน ก็สิ้นไป เพราะเห็นด้วยปัญญา แต่มีศรัทธา เป็นตัวนำหน้า  หมายเอา พระผู้บรรลุ โสดาปัตติผล แล้วขึ้นไป จนถึงเป็นผู้ปฏิบัติ เพื่ออรหัต ที่มีสัทธินทรีย์ แก่กล้า ในการปฏิบัติ .

๔. ทิฏฐิปปัตตะ  ผู้บรรลุสัมมาทิฏฐิ คือ  ท่านที่เข้าใจอริยสัจ ถูกต้องแล้ว และอาสวะบางส่วน ก็สิ้นไป เพราะ เห็นด้วยปัญญา หมายเอา พระผู้บรรลุ โสดาปัตติผลขึ้นไป จนถึงเป็น ผู้ปฏิบัติเพื่ออรหัต ที่มีปัญญา และปัญญินทรีย์แก่กล้า ในการปฏิบัติ จนเกิดปัญญาพละ

๕. กายสักขี   ผู้เป็นพยานด้วยนามกาย หรือผู้ประจักษ์กับตัว  คือ ท่านที่ได้สัมผัส วิโมกข์ ๘ ด้วยกาย*  อาสวะบางส่วน ก็สิ้นไป  เพราะเห็นด้วยปัญญา  หมายเอาพระอริยบุคคล ผู้บรรลุโสดาปัตติผล แล้วขึ้นไป  จนถึงเป็นผู้ปฏิบัติ เพื่ออรหัต  ที่มีสมาธินทรีย์แก่กล้า ในการปฏิบัติ

๖. ปัญญาวิมุติ   ผู้หลุดพ้นด้วยปัญญาเท่านั้น คือ ท่านที่ไม่ได้สัมผัส วิโมกข์๘ ด้วยกาย* . (น  เหว  อัฏฐ  วิโมกเขฯ)  แต่สิ้นอาสวะแล้ว เพราะเห็น ด้วยปัญญา  หมายเอา พระอรหันต์ ผู้ได้ปัญญาวิมุตติ  ก็สำเร็จเลยทีเดียว 

๗. อุภโตภาควิมุติ ผู้หลุดพ้น ทั้งสองส่วน คือ ท่านที่ได้สัมผัส วิโมกข์๘ ด้วยกาย และสิ้นอาสวะแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา (หมายเอาพระอรหันต์ ผู้ได้เจโตวิมุติ ขั้นอรูปสมาบัติ มาก่อนที่จะได้ ปัญญาวิมุตติ)  

            ต้องรู้หยั่งในจิต ที่ไม่มีรูปร่างตัวตน แต่รู้ได้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทศ รู้ที่ไหน ตรงนั้นเป็นหทยรูป
            พระโสดาบัน ตัดกิเลสในอบายมุขได้ เรียนรู้ อุปาทายรูป ๒๔ ซึ่งในข้อท้ายๆ จะมีบอกไว้ถึงลักษณะของ จิตที่วิเศษ

. ลักขณรูป 4 (รูปคือลักษณะ หรืออาการ เป็นเครื่องกำหนด )

  1. อุปจย (ความก่อตัวหรือเติบขึ้น ) ตรงข้ามกับ อปจยะ (คือเอาออกไม่สะสม) ส่วนอุปจยะ คือจะให้มีอะไร คือชัดเจนใน กุศลอกุศล ที่จะต้องอ่านออก ตั้งแต่หยาบ ถึงละเอียด ต้องรู้ กายวิญญัติ (องค์รวมทั้ง กายวาจาใจ) และวจีวิญญัติ (วาจา) ต้องรู้ว่า สิ่งไหนชั่ว สิ่งไหนดี และมีขนาดคุณภาพ อย่างหยาบ หรือละเอียด เป็นลหุตา หรือความเจริญอย่างไรจึงเจริญ แบบหยาบหรือละเอียด เป็นองค์ของ กายวิญญัติ เป็นองค์ประชุมร่วม อย่างที่เรา มาชุมนุมกัน เราก็ทำงานกัน ทุกลีลาการกระทำ เป็นสัมมากัมมันตะ ไม่ใช่อาชีพเลี้ยงตน มีแต่มาจ่ายมาให้ อาศัยกันใช้ไปวันๆ เท่านั้น

2.       สันตติ (ความสืบต่อ : continuum) ละเอียดไปถึง นามธรรม ของไอสไตน์ ละเอียดถึง space and time of continuum และ space คือสิ่งที่บรรจุทุกอย่าง ไว้หมดเลย ทั้งกาแล็กซี่ ดวงดาว ถ้ามันเป็นความมืด ก็เป็นเทหวัตถุแท่งทึบ คุณก็ไม่รู้อะไร แต่ถ้าเป็นแบบพุทธ มีจักขุ ญาณ วิชชา ปัญญา แสงสว่าง จะรู้หมดเลยว่า ใน space มีอะไรอยู่ ส่วนของพระพุทธเจ้า เป็น กรรม กับ กาละ เราจะหยั่ง กรรมกิริยา ทุกอย่าง ออกหมดเลย

3.       (รูปัสส) ชรตา (ความทรุดโทรม : decay)#

4.       (รูปัสส) อนิจจตา (ความปรวนแปรแตกสลาย : impermanence) อะไรเสื่อม เราจะให้อะไรเสื่อมอะไรเจริญ เราเอาสิ่งที่จะให้เสื่อมบาป ออกจากจิตหมดเลย ไม่ทำบาปอีก มีแต่ยังกุศล ให้ถึงพร้อม แต่ถึงอย่างไร ก็อยู่ในกฏสูงสุด คืออนิจจตา สิ่งเที่ยงมีสิ่งเดียว ในมหาจักรวาล คือนิพพาน นอกจากนิพพาน ไม่มีอะไรเที่ยงเลย นิพพานนั้น นิจจัง (เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสสตัง (ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง (ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง (ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง (ไม่กลับกำเริบ) นี่คือ คุณลักษณะสุดท้าย คือลักขณรูป  

            เจตนาให้รู้ว่า คำสอนพระพุทธเจ้า ในอภิธรรม ยังมีอยู่ ไม่ได้ตีทิ้ง
            โลกุตรบุคคลมี ๙ คือโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล....ไปจนอรหัตตผล เป็น ๘ และนิพพาน อีก ๑ เป็น ๙
            ซึ่งในคำบรรยาย ของท่านทั่วไป อธิบาย อนาสวะ คือหมดกิเลสแล้ว ส่วน สาสวะ คือไม่เป็นโลกุตระ ก็เลยเข้าใจว่า โลกุตระเป็นการสิ้นอาวสะ เลยทีเดียว เข้าใจผิดเพี้ยนไป ที่จริง คำว่า เป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์ นั้นคำว่าบุญ คือได้เสียสละ ได้เนกขัมมะ คือปุญญะ คือได้สละออก คุณมีจิตไปติดยึดในอบาย ก็เอาอบายออก ก็ได้บุญ ส่วน ติดในกาม ก็เอากามออก ก็ได้บุญ แล้วเอา รูปกับอรูปออกก็หมดบุญ คือ ไม่ต้องชำระอีก แต่ท่านก็ไปแปลว่า อปุญญะคือเป็นบาป ก็เลยซวยไปใหญ่ นี่คือ ความไม่ชัดเจน ในปรมัตถ์ ในสถาวะธรรม ก็เลยไม่บรรลุ

            บรรลุนั้นอย่างลืมตา ตั้งแต่โสดาบัน ไปถึงอรหันต์ ก็ลืมตาปฏิบัติ แม้กิเลส ส่วนละเอียดเป็นอนุสัยอาสวะ ก็ลืมตาปฏิบัติ ท่านรู้โลก แล้วดับเหตุแห่งโลก ก็ไม่ต้อง วนกับโลก ท่านบรรลุแล้ว ก็อยู่กับโลก ไม่หนีโลก ไม่ทำลายโลกของคนอื่น แต่ทำลายโลกของท่าน อยู่เหนือโลก ช่วยโลกได้
            อย่างพวกเราอโศก เป็นผู้เหนือโลก แต่อยู่กับโลก เหนือ กาม หรืออัตตา

            ในกาม มีอบายมุข เป็นกามหยาบ อย่างพวกเรานี่ได้ล้าง สังคมอโศก ไม่มีอบายมุข เป็นดินแดนของผู้โสดาบัน เป็นต้นไป มีศีล ๕ สมบูรณ์ ไม่ฆ่าสัตว์ ทั้งตรงและอ้อม แม้แต่ไม่กิน มีศีล ๕ บริสุทธิ์ ไม่ฆ่ามากินเลย สบาย ไม่ฆ่า ไม่ลักทรัพย์ เรื่องเพศ ก็ผัวเดียวเมียเดียว เริ่มต้นเป็น โสดาบัน ไม่ได้อยากได้ อยากมีอยากเป็น ในอบายมุข โลกเขาก็มีกัน มาเต้นข้างๆบ้าน เราก็นอนหลับสบาย หัดวาง หลับไป ไม่เสียเวลา ทุนรอน ไปวนเสพกับมัน เราก็ไม่เสียแคลอรี่ สิ่งที่เหลือ ก็เอามาสร้างสรร อุดมสมบูรณ์​ แต่ไม่สอน ให้กักตุนสะสม แต่แบ่งแจก ตามในหลวง ให้อยู่แบบคนจน

            คุณรู้ไหมว่า เวทีนี้ จ่ายวันละเท่าไหร่ รู้ไหมว่า เวทีปทุมวัน จ่ายวันละเท่าไหร่ แต่เวทีของเรา จ่ายวันละ ไม่ถึงล้านหรอก เวทีที่อื่น จ่ายวันละหลายล้าน เวทีโน้นตอนเย็น เขาก็มาอยู่มากินกับเรา แต่พอมีอะไร ก็ไปเวทีอื่น ไม่ได้ว่านะ แต่เกื้อกูลกัน เรามาทำงานการเมือง ประท้วง พวกเรา พึ่งเกิดแก่เจ็บตายกันได้

            เป็นเรื่องของอาริยบุคคล เราไม่ทำร้าย แบ่งแจกกัน มีสาราณียธรรม ๖ พุทธพจน์ ๗

            อาตมามีหน้าที่ ดูถูกกิเลส ย่ำยีกิเลส ด่าว่ากิเลส ใครจะยกย่องกิเลสก็เชิญ คนละพวกกับอาตมา ใครโกรธอาตมา ก็โง่เองทุกข์เอง อาตมาไม่โกรธเขาหรอก เขาด่าว่า ก็เป็นเรื่องของเขา จิตและวจีของเขาเป็น ไม่ใช่อาตมาทำ แม้เขาทำใส่อาตมา อาตมาก็ไม่โง่ ไปทำตอบ เขาทำหยาบมา อาตมาไม่ทำหยาบตอบ ไม่เอาชนะเขา แบบนี้โง่ตายเลย ไม่ทำหรอก

            พวกเรายังฟังธรรมกันเข้าใจ คุณอาจพูดอธิบายไม่ได้ อย่างอาตมา แต่ใจเราเป็นแล้ว เราเป็นโสดาบันแล้ว เราหลุดพ้นแล้ว ผู้มาอยู่กับอโศก ผู้มีมรรคผล ย่อมทนอยู่ได้ ผู้ไม่มีมรรคผล ย่อมไม่ทนอยู่ได้ แต่ปฏิบัติไปแล้ว ไม่ต้องทน หลุดพ้นแล้ว อยู่สบาย ไม่ยากไม่ลำบาก ไม่ต้องอดทน เอาอธิศีลมาจับ ก็ยิ่งสูง แล้วคนที่บรรลุธรรม กิเลสตาย แบบพุทธไม่หนีสังคม พหุชนหิตายะ (เพื่อหมู่ชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ (เพื่อความสุขของหมู่ชน เป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ (รับใช้โลก ช่วยโลก)

๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ที่ เวทีสะพานผ่านฟ้าลีลาศ กทม.