_ 570215_ทวช.งานพุทธาฯ ที่ผ่านฟ้าฯ โดยพ่อครู |
เรื่อง ทาน ศีล ภาวนา จนพ้นสัมมาอาชีพ |
พ่อครูว่า....วันนี้เป็นวันสุดท้าย ของงานพุทธาภิเษก สุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ ๓๘ วันนี้วันที่ ๑๕ ก.พ. ๕๗
เราก็มาฟังธรรมวันสุดท้าย ส่งท้ายกัน ก็มาสรุป อาตมาเทศน์ อนุปุพพิกถา
ทาน
ศีล
สัคคะ (สวรรค์) .
กามาทีนวะ โทษของกาม .
เนกขัมมะ การออกจากกาม
คนเราต้องศึกษา ทาน และศีลนี่แหละยิ่งใหญ่ คนที่เกิดมา ไม่รู้จักทาน ชีวิต มีแต่จะเอา มุ่งมั่น มโนสัญเจตนา จะเอาๆ ในชีวิตขยันขันแข็ง ที่จะกอบโกย เอาๆๆๆ ทุกวันนี้ อาชีพการงานธุรกิจ มีวิธีการกอบโกย โลภ แสวงหา โลกธรรม มากมาย อาชีพเหล่านั้น เป็นอาชีพมิจฉา ทำให้ตนลืมคำว่า ทาน คำว่าให้ เขาให้ไม่เป็น แม้แต่การให้ ในยุคนี้ ก็เป็นการให้ การทาน เพื่อเพิ่มกิเลส ตะกละตะกลาม ทานแล้ว ก็ไม่มีผล นัติถิ ทินนัง ผลไม่มีมนสิการ ไม่มีปัญญารู้ โยนิโสฯ ทำใจในใจไม่เป็น
และยังทำใจ อย่างไม่สามารถรู้ มโนสัญเจตนา มุ่งหมาย อธิษฐาน ตั้งจิตอย่างไร ไม่รู้ว่าชีวิต ต้องมี ทาน ศีล ภาวนา
ศีล คือ หลักปฏิบัติ ให้รู้จักลดละกิเลส อย่างน้อยศีล ๕ มีคนบอกว่า ศีล ๕ มีมาก่อน พระพุทธเจ้าอีก ซึ่งความจริงคือ ศีล ๕ เป็นของพพจ. องค์ก่อนๆๆๆอีก
ทำเนียมของโลก เขาก็ทำทาน แต่นานๆที มีสังวรระวัง ตามสำนึก ความรู้ก็ไม่พอ อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ก็ไม่รู้ แม้แต่อธิษฐาน ก็ทำไม่เป็น เขาสอนว่า อธิษฐานเอา โลภ แต่ที่จริงพุทธ สอนให้อธิษฐาน ให้ เสียสละ
ดีไม่ดี ก็ไปอธิษฐาน โลภทุกที หรือแก้แค้น ตั้งใจจัดการคนนี้ คณะนี้ เอาให้ตาย ก็ไม่รู้ว่า ตั้งจิตสั่งสม โทสะ ราคะ ก็ไม่เข้าใจ จิตใจตน แล้วเราได้สั่งสม ลักษณะของจิต แบบไหน ตั้งแล้ว สั่งสมกิเลส โลภ โกรธ หลง ราคะ พยาบาท หรือโมหะหรือไม่ นี่คือ ไม่ได้เรียนรู้ จิต เจตสิก ปรมัตถธรรม ไม่ได้ฝึกฝน
ไม่ได้อธิบายว่า สวรรค์คืออะไร แต่เขาอธิบายว่า สวรรค์คือแดนที่อยู่ดี สบาย เป็นสุข เป็นแดนนิพพาน วิมุติ เป็นสุขาวดี ก็ไม่รู้ว่า โลกีย์ หรือโลกุตระอย่างไร
ผู้ที่แยกออกจะแยก สุขอย่างโลกุตระ หรือโลกียะออก ทำจิตให้เป็น อ่านจิตในจิต ตั้งแต่ เราสัมผัสข้างนอก แล้วอ่านตามมา เป็นกายในกาย วิตก วิจาร หาเหตุผล จนปรับจิต เป็นวิตักกะได้ จัดแจง ก็คือสังขาร คือปฏิบัติ จิตในจิต
กายในกาย ก็คือ จิต กายนอกกายก็คือ สัมผัสมหาภูตรูป ลึกเข้ามาเป็น กายในกาย
เราอ่านสักกายะได้ เป็นองค์ประชุมของ จิตวิญญาณ ที่เกิดจาก ผัสสะ ๓ สัมผัสทาง ทวาร ๖ สัมผัสแล้วเกิดวิญญาณ เป็น กายวิญญาณ อ่านวิจัยออกว่า นี่คือ เวทนา สัญญา สังขาร
ตลอดเวลาในจิตของเรา มีอารมณ์คือเวทนา แล้วก็สัญญา กำหนดหมายโดย มีกิเลส เป็นเจ้าเรือน อยากได้เรียกว่า กามตัณหา ตั้งแต่หยาบ ก็คืออบายมุข หยาบอย่างกุหนา
อ่าน กายในกาย เวทนาในเวทนา
อ่านรู้จิตในจิต เป็น เวทนา ๑๐๘ เมื่อเกิดสัมผัส เป็นกายในกาย แล้วเข้าไปเป็น เวทนาในเวทนา แล้วที่มีเวทนานี่ เพราะมีตัณหา เราเจตนาให้เกิด กุศลหรือกุศล เป็นกามตัณหา ภวตัณหาหรือไม่ เป็นกัมมันตะ อาชีวะ
ตั้งแต่ สังกัปปะ ๓
๑. ความดำริออกจากกาม (เนกขัมมสังกัปโป)
๒. ดำริในความไม่พยาบาท (อพยาปาทสังกัปโป)
๓. ดำริในความไม่เบียดเบียน (อวิหิงสาสังกัปโป)
เราไม่เบียดเบียน เราก็เป็นผู้ให้ เป็น ชนหิตายะ (เพื่อหมู่ชน เป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ (เพื่อความสุข ของหมู่ชน เป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ (รับใช้โลก ช่วยโลก)
เรามีทาน มีศีล แล้วก็ต้องรู้สัคคะ ทุกวันนี้ เสื่อมจนไม่รู้ สัมมาทิฏฐิ ๑๐
๑.ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด) (อัตถิ . ทินนัง) ทุกวันนี้ เขาตั้งจิตจริง เป็นความโลภ อกุศล ทำจิตเป็นกิเลส เป็นมโนกรรม จิตตั้งจริงเป็นจริง โดยไม่รู้ตัวว่า ทำอะไร ก็เป็นกรรมจริง มุ่งหมาย เป็นกาม ใคร่อยาก แก้แค้น ปราบปราม เป็นพยาปาทสังกัปโป เขาสอนกัน ไม่สัมมาทิฏฐิ
๒.ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว มีผล (อัตถิ ยิฏฐัง)
๓.สังเวย(เสวย) ที่บวงสรวงแล้ว มีผล (อัตถิ หุตัง)
ถ้าทำแล้วเกิดผล ทั้งทินนัง ยิฏฐัง หุตัง ให้ผล ทำให้จิตเทวดา ให้เจริญ เป็นอุบัติเทพ ทำใจเนกขัมมะ ละกามละพยาบาทให้ได้ มันมีอยู่ในจิตกาม หรือ พยาปาทตักกะ ตัวนี้คือเหตุ ถ้าไปให้กาม หรือพยาบาทสมใจ มีกามตัณหา แล้วก็ให้มันสมใจ มันก็อ้วน มันก็โตหนาใหญ่ ถ้าเราไม่เรียนรู้ศึกษา ก็เป็นเช่นนั้น
คนทั่วโลกไปทำทาน ก็ทำโลภสมใจ ตั้งจิตขี้โลภ ทำทาน แต่ตั้งจิตผิด สอนกันต่อ พาอธิษฐาน พาศักดิ์สิทธิ์ ต้องการอะไร ก็ได้เลยนะ เป็นมหานิยม
สัคคะก็มีนรกเป็นคู่ เป็นอติวินปาตภูมิ ก็ต้องรู้ว่า จิตอกุศลเป็นอย่างไร มันมีเหตุเป็น สราคะ สโทสะ อย่างไร ถ้าอ่านไม่รู้ ก็ไม่สามารถ ปฏิบัติให้สัมมา สรุปคือ เราต้อง เรียนรู้กาม ให้เป็นโทษ ไม่ใช่คุณ เราต้องเรียนรู้ตั้งแต่ศีล ๕ ยกตัวอย่าง คนเป็น นักการเมือง ต้องเลิกร่วมมือกับมารร้าย ที่ตั้งแก๊ง ทำลายประเทศไทย โดยเอางาน ธุรกิจการเมือง เราต้องมา จัดการงานนี้ด่วน ไม่อย่างนั้น ประเทศเดินไปไม่ได้ ติดการเมือง น้ำเน่า ที่เป็นแก๊งสเตอร์
ผู้ที่รู้ตัว เป็นข้าราชการ เป็นนักการเมืองประจำ ส่วนผู้ที่ได้รับแต่งตั้ง เลือกตั้ง เข้าไปทำงาน เป็นข้าราชการการเมือง คือผู้รับใช้ปชช. แต่ไปรวม เป็นกลุ่มทรราชย์ อันธพาล เดี๋ยวนี้ไทย เป็นทรราชย์ ปกครองเมือง ผู้ที่เป็นข้าราชการประจำ ก็ต้องร่วมมือ กับ ข้าราชการการเมือง เขาเป็นผู้บริหาร จัดแจงแต่งตั้ง ข้าราชการการเมือง ก็เลยเป็นทาส โลกธรรม ตกใต้อำนาจ แก๊งการเมือง เป็นทรราชย์ กลุ่มการเมืองผีร้าย
ซึ่ง เป็นอำนาจ ๓ สถาบัน ที่พระเจ้าอยู่หัว ทรงใช้ผ่าน สามสถาบัน คานอำนาจ กันไว้ เป็น บริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ อำนาจบริหาร ก็ส่งผ่านไปยัง ส่วนภูมิภาค แต่เขาตกเป็น แก๊งสเตอร์ ทั้งข้าราชการประจำ และการเมือง รวมหัวกันโกง จึงเป็นกุหนา แม้การสร้างค่ายกล เช่น การเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทย ก็วางค่ายกลไว้หมด แม้แต่ตุลาการ บางหน่วย บางคน ก็ถูกซื้อไว้แล้ว ส่วนนิติบัญญัติ และบริหารนั้น เลวร้ายยิ่งกว่า ละครลิง
แล้วตุลาการที่พูดนี้ เขาก็เอาถุงขนม ไปแจกให้ตุลาการ เป็นวิธีการสร้างค่ายกล จะปล่อยให ้บ้านเมือง เลวร้ายกว่านี้ ไม่ได้แล้ว
๒. การล่อลวง หลอกลวง (ลปนา) ในนักธุรกิจ-การเมือง เขาโกหกกัน แล้วก็บอกว่า โกหกสีขาว เป็นโกหกสะอาด เหมือนทักษิณว่า บกพร่องโดย
๓. การตลบตะแลง (เนมิตตกตา) ยังเสี่ยงทาย ไม่ตรงแท้ คือการสร้าง ระบบวิธี ให้แก่ตน ผู้ที่ตั้งจิต ให้มากกว่าเอา อย่าไปเอาเปรียบ ขูดรีดเขา ไม่เอา maximize profit ยกตัวอย่างเช่น พวกขายตรง อาจใช้ของดี แต่บวกกำไรมากเกิน อาศัยคนฉลาดทำเล่ห์ แล้วให้คนหลอก ของนี้ ดูดเอาเงิน ยั่วยุให้คนเก่ง ไปหลอกคน ตนเองก็ตีกินได้เยอะ เหมือนพวกเล่นหุ้น เป็นระบบ ทุนนิยมผีร้าย ประกันภัยก็ผีร้าย หุ้นก็ผีร้าย เป็นผีร้ายแรงมาก เป็นมหาอเวจี เป็นเชิงกล ที่เอาเปรียบทั้งสิ้น เขามีคอมฯตัวเดียว นั่งกดก็รวย เป็นพันล้านแสนล้าน ได้ปันผลอะไรมา เป็นมิจฉาชีพ ที่เลวที่สุด ใครอยู่ในวงการนี้ ชาวอโศก ให้เลิกเสีย มันเป็น มหานรก หรือแค่ทำล็อตเตอรี่ ของประเทศ แสดงว่าประเทศนั้น บริหารไม่ได้เรื่อง หากินไม่เป็น ที่แต่ละประเทศ จะออกล็อตเตอรี่นั้น ก็ออกเป็นครั้งคราว สนุกๆ แต่จะไม่ออกประจำ ล็อตเตอรี่ คือเอาเงินจาก คนมากๆ มาให้แก่คนได้โชคลาภ สรุปแล้ว เราเรียนรู้ มิจฉาชีพ ๕
สำหรับกุหนา ลปนา ต้องเลิกเลย เราทำสัมมาอาชีพ แม้จะได้น้อย เราก็กินน้อย ใช้น้อย หากเรากินมากใช้มาก เราก็ต้องหามาก อย่างพวกดารา เห่อแฟชั่น ต้องของ ระดับไฮโซ พวกนี้มอมเมา ในระดับโลก ใช้อันนี้หมุนเงิน คนระดับนี้ ทำลายสังคม เมืองไทยเรามีในหลวง ให้มาปฏิบัติแบบคนจน ท่านทำให้ดู เป็นตัวอย่าง แม้ฉลองพระบาท ก็ซ่อมแล้ว ซ่อมอีก แม้ท่านจะสามารถ ใช้ของใหม่ได้มากเลย แต่ท่านก็ประหยัด
เนมิตตกตา คือสร้างฐานะตามฐานะ ใช้เครื่องไม้เครื่องมือ ตามเหมาะสม ก็ทำก็สร้าง จนจิตวิญญาณ กาย วาจาใจ กัมมัตตะ วาจา อาชีวะ เราก็เข้าที่เข้าทาง ไม่เบียดเบียนตน หรือผู้อื่น เบียดเบียนตนคือ ทำให้กิเลสตนโต ได้ทรัพย์เป็นอกุศล อวิชชา ทำแล้วได้ อกุศลจิต เป็นรายได้ อย่างหยาบ กลาง ละเอียด ก็เป็นชั่ว แต่ละระดับๆ เมื่อไม่มี อกุศลจิต ทุกกรรมการงาน แล้วทำงานกับ คณะหมู่กลุ่ม
๔. การยอมมอบตนในทางผิด อยู่คณะผิด (นิปเปสิกตา) คือทำการงาน อาศัยกับหมู่กลุ่ม อย่างเช่น หมู่ทรราชย์ที่มอบตน ในทางผิด เป็นทาสที่ปล่อยไม่ไป ในโลกในสังคม ถ้าไม่มอบตน ในทางผิด ก็พ้นนิปเปสิกตา แม้เราไม่ทุจริต แต่เรายังทำงาน ในบริษัท ที่โลภมาก เช่นบริษัทขายตรง เราก็ไปร่วมทำงานด้วย เราไม่โกง ทำตามหลัก แต่บริษัท พาโกง คุณก็มีส่วน ในการโกงด้วย หรือคุณทำงาน กับราชการ ที่โกงกิน กลุ่มนั้นกองนั้น เขาโกงกิน กินใต้โต๊ะ แบ่งกันแจกกัน ในกรมกองนั้น แม้คุณไม่เอาด้วย ก็เป็นไว์ชีพ เป็นแกะขาว ในแกะดำ
อาตมาก็พาทำ แบบคนจน ตามในหลวง ซึ่งแบบทุนนิยม เขาคิดตาม อัตราสังคม ทุนทั้งหมด แต่เรามาทำ คิดตามแบบเขา แต่เราไม่เอาแพง เหมือนเขา เราทำงานได้มาก มีสมรรถภาพมาก แต่เรากินใช้น้อย ส่วนเกิน เราก็มีมาก เราก็เอามาลดต้นทุน มาเสียสละ แก่คนอื่น มาขายต่ำกว่าทุน อย่างในหลวงตรัสว่า ขาดทุนของเรา คือกำไรของเรา เราทำถึงขั้น สาธารณโภคี ทุกคนเสียภาษี เต็มร้อยส่วนเลย ทำได้เกินกว่าที่ ตนกินตนใช้ อาศัยใช้น้อย คนมีภูมิธรรมสูงมาก ก็ยิ่งทำให้มาก แต่ตนเอง ไม่สะสม ไม่มีเลย ทำงานฟรี ในสังคม เป็นประธานสังคม แต่ไม่เอาของชุมชน อาศัยกินใช้ในสังคม จะใช้สอย ก็ใช้ของส่วนกลาง ไม่เรื่องมาก ไม่เลือกมาก จะต้องใช้ของดี ของสูง ของแพง แบรนเมนไม่เอา
๕. การเอาลาภแลกลาภ (ลาเภนะ ลาภัง นิชิคิงสนตา) อาตมาภาคภูมิใจ ที่ทำให้สังคมเรา มีคนที่พ้น มิจฉาชีพ ระดับ ๕ ผู้พ้นมิจฉาชีพ คือคนทำงานฟรี แม้จิตยังไม่ถึง อนาคามีภูมิ ยังต้องการ สิ่งมีค่าแลกเปลี่ยน ยังสะสม เงินทองบ้าง เราก็ไม่ซีเรียส เขาก็ทำไปเจริญ ตามอินทรีย์พละ ทำอย่างใน โพธิปักขยธรรม ๓๗ ไม่นอกหลัก
สังคมสาธารณโภคี เราอยู่กับอย่างเครือแห pyramidal web เป็นสังคมตัวอย่าง หากประเทศไทย มีลักษณะนี้ เป็นตำบล อาจมีบางตำบล เป็นไม่ได้อย่างสาธารณโภคี ก็ไม่เป็นไร เราเกื้อกูลกัน เป็นบุญนิยม อาจไม่แข็งแรงเต็มที่ เพราะคนยังไม่เชื่อว่า จะไปรอด หาว่ากดข่มเอา เขาก็ประมาณคะเนเอา แต่ของเรา เกิดจากจิต มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโน มยา ก้าวหน้า แบบบุญนิยม สาธารณโภคี ก้าวหน้าแบบบุญนิยม ไม่ใช่ถอยหลัง แบบในหลวงว่า เชื่อว่าวิธีนี้ จะแก้ปัญหาสังคมได้ เป็นบุญนิยม สาธารณโภคี พ้นมิจฉาชีพ ระดับ ๕ ทำงานฟรี โดยไม่เอารายได้ เป็นปชต. ที่เสียภาษี ๑๐๐ เปอร์เซนต์ ใช้กลุ่มหมู่บริหารอยู่ ส่วนตนจน แต่ส่วนกลาง
เรามีคงคลังไว้ ไม่สะสม แต่สะพัด มีพอแค่ไม่สะดุด เท่านั้น อย่างปฐมอโศก เขาก็เลี้ยง ตนเองได้ เขาตั้งใจมีเงินคงคลัง ๒๐ ล้าน แล้วถ้ามีเกินกว่านี้เท่าไหร่ ก็ให้ส่วนกลางหมด เป็นต้น
ต้องเรียนรู้กาย ในวิโมกข์ ๘ เรียนรู้ธรรมกาย ที่ไม่ใช่ธรรมกาย อยางหรูหรา ยิ่งใหญ่ มักมาก อันนั้นไม่ใช่ของ พระพุทธเจ้า ขอเปรยไว้ ณ ที่นี้ อาตมาจะออกจาริก อาตมารำคาญ ตราธุดงค์ธรรมชัย มากเลย หลงหรูหรา เปลืองผลาญ ทำลาย ครอบงำความคิด เป็นฐานะแห่ง การประดับประดา มอมเมาด้วย กามคุณ สร้างศักดิ์ฐานะ ปรุงแต่ง
อาตมาก็จะออกจาริกเหมือนกัน เป็นธุดงค์โพธิรักษ์ จะออกจาริก สมณะสัก สี่หรือห้ารูป หรือ ๗ รูป ออกเดิน เพื่อเผยแพร่ธรรมะ ไปกับสังคม รอนแรมไปบ้างสัก เจ็ดวันห้าวัน แล้วกลับวัด อาจไม่อาบน้ำสัก เจ็ดวัน บิณฑบาต เลี้ยงตนไป บอกต่อหน้าสงฆ์ ว่า ขอทำกลุ่มเล็กก่อน หลายคนก็ฟิต คือเราเอง เรามั่นใจว่า บริสุทธิ์สะอาด เผยแพร่เป็นธรรมฑูต เผยแพร่ ญาติโยมคนไหน มีทุกข์ก็มา บอกเขา ทำตัวอย่างไร ทำทาน ศีลภาวนา อย่างไร ทำศีล สมาธิ ภาวนาอย่างไร แต่อย่าฮือฮา อย่ากรูเกรียว ห้ามฆราวาส เลี้ยงตนด้วยปลีแข้ง อาศัยกันและกัน ระหว่าปชช. กับสมณะ นักบวช จะเรียกโดยศัพท์ว่า ประชาสมาสัย คืออาศัย ระหว่าง ผู้ที่อยู่ในฐานะ พึ่งตนรอดแล้ว อาศัยกันกับปชช.
ถ้าเขาเอาดอกไม้มาบูชา มาปูให้เดิน ไม่เอานะ ไม่บ้าหรอก เราจะไปเป็นกลุ่ม แล้วจะพัฒนา สิ่งที่เป็นประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ในการพัฒนางานศาสนา งานสังคม ก็เปรยให้ฟัง เสร็จงานนี้ เราจะทำงานใน ทำงานศาสนา ให้มากขึ้น ทางนี้เราก็จะลด การงานลง ในเรื่องงานนอก
ผู้บำเรอกามก็เป็นสวรรค์โลกีย์ เราจะทำเนกขัมมะ แทนที่จะเป็น เคหสิตเวทนา อ่านแยกออก ในเวทนาต่างๆ ที่มีเหตุ ถ้ามีเหตุเป็นโลกียะ เป็นสสังขารริกัง เป็นตัวชักนำ เป็นโลกีย์ เราก็กำจัดตัวปรุงแต่งโลกีย์ เราเนกขัมมะออก ตรวจสอบสังกัปปะ ๓ (ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ) กำจัดสมุทัยออกได้ ลดสวรรค์โลกีย์ มาเป็นสวรรค์โลกุตระ จากสมมุติเทพ มาเป็นอุบัติเทพ มาเป็นวิสุทธิเทพ
อนาคามี หมดกามภพ ก็เข้าไปสู่ภพภูมิ เป็นอนาคามีภูมิ เพราะดับ กามภูมิได้ นิโรธในระดับ กามภูมิแล้ว พระอนาคามี ก็เข้านิโรธได้ ไม่ใช่ว่า ไปเข้านิโรธ จึงเป็น อนาคามี แต่เพราะเป็น อนาคามี จึงเข้านิโรธได้ ต่างหาก
อนาคามี นิโรธแล้วในกามภพ เหลือแต่รูปภพ อรูปภพ แต่ไปนั่ง เข้านิโรธ นี่ก็ มิจฉาสมาธิ มิจฉานิโรธ ไปสร้างฌาน ที่เป็นอัตตา ไม่ใช่ฌานพพจ. ที่ท่านให้รู้จัก กำจัดสมุทัย ได้แล้วได้เลย ไม่ต้องเข้าต้องออก เพราะฉะนั้นอนาคามี มีนิโรธ ตลอดอยู่แล้ว อาจจะตรวจสอบ อรูปฌาน ไม่สมบูรณ์ ยังไม่ถึง สัญญาเวทยิตนิโรธ
สรุปแล้ว เราก็ต้องอุตสาหะพากเพียร ให้งานนี้จบด้วยดี เพราะดูกำลัง และ พฤติกรรมของ กำนันสุเทพ ก็ทำได้ดี อาจมีพวกปลอมปน ให้เสียหาย ก็มีบ้าง เป็นธรรมดา ผู้ที่เป็น ตุลาการ ก็ยากที่จะตัดสิน เพราะคนเรา ขี้โกงเยอะ แต่ก็ต้องเป็นไป ตามสัจธรรม มั่นใจว่าเมืองไทย ไม่สิ้นคนดี เมืองไทยก็คือ อโยธยา ไม่สิ้นคนดี รัตนโกสิทนร์ ก็ไม่สิ้น คนดี มั่นใจว่า ไทยคือชมพูทวีป ก็ขอให้ตั้งอกตั้งใจ มีน้ำใจช่วยกันหน่อย รวมกันเป็นมวล เสียสละส่วนตัวบ้าง ลดลาภยศบ้าง คนมียศศักดิ์ ฐานะสูงในสังคม ก็เสียสละมาบ้าง แต่อย่าไปเสีย งานราชการ งานส่วนตัว จัดแบ่งเอา
๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ที่ เวทีพุทธาภิเษก ผ่านฟ้าลีลาศ
กทม. |