570223_ประชาชนที่ป้อมมหากาฬ

 

เรื่อง ประชาชนปฏิวัติโดยธรรมตามรัฐธรรมนูญ

     ตอนนี้ เหตุการณ์ของประเทศไทย เคี่ยวข้น กระแสของ มวลมนุษยชาติ ในประเทศไทย เกิดความวิกฤติ ฝ่ายที่พยายาม ดิ้นรน ในสิ่งที่ตน ยึดมั่นถือมั่น ว่าจะต้องเอาอย่างนี้ให้ได้ โดยใช้ภาษาว่า เพื่อประชาธิปไตย แล้วความรู้ ประชาธิปไตย ของเขามีแค่ ทุกคนต้องเลือกตั้ง เป็นความหมายหลัก อันเดียว นอกนั้น ใครจะพูดอย่างไร กูไม่รู้เรื่อง หรือหนูไม่รู้ ใครจะว่าอย่างไร ก็ประชาธิปไตย เท่านั้น

     คำว่าประชาธิปไตย คืออธิปไตยเป็นของประชาชน​ เพื่อประชาชน​โดยประชาชน ​เขาไม่เข้าใจ ความหมาย ละเอียดลึกซึ้ง เช่นนั้น เขาไม่เข้าใจว่า คือน้ำหนักอย่างไร ? เกิดอำนาจอย่างไร

     อาตมาก็อธิบายว่า อำนาจมี ๒ แบบ คือ Force และ Authority อาตมามีหน้าที่ อธิบายความจริงที่แท้ ก็พยายามอธิบาย อธิปไตย ตามความรู้ของอาตมา ซึ่งอธิปไตย มีสองลักษณะนี้ ตามรัฐธรรมนูญไทย พศ. ๒๕๕๐

     อำนาจอธิปไตย เป็นของประชาชน พวกนักการเมือง หรือข้าราชการนั้น เป็นเพียงลูกจ้าง ที่ประชาชน จ้างไปทำงานให้ เป็นกุลีรัฐ เท่านั้น

รัฐธรรมนูญ พศ.๒๕๕๐
มาตรา ๑ (รูปแบบรัฐ) ประเทศไทย เป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้
มาตรา ๒ (รูปแบบการปกครอง) ประเทศไทย มีการปกครอง ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข
มาตรา ๓ (อำนาจอธิปไตย) อำนาจอธิปไตย เป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อำนาจนั้น ทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่ง รัฐธรรมนูญนี้
การปฏิบัติหน้าที่ ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กร ตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐ ต้องเป็นไป ตามหลักนิติธรรม

มาตรา ๔ (ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค) ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และ ความเสมอภาค ของบุคคล ย่อมได้รับความคุ้มครอง
มาตรา ๕ (ความเสมอภาคภายใต้กฎหมาย) ประชาชนชาวไทย ไม่ว่าเหล่ากำเนิด เพศ หรือศาสนาใด ย่อมอยู่ในความคุ้มครอง แห่งรัฐธรรมนูญนี้ เสมอกัน

มาตรา ๖ (กฎหมายสูงสุดของประเทศ) รัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายสูงสุด ของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ ขัดหรือแย้งต่อ รัฐธรรมนูญนี้ บทบัญญัตินั้น เป็นอันใช้บังคับมิได้

รัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา 63 ระบุว่า "บุคคลย่อมมีสิทธิเสรีภาพ ในการชุมนุมโดยสงบ และปราศจากอาวุธ การจำกัดเสรีภาพ ตามวรรคหนึ่ง จะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยตามอำนาจ ตามบทบัญญัติ แห่งกฎหมาย เฉพาะในกรณี การชุมนุมสาธารณะ และเพื่อคุ้มครอง ความสะดวกของประชาชน ที่จะใช้ที่สาธารณะ หรือเพื่อรักษา ความสงบเรียบร้อย ในระหว่าง เวลาที่ประเทศ อยู่ในภาวะสงคราม หรือในระหว่างเวลา ที่มีประกาศ สถานการณ์ฉุกเฉิน หรือประกาศใช้ กฎอัยการศึก"

     อย่างที่เขาเคยปฏิวัติไปแล้วนั้น ใช้กำลังทหาร มาปฏิวัติ ด้วยอาวุธ ด้วยอำนาจปืน ด้วยรถถัง เขาก็ให้ทำได้ ด้วยกลัวเกรง อำนาจทหาร แต่ว่าครั้งนี้ มวลมหาประชาชน ที่มายึดอำนาจ โดยประชาชน มาไล่รัฐบาลออก โดยไม่มีอาวุธอะไร อย่างดี ก็มีแต่ มาพูดว่ากล่าว ก็ประจาน เท่านั้นเอง ภาษาพระพุทธเจ้า เรียกว่า ปากหอก อาจหยาบคายบ้าง แรงบ้าง ก็ไม่ได้เจ็บตัวอะไร ก็เป็นวิธีการของโลกของสังคม ซึ่งไม่ได้แรงถึงตายอะไร ไม่มีมีดไม่มีปืน หรืออาวุธอย่างไร ประชาชน ทำการยึด ด้วยความชอบธรรม ด้วยความถูกต้องดีงาม เพราะไม่ผิดรธน.นี้ ตามมาตรา ๖๓ มาตรา ๗๐ และ๗๑ และทำได้โดยสงบ ปราศจากอาวุธ สันติ อหิงสา ซึ่งประชาชนออกมา อย่างมากมาย ยืนยันพิสูจน์กัน เอาความจริงมาว่า มาแดกดันกัน ก็บอกกันด้วยดี ทีทหารใช้อำนาจปืนอาวุธขู่ ก็ยอมให้เขาทำ เขาเปลี่ยนแปลง อำนาจเก่า เป็นอำนาจใหม่ แต่นี่ประชาชน ก็ขอมาทำอย่างนั้น มาขอเปลี่ยนแปลง ให้ดีขึ้น เข้าของอำนาจ คือมวลมหาประชาชน จะขอยึดอำนาจบ้าง ไม่ผิดรธน.เลย ทำไมสงสัย นี่ถูกต้องดีงาม สอดคล้องกับ ประชาธิปไตยสากลด้วย ไม่รู้หรือว่า อำนาจอธิปไตย เป็นของประชาชน

     ก็เหมือนกับที่ ทหารมาทำรัฐประหาร แต่นี่เป็นคณะประชาชน จะมาทำบ้าง ต่างกันตรงที่ประชาชน ไม่ได้ข่มขู่ด้วยอาวุธ แต่ใช้ความดีงาม เข้าทำปฏิวัติ ซึ่งนักรัฐศาสตร์ ก็ออกมาบอกว่า ประชาชน ไม่มีอำนาจปฏิวัติ นอกจาก ไม่ให้แล้ว บอกว่า ประชาชน เป็นกบฏอีก หาว่าเราเป็นกบฏ ก็ขี้ตู่จริงๆ ไม่มีความรู้ ประชาธิปไตยเลย ที่เขามาตู่เรา ประชาชน ทำถูกต้อง ตามรธน.เลย ไม่ได้ใช้อาวุธ มายึดอำนาจเลย

     คนที่มายึดอำนาจ โดยไม่มีในรธน. ก็ยอมเขา แล้วก็ใช้มายอมไป ผู้มาปฏิวัติรัฐประหาร ก็ยอมเขามาตลอด ตอนนี้ มหาประชาชน จะมายึดอำนาจ อย่างสวยงามมาก กลับเห็นว่า ไม่มีตัวอย่าง ก็คราวนี้แหละ ที่จะต้องทำให้เป็นตัวอย่าง และเราไม่มี อำนาจบาตรใหญ่ จะไปทำให้เขา เราก็ไล่กดดัน ให้เขาหยุด แต่เขาก็ทำอย่างผิดๆ แม้แต่วันที่ ๑๘ นี้ เขาก็ทำ อย่างอุกอาจ ซึ่งเราก็นั่งสวดมนต์ ไม่ได้มีอาวุธอะไรเลย แต่เขาก็ทั้งตี ทั้งใช้อาวุธ ทำรุนแรง แต่ก็มีอำนาจที่เขามาช่วย เป็นอำนาจอีกอันหนึ่ง

     โดยภูมิของอาตมา ตัดสินเอง ถูกผิดก็แล้วแต่ ว่าพวกเราทำได้ อย่างวิเศษ วิสุทธิ์ วิศิฏฐ์ ในค่ารวม ของอาตมาว่า ซึ่งค่ารวมนั้น เป็นไปได้อย่างดี เรามาอยู่อย่างสถานที่ ที่มากินมานอน อยู่มาหลายเดือน นี่ปาเจ้าไป ๒๐๐ วันแล้ว สำหรับ กองทัพธรรม ส่วนกปท. ก็เพิ่มอีก ๓ วัน อาตมาประเมินไว้ว่า ๒๕๐ วันไม่น่าเกินนั้น นี่ก็เก็งกันอยู่ว่า จะจบเมื่อไหร่กัน อย่างกรรมาภิวัฒน์ เขาก็ทำไป เหมือนอึ่งอ่างเบ่งลม เขายิ่งเบ่งยิ่งทำ ยิ่งผิด ยิ่งกล่าวหาเราผิดๆ ก็เหมือนอึ่งอ่างพองลม ของพวกเรา เป็นราชสีห์ ที่เปล่งรัศมี มากขึ้น เป็นสภาพที่ตรงกันข้าม อย่างอึ่งอ่างพองลม ก็มีความไม่ดีซับซ้อน รุนแรงมากขึ้น ส่วนพวกเรา ก็มีความอ่อนน้อม ถ่อมตน ไม่ตอบโต้ ซึ่งก็มีพลังสวรรค์ มาช่วยเสริม ช่วยเหลือ จะเรียกว่า เป็นพลังพระเจ้า สวรรค์ เป็นสิ่งรักษาธรรม ธรรมย่อมรักษา ผู้ประพฤติธรรม ก็ได้ เป็นเรื่องอจินไตย เป็นจิตวิญญาณพระเจ้า ไม่ผิดหรอก

     คุณงามความดี เป็นราชสีห์ ส่วนความชั่วคืออึ่งอ่าง เป็นกรรมาภิวัฒน์ ซึ่งสักวัน จะเบ่งพองตัว จะท้องแตก ตายไปเอง และก็จะมีส่วนช่วยอีก เช่น ข้าราชการ จะออกมาช่วย หรือ ผู้มีกำลังทหาร ตำรวจ ออกมาช่วย เป็นพลังสร้างสรร เสริมหนุน เราไม่ได้ตกลง วางแผนคิด แต่จิตวิญญาณของเขาเห็นว่า จะต้องมาช่วย ผู้ถูกรังแก ไม่เป็นธรรม เป็นสิ่งที่ต้องเกิด ต้องมี ตามธรรม เราก็ช่วยกันเสริมหนุนกัน ซึ่งคนมาช่วย ก็เปิดตัวไม่ได้ เป็นสัจจะในสังคม

     อาตมาเองว่า ไม่ต้องกังวลเลย คุณทำสิ่งถูกต้องดีงาม ก็ทำไปเลย แม้จะต้องตาย ก็เสียสละเลย เป็นนักบุญ ที่ได้เป็นกุศล สิ่งดีงาม เป็นผลวิบากจริงด้วย เป็นสิ่งดีงาม จะเป็นที่พึ่ง เป็นกรรมวิบาก แต่ละชาติๆ เป็นที่พึ่งอันดี อันประเสริฐ ไม่ใช่อำนาจอันเลว ไม่ต้องพึ่ง อำนาจเถื่อน ซึ่งปฏิภาณลึกๆ เขาก็รู้ว่า ไม่ถูกต้อง แต่เขาหลง เป็นอสุรกาย กลัวอำนาจเถื่อน ไม่กล้าทำดี กลัวอำนาจ กลัวผี กลัวมาร ไม่กล้ามาช่วยเทวดา ไม่กล้าขบถต่อผีต่อมาร ต่ออสุรกาย ตกเป็นทาส อยู่นั่นแหละ จิตวิญญาณ อ่อนแอ ตกเป็นทาสโลกธรรม

     อาตมามีหน้าที่ แจกแจงสัจธรรม มวลมหาประชาชน ใช้อำนาจโดยธรรม ถูกรธน.ด้วย ไม่ได้ขัดข้อง เป็นผู้ผิด แล้วมาว่า เป็นกบฏ นี่กล่าวหามากไป แล้วมองไม่ออก พวกนักรู้ ที่เรียนกฎหมายมา เป็นความชอบธรรม ที่วิเศษ วิสุทธิ์​วิศิฏฐ์ ยอดเยี่ยม

     คนเรามีหน้าที่ ที่จะต้องดูแลครอบครัว ก็จำเป็น และยิ่งยาวนานมากแล้ว พวกเขาก็ดันทุรังโกหก ตลบแตลงสารพัด ไม่ได้ว่า ไม่ได้ดูถูก แต่เขาเป็นเช่นนั้นจริงๆ ความผิดบกพร่อง ของพวกเรา ก็มีบ้าง แต่ว่าตอนนี้ เขาชุมนุม ที่โคราช เขาลั่นกลองรบกัน แล้วเห็นบอกว่า ๗​๗ จังหวัด คือรวมแล้ว ไม่ถึงหมื่นคน แต่เขาบอกว่ามี แปดพันคน น้ำผึ้งกับอาหญิง ก็ว่าสามพัน แต่มีคนไปดูด้วยตาว่ามี สองพัน แต่ว่าพวกเรา ไม่ได้ลั่นกลองรบ ไม่ได้นัดมารวมกัน ก็นับหัวได้กัน มากกว่าแล้ว กี่เวที แม้เวทีผ่านฟ้า ที่นี่ว่าน้อยที่สุดแล้ว ไปนับดูสิ ไม่ใช่น้อยๆนะ กองกันอยู่ที่นี่ อาจดูหลวมๆ ซึ่งคนใหม่ ก็มาเต้นหน้าเวที แต่คนมานานแล้ว ก็จืดแล้ว ไปอยู่ข้างใน ไม่ออกมา ก็เลยดูน้อย แต่ที่จริง อยู่ในในเต็นท์ อีกมากเลย เพราะมันชินชา อยู่มานาน แต่พอเรียกระดม ที่นั่นที่นี่ ก็ไปกันพรึ่บๆ คนอยู่ก็ช่วยกัน ทำกินทำอยู่ ดูแล้วน่าเอ็นดู มาทำไม มาประท้วงใหญ่ ก็กินๆนอนๆ กันอย่างนี้ เมื่อไหร่จะเสร็จ ก็เจอคนหน้าด้าน อย่างนี้ ก็เลยต้องทนอยู่ต่อไป มันจำเป็น ไม่รู้จะทำอย่างไร มันต้องทำ

     อาตมาถามคำหนึ่ง จะถอยไหม?... ไม่ถอย... ก็นั่นนะสิ ... มาขนาดนี้แล้ว จะถอยได้อย่างไร ชัดเจน ว่าทำไม ต้องทนขนาดนี้ ก็เราปฏิวัติ อย่างไม่ได้ใช้ อำนาจบาตรใหญ่ ไม่มีอาวุธ เราไม่ไปทำร้ายเขา เขาก็ไม่กลัว ทั้งที่เขาทำผิดมากแล้ว ทั้งกฎหมาย และความชอบธรรม แต่เขาก็บอกว่า กูไม่ผิด แล้วก็ออกมาแย้งศาล พวกอ่านกฎหมายรู้ ดูกฎหมายเป็น นี่ แต่นี่ ขายขี้หน้ามากเลย อาตมาว่า ศาลแพ่ง ที่ตัดสินออกมา ก็แสดงอำนาจยิ่งใหญ่ ของประชาชน อย่างแท้จริง จะตั้งศรส. ออกมา มีพรก. ฉุกเฉินออกมา ศาลก็เลยว่า ออกได้ พรก.ฉุกเฉิน แต่ว่าอย่าละเมิด ประชาชนนะ ซึ่งเขาก็แย้งถามศาลว่า จะให้ทำอย่างไร? ก็แทนที่ จะถ่อมตน เจี๋ยมเจี้ยม กลับหยิ่งผยอง ออกมาโต้ต้าน ขายขี้เท่อ

     เขาบอกว่า แดงรบขาดดิ้น เฮือกสุดท้าย ๒๓ ก.พ. ๕๗ ตอนนี้พิสูจน์ออกมา โต้ต้านแล้ว ก็พบว่า มีน้อยกว่า เขาก็เรียกร้อง ประชาธิปไตย นานแล้ว แต่ไม่เคยรู้ตัวว่า ตนเองอยู่กับซาก ประชาธิปตาย ไม่ใช่ประชาธิปไตยเลย งมงายไม่รู้เรื่อง

     สังคมทุกวันนี้ อะไรๆก็ปลอม ตำรวจก็ปลอม แม้แต่กงเต็กก็ปลอม ซึ่งกงเต็ก ก็ปลอมแล้ว นี่มาปลอมซ้ำอีก หรือทุกวันนี้ โกหกทุกวันนี้ ยังจริงเลย มันถึงอย่างนี้แล้ว เก่งฉิบหาย ทำให้คำโกหก ให้คนเชื่อว่าจริงเลย อย่างกงเต็กเบนซ์นี่ ทำแล้ว ก็มีคน ลอกเลียนแบบ เป็นเบนซ์กงเต็กปลอมอีก

     ยุคนี้เป็นยุค ใกล้กลียุคแล้ว คนดูแลศาสนา มาทำงานศาสนา ก็เป็นเพียง อาชีพเลี้ยงชีวิต เป็นข้าราชการ ก็ทำงาน เช้าชาม เย็นชาม ดีไม่ดี ก็หาเงินไม่สุจริต เพิ่มเติมจาก เงินเดือนที่ตนได้ ซ้อนอีก ส่วนทางธุรกิจ ก็หาทาง เอาเปรียบเอารัด สมความมักได้ หาวิธีการ ซับซ้อน เพราะกิเลส เห็นแก่ตัว หลงโลกธรรม เถียงไม่ได้หรอก เป็นความจริง

     และจริงที่สุดคือ ศาสนาสอนให้ลดกิเลสได้ เป็นปรมัตถธรรม มีจริงเป็นจริงได้ ลดกิเลสได้ ก็เป็นคนค้ำจุนโลก ช่วยโลกได้ ไม่รวยลาภยศ สรรเสริญ ถูกด่าว่าด้วย เราก็เข้าใจเขา เราเหมือนอดทน แต่เราก็ไม่ได้ทนอะไร เพราะเรารู้ว่า สิ่งที่เราทำ ไม่ได้เลวร้าย เราทำดี แต่เขากล่าวตู่เรา เราก็ทำโดยบริสุทธิ์ใจ เรามาห้าม ไม่ให้เขาทำชั่วอีก

     คนออกมารวมกันได้อย่างนี้ มาชื่นใจกับธรรม ถ้าเทียบกับคน ทั้งประเทศ มีคนจำนวนเท่านี้แหละ ที่เอาภาระสังคม อยู่กันมากมาย เรียกรวมเป็นหลักล้าน แต่คนอยู่ประจำก็มี ยืนหยัดยืนยัน เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม ที่เลวร้ายให้ดี แม้จะไม่ได้ดี มากมาย ก็ไม่เลวกว่าเก่า คณะใหม่ที่เราจะได้ อาจไม่ดีดั่งใจหวัง แต่มั่นใจว่า ไม่เลวกว่าเก่า เพราะคณะที่ทำนี่ เลวๆสุดๆแล้ว เลวจนไม่รู้ จะเทียบอะไรได้ ยังไม่เคยมี เลวเท่านี้ในไทยเลย ใช้ความฉลาด และตลบแตลง กลับกลอกมาก หน้าด้าน มีลักษณะวิบัติ ที่จัดจ้านมาก เละเทะเลอะเทอะ ไม่รู้จะเทียบอะไร นี่เลวสุดแล้ว

     ยังไงเราก็ต้อง เปลี่ยนแปลงให้ได้ ล้มล้างคณะเก่าไป ให้คณะใหม่มาแทน ถ้าคณะใหม่จะเลว ก็ไม่เลวเท่า คณะเก่านี่ เก่งเลวได้ ไม่เท่าหรอก เก่งฉิบหายเลย เก่งเลวนะ

     จิตอาตมารู้จิตอาตมา อาตมาไม่ได้มีจิตโกรธเลยนะ อาตมาปฏิบัติธรรม รู้จิตเจตสิก รู้ปรมัตถธรรม เอามาสอนบอก อธิบายแก่ ผู้แสดงว่า ต้องการสิ่งดีงาม แก่ชีวิต ก็ได้ตามบารมี มากบ้างน้อยบ้าง เป็นสิ่งประเสริฐ ที่สุดแล้ว ได้จริงเป็นจริง อวดอุตริมนุสธรรม ด้วยใจที่ไม่มีอกุศลจิต ที่เป็นสาเฐยยะ ที่อยากอวดอ้าง อาตมาไม่มีอาการของมัน อาตมารู้อาการ ลิงค นิมิต ของกิเลส ศึกษามารู้ อย่างอุปาทายรูป ๒๔ นี่ก็รู้ นี่พูดอย่าง ไม่ได้มีความอยาก ให้คนมาเคารพนับถือ มายกย่อง สรรเสริญ แต่อย่างใด

    
     ธรรมะเท่านั้น ที่จะแก้ได้ แม้ที่สุดไม่มีโศกะ (ความเหงาหงอย) ปริเทว (พิรี้พิไรต่อเนื่องของอาการ) ทุกข โทมนัส อุปายาส... คนไม่ปฏิบัติธรรม ก็จะเกิดอาการเหล่านี้ คนโศก ปริเทว ก็หมักหมม เป็นทุกข์ ไม่ปล่อยไม่คลาย เป็นอุปาทาน ตกผลึกเป็นอาการเช่นนั้น เป็นอนุสัยอาสวะ เป็นพลังงานแฝง Static energy ดูเหมือนนิ่ง แต่มันทำงานอยู่ เหมือนยีสต์ มันแผ่ขยาย ทำงานอยู่ตลอด

     เราเรียนรู้มา แต่โง่ ทำความโศกะปริเทวะให้ตน คนเรียนรู้อาริยสัจ ก็จะเรียนรู้จางคลายเหตุได้ แม้อนาคามี ก็เหลือแต่ภายใน จนเหลือน้อย เป็นอุปายาสะ

     ทุกข์คือตัวกลาง เป็นคำใหญ่ คำรวม พระพุทธเจ้า ให้เรียนรู้ทุกข์ รู้เหตุแห่งทุกข์ อย่างรู้จริง รู้อาการ ลิงค นิมิตมันได้ แล้วรู้เหตุ กำจัดเหตุได้ อาตมามีจริงในตน เป็นปัจจัตตลักษณ์ จึงรู้ว่าวิเศษ แล้วมาถ่ายทอด ให้คนอื่นต่อไป

     ขอลงลึกในปรมัตถ์ ธรรมะของพระพุทธเจ้า ท่านมีรูป กับนาม

     รูปคือสิ่งที่เป็นตั้งแต่ มหาภูตรูป เป็นองค์ประกอบของ ดินน้ำไฟลม แล้วก็ประกอบกับจิตวิญญาณ ที่เป็นพลังงานที่ตี แตกยาก แม้ไวรัสมีอายุนาน เป็นล้านๆ ปี แต่จิตวิญญาณนั้น มีอายุนานเป็นล้านๆๆๆๆปี ในจิตวิญญาณ มีพลังงาน ทั้งดีและไม่ดี

     ในจิตวิญญาณมี เวทนา สังขาร ซึ่งเวทนานั้น เป็นอารมณ์ ที่คนหลงยึด ว่ามันมีจริง ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น คุณอร่อยอาหาร อาหารนี้ ถูกกิเลส ปรุงแต่งขนาดนี้ อร่อยทุกที คุณก็กินทุกที ก็ว่าอร่อย แต่ที่จริง มันเป็นสุขเท็จ คุณก็ยึดว่ามันมี มันก็สั่งสม เป็นอุปาทานไป ไม่ล้างออก มันก็ติด จิตวิญญาณไป ไม่มีญาณทัสนะวิเศษ ที่จะมาล้างมันจริง

     แต่ก่อนอาตมากินพริก ก็ว่าอร่อย เผ็ดจี๊ดก็อร่อย แต่ว่าปัจจุบัน ไม่มีอาการ อร่อยแล้ว เพราะสามารถ สลายพลังงานกิเลสได้ ซึ่งสลายได้ด้วย พลังอำนาจ ที่มีฤทธิ์แรง สลายกิเลสได้จริง จนกระทั่งทุกวันนี้ อาตมากินอาหาร ก็กินพริกได้ยาก สรีระไม่รับ แต่ก็พยายามกิน ในสิ่งที่เป็นประโยชน์บ้าง แม้จะเผ็ด

     อาตมาเป็นศิลปินนะ รู้ว่าเขาปรุงแต่ง สวยงามอย่างไรก็รู้ สามารถเป็นกรรมการ ตัดสินได้ อย่างสีนี่ แดงก็คือแดง เขียวก็คือเขียว กลิ่นอย่างนี้ ก็คือกลิ่นอย่างนี้ รสสัมผัส ของธรรมชาตินั้น รับรู้เหมือนกัน แต่อาการกิเลส ที่ซ้อนเข้ามาคือ รสอร่อย ที่ต้องล้างออก แฝงมากับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เรียกว่า กามคุณ ๕ ก็ล้างรสอร่อยไป

     อย่างเงินทองนี่ ก็สมมุติกัน เอามาเพื่อบำเรอ กามคุณ อัตตา แม้ความดี ความชั่ว ก็เป็นอัตตา อย่างความชั่ว ที่เขาเสริม อัตตากัน อย่างที่ว่า แพ้ไม่ได้ ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ เอาด้วยคาถา แม้รู้ว่าผิด ก็โกหกซ้ำซ้อน เสียหาย

     ผู้เรียนรู้สัจจะ จะรู้ว่าของหลอก คืออย่างไร เราก็จะอยู่กับธรรมชาติ เราอยู่กับธรรมชาติไม่มาก แม้ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค เครื่องนุ่งห่ม อาหาร ก็แค่นั้น ให้ตามเหมาะตามควร แต่ถ้ามีมาก ก็ต้องดูแลหวงแหน เป็นภาระ ยิ่งเราไม่ต้องมี มีคนมาช่วย เราก็ สบม. ธมด. ปกต.หห.จจ. เลย

     เป็นเช่นนั้นจริงๆ ถ้าใครปฏิบัติถูกต้อง จะเกิดผลเช่นนี้ อยู่กับสังคมก็มี พหุชนหิตายะ (เพื่อหมู่ชน เป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ (เพื่อความสุขของหมู่ชน เป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ (รับใช้โลก ช่วยโลก) มีชีวิตอยู่อย่าง ปรปฏิพัทธา เม ชีวิกา ชีวิตนี้ เนื่องด้วยผู้อื่น เขาจะช่วยดูแลเราไว้ บางทียิ่งกว่าพ่อแม่อีก เพราะเขาเห็นจริงๆว่า คนนี้ต้องรักษาท่านไว้ มีประโยชน์ ต่อสังคม หรือแม้ท่าน ดูแลตัวเอง ไม่ได้แล้ว ท่านก็เป็น ร่มโพธิ์ร่มไทร มีคนรู้บุณคุณคน จะดูแลเอง

๑. การโกง ทุจริต คอร์รัปชั่น (กุหนา) มีในงานการเมือง ทั้งกาย วจี มโนเลย ครบเครื่อง เรื่องทุจริต

๒. การล่อลวง หลอกลวง (ลปนา) ในนักธุรกิจ-การเมือง ลดลงกว่าอันแรก ใช้คำพูดหลอกคน ปิดบังซ่อนเร้น ในทาง ศาสนาพุทธนี้ว่า สองอาชีพนี้ เลวสุด เรียกว่า อบายมุข
สองอันแรกนี้ เป็นอาชีพที่เลวร้ายมาก อย่างการเมืองนี่ โกงกันดุเดือด เลวร้าย ทำอย่างไม่หยุดหย่อนเลย

๓. การตลบตะแลง (เนมิตตกตา) ยังเสี่ยงทาย ไม่ตรงแท้ คือพยายามล้างกิเลส ตั้งตนในศีล รู้จักการล้างกิเลส พอล้างได้ ก็เข้ากระแส โสดาบัน ตั้งแต่ศีล ๕ ไม่รุนแรง ไม่ทำร้ายสัตว์ ไม่เอาของใคร ทำให้ราคะลดลง แต่ก็ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ก็ยังเสี่ยงทายอยู่

๔. การยอมมอบตนในทางผิด อยู่คณะผิด (นิปเปสิกตา) อันนี้ก็ทำได้ดีขึ้น มีศีล ที่ลดกิเลสได้จริง หมดพฤติกรรมหยาบ ก็จะมี โครงสร้างของ การปฏิบัติธรรม ละลดกิเลสได้ ทำจนเป็น สกิทาคามี ที่ว่าเสี่ยง คือต้องสู้ ต้องรบกับกิเลส สู้กับความหลงสุขนี่ เสี่ยงเป็น เสี่ยงตาย ก็ชนะมากขึ้นๆ เป็นสกิทาคามี เป็นอนาคามี ขั้นที่ ๔ นี่คือ เราบริสุทธิ์มาแล้ว แต่อย่าไปทำ ร่วมกับเขา เช่น เราเลิกอาชีพ ที่ไม่ดีแล้ว ไม่ทำแล้ว แต่เรากลับไปเอื้อ ไปช่วยคณะที่ทำผิดๆ เราไม่ได้ทำเอง แต่เขาก็ได้รับพลังงาน จากเราไป เหมือนทำดี แต่ก็ซับซ้อน ร่วมกับคณะเขา บริษัทเขา ต่อให้คุณทำสะอาด ทำสิ่งดี แต่ก็มอบตน ในทางผิด คุณต้องออกมา ไม่ต้องไปร่วม แล้วก็อยู่อย่าง คนมีวรรณะ

     วรรณะ ๙
เลี้ยงง่าย (สุภระ)
บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)
มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ)
ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ)
ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ)
. เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์)
. มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ)
. ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ๙
. ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)

     คนมักมากคนรวยนี่แหละเป็นคนไม่มีชั้นวรรณะ แต่คนจนนี่แหละ เป็นคนมีวรรณะ พระพุทธเจ้าว่า ธรรมใดวินัยใด เป็นไปเพื่อความมักน้อย สันโดษ ธรรมนั้นวินัยนั้น เป็นของเรา ตถาคต

     ๕. การเอาลาภแลกลาภ (ลาเภนะ ลาภัง นิชิคิงสนตา)
(พตปฎ. เล่ม ๑๔ ข้อ ๒๗๕ มหาจัตตารีสกสูตร) คนที่พ้นมิจฉาชีพ ขั้นนี้คือ คนที่ทำงานฟรี ไม่มีรายได้ ซึ่งเป็นไปได้ อยู่กับระบบ สาธารณโภคี อยู่แบบคนจน ตามที่ในหลวงตรัส.

๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ที่ เวทีสะพานผ่านฟ้าลีลาศ กทม.