570224_พ่อครูที่ป้อมมหากาฬ

 

เรื่อง ประชาชนปฏิวัติโดยธรรมตามรัฐธรรมนูญ ตอน

       พ่อครูว่า... อะไรๆก็ไม่ดีเท่าธรรมะ เขาหาว่า อาตมาหลงคลั่งไคล้ธรรมะ ก็ยอมรับ จะว่าอย่างนี้ก็เอา

       วันนี้จะมาพูด ประเด็นที่ยังเข้าใจ ไม่ลึกละเอียดพอ ประเด็นหนึ่ง ที่น่าจะต้องย้ำกันคือ... ประเด็นที่ศาล ถูกใส่ความ หาเรื่อง.... แล้วทำไม ท่านตัดสิน มีนัยที่สอดคล้อง กับฝ่าย กปปส. เขาก็หาว่า ศาลลำเอียง เข้าข้างกปปส. ซึ่งแท้จริง เป็นสัจธรรม ความจริงนั้น มีหนึ่งเดียว เป็นอันเดียวกัน เข้าข้างกันก็ได้ สัจธรรมนั้น ก็เป็นเช่นนั้น ตรงกันเหมือนกัน ฝ่ายเดียวกัน เมื่อตัดสินมา ก็ตรงกับของ กปปส. ก็หมายความว่า กปปส. ยืนบนฐานแห่ง ความเป็นจริง ศาลท่านไม่ได้เข้าข้างใคร ตัดสิน ไม่ได้เข้าข้างใคร เมื่อมาตรงกับ กปปส. ฝ่ายตรงข้ามกปปส. ก็เป็นฝ่ายผิด ก็หาว่า ศาลเข้าข้างกปปส. ​ก็คือคนหาเรื่อง

       ที่จริงไม่ใช่เรื่องลำเอียง แต่เป็นเรื่องความดี ถูกต้อง คนตัดสิน ก็ต้องตัดสินให้คนถูก จะบอกว่า เข้าข้างคนถูก คนดี ก็แน่นอน ก็ต้องเป็นเช่นนั้น คนเป็นกลาง ที่มีปัญญา ต้องเข้าข้างคนถูก ตำหนิกำหราบคนผิด ยกสิ่งที่ควรยก ข่มสิ่งที่ควรข่ม แต่คนไม่เข้าใจก็งง ก็สับสน ไม่มีปัญญารู้ความจริง ที่ต้องเป็นเช่นนั้น เมื่อเข้าใจไม่ได้ ก็งง สับสน หาว่าลำเอียง

       มาพูดประเด็นเรื่องประชาธิปไตย คืออะไร?.. ซึ่งเป็นนามธรรม ที่ละเอียดลึกซึ้ง แล้วตัวอำนาจ ที่เป็นของ ประชาชน ประชาชนจริงๆ ก็ไม่ได้มีอำนาจนั้น จริงๆซักที อำนาจนั้น จะมีประสิทธิผล ว่าสิ่งอื่น ต้องพ่ายแพ้ ก็ไม่เคยมีมาก่อน เพราะเป็น นามธรรมเล็กละเอียด เป็นผู้ดี ไม่เบ่งข่ม ไม่กระแทกกระทุ้งใคร คนก็ไม่กลัว ไม่รู้สึกว่า มีอำนาจอะไร แต่ลึกๆ เป็นอำนาจ ที่สูงส่ง คนต้องยกให้ ค้อมหัวให้ ไม่ใช่ไปทำ เบ่งข่มสัจธรรม

       อธิปไตยคือ อำนาจ แรงพลัง มีน้ำหนัก เป็นคุณค่า ในสภาพของมัน แล้วอธิปไตย ที่เป็นของประชาชน ก็คือพลังที่ว่า เป็นความเป็นเจ้าของ เจ้าของคนๆหนึ่ง ในประเทศนี้ ทุกคนมีอำนาจ เท่ากัน เมื่อรวมกัน ก็เป็นเจ้าของประเทศ รวมกันหมด รวมอำนาจ อธิปไตย ก็เป็นรัฐาธิปัตย์ เป็นรัฐชาติ รัฐประเทศเลย คือ ๑ คน ๑ เสียง รวมกัน เป็นอำนาจใหญ่ที่สุด ทุกคนเท่ากัน มีสิทธิ ดูแลรักษา ใช้สอยทุกคน แต่ที่น่าเสียดาย คือเจ้าตัวแต่ละคน ไม่รู้จักอำนาจนี้ และใช้ไม่เป็น ซึ่งในไทย ๖๕ ล้านคน ปล่อยให้ คนขี้โกง มาทำเหมือน เป็นเจ้าของประเทศ ทรัพย์ศฤงคาร กดหัวคนในชาติ กลายเป็นอย่างนี้ จะทำอย่างไร ให้เข้าใจกัน
       ๑ คน ๑ เสียง ๑ อำนาจอธิปไตย และมีค่ามาด้วย แต่พวกเรา ไม่รู้จักค่า สมัยโบราณ เขาซื้อ ๑ เสียง ด้วยปลาทู ๑ ตัว รองเท้า ๑ คู่ ให้ไป ข้างหนึ่งก่อน พอลงคะแนนเสียง ค่อยให้อีกข้าง

       เลยไม่รู้ว่า อำนาจในตน มีคุณค่าสูง คนเขารู้ ก็เลยพยายามซื้อหา สังคมมีคนทุจริต อย่างนักการเมือง ก็ไปซื้อเสียง เอามาใช้ ในทางทุจริต ๑ คน ๑ บาป หลายคน ก็หลายบาป แล้วเอามาใช้ในสังคม เอามาใช้ ซึ่งเป็นนามธรรม เอามาใช้ สังคมก็เลยถูก ปู้ยี่ปู้ยำ

       ซึ่งแต่ละคน มีอำนาจอธิปไตย ที่จะมาสร้างสรร แต่นักการเมืองนี่แหละ ที่เขาจะนำมาใช้ อย่างเพื่อทำอกุศล ได้อย่างหนักเลย อำนาจสิทธิในตน ก็ถูกยึดเอาไปใช้สอย ในทางทุจริต ซึ่งมีในวงการอื่นด้วย

       คำว่าอธิปไตย เป็นอำนาจในตน เมื่อไม่รู้จัก ใช้ไม่เป็น และถูกคนหลอก ซื้อ โกงไป นี่คือสังคมที่ไม่มีปัญญารู้ว่า ตนมีอะไร ที่เป็นคุณค่าในตน แม้แต่ขอทาน ไปจนถึงดอกเตอร์ ก็มีอำนาจนี้

       อำนาจนี้คนไม่เข้าใจว่า เอาไปใช้ได้หลายอย่าง หลายวงการ แม้แต่ในวงการธุรกิจ ก็ไม่น่า จะให้เขา ไปโกงกิน ถูกเขาหลอก ครอบงำ ตกเป็นทาส

       ที่เราออกมานี่ มาใช้อำนาจอธิปไตยของตนนะ เป็นกำลังที่เกิดต่อเนื่อง มีมวลเท่าไหร่ ก็มีอำนาจมากเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น ระดมกัน ออกมาซิ ประชาชน มาแสดงตัวก็คือ แต่ละคนมาแสดงราศี รังสี มาแสดง อย่างพวกแดง เขาก็รวมตัวกัน เขารวมแล้วก็ว่า ได้แปดพัน แต่คุณอัมพา รายงานว่า ประมาณ สามพันคน แต่เขาก็บอกว่า เป็นแสนเป็นล้าน กล้องเขาไม่กล้าถ่ายภาพ ไกลๆหรอก

       อำนาจหรืออธิปไตย ที่เป็นประชาธิปไตย นั้น ที่เขาว่าประชาธิปไตย คือการเลือกตั้ง คือคนที่ไม่เข้าใจมากพอ เป็นคนแคบ ไม่รู้ว่า บางคน เรียนมาเป็นดอกเตอร์ ก็รู้จักประชาธิปไตย อยู่แค่นั้น ได้อย่างไร

       อธิปไตยของประชาชน คืออำนาจในตนเอง แล้วที่แต่ก่อนมา อำนาจในตนนี่แหละ แต่มีอาวุธประกอบ ซึ่งเป็นการปฏิวัติ​ ที่ผิด ใช้อำนาจอย่าง Force ที่เป็นการบังคับ ไม่ถูกต้อง ไม่ใช่ Authority ที่เป็นคุณงามความดี แต่คนก็ใช้อำนาจนั้น แล้วก็ยึดอำนาจ จากรัฐบาลเดิม ฉีกรธน.ใหม่ เขาก็ทำกันได้ เป็นจารีตประเพณี ประชาชนก็ยอมรับกัน แล้วบริหาร ประเทศกันไป ไม่รู้กี่ครั้งแล้วในไทย ก็เป็นอำนาจที่เขาใช้ปฏิวัติ​ ก็ยอมรับกัน แม้ว่า รู้ว่าไม่ดี ไม่ถูกต้อง แต่ยอมรับกัน ยอมเพราะกลัว

       แต่ทีนี้ อำนาจของประชาชน ที่มีระบุไว้ในรธน. แต่ก็มาหาว่า ประชาชนปฏิวัติ ไม่มีในรธน. ซึ่งทหาร ก็ปฏิวัติมาตลอด ก็ไม่มีเขียนไว้ในรธน. ก็ยอมให้เขาทำไป แต่ทีนี้ประชาชน จะทำบ้าง ทั้งที่ประชาชน ทำอย่างถูกต้อง ตามรธน. ถูกยิ่งกว่า ทหารอีก ก็เป็นประเพณีที่ผิด แต่เขาก็ทำมาหลายที ผ่านมาเรื่อย ส่วนกำลังอำนาจอธิปไตย ของประชาชน มันมีอยู่ในรธน.นะ แต่อำนาจ อธิปไตยนั้น คนไม่กลัวอำนาจ Authority ที่เป็นอำนาจ ความดีงาม ก็พอเข้าใจอย่าง กปปส. นี่ก็มาปฏิวัติ โดยจะมา เปลี่ยนแปลง คณะรัฐบาล มันยังไม่เคยมีเกิดได้ อย่างประชาชน ที่มาปฏิวัติ ด้วยอำนาจสุจริต สงบ เอาความจริง ถูกต้องมายืนยัน แม้แต่ศาล ก็ชี้บ่งมาแล้ว แต่ก็ไม่ยอม ให้ประชาชนทำ ทั้งที่มีในประเพณี ซึ่งอย่างบังคับ เขาก็ทำกันได้ แล้วประชาชน จะขอยึดอำนาจ มาทำใหม่บ้าง โดยไม่ข่มขี่ทำร้ายเลย ทำไมไม่ยอม ทำไมนักรัฐศาสตร์ ผู้บริหารไม่เข้าใจ

       ทำไมยกตัวอย่างทหารนี่ เขามีอำนาจในตัว เขาไม่ต้องออกมา อย่างฐานะทหาร ไม่ต้องเอารถถัง ระเบิด ออกมา แต่มาเป็นอยู่ ในฐานะประชาชน จะแต่งเครื่องแบบ หรือถอดก็ได้ อย่างผบ.ทบ​.​ปลัดกระทรวง นายพล ก็ออกมาพรึ่บ ที่เขามีพลังแฝง Potential Energy อยู่ ถ้าทหารออกมาพรึ่บ รวมกันเลย อาตมาว่า ยิ่งลักษณ์ รีบขึ้นเครื่องบินหนี หรือ ดำดินไปเลยนะ

       นี่เป็นเรื่องอำนาจ แบบประชาชนนะ แต่ความเป็นทหารนั้น มีพลังแฝง หรือผู้มีทุนทางสังคม ที่เป็นที่ยอมรับ นับถือเชื่อถือ เช่น ข้าราชการ ที่เป็นข้าราชการประจำ รับเงินเดือนประชาชน หรือเป็นข้าราชการการเมือง ที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งข้าราชการ การเมืองนั้น ต้องอาศัยข้าราชการประจำ จึงทำงานได้ ซึ่งข้าราชการการเมือง ก็มีหน้าที่ไปตรวจสอบ ข้าราชการประจำ ดูเหมือน มีอำนาจมาก สามารถโยกย้าย ข้าราชการประจำได้ เพราะมีหน้าที่ตรวจสอบ ก็เลยมีอำนาจมาก มีหน้าที่ดูแล นโยบาย ดังนั้น ข้าราชการ การเมืองนั้น ต้องซื่อสัตย์สุจริต เพราะเหมือนผู้ใหญ่ ที่คอยตรวจสอบ แต่ก็อยู่ชั่วคราว แต่หากทำดี คนก็เลือก ให้ไปอยู่ได้นาน แต่ทุกวันนี้ เขาเอาอำนาจนั้น ไปใช้ในการโลภ กอบโกย ทุจริต

       ดังนั้น ต้องให้คนไม่มีกิเลส ไม่โลภ มักน้อย เห็นแก่ส่วนรวม ไปทำงานการเมือง จึงจะดี นักการเมืองต้องเป็น อาริยบุคคล และไม่ใช่เป็นแบบที่ ออกป่าเขาถ้ำ นอนๆกินๆไปวันๆ อย่างพวกฑิคัมภพ เป็นต้น แม้นกก็ยังมีการ แพร่พันธ์ เมล็ดพืช กระจายพันธ์ ให้แก่พืช ยังมีประโยชน์ มากกว่าพวกฤาษีอีก

       การปฏิวัติอย่างที่เราทำนี้ อย่างกปปส. นี่ไม่มีอาวุธร้ายแรง อาจมีในบางคน ที่แฝงมา ก็อาจใช้ป้องกันตัวบ้าง แต่ค่าเฉลี่ย คนเป็นล้านคน ทำได้ขนาดนี้ ก็ให้ ๙๐ % เลยนะ คนเป็นล้านคน แล้วประเทศไหน ทำได้อย่างนี้บ้าง ประเทศไหน ก็ทำไม่ได้ เป็นสิ่งวิเศษ วิสุทธิ์ วิศิฏฐ์

       ถ้าเป็นทหารทำนั้น จบไปนานแล้ว แต่นี่เป็นอำนาจ คุณค่าที่ดี ก็ต้องใช้เวลา นานหน่อย อาจต้องสูญเสียชีวิต ก็ยังมี ก็ต้องออกมา ช่วยกันร่วมกันบอกว่า ประชาชนถูกต้อง ประชาชน จะตั้งคณะรัฐบาลใหม่ ไม่เป็นหรืออย่างไร

       ข้าราชการก็มาร่วมประท้วงได้ ไม่ได้มาทำหน้าที่ ข้าราชการนะ แต่ออกมาประท้วง ให้คุณหยุด บริหารประเทศ เรามาประท้วง ตามรธน.นี้ ประเทศไทย มีคนออกมาได้อย่างนี้ จะเป็นปีแล้ว เกินหกเดือนแล้ว เป็นความยิ่งใหญ่จริงๆ อยู่อย่างนี้ ร้อยพ่อ พันแม่ ไม่ฉกชิงวิ่งราว ไม่ขโมยกัน โดยตำรวจ ไม่ต้องทำงานเลย แต่ตำรวจ กลับมาเป็นปฏิปักษ์ กับประชาชน อีกต่างหาก ศาลก็สั่งแล้วว่า ห้ามสลายการชุมนุม ที่ถูกต้องของ กปปส. แต่เขาหน้าด้าน หน้าทนมาก ซึ่งถ้าเป็นประเทศอื่น เขาละอาย ก็ลาออกไปแล้ว

       เราทำประโยชน์ ไม่เพียงแค่โลกียะ ของสังคมโลกเท่านั้น แต่ในด้านปรมัตถ์ ในด้านวิบากกรรม ก็ได้ค่าของ วิบาก กุศลกรรม เป็นวิบากที่สั่งสม ติดตัวไป อย่างในสังคมเรายุคนี้ เราตายไปแล้ว เรายังได้กุศลนั้น เป็นส่วนตัว ในกรรม ที่เราทำอันนี้ ไม่ได้มานั่งหลอกคุณนะ แต่พูดสัจธรรม

       อำนาจอธิปไตยของประชาชน ๑ คน ๑ หน่วย มีอำนาจนั้น เต็มตั้งแต่เกิดจนตาย เป็นแต่เพียงบางคน ยังไม่ถึงเวลา ที่เขากำหนด แต่เอาว่า การประท้วงนี่ เด็กแบเบาะ ก็เป็นอำนาจ ไม่ว่าอายุเท่าไหร่ ก็เป็น ๑ อำนาจ แม้ออกเสียงเลือกตั้งไปแล้ว ได้ตัวแทน ไปบริหาร ก็ไม่ได้หมายความว่า อำนาจเราหมดแล้ว ถูกริบไปแล้ว แต่เขารับหน้าที่ไปทำ เท่านั้น ตามที่ระบุไว้ ในกฎหมาย แต่เขาก็ทำผิด กรอบกฎหมายอีก เราจ้างไปทำ ตามหน้าที่

       เราจะมาดึงอำนาจ ที่ให้เขาทำหน้าที่แทนนั้น กลับมา คือให้เขาหยุดทำ ประชาชน จึงออกมารวมกัน ให้มาก ถ้าประชาชน ในไทย ออกมา ๖๕ ล้านคน ยืนยันว่าให้เขาหยุด เขาจะหยุดไหม? เขาก็ต้องหยุดนะ แต่เป็นไปไม่ได้ ก็ควรจะรู้ว่า ประชาชน มาขนาดนี้

       แม้ในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ถูกบังคับนะ หรือขอร้อง ให้ไปทำหน้าที่ แต่ก่อน ไม่มีบทลงโทษ สำหรับ คนไม่ไปใช้สิทธิ์ ไม่ไปก็ไม่มีปัญหา ก็ไปเลือกผู้แทน ให้ไปทำงานแทน ซึ่งต่างจาก อำนาจอธิปไตย ของประชาชน คุณไม่ได้เอาอำนาจให้เขา แต่จ้างให้เขาทำงาน เป็นกุลีรัฐ ที่มีหน้าที่ตามกฎหมาย การไปเลือกตั้ง เป็นอำนาจ ในการให้คน ไปรับใช้ แต่นี่เราพูดถึง อำนาจอธิปไตยของประชาชน ๑ คน ๑เสียง ตั้งแต่เกิดจนตาย เป็นอำนาจยิ่งใหญ่ เข้าใจชัดเจนขึ้นไหม

       แล้วถ้าคุณอยากให้รัฐบาลออก ก็ออกมาร่วมประท้วงกันให้มาก ถ้าเราทำอย่างแข็งแรง ทุกวันแต่ละเวที เป็นแสน เป็นล้าน นั้นไม่นานก็สำเร็จ ทุกวันนี้ นายตู่นายเต้น ก็ว่าเรา ยิ่งอ่อนล้าโรยรา ลงทุกวัน ซึ่งถ้าไม่อย่างนั้น เมื่อไหร่ก็แน่นเต็ม ต่อเนื่องกัน ไม่นานเลย ความรู้สึกของเขา ก็จะรู้ว่า ไม่ใช่คะแนน ลับๆล่อๆนะ เขาหาว่า เราจ้างกันมา อย่างนี้จะใช้เงินเท่าไหร่ จ้างก็ทำไม่ได้

       เราก็ทำอย่างยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมา ให้มากๆหมดๆ แต่พวกเขา ก็หน้าด้านหน้าทน ไม่ยอมแพ้ แม้ผิดก็ไม่ยอมแพ้ เราก็ไม่น่า จะหยุดทำนะ เราทำไป เราพัฒนานะ เราเข้าใจว่าควรทำอย่างไร ถูกต้องชอบธรรม ถูกกฎหมาย ทำอย่างถูกต้อง ชอบธรรม ทำอย่างผู้รับใช้นะ เรามาทำนี่ เราไม่ได้มาหาเงิน ไม่ได้มาหากิน หาลาภยศนะ แต่เราได้มาพัฒนา ใช้ความอดทน เสียสละ ได้ธรรมะลึกซึ้ง เราทำตนขยัน ไม่ดูดาย ใครดูดาย ก็รู้ตัวเองว่า ไม่เจริญนะ เราอยู่กัน ไม่ได้จ้างวานชี้ใช้ เราก็ใช้ปัญญา ทำไป อันไหนควรเสียสละก็ทำ ถึงเวลานอนก็นอน ถึงเวลาตื่นก็ตื่น แล้วระยะเวลาไม่น้อย ๒๐๐ กว่าวันแล้ว ทำลายสถิติโลก โดยรู้ตัวก็มี ไม่รู้ตัวก็มี ในการพัฒนาการ ของพวกเรา ให้ตรวจสอบ แต่ถ้าคุณอยู่ไป ก็มาเอาเปรียบ มากินนอน อาศัยกินอยู่ โลภแฝงอยู่ คุณก็บาป แต่ถ้าคุณไม่เป็นเช่นนั้น แต่ได้พัฒนาตัวเองขึ้นมา ดีขึ้นๆ ที่นี่เราไม่มีสิ่งแลกเปลี่ยน เราไม่ได้ค้าขาย เอาลาภยศ สรรเสริญ มาแจกกัน เราช่วยกันทำงาน ก็อาศัยกินใช้ร่วมกัน ก็ประหยัดมัธยัสถ์ คนมาร่วมไม่ได้ ก็ส่งเงินมา ส่งของมา ก็ช่วยกัน

       เป็นการช่วยทั้ง เศรษฐกิจ สังคม ของประเทศ ซึ่งอาตมาได้นิยามการเมือง ที่เป็นประชาธิปไตยแท้ๆ ๑๐ ข้อ

     1. งานการเมืองต้องมีคุณธรรม และเป็นกุศล

  1. นักการเมืองต้อง “รู้จัก” ประชาธิปไตยที่แท้
  2.  นักการเมืองต้อง “สอน” หรือเผยแพร่ประชาธิปไตย ให้กับประชาชน (ประชาชนก็ใส่ใจขวนขวายเรียนรู้ ไม่ใช่รู้แค่ว่า ไปเลือกตั้ง เท่านั้น)
  1. นักการเมือง ต้องเป็นผู้พึ่งตัวเองได้แล้ว ตัวเองทำงานแล้ว ได้มากกว่าที่กินที่ใช้ ต้องทำให้คุ้มค่าเงินเดือน คุ้มกินคุ้มใช้
  2. นักการเมือง ต้องเป็นผู้มักน้อยสันโดษ สมัยโบราณครูเป็นผู้รับใช้ เป็นผู้มีภูมิปัญญาสอนคน ก็เป็นตัวอย่าง ของคน มักน้อยสันโดษ เป็นคนจน ไม่หรูหรา แต่ทุกวันนี้ ครูต้องหรูหรา แบรนเนม ผิดทิศทาง ไม่ได้เป็นตัวอย่าง แก่เด็กรุ่นหลัง
  3. นักการเมือง ต้องไม่ทำงานการเมือง เป็นอาชีพหากิน
  4.  งานการเมือง ต้องเป็นงาน อาสาเสียสละ
  5.  นักการเมือง จะต้องไม่มีอคติ (ต้องพ้น อคติ ๔) ลำเอียงเพราะ รัก_ชัง_หลง_
  6.  นักการเมือง คือ ผู้มีอิสระแท้จริง ไม่เป็นทาสโลกธรรม
  7. งานการเมือง ที่เป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่งานเพื่อตัวเรา เพื่อครอบครัว เพื่อหมู่พวก เพื่อพรรค แต่เป็นงาน เพื่อบ้านเมือง เพื่อประชาชน ทั้งมวล เพื่อผู้อื่นที่พ้นไปจากตัวเอง พ้นไปจากครอบครัว พ้นไปจากหมู่พวก แม้แต่พ้นไปจาก “พรรค” ของตน

ซึ่งทุกวันนี้ นักการเมือง ต้องมีสังกัดพรรค ก็เลยมีเจ้าของบริษัท เป็นเจ้าของคอก ของพรรค จ่ายเงินเดือน ให้นักการเมืองไปแล้ว

       ที่เราทำอยู่นี่ เป็นงานการเมือง ที่ได้กุศลอย่างสูงเลย ราคาแพง เพราะช่วยทั้งประเทศ มีนักกฎหมาย บางคนบอกว่า ดูซิว่า ใครจะกล้าขอนายกฯ พระราชทาน โดยไม่ผ่านรัฐสภา ตามรธน.นี้....อาตมาก็ขอตอบว่า นักปฏิวัติไง กล้าทูลเกล้าฯ อย่างนักปฏิวัติผิดๆใช้อำนาจกองทัพ มาบังคับ ก็ขอพระราชทานนายกฯ ร่างรธน.เลย กี่ครั้งก็ทำมาแล้ว ก็ได้รธน.มา แต่นี่ประชาชน มาปฏิวัติ อย่างไม่เหมือน กองทัพทหารทำ แล้วทำไมประชาชน จะไม่กล้าทูลเกล้านะ มันผิดตรงไหน? คิดดีๆซิ ก็คณะนั้น เขาก็ทำกันมา เป็นจารีตมาแล้ว ตามมาตรา ๗ ไม่มีภาษาระบุในรธน. แต่ว่าเนื้อหา เหมือนกัน เหมือนอย่าง คณะที่ปฏิวัติโดยอาวุธ แต่เราทำอย่างถูกต้องดีงาม ไม่มีอาวุธ สุดยอดประเสริฐแล้ว ทำไมไม่ให้ ก็ให้ตั้งสภาประชาชน ก็ทูลเกล้าได้ เหมือนคณะปฏิวัติ แล้วทำอำนาจ Force ทำได้ทุกอย่าง แต่ทีนี้ อำนาจดีงาม Authority จะทำบ้างไม่ได้ แต่ที่จริงเราทำแล้ว ในวันที่ ๑๑ พ.ย. ๕๖ เราทำมาแล้ว มาอยู่ที่ผ่านฟ้าแล้ว พล.อ.ปรีชา ประกาศ ปฏิวัติ เวลา ๑๕.๓๐ น. แล้วอีกวัน เราก็ไปถวายฎีกา แต่คนไม่เข้าใจงง ตอนนั้น ยังไม่มีคนตายเสียด้วยซ้ำ ทำอย่างสงบ เราก็ทำอย่างถูกต้อง ตามครรลอง แต่เขาไม่เข้าใจว่า ประชาชนปฏิวัติ ทำได้ เราก็ทำต่อไป อย่างดีเลย เป็นประวัติศาสตร์ไว้

       ประชาชนที่เอาอำนาจ Authority ทำอย่างดีงาม มันควรเป็นแบบอย่างดีงาม พยายามอดทน สู้ทำให้สำเร็จ คราวนี้เกิดได้ขนาดนี้ ขอแรงขอพลัง มาช่วยกัน จงอุตสาหวิริยะ ทำกันนะ เมื่อทำได้สำเร็จ มันน่าจะไชโยโห่ฮิ่ว กันทั่วโลกนะ ประชาชนมาขนาดนี้ พอแล้วเหลือแล้ว เป็นอำนาจอธิปไตยแท้ๆ ผู้มีปัญญา ก็ช่วยดำเนินสนับสนุน ร่วมแรงร่วมใจกัน ถ้าผู้รู้เป็นปราชญ์ เข้าใจแล้ว แต่ยังไม่กล้าออกมา เป็นพลังรวม ถ้าคนมีทุนทางสังคม ออกมารวมกัน เป็นร้อยเป็นพัน จะมีราศีแห่งราชสีห์ กว้างใหญ่ไพศาล จนอึ่งอ่างเบ่ง จนท้องแตก ตายเลยได้

       เป็นปรากฎการณ์ของโลก ทั้งอดทน อุตสาหะวิริยะ เสียสละ เป็นคุณสมบัติ ประเสริฐมากพอ เป็นครั้งแรก ต่อไปในอนาคต ถ้าอันนี้สำเร็จ จะเป็นขนบทำเนียม ให้เกิดต่อไป กลุ่มใดจะทำอีก ก็ทำให้ดีงาม มากขึ้นๆ ในประเทศ ต่อไปจะทำได้ คนจะรู้ความจริง ไม่ดื้อดึงดัน มากขนาดนี้ เพราะรู้จักสาระมากแล้ว จะยอมรับมากขึ้น เอามาอ้างอิงได้ ขยายผลได้ จะมีสิ่งดีงาม ขยายผลมากขึ้น จะเป็นสัญญลักษณ์ ซึ่งต่อไป ไม่ต้องออกมาเป็นล้าน แต่เขาถูกต้อง นักการเมือง ก็ต้องยอมแพ้ ถ้าเป็นนักการเมือง ที่ซื่อสัตย์ จริง แม้คนเดียว ออกมาประท้วง ถ้าเขาถูกต้อง แล้วสมเหมาะสมควร ที่จะต้องรับผิดชอบ ลาออกก็ต้องลาออก ถ้าเป็นนักการเมือง ที่มีปัญญาแท้ ก็ต้องรู้รับผิดชอบ เขาจะลาออกเลย คนเดียวมาประท้วง เป็นสัญญลักษณ์ ของประชาธิปไตย
      
       ในต่างประเทศ ก็มีแล้ว ถ้าคุณมีทุนทางสังคม ก็ได้อยู่ แต่ถ้าไม่มีทุนทางสังคมก็ตาม แต่เขาประท้วงได้ถูก คุณก็ต้อง รับผิดชอบ ถ้าหนัก ถึงต้องลาออก ก็ต้องลาออกได้ นี่เป็นสัญญลักษณ์ หรือมีแค่ ๕ หรือ ๑๐ คน ไม่จำเป็นต้องมา เป็นล้านคน ถ้าเป็นการเมือง ที่มีประชาธิปไตย มีธรรมะโดยชอบธรรมจะเกิดไหมในไทย สัจธรรม จะเป็นเช่นนั้น

       ประชาธิปไตยนั้น ลึกซึ้งละเอียดมากมาย แต่ในไทย ยังไม่เข้าใจอย่างลึกซึ้ง ก็เลยต้องออกมาปฏิบัติ มาช่วยกันแสดงทั้ง นัจจะ คีตะ วาทิตะ ทั้ง กาย วาจา ใจ ภาษาสำเนียงมาแสดง

       ต้องขอกล่าวอ้างอิงประกอบ อย่างไม่ได้อวดอ้าง ... ยิ่งประชาชน มีความรู้สามารถ โดยเฉพาะมีกิเลสน้อย ลดกิเลสได้ ก็จะเป็นสังคมรวม เสียภาษี ๑๐๐ % ทำงานฟรี เอาเข้าส่วนกลาง มีคณะบริหาร การเงินกลาง เหมือนการบริหารประเทศ แต่ซื่อสัตย์สุจริต กินใช้ส่วนกลาง สาธารณโภคี เรียนรู้ว่า งานอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ เช่นโรงเหล้า เราไม่ทำ

       ถ้าทำอย่างพระพุทธเจ้าสอน จะเจริญได้อย่างดี มีประโยชน์ต่อสังคม ช่วยสังคม อย่างยิ่ง พุทธศาสนานี่ รัฐศาสตร์ ก็ช่วยกันบริหาร ไม่เห็นแก่ตัว แต่เห็นแก่มวลมนุษยชาติ อย่างระดับ มาร์คซิสต์ นี่ไม่เท่าของ พระพุทธเจ้า เพราะอะไร เพราะกิเลสไม่ลด ไม่เรียนรู้ทางจิต โดยเฉพาะคอมมิวนิสต์ ตีทิ้งศาสนา หาว่าเป็นยาเสพติด เป็นเรื่องงมงายด้วย ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ พิสูจน์ไม่ได้ ก็จริง ในศาสนาที่ลึกลับเป็น Prophecy เป็นศาสนาสายศรัทธา เก่งสุด ศาสดาก็เป็นแค่ Prophet รับคำจาก พระเจ้า แต่ลึกลับ ดีเหมือนกัน แต่ไม่กระจ่าง ไม่ถึงจิตเจตสิก รูปนิพพาน แต่อีกด้านก็เป็น Philosophy ก็เป็นความรู้ ที่กว้างๆ มีเหตุผล คล้ายศาสนาพุทธ แต่มันไม่ลึกเข้าหา ปรมัตถ์ ไม่ถึงเหตุแห่งกิเลส ได้อย่างเก่ง ก็เป็น Philosopher ได้แค่นั้น แต่ของพุทธนั้น ได้สองอย่างเลย ทั้งจิตและกาย

       ลึกกว่านั้นก็เป็น ญาณวิทยา Epistemology แต่ก็ยังไม่บรรลุ แต่ของพุทธเจ้า พิสูจน์ได้ ยิ่งกว่า ญาณวิทยา แต่เป็น ปรากฎการณ์วิทยา Phenomenology ศาสนาพุทธนี้ เป็นPhenomenology พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ประกาศเช่นนี้ พิสูจน์ได้เช่นนี้

       มาฟังเรื่อง ทาน ศีล ภาวนา แตกต่างอย่างไรกับ ศีล สมาธิ ปัญญา

       ทานคือการให้ แต่ถ้าใจไม่สอดคล้อง ก็เป็นทานเสแสร้ง ไม่เกิดการลดกิเลส ทุกวันนี้ให้ของ แต่ตั้งจิต ที่จะเอา มากกว่า ของที่ให้ ให้ของห้าบาท แต่จิตอธิษฐาน ได้เป็นแสน เป็นล้านบาท ตั้งเป็นมโนกรรมเลย กรรมที่คุณทำนี่ เอาเปรียบ ทำกำไร เกินควร ตั้งเท่าไหร่ ยกมือขึ้นซะดีๆ ไม่เว้นเลย แม้อาตมา ก็ทำมาแล้ว นี่คือทานไม่มีผล นัตถิ ทินนัง

       การให้นี่แหละ คือพฤติกรรม ที่ยิ่งใหญ่สุดในโลก สุดวิเศษ คือการให้

       สรุปคือ ทาน ศีล ภาวนา คือหลักเกณฑ์ ปฏิบัติศีล ให้เกิดการล้างกิเลส จึงเรียกว่า ล้างกิเลส เป็นยัญพิธี ถ้าพิธีกรรม ก็ไม่ลดกิเลส ทำศีลก็ไม่ลดกิเลส เป็นศีลพตุปาทาน ศีลพตปรามาส ทานศีลภาวนา ก็ไม่ลดกิเลส ไม่เกิดผล...

๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ที่ เวทีพุทธาภิเษก ผ่านฟ้าลีลาศ กทม.