570306_พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ และอ.กฤษฎา ให้วัฒนานุกูล เรื่อง ธรรมาธรรมะสงครามจะยาวนานขนาดไหน? |
อ.กฤษฎา... ประเด็นที่สำคัญนั้น ครั้งที่แล้ว ตอนนี้ผู้ทำผิด ทั้งทางธรรม และทางกม. ก็กำลังดิ้นทุรน เป็นปรากฏการณ์ทางธรรม ที่พ่อครูได้เคยสอนไว้ ใช่หรือไม่ และตอนนี้ เหตุการณ์ ดูเหมือนรุนแรงขึ้น และเราก็ชนะ รายทางมาเรื่อย แต่ทำไม หลายคนบอกว่า ทำไมยังไม่จบ แล้วเราจะต้องยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป อีกนานเท่าไหร่?
พ่อครู.... มีข่าวแจ้งให้ทราบว่า เราจะมีงาน
งานทำบุญ " รำลึกวีรชนราชดำเนิน"
ใครสนใจ จะเปิดโรงบุญด้วย โทรมาที่ คุณใบแก้ว 087-3918449 , คุณปะพัดชา 088 585 9108
อ.กฤษฎาว่า อาการดิ้นของเขานี่ ใช้ภาวะของ โอปปาติกสัตว์ ใช่ไหม
พ่อครูว่า... สัตว์ทางจิตวิญญาณนั้น ต้องรู้อย่างสัมมาทิฏฐิ เรียกว่า สัตตา โอปปาติกา ซึ่งไม่มีสีสัน รูปร่าง เป็น กาย ที่เป็นนามธรรม สามารถรู้ได้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทศ
พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ให้เรียนรู้ เวทนา ๓ (สุข ทุกข์ อุเบกขา) และก็เรียนรู้ ดีกรีของเวทนา เป็นเวทนา ๕ ทั้งหมด เป็นนามธรรม เป็น กาย
คำว่า กายนี้ ต้องเข้าใจ ว่า หมายถึง นามธรรมเป็นหลัก สัตว์นรก เทวดา แล้วเทวดาโลกีย์ กับโลกุตระ ต่างกันอย่างไร ก็รู้ได้ด้วย นามธรรม ด้วยอาการ ลิงค นิมิต อุเทศ
กิเลสนี่เป็นสัตว์นรก รวมไว้หมด ตอนนี้ เขาก็ขึ้นป้าย แบ่งแยกแผ่นดิน ไปทั่วเลย แล้วใครเป็นกบฏ เขาก็หาว่า เราเป็นกบฏ พยายามให้จับ เสร็จแล้ว ศาลท่านไม่ให้จับ ท่านว่า กปปส. ชุมนุมถูกต้อง ตามรธน. มาไล่ไม่ได้
แล้ว รัฐบาล ประชาชน ที่เป็นพวกนปช. หรือพวกแดง หรือข้าราชการ ที่เข้าข้างรัฐบาล ต่อสู้กับเรา โดยใช้เงินรัฐบาล เขาสู้ว่าเราเป็นกบฏ เราก็สู้ว่า เราไม่ใช่กบฏ เราออกมาเป็น กปปส. มีกองทัพธรรม มีกปท. มี Technocrat (คือข้าราชการ นักธุรกิจ มีความรู้เชี่ยวชาญ ทำงานเพื่อสังคม) และก็มีมวล มหาประชาชน กลุ่มกปปส. นี่แหละ มาต่อสู้
เขาก็ดิ้น เหมือนอึ่งอ่างพองลม ยิ่งดิ้นก็ยิ่งเข้าข่าย ยึดว่าตนเองถูก ทั้งที่ผิด ยิ่งทำก็ยิ่งมี อกุศลกรรม ซ้อนๆไป เขาเป็นสัตว์นรก ที่ชื่อว่า กบฏ แต่เขาไม่รู้ตัว บางคนก็รู้ตัว แต่ก็มีกิเลส
เขาเคยประกาศว่า แพ้ไม่เป็น จะตายในสนามรบ ประชาธิปตาย แท้จริง เขาตายแล้ว ก็ไม่รู้จักตัวเองว่า ตายแล้ว เป็นผี สัตว์นรกแล้วด้วยนะ
ที่พูดแรงน ี้ให้เขารู้ตัว แต่เขาไม่รู้จัก ก็ไม่กลัว เหมือนเด็ก ไม่รู้จักเสือ ก็ไปจับ โดยไม่รู้ว่า น่ากลัว เห็นแล้วก็สังเวชใจ จะว่าเขาไม่รู้เรื่อง ก็ไม่ใช่ มันพอรู้ ฉลาดนะ แต่เฉโก ฉลาดฉิบหายนะ แต่ไม่รู้ตัว
สรุปแล้ว กบฏตัวจริง คือใครเอ่ย เราก็มองออก ก็รู้ เขาก็ไม่ยอมรับว่า เขาเป็นกบฏ แต่ก็ค่อยๆ ยอมรับกัน จนแบ่งแยก แผ่นดินนี่ชัดเลย
กลุ่มพวกนี้มีความรู้ทฤษฏี หลักวิชาของ คอมมิวนิสต์นะ
และวิถีทางที่เขาทำไม่เปิดเผย แต่เราทำนี่ โดยเปิดเผย บอกหมด ไม่ปิดบังอำพราง แต่พวกนี้ปิดบัง และพูดหลอกล่อ โกหกด้วย ไม่ซื่อสัตย์ สรุปแล้ว เขาจะเป็นอำนาจเผด็จการ ฟาสซิสม์ เลย ใครเป็นหัวเลย ก็รู้กันให้ทั่ว ปิดกันให้แซด เขาเป็นเผด็จการจริงๆ
เป็นลัทธิกบฏ ที่โลกทุกแห่ง เขาไม่ต้องการเลย มีคนไปเชื่อ ไปเป็นลูกน้อง ทำตาม ก็ทำลายสังคม ประเทศชาติ เห็นแก่ตัว เบ่งอำนาจ ด้วยวิธีซับซ้อน หลอกว่าตนทำดี แต่ร้ายลึก คนทุกวันนี้ จะต้องมีปัญญารู้ ถ้าไม่ก็ไม่เท่าทัน อย่างจำนำข้าวนี่ จะชัดว่า โกงอย่างไร ซักวันก็เหมือน คางคกพองลม จนท้องแตกตาย
เราสู้ด้วยธรรมะ ตอนนี้เป็นธรรมาธรรมะสงคราม เกิดชนะรายทาง มาเรื่อยๆ เราก็ต้อง อดทนหน่อย คือยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมา ให้มากๆ หมดๆ เขาแพ้ความจริง เพราะเขามีแต่ ความเท็จ ขอร้องพวกเรา ต่อต้านต่อสู้ โดยสันติ จะเข้ามาตรา ๖๙ เป็นมาตราสำคัญ ที่ซ่อนความลึกซึ้งไว้ หลายชั้น
มาตรา ๖๙ (การต่อต้านโดยสันติวิธี) บุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธี ซึ่งการกระทำใด ๆ ที่เป็นไป เพื่อให้ได้มา ซึ่งอำนาจ ในการปกครองประเทศ โดยวิธีการ ซึ่งมิได้เป็นไป ตามวิถีทาง ที่บัญญัติไว้ ในรัฐธรรมนูญนี้
รัฐบาลก็มีวิถีทาง ไปสู่คอมมิวนิสต์ แต่เขาหลอกว่า เป็นประชาธิปไตย ซึ่งนักวิชาการ ก็ต่างรู้กัน ออกมา บอกว่าเขาผิด ซึ่งมิได้เป็น ไปตามวิถีทาง ที่บัญญัติไว้ ในรัฐธรรมนูญนี้ เป็นแนวทางทุจริต
เราก็เลยเอาความทุจริตของเขา มาเปิดเผย เราก็ต่อต้าน โดยสันติวิธี ซึ่งถูกต้อง ตามบทบัญัติใน รธน.ม.๖๙ วิธีการของเราสงบ แต่แนวโน้มของเขา ไม่เป็นไปตาม วิถีทางประชาธิปไตย แต่ของเราสันติจริง และเป็นไป ตามวิถีทาง ประชาธิปไตยด้วย
และบางที เขาก็แฝงมา ทำให้เกิดความรุนแรง หาว่าเราทำรุนแรง ก็เป็นได้ อาจเป็นได้ ต้องให้ศาลตัดสิน แต่เพราะตำรวจ ไม่เคยจับได้เลย จึงตัดสินไม่ได้
เราก็ต้องออกมาช่วยกัน และคนของเรา จะไปใส่ไอ้โม่งทำไม คนของเรา จะปิดหน้าทำไม แต่เป็นไปได้ว่า มีคนมาช่วยเรา เพราะเมตตา เพราะเราสู้อย่างอหิงสา
ต่อมาศาลก็ตัดสินให้เรา ได้รับการคุ้มครอง อย่าให้มาสลาย การชุมนุม ศาลนั้นเป็นสถาบัน ที่ได้รับคัดเลือก มาจากหัวหน้า ประชาชน คือพระมหากษัตริย์ มีอำนาจเท่ากับ อีกสองสถาบัน และมีหน้าที่ คานอำนาจกัน ไม่ฮั้วกันด้วย แต่นี่เขาทำ ไม่คานกัน ฮั้วกัน เขาไม่รับอำนาจศาลด้วย และด่ากันอีก ดูถูกกันอีก ไม่ยอม ต่อต้าน แสดงชัดเลย เขาเอง เขาไม่มีความรู้ หรือรู้แต่เขาทำผิด เขาก็เป็นกบฏ สารพัดจะทำ นอกจากไม่รับแล้ว ก็ยังให้บริวาร ยิงระเบิดอีก เลวร้ายจริงๆ
ในม.๖๙ เราปฏิบัติต่อต้านตามสิทธิ ในรธน.เลย ด้วยวิธีการหรือการกระทำ ตามบัญญัตินี้ และถูกต้อง ลึกกว่านั้น เป็นวิถีทางที่ บัญญัติไว้ ในรธน.นี้ด้วย
เขาทำว่าเป็นประชาธิปไตย แต่หลอกคน โกหก คนที่รู้ไม่ทัน ฉลาดน้อยได้ ประชาชนที่เปิดหูเปิดตา ศึกษามีปัญญา วินิจฉัย อ่านความจริงได้ ก็ยิ่งรู้ความจริง จึงเกิดปรากฎการณ์ของ มวลมหาประชาชน
เป็นรูปธรรม ที่ส่อให้เห็น นามธรรม อาตมาเห็นจริงๆ ใครเห็นนี่ฉลาดนะ คำว่า ฉลาด มาจาก ฉฬายตนะ ถ้ารู้ได้ดี กุศลประเสริฐ ก็เป็นฉลาด แต่ถ้ารู้อย่างทุจริต อกุศล ชั่ว ก็ไม่เป็นความฉลาดอย่าง ฉฬายตนะ แต่เป็นเฉโก ส่วนคนฉลาด อย่างประเสริฐ เรียกว่า ปัญญาหรือปัญโญ รู้จิตที่เกิดจาก ทวารทั้ง ๕ สร้างหรือรู้ ให้เกิดสิ่งดี กุศล ด้วยปัญญา แต่ความฉลาด ทุกวันนี้ ภาษาไทยนี่ มาจากบาลี ก็เป็นฉฬายตนะ แต่ก็พูดหวัดสั้นลง เหลือแต่ฉลาด หมายถึง ความรอบรู้
ฉลาดในไทยมีสองอย่าง คือ อย่างแรก ฉลาดอย่างรู้เท่าทันอายตนะ แล้วตามรู้เหตุ ที่ทำให้เกิดอกุศล มีอยู่ และฆ่า หรือกำจัดได้ ฆ่าได้ก็เป็นปัญญา
อย่างที่สอง คนไทยนี้ฉลาดเหลี่ยมจัด ทุจริต แต่ก็ไม่รับว่าตน เฉโก ก็เลยไปเรียกฉลาด ทับกันไป ถัวกันไปหมด คำว่าฉลาด ก็เลยใช้ทั้ง คอรัปชั่นและปัญญา แต่คอรัปชั่นนี้ ไม่เรียกปัญญา แต่คอรัปชั่นนี้ เขาไม่รับว่าเป็น เฉโก หรือเฉกา คำว่า เฉกาหรือเฉโก นี้จึงไม่ติดตลาด แต่มี บันทึกไว้ ในพจนานุกรม
ยุคสมัยนี้ เพศหญิงมากกว่าเพศชาย เพราะเป็นยุค ใกล้กลียุค หรือแม้แต่ผู้ชาย ก็สนใจธรรมะน้อย เพราะปฏิภาณผู้หญิง จะเร็วไว ไหวเร็ว คือจิต ถ้านิ่งเป็นผู้ชาย ถ้าไหวเป็นผู้หญิง
สรุปคือ ภาวะเพศชาย หรือปุริสภาวะ คือความนิ่งสะอาด แต่อิตถีภาวะ คือภาวะที่ไม่นิ่ง ไม่สะอาด เรามีร่างเพศไหน ก็แล้วแต่ ให้ตัด อิตถีภาวะให้หมด ให้มีแต่ปุริสภาวะ แม้หญิง ก็บรรลุธรรมได้ เป็นปุริสภาวะได้
เราทำให้ความเป็นสัตว์ หายไปหมด เหลือแต่พรหม ชีวิตนี้คือ ชีวิตแห่งความเป็นสัตว์ ต้องดับสัตตาวาส ๙ ให้หมด
ส่วนอาหารรูปนั้น คือเครื่องอาศัย (ข้าว ผ้า ยา บ้าน) เราก็มีพอเพียง ให้พอเหมาะพอดี ไม่เฟ้อเกิน หรือ ไม่ขาดเกินไป
อาหารคือคำข้าวนี่แหละ ถ้าเรียนรู้ จัดการกิเลส ในนี้ได้ อย่างอื่นก็นัยเดียวกัน ไม่ว่า ผ้า ยา บ้าน
แล้วมาเรียนรู้ ปริเฉทรูป คือตัดแบ่งมาเป็นส่วนๆ ในแต่ละรอบ โสดาบัน ก็ศีล ๕ , สกิทาคามี ก็ศีล ๘ เป็นต้น..
จากนั้นก็มาเรียนรู้ วิญญัติรูป ที่มีทั้ง กายวิญญัติ และ วจีวิญญัติ อ่านให้ออกใน มโนวิญญัติ แล้วฆ่าเหตุ แห่งอกุศล ทั้งหลาย ไม่ได้ฆ่ากุศลนะ
วิการรูป 5 (รูปคือ อาการที่ดัดแปลง ทำให้แปลก ให้พิเศษได้ )
18. (รูปัสส) ลหุตา (ความเบาบาง) แม้จิตเราจะเบา แต่ว่าเราพูดออกไปด้วย เมตตาแรงก็มี แต่ลหุตา แต่ถ้าพูดด้วย จิตทุจริต แต่ว่าพูดเบานี่ ก็ไม่ลหุตานะ
19. (รูปัสส) มุทุตา (ความอ่อนไว ยืดหยุ่น elasticity, เร็วไว จิตหัวอ่อน ปรับได้ทั้งปัญญา และเจโต) ใจตั้งมั่น ตั้งตรง เพราะได้ฆ่ากิเลสออก จนตัวจิต เป็นจิตมุทุ (จิตหัวอ่อน) เชิงปัญญา ก็ไหวพริบเร็ว เชิงเจโต ก็ปรับได้เร็ว รู้เร็วว่า อะไรผิดหรือถูก เราก็ไม่ทำผิด เหลือแต่ความถูกเร็ว โดยการทำอย่างเกื้อกูล สังเคราะห์ อนุโลมปฏิโลม แก่ผู้อื่น เหมือนพ่อแม่ เล่นหม้อข้าว หม้อแกง กับลูก หรือเหมือนแม่ครัว ปรุงให้คนกินได้ แต่ตนไม่ชอบหรอก ปรุงขายได้เลย
20. (รูปัสส) กัมมัญญตา (การกระทำที่ กำกับด้วยปัญญา อันประเสริฐยิ่ง ) เป็นจิตโลกุตระ ฉลาดรู้จักโลกุตระ ที่เป็นปรโลก ไม่เป็นไปเพื่อ เสริมสร้างกิเลส ทั้ง กาม โลกธรรม อัตตา แล้วอนุโลมให้เขา เท่าที่เราช่วยได้ รู้โลก โลก โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ก็รู้ ปิดอบายได้ แล้วมาละกามภพต่อ จากนั้น ก็ลดโลกธรรม และลดอัตตา แต่ว่าก็อยู่ในโลก กับเขานี่แหละ เขาโกงกินกัน หลายแสนล้านแล้ว
โสดาบัน ก็อาจมีต้องเอาเปรียบบ้าง แต่ละลงมา เท่าไหร่ได้ก็ดี มาลด ความเห็นแก่ได้ ความเอาเปรียบออกไป เท่าทุนก็อยู่ได้ ขาดทุนแล้วอยู่ได้ไหม ขาดทุนมาก แล้วอยู่ได้นี่ ก็วิเศษ ในหลวงตรัสว่า ขาดทุนคือกำไร
เขาก็ว่ามาขาดทุน แล้วจะเหลือทุน ไปทำงานอย่างไร? ซึ่งเราทำได้ แล้ว ถึงพ้นมิจฉาชีพ ขั้นที่ ๕
๑. การโกง ทุจริต คอร์รัปชั่น (กุหนา) มีในงานการเมือง
๒. การล่อลวง หลอกลวง (ลปนา) ในนักธุรกิจ-การเมือง
๓. การตลบตะแลง (เนมิตตกตา) ยังเสี่ยงทายไม่ตรงแท้
๔. การยอมมอบตนในทางผิด อยู่คณะผิด (นิปเปสิกตา)
๕. การเอาลาภแลกลาภ (ลาเภนะ ลาภัง นิชิคิงสนตา)
ค่าแรงงานของเรา ได้หมื่นหนึ่ง แต่เราใช้จ่าย แค่สองพัน ส่วนเหลือแปดพัน ก็ให้ส่วนกลาง ให้สังคม ก็เอาไปเกื้อกูล เฉลี่ยแค่คนอื่นๆ สังคมก็อยู่ได้ ที่เราได้ขาดทุน เราเสียสละได้นี่แหละ คือกุศล คนนั้นรวยได้ ตลอดกาล ได้เสียอยู่ หรือเสียสละนี่แหละ คือกำไรของเรา ขาดทุนของเรา คือกำไรของเรา
เราทำงานฟรี แต่สมรรถนะของเรา ทำได้เก่ง ได้มากกว่าที่กินใช้ มีศักยภาพ เราก็รับใช้ ให้แก่คนอื่นไป
เรามีเศรษฐศาสตร์บุญนิยม หมายเลข ๑
๑. ไม่เป็นหนี้
๒. ทำกินทำใช้ให้พึ่งตนเองได้
๓. ทำให้เหลือกินเหลือใช้
๔. แจกจ่ายสะพัดออก เผื่อแผ่แก่ผู้อื่น
เศรษฐศาสตร์บุญนิยมหมายเลข ๒
๑. เรากินใช้ไม่มาก มักน้อยสันโดษ
๒. เราสร้างสรรขยันเพียร
๓. คุ้มกินคุ้มใช้ เหลือกินเหลือใช้
๔. เราไม่สะสมกักตุน
๕. เราสะพัดออก แจกจ่ายเจือจาน
ซึ่งธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น
๑. คัมภีรา (ลึกซึ้ง)
๒. ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก)
๓. ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก)
๔. สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) .
๕. ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น)
๖. อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้)
๗. นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน)
๘. ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต)