570315_พ่อครูเทศนา พิธีรับกลดสัมมาสิกขารุ่น “ธรรมยุทธผ่านฟ้า”
พิธีรับกลดรุ่น “ธรรมยุทธ ผ่านฟ้า” ของนร.สัมมาสิกขาที่เรียนจบ มัธยมศึกษาปีที่ ๖ จำนวน ๔๗ คน
พ่อครูเทศนา หลังจากนร.ทุกคน รับกลดเรียบร้อยแล้ว
พ่อครูว่า....เราเกิดมาเป็นลูกพระพุทธเจ้า เราจะต้องเห็นความสำคัญของธรรม ที่พระพุทธเจ้าได้ประทานไว้ให้แก่โลก อย่าเห็นเป็นของเล่น สังคมทุกวันนี้ ตกต่ำมาก ศานาไหนก็ตาม ควรมีธรรมะ เพราะเป็นสิ่งดีงาม ประเสริฐ ...
วาระนี้เป็นวาระสำคัญโดยเฉพาะนักเรียน สัมมาสิกขา จบม.๖ แล้ว จะมารับเครื่องหมาย ที่ถือว่าจบ นอกจากได้รับ ใบประกาศนียบัตรแล้ว เรายังได้รับกลด กับเข็มที่ระลึก
เป็นเรื่องของมนุษย์ ที่ได้จัดสรรองค์ประกอบ ศาสตร์ ศิลป์ในการสร้าง ให้เป็นพิธีการ ทำให้เกิดการพัฒนาการ ทางจิตใจ ทั้งองค์ประกอบ วัตถุ กิริยาเคลื่อนไหวทางกาย วจี เป็นรูปแบบให้คนเจริญ
แม้ดึกดำบรรพ์คนป่า ก็มีพิธีการ และเพื่อให้เกิดผล ทางจิตวิญญาณ ถ้าพิธีกรรมใด เราไม่มีจิตสำนึก ไม่ได้ซาบซึ้งเลย คนนั้น ก็เป็นคนตาถั่ว มิลักขณะ ไม่เจริญ ไม่ฉลาด
ส่วนคนที่เห็นประโยชน์ ร่วมด้วย ก็เกิดผลทางจิต หรือผู้เป็นตัวปฏิบัติ มาเห็นสัมผัส ก็จะเกิดจิตวิญญาณร่วม รู้สึก เข้าใจ นำพาไปสู่ที่สูง ที่เจริญได้ เรารู้ว่า การรวมกันในงานนี้ มีอะไรเป็นจุดสำคัญ การจบการศึกษา ในระดับหนึ่ง เรามีวุฒิภาวะ ความรู้สามารถเพิ่มขึ้น ก็ต้องรับผิดชอบ เติบโตพัฒนาการ ตามวัย เราควรต้องมีความรู้ตามวัย ตามฐานะ วุฒิ หรือโตกว่านั้น ได้รับป.ตรี ป.โท ป.เอก ก็ต้องรู้ว่า เราได้มีพัฒนาการขึ้น
ถ้าผู้ใดไม่สำนึกไม่รู้ตัวเลย ก็คือคนที่ ไร้สาระ ไร้ปัญญา เหมือนเศษสวะ ล่องลอยไป ตามประสา ไม่ก่อประโยชน์ เหมือนช้อน ไม่รู้รสแกง ได้แต่รวมไปกับเขา สักแต่ว่าเข้าสอบ ผ่านๆไป ไม่รู้ว่ามีความรู้สามารถ เกิดและจะเอาไปทำอะไร?
ไม่ว่าจะเจริญทางวัย หรือทางความรู้ ชีวิต เราก็ต้องรู้ว่า เราต้องรับผิดชอบ ยิ่งถ้าเราได้รับการศึกษา ฝึกฝนอบรม เราก็ควรต้องเจริญ ตามสิ่งที่เราได้
ถ้าไม่ได้เราก็สูญเปล่า ชีวิตเราผ่านอายุ ต้องจ่ายแรงงาน ทุนรอน ไร้สาระ ดีไม่ดี เต็มไปด้วยความชั่ว กิเลส ไร้สาระ ยิ่งขึ้น ได้แต่เหลวไหล เลวร้าย เป็นชีวิตตกต่ำ เกิดมาซวย ไม่ดี เราต้องรู้ว่า แต่ละเวลาผ่านไปๆ ชีวิตเกิดมา ไม่ได้เกิดมาเพื่อ สนองกิเลส บำเรอกิเลส มอมเมา ครอบงำ ไปแย่งลาภ ยศ สรรเสริญ บำเรอกาม อัตตา หนาใหญ่ขึ้น ไม่รู้จักว่า ชีวิตเกิดมาควรได้อะไร
พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นโมฆบุรุษ สูญเปล่า เกิดมาไม่ได้สิ่งที่ควรได้ เปล่าดาย แถมได้สิ่งเลวร้ายติดไป ซวย เปล่าๆ เกิดมาทำไม เกิดมาแล้ว แทนที่จะใช้ ร่างมนุษย์ ครบอาการ ๓๒ เป็นร่างกายที่ เป็น อิทธ พรหมจริยวาโส (กายยาววา หนาคืบ กว้างศอก พร้อมสัญญาและใจ) นี่ พร้อมจะเจริญ สู่พรหมจรรย์ ความเจริญ เป็นสภาพพรหม บริสุทธิ์สะอาด สูงสุด เรียกว่าพรหม เป็นของศาสนาเดิม พรหมจรรย์ คือสิ่งที่เราต้องพากเพียร ให้จิตวิญญาณเจริญ สูงขึ้น จนเป็นอรหันต์
พวกเราชาวพุทธที่ได้ศึกษา หรือนร.สัมมาสิกขาทุกคน ได้ศึกษา ศีล สมาธิ ปัญญา หรือไตรสิกขา มีลำดับแห่งความเจริญ
ในแต่ละระดับชั้น ของการเรียน ก็มีเป็นขั้นตอน เป็นความก้าวหน้าตามโอกาส ของแต่ละคน ที่จะได้มากหรือน้อย แต่ละคนได้ร่างกาย มีชีวิต อย่าสูญเปล่า ขอกำชับทุกคน ให้สำนึก ให้รู้สึกว่า ตนเกิดมา ได้ชีวิตดีขึ้นไหม หรือปล่อยให้จมไปกับ โลกธรรม จิตเรามีกิเลสเพิ่มพอก จะต้องได้ ต้องมี ต้องเป็น ยึดอย่างแรง ถือมั่น เอาเป็นเอาตาย จิตร้ายแรง แย่งอย่างทุจริต
ถ้าเขาเอาสิ่งที่เราต้องการมา หรือสำนวน ฆ่าผัวมันเสีย เอาเมียมันมา เป็นความโหดร้าย ต้องการอะไรก็ฆ่า ไม่ว่าจะโลกธรรม หรือกาม หรืออัตตา ก็แก่งแย่งไปฆ่าเขา ทุกวันนี้ มีสงครามแบบนี้อยู่ เช่นเราออกมางาน นี้ขณะนี้ เรียกว่า
“ธรรมยุทธ ผ่านฟ้า” แปลว่า การรบที่มีธรรมะ ณ สถานที่นี่ สะพานผ่าฟ้าลีลาศ เรามาทำงานที่นี่ หลายเดือนแล้ว พวกเราก็ได้มา ร่วมช่วยงาน ช่วยรบ อย่างธรรมะ
รุ่นนี้ผ่านอันนี้ รุ่นอื่นก็มีเครื่องหมาย สำหรับแต่ละรุ่นๆ เป็นเครื่องหมายให้เราใช้ ในการรำลึก สำนึก ปรับปรุงตน ในการมีชีวิต ทำอะไร ควบคุมตน ให้กาย วาจา ใจพัฒนาขึ้น ไม่ใช่ปล่อยไปตามกิเลส เราต้องรู้ว่า จิตของเรามีกิเลส คืออะไร เราเรียนมา บางคน มากกว่า ๖ ปี ตั้งแต่ชั้น ประถมศึกษา
เราตายแล้วสิ่งที่ได้คือคุณธรรม ของพระพุทธเจ้า เป็นธรรมที่ ถ้าได้ถึงขีดขั้น อาริยธรรม จะมีน้ำหนักอยู่กับ อัตภาพของเรา เริ่มแต่ โสดาบัน ที่มีคุณธรรมถึง นิยตะ ไม่ว่าชาติไหน จะไม่สูญหายไปจากเรา เป็นวิทยาศาสตร์
องค์คุณของโสดาบัน
ก.) ส่วนที่ดับไปจากจิต . .
๑. ขีณนิรยะ (สิ้นจากนรก, ปิดนรก ดับความเร่าร้อนได้)
๒. ขีณปิตติวิสยะ (สิ้นจากวิสัยความอยากอย่างเปรต)
๓. ขีณติรัจฉานโยนิ (สิ้นจากความโง่ ที่ขวางเจริญ)
๔. ขีณาปายทุคติวินิปาตะ (สิ้นจากอบาย ทุคติ วินิบาต)
ข.) ส่วนที่เกิดทางจิต (โอปปาติกโยนิ)
๕. โสตาปันนะ (เข้าสู่กระแสโลกใหม่คือโลกุตระ) ได้ถึง ๒๕%
๖. อวินิปาตธัมโม (ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา) ได้ถึง ๕๐ % แต่ก็มีถอยได้ยึกยักๆ
๗. นิยตะ (เที่ยงแท้แน่นอนสู่มรรคผลที่สูงขึ้น) ถึง ๗๕ % เป็นเกณฑ์ที่มีปัจเจกภูมิ เที่ยงแท้แล้ว
๘. สัมโพธิปรายนะ (มุ่งตรัสรู้ในภายหน้า) ได้เต็ม ๑๐๐ % ดับได้สนิทสมบูรณ์เลย
มันถึงเดือดร้อน อาตมาเกิดมาชาตินี้ ไม่ได้เรียนจากสำนักไหน จนคนเขาหาว่า นอกรีต หาว่าทำลายศาสนาพุทธ เขาไม่ยอมรับง่ายๆ อาตมาเข้าใจ รู้ฐานะตัวเอง รู้ว่าปางนี้ อาตมาต้องมา ทำงานแบบนี้ เข้าใจดี ต้องพิสูจน์สัจธรรม รู้ว่าเหนื่อยหนัก ต้องอุตสาหะ พากเพียร อดทน เอาใจใส่ ไม่ได้เป็นความเสียหาย ของอาตมาเลย เป็นความเจริญ ก็พยายามนะ ลูกๆหลานๆทั้งหลาย ให้ใส่ใจในชีวิต หากเราได้สิ่งถูกต้อง สัมมาทิฏฐิ ถ้าได้คุณธรรม พระพุทธเจ้า แล้วติดตัวไป จนปรินิพพานเลย
โสดาบันก็ได้คุณสมบัติระดับหนึ่ง สกิทาคามี ก็สูงขึ้น อนาคามีก็ยิ่งสูง และกำจัดกิเลสเกลี้ยง ก็เป็นอรหันต์ สามารถอยู่กับโลกได้ ก็เป็นโพธิสัตว์ ต่ออีกได้ เป็นอรหันต์แล้วจบ เป็นความรู้สามารถ เพิ่มเติมได้ รู้โลกโลกีย์ ที่ไม่เคยเป็นนี่ มีหลักประกัน ว่าตนเอง ไม่ตกต่ำ ไม่ทำบาปทั้งปวง ทำแต่ดี สิ้นบาป ทำแต่ประโยชน ์ช่วยคนอื่นไป เกิดชำนาญ ความรู้สามารถ เพื่องานรับใช้ ปชช.ต่อไปอีก ไม่ได้ตกต่ำ เจริญ ตามลำดับ
ทฤษฎีการศึกษาของพระพุทธเจ้าจึงเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติแท้จริง หมดเห็นแก่ตัว เป็นประโยชน์ต่อโลก ต่อสังคมแท้จริง มีหลักสำคัญว่า พหุชนหิตายะ (เพื่อหมู่ชน เป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ (เพื่อความสุข ของหมู่ชน เป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ (รับใช้โลก ช่วยโลก)
เมื่อมีอาริยธรรมของ พระพุทธเจ้าจริง จะมีคุณสมบัติ อย่างนี้จริง เราเรียนจบไป หลายรุ่นกันแล้ว ก็จะเห็นชาวอโศก ทำงานให้สังคม ไม่ได้ค่าจ้างอะไร เราทำมา หลายเดือนแล้ว เลยครึ่งปีแล้ว ทำลายสถิติ ที่เคยมีมา ในประเทศไทย เราร่วมทำลาย สถิติตัวเองนะ เจริญขึ้น เป็นเรื่องเกิดจริง เป็นจริง พูดไปเหมือนอวดตัว แต่ไม่ได้เจตนา เช่นนั้น
เราต้องรู้ตัณหา ๓ อย่าง เจตนาเราที่เป็นกามตัณหา ก็เพราะว่า คุณเต็มไปด้วย กาม และภวภพ ก็ต้องการ แล้วไปทำเสียหาย
กาม ภวภพ ก็คือกิเลส เป็นไปเพื่อตัวตน ศักดิ์ศรีอำนาจ ส่วนกามก็คือ สัมผัสด้วยทวารนอก คุณก็จะเอา ทั้งลาภ ยศ อำนาจ เจตนารมย์ เป็นเช่นนั้น คุณไม่รู้เจตนา ที่เป็นวิภวภพ เป็นอย่างไร คุณพูดไปอย่าง ไม่เดียงสา อาตมา ก็สงสารคุณ เห็นคุณตก ในวัฏฏะสงสาร เวทนาคุณ โดยที่คุณ ไม่รู้จักเวทนา