570403_พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ที่ป้อมมหากาฬ เรื่อง บริหารแบบคนจน |
พ่อครูว่า.. เราก็ดีนะยังโชคดีมาฟังธรรมทุกวันๆ เป็นบุญเป็นกำไรอันหาได้ยาก มาฟังธรรมพระพุทธเจ้าทุกวัน ก็พูดซ้ำย้ำว่า การเกิดมาเป็นคน ไม่มีอะไรดีเท่ากับแต่ละชาติ ต้องได้ธรรมะ ไม่เช่นนั้นก็เป็นโมฆบุรุษ เป็นคำตรัสของ พระพุทธเจ้า เกิดมาไม่ได้อะไร ตายไปเปล่าๆ
อาตมาก็ต้องพูด แม้จะน่าเบื่อซ้ำซากก็ตาม ก็คิดดูง่ายๆ ชีวิตเกิดมากินอยู่ไป ดีไม่ด ีใครไปแต่งงาน ก็ต้องรับภาระ เลี้ยงลูกเต้าไป ลูกดีก็แล้วไป ลูกไม่ดีก็ทุกข์ทรมาน แต่งงานได้คู่ดี ก็ดีไป แต่ก็สุขทุกข์ วนเวียนไม่รู้จบ เป็นวิบาก วนเวียนไป ไม่รู้จัก วิธีดับเหตุแห่งทุกข์
เกิดมาได้ร่างมนุษย์ แม้จะได้โลกียธรรม ชาตินี้ได้กุศล ก็ไม่พ้นวนเวียน เกิดไปกี่ชาติก็ลืม โลกครอบงำไป สุดท้าย ก็เปลี่ยน วนเวียน ถ้าไม่ได้จุดสำคัญ ในการเปลี่ยนทิศทาง กระแสจิต ที่เรียกว่า โสตาปันนะ โดยรู้จิตเจตสิก ตนเอง ก็จะวนเวียนอีก สิ่งที่อาตมาเกริ่น เป็นต้นเรื่อง ที่ต้องย้ำ ทั้งคนใหม่และเก่า อาตมามีหน้าที่บอก ด้วยความจริงใจ ใครจะเชื่อหรือไม่ ก็บังคับกันไม่ได้
ผู้เห็นด้วยเห็นจริง ก็ศึกษาจนสามารถ มีดวงตาเห็นจริง อ่านจิตออก ทำจิตเป็น พวกเรานี่นั่งๆอยู่นี่ หรืออยู่ที่ไหน ฟังอยู่ ก็ตรวจสอบว่า อ่านจิตออก ทำจิตเป็นนี่ เราทำเป็นจริงไหม เราอ่านจิตออกไหม ไปเข้าใจจิตว่าคืออะไร
เขาสอนกันว่า จิตเป็นผีเป็นเทวดา เป็นโครงสร้าง เส้นแสง รูปร่างของผีหรือเทวดา ก็ไม่มีความรู้สึก เป็นรสอย่างไร ผีเป็นรส ร้ายๆเลวๆ รสน่ากลัว รสทุกข์ คือผี แต่รสของเทวดา เป็นรสสุข แล้วรสทุกข์รสสุข แค่นี้ก็รู้ไม่ได้ สอนกันผิดๆว่า เป็นรูปร่าง ของผีหรือเทวดา
แท้จริงผีหรือเทวดา ไม่สามารถเห็นได้ ด้วยตาเนื้อ แต่ว่ารู้ได้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส
กายคือ มีสภาพข้างนอกที่กระทบ เป็นมหาภูตรูป เป็น ดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นธาตุ ๔ กระทบจิตวิญญาณ เรารู้สึกได้ กระทบ ทางตา ก็เห็นรูป หรือกระทบเสียง ก็ได้ยิน จมูกได้กลิ่น เป็นธาตุลม ไม่เห็นเหมือนน้ำ ไม่เป็นแท่งก้อนเหมือนดิน ไม่ได้รู้ว่า เป็นอาการ ร้อนหรือเย็นอย่างไร ถ้าไม่สัมผัส ก็ไม่รู้ว่า ร้อนหรือเย็นอย่างไร ในดินก็มีร้อน หรือเย็นได้ ในลมก็มี ร้อนหรือเย็นได้ มันซ้อนๆๆกันได้ มหาภูตรูป ก็มีตามธรรมชาติ แล้วก็พัฒนา มาเป็นพืช
ซึ่งพระพุทธเจ้า ตรัสถึง นิยาม ๕ ของพลังงาน
๑. อุตุนิยาม (ส่วนที่เป็นพลังงานวัตถุ ฟิสิกส์ ฯลฯ) เป็นองค์รวมของ มหาภูตรูป เป็นกาย มีทั้งรูปและนาม ในแกแลกซี่ มีไม่รู้กี่โลก โลกของเรา เล็กนิดเดียว ถ้าเราไปศึกษา แต่แค่อุตุ เราก็ไม่รู้จัก ทุกข์และสุข
๒. พีชนิยาม (ส่วนที่เป็นพลังงานชีวะ พืชพันธุ์)
๓. จิตตนิยาม (ส่วนที่เป็นจิต เวไนย-อเวไนย ให้เกิดกรรม ตามโอปปาติกะพาเป็น) จะเป็นสัตว์เดรัจฉาน เล็กน้อย จนถึงสัตว์ใหญ่ ก็เป็นสภาพชีวะ ที่เคลื่อนไหวไปมา ในจิตนิยาม โดยเฉพาะสัตว์คน หรือมนุษย์ มีฤทธิ์ร้าย สามารถ ทำลายโลกได้ สัตว์เดรัจฉาน ทำลายโลกไม่เป็นหรอก วนเวียนไปกับโลก แต่สัตว์คนนี่ ทำลายโลกได้ จริงๆแล้ว มันช่วยทำลายโลก จนแตกไป ไม่รู้กี่โลก ด้วยฝีมือสัตว์คน จึงเรียกว่า คนนี่ทำให้โลกแตก โลกเสียเลย แตกระเบิดไปเลย
๔. กรรมนิยาม (บทบาทหรืออาการแห่งกิริยา ของคน - ของโอปปาติกะสัตว์)
๕. ธรรมนิยาม (สภาพทั้งหมดของทุกสรรพสิ่ง)
สำคัญคือตัวเรา ได้อัตภาพมาเป็นสัตว์คน หากไม่ศึกษา เราจะเป็นเหตุ ให้โลกแตกด้วย
ชาวพุทธเรามีพระพุทธรูป พระเครื่องได้ แต่ให้มีไว้ เพื่อระลึกถึง เพื่อให้สติ ให้มีธรรมะ มีสติ สมาธิ เป็นโพชฌงค์ ระลึกถึง คำสอน เป็นเครื่องเตือนสติ
ชาวอโศกเรา มีงานพุทธาฯ ปลุกเสกฯ ก็ได้ประโยชน์ สำหรับผู้ที่รู้ค่า และต้องมาเติม แบตเตอรี่ ก็ได้ เป็นเวลา ที่จะอัด พลังธรรมะ เข้าไป ๗ วัน ก็วางไม้วางมือ งานภาระ เอาตัวมาใส่ใจ ฝึกฝนบำเพ็ญธรรม กัน ๗ วัน ก็ได้รับประโยชน์ มานานแล้ว ส่วนตลาดอาริยะ ก็เกิดมาภายหลัง
ตอนแรกๆก็จัดกันปีละครั้ง ตอนหลังมีบางปีจัดหลายครั้งเพราะว่าต้องมาชุมนุม ปีที่แล้ว ก็จัดที่บ้านราชฯ เราทำตลาดน้ำอาริยะ
เรามีวิธีการเกื้อกูลกัน ในสังคม มีทั้งผู้ให้และผู้รับ เป็นการค้าขาย ที่ขายแบบ ขาดทุนของเรา คือกำไรของเรา เราขาดทุน อย่างเป็นสุข เราขาดทุนเรื่องวัสดุ แต่ค่าแรง เราขาดทุนอยู่แล้ว เราไม่คิดค่าแรงอยู่แล้ว แต่นี่เราขาดทุนตัววัสดุ ที่จะต้องขายเลย ปีๆหนึ่ง ก็หลายล้าน สิ่งเหล่านี้ เป็นเรื่องที่พิสูจน์สัจธรรม ว่าเป็นความเจริญ
การบริหารบ้านเมือง แบบคนจน หรือมีการค้าขายแบบ ขาดทุนของเรา คือกำไรของเรา อาตมาตั้งชื่อ การค้านี้ว่า พาณิชย์บุญนิยม ซึ่งในหลวงตรัสเรื่อง แบบคนจน หรือ ขาดทุนคือกำไร นี่ไม่ใช่ท่านตรัส แบบเล่นๆ หรือ เท่แต่กินไม่ได้
เราจะขาดทุนได้ ก็เมื่อมีคุณธรรมถึงขีด คนใดทำได้ ก็จะทำจริง และจะเป็นแกนของสังคม ส่วนผู้ที่ทำไม่ได้ ก็จะค่อยพัฒนา ถ้าเรามีความเข้าใจ ว่าชีวิตเรา ต้องมาขาดทุนอย่างนี้ มาเป็นผู้ให้ เป็นความประเสริฐ เลิศเลอของชีวิต จริงไหม ว่าผู้ให้นี้ ประเสริฐ แต่ผู้จะเอานี่ ไม่ประเสริฐนะ ชาวอโศกทำได้ และไม่ได้ทำชั่วคราว แต่ทำเป็นชีวิตเลย
เรามีพาณิชย์บุญนิยม ๔ ระดับ
๑.ขายต่ำกว่าราคาตลาด
๒.ขายเท่าทุน
๓.ขายต่ำกว่าราคาทุน
๔.แจกฟรี
เราจะลดต้นทุนได้ ก็เพราะเราขยัน หมั่นเพียร ก็สามารถ ลดต้นทุนได้มาก
เรามีหลักการค้าขายบุญนิยม ของดี ราคาถูก ซื่อสัตย์ มีน้ำใจ ขายสด งดเชื่อ เบื่อทวง (ปวดท้อง) เป็นเศรษฐศาสตร์ ที่จะแก้ไข ปัญหาได้ ในสังคมเจริญ คนค้าขาย มีแต่เสียสละไม่เอาเปรียบเอารัด คนเหล่านี้ ไม่มีทางรวย ถ้าประเทศนี้ ใช้หลักการนี้ ประเทศไทยเป็นต้น จะมีชื่อเสียงมาก
เช่น ชาวอโศก จะทำข้าว ปีละแสนตัน ขายในประเทศ หากเหลือ ก็ขายไปต่างประเทศ ด้วยระบบบุญนิยม นี่แหละ เป็นตามที่ พระพุทธเจ้าสอน ไม่ให้คนขี้โลภ เห็นแก่ตัว เมื่อลดโลภได ้ก็เป็นจริงได้ พหุชนหิตายะ เป็นประโยชน์ แก่หมู่ชน ทั้งหลาย พหุชนสุขายะ เกิดเป็นสุขแท้ แก่หมู่ชนทั้งหลาย โลกานุกัมปายะ เป็นไปเพื่อรับใช้ อนุเคราะห์โลก
ถ้าทำได้อย่างนี้ อย่างอาตมาคนเดียว สอนชาวอโศกแท้ๆ ก็ยังลดละได้ มีชาวอโศกมาทำจริง ๔๐ ปีแล้ว ในชีวิตเป็นสุข โดยไม่ต้องรวย มียศมาก ลาภมาก ก็ไม่ใช่ แต่สุขเพราะโลกุตระ ไม่ได้ยินดีในโลกธรรม ที่เขานิยมกัน ก็ไม่ต้อง สุขเพราะ เราได้สร้างสรร สิ่งประเสริฐ มีเนื้อหาสาระ ที่เราช่วยสังคม ได้ให้อยู่เย็นเป็นสุข ลดการแย่งชิง เปลืองผลาญ แล้วเราก็ทำจริง
ในหลวงเราเป็นพระโพธิสัตว์ รู้จักทฤษฎีหลัก แต่เสียดาย ไทยเป็นเมืองพุทธ แต่มิจฉาทิฏฐิ ถ้าพุทธกระแสหลัก เข้าใจเช่นนี้ แล้วทำ ไม่ต้องมาร่วมกับ โพธิรักษ์ ทำเองเลย ลดกิเลสให้ได้ แล้วทำจริง จะเกิดพฤติกรรมนี้ แก่สังคม ในหลวงตรัส แบบคนจน ถ้าสัมมาทิฏฐิ จะทำได้ อย่างอาตมาคนเดียว ก็พาอโศกทำ ถูกต่อต้านด้วย ในหลวงตรัสมา ก็ตรงกับอาตมา แล้วตรงกับ ต้นราก Root ของทฤษฏี ของพระพุทธเจ้า ทฤษฎีลดกิเลส ก็เกิดสภาพพวกนี้ได้ อาตมายังหวังอยู่ว่า ไทยยังมีทฤษฎี ยังมีไตรปิฎก ยิ่งตรวจสอบ ยิ่งเห็นจริง
อาตมาคนเดียว ยังพาทำได้ ไม่ใช่อาตมาเก่ง แต่ทฤษฎีของพระพุทธเจ้า ถูกต้องสัมมาทิฏฐิ คนมีปัญญาเห็นได้ ก็มาทำ คนมีปัญญา ทำจนเป็นพาณิชย์ ทั้งผลิต ทั้งเป็นพาณิชย์
เราทำแบบคนจน ไม่รวยหรอก แต่ส่วนกลาง มีเพิ่มขึ้น ส่วนตัวนั้นจน จนหมดตัวหมดตน ปฏิบัติได้แล้ว ตนเองไม่ต้องมี เรามีของเรา หมดตัวหมดตน มีแต่อาศัย เป็นปัจจัยหมุนเวียน เป็นสาธารณโภคี ภูมิใจว่า มีคนเห็นจริง แล้วทำได้ อาตมาไม่เห็นว่า มันต้องสูญ มีแต่จะเพิ่ม คนฟัง ได้มาทำตามมากขึ้น อาตมาพูด เหมือนนิยาย แต่เป็นเรื่องจริง วิเศษ ประเสริฐ
แบบคนจน หรือขาดทุนของเรา คือกำไรของเรา อาตมาพูดได้ว่า ได้สนองบุญคุณในหลวง ท่านมีพระปัญญาธิคุณ อาตมา ก็เอามายืนยัน เราก็ต้องศึกษาให้ได้ แล้วเป็นของจริง แล้วจะรู้ว่า ประเทศเจริญ
แบบคนจน
“เราเลยบอกว่า ถ้าจะแนะนำได้ ต้องทำ “แบบคนจน” เราไม่เป็นประเทศร่ำรวย เรามีพอสมควร พออยู่ได้
แต่.. ไม่เป็นประเทศ ที่ก้าวหน้าอย่างมาก เราไม่อยากจะเป็นประเทศ ก้าวหน้าอย่างมาก เพราะถ้าเรา เป็นประเทศ ก้าวหน้า อย่างมาก ก็ จ ะ มี แ ต่ ถ อ ย ห ลั ง ประเทศเหล่านั้น ที่เป็นประเทศ ที่มีอุตสาหกรรมก้าวหน้า จ ะ มี แ ต่ถ อ ย ห ลั ง และถอยหลัง อย่างน่ากลัว แต่ถ้าเริ่มมีการบริหาร ที่เรียกว่า “แบบคนจน” แบบที่ไม่ติดกับตํารา มากเกินไป ทําอย่าง มีสามัคคี นี่แหละ คือ เมตตากัน ก็จะอยู่ได้ตลอดไป...”
ท่านตรัส เศรษฐกิจพอเพียงก่อน และขาดทุนของเรา คือกำไรของเรา แล้วคนไม่เข้าใจ ก็มาตรัสแบบคนจนอีก ซึ่งก็น่าเห็นใจ เพราะเป็นสิ่งที่ เข้าใจได้ยาก
เช่นเดียวกับในพระไตรปิฎก การแปลกันมา ก็แปลผิดๆ เช่นไปแปล หัวใจเศรษฐี มีคาถา อุ อา กะ สะ เป็นหัวใจ ที่พาไปรวย นี่ก็แปลผิดๆ แต่ที่จริงไม่ใช่ ที่จริงเป็น ทิฏฐิธัมมิกัตถประโยชน์ (ประโยชน์ปัจจุบัน)
๑. อุฏฐานสัมปทา (ถึงพร้อมด้วยความหมั่น)
๒. อารักขสัมปทา (ถึงพร้อมด้วยการรักษาให้ดี)
๓. กัลยาณมิตตตา (ความมีมิตรดี ที่พาไปสู่...)
๔. สมชีวิตา (การเลี้ยงชีพ อย่างเรียบร้อยราบรื่น ใจสงบ เบิกบาน มีสัมมาอาชีพ พ้นมิจฉาชีพ)
(พตปฎ. เล่ม ๒๓ ข้อ ๑๔๔)
อย่างประเทศที่ถือว่า เจริญร่ำรวย คือเขาว่า ต้องค้าขาย ได้รายได้ เข้าประเทศมากๆ ต้องใช้สูตร อย่างโลกๆ คือ ต้องเอากำไร ให้เกินทุน เกินทุนได้มากเท่าไหร่ ก็จะถือว่าได้ผลดี Maximize Profit ถือว่าเป็นประเทศ เศรษฐกิจดี อย่างนี้ในหลวงท่านว่า ถอยหลัง เราไม่เอา จะเป็นอุตสาหกรรม แต่เกษตรกรรมตกต่ำ
เขาสร้างวิศวกรรมเก่งๆ อาวุธเก่ง ก็หากำไรมากๆได้ อันนี้ในหลวงว่า เป็นการถอยหลัง อย่างน่ากลัว ที่ได้เปรียบเขา ตั้งกำไร ให้มาก หลายร้อยเท่าก็ทำ แล้วหลงใหลว่า นี่คือความเจริญ ถือว่าสุจริตกันทั้งโลก คุณก็รวย ในหลวงว่าไม่เอา มันไร้เมตตา ขูดรีดไม่เมตตา การเอื้อเฟื้อ คือเมตตา
ไทยเรามีในหลวง เป็นโพธิสัตว์ เป็นอาริยธรรมแท้จริง ก็ทรงงาน มาตลอด พระชนม์ชีพ มีโครงการ พระราชดำริ มากว่า สี่พันโครงการ แต่ข้าราชการ ก็ไม่ได้ทำตาม ไปหลงหรูหรา ฟู่ฟ้าแทน อาตมาว่า ชาวอโศก เป็นผู้รับสนอง พระราชดำรัส ในหลวงได้ ขอฝากฝัง ให้ดำเนินไป ตามทฤษฎีหลักของในหลวง ให้เจริญงอกงาม ได้แบบอาริยธรรม ให้เจริญ แบบที่ ไม่ใช่แบบ มหาอำนาจทางอาวุธ หรือเศรษฐกิจ แบบเขาโลกๆ หรือแม้แต่ มหาอำนาจทางความรู้ แบบโลกๆก็ตาม แต่ไปเอาเปรียบ เอารัดประเทศอื่น
แต่ถ้าประเทศไทยเจริญ เราก็จะทำแบบ พึ่งตนเองรอด แล้วขยายผล ไปถึงต่างประเทศ ไม่ใช่ว่าเราจะไปล่า เอาอะไร จากเขา แล้วจะถือว่า เศรษฐกิจดี เพราะไปขูดรีด จากต่างประเทศ เราจะไม่ทำ
ความเจริญประเสริฐแท้ ต้องลดกิเลสได้ ถ้าไม่ลดกิเลสจริง จะทำได้ชั่วคราว เดี๋ยวก็กิเลสขึ้น ถ้าทำแบบ พระพุทธเจ้า จิตจะสันโดษ ไม่มีสวรรค์โลกีย์ เป็นภูมิปัญญา ที่ยิ่งใหญ่
ตามหลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้าที่เรียกว่า กถาวัตถุ ๑๐
๑. เรื่องที่ชักนำให้มักน้อย กล้าจน (อัปปิจฉกถา) .
๒. เรื่องที่ชักนำให้สันโดษ ใจพอ (สันตุฏฐิกถา)
๓. เรื่องที่ชักนำให้สงัดจากกิเลส (ปวิเวกกถา) .
๔. เรื่องที่ชักนำไม่ให้คลุกคลีกับหมู่กิเลส (อสังสัคคกถา) .
๕. เรื่องที่ชักนำให้ปรารภความเพียร (วิริยารัมภกถา) .
๖. เรื่องที่ชักนำให้บริสุทธิ์ในศีล (สีลกถา)
๗. เรื่องที่ชักนำให้จิตตั้งมั่นในสมาธิ (สมาธิกถา)
๘. เรื่องที่ชักนำให้เกิดปัญญา (ปัญญากถา)
๙. เรื่องที่ชักนำให้หลุดพ้นจากกิเลส (วิมุติกถา)
๑๐. เรื่องที่ชักนำให้เกิดความรู้แจ้ง เห็นจริงในความหลุดพ้น จากกิเลส (วิมุตติญาณทัสสนกถา)
(พตปฎ. เล่ม ๒๔ ข้อ ๖๙)
การจะทำความวิเวกไม่ใช่ว่า ให้ไปอยู่ป่าเขา เหมือนพระอุบาลี ที่ขอพระพุทธเจ้าอยู่ป่า... พระอุบาลี ปรารถนา จะไปอยู่ป่า และ ราวป่าอันสงัด พระพุทธองค์ตรัสว่า... ป่าและราวป่าอันสงัด อยู่ลำบาก ทำความวิเวกได้ยาก ยากที่จะอภิรมย์ ในการอยู่ผู้เดียว ป่าทั้งหลาย เห็นจะนำใจ ของภิกษุ ผู้ไม่ได้สมาธิ ไปเสีย
ผู้นั้นจำต้องหวังข้อนี้ คือ จักจมลง หรือจักฟุ้งซ่าน เปรียบเหมือนกระต่าย หรือเสือปลา ลงสู่ห้วงน้ำใหญ่ หวังจะเอาอย่าง ช้างใหญ่สูง ๗ ศอก หรือ ๗ ศอกกึ่ง กระต่ายหรือเสือปลานั้น จำต้องหวังข้อนี้ คือ จักจมลง หรือจักลอยขึ้น !!
(พตปฎ. เล่ม ๒๔ ข้อ ๙๙)
ผู้ที่มีจิตโลกุตระแล้ว มีสมาธิจิต มีวิมุติแล้ว ก็ไปทดสอบ ไปอยู่ป่าว่า เราจะจมหรือจะลอย ซึ่งห่างจาก สิ่งยั่วยุ มอมเมาในเมือง เราอยู่ในป่า จะฟุ้งซ่านหรือไม่? ห่างมาหลายเดือนแล้ว จะทนไหวไหม อยากจะได้ลาภยศสรรเสริญ ห่วงหา อาวรณ์ไหม หรือไม่ก็จม ติดป่า ไม่มาแล้วเมืองกรุง ขออยู่ในรู ในป่าเขา จมอยู่ติดป่า นั่นคือจมกับลอย ถ้าไปเช็คแล้ว เราไม่ฟุ้ง หาโลกธรรม แล้วเราก็สงบดี ชัดเจน เราก็ไม่ติดป่า รู้ว่าไม่วุ่นวาย เหมือนโลกีย์ อย่างพระยสะว่า โลกนี้วุ่นวายจริงหนอๆ เป็นลูกคนรวย ใส่รองเท้าทองคำ มีแก๊งค์โลกีย์
ระบอบระบบพระพุทธเจ้า ต้องมีมิตรดี สหายดี อย่างใน สุริยเปยยาลสูตร ต้องมีมิตรดี สหายดีก่อนเป็น แสงเงินแสงทอง จึงมีมรรคองค์ ๘ ที่เป็นสุริยา
ทฤษฏีพระพุทธเจ้า เป็นของทันสมัย ใหม่เสมอ หรือเก่ามาก แต่ทันสมัยเสมอ เป็นของเก่า จะสมัยใหน ก็ยังใหม่เสมอ ยืนยันว่า พวกเราชาวอโศก มาปฏิบัติธรรม ตามพระพุทธเจ้า อย่างในหลวงท่านว่า ให้ปิดตำราโลกีย์ มาศึกษาตำรา อลุ่มอล่วย เมตตากัน ผลจะเป็นศาสตร์ ไม่ใช่ศาสตราอาวุธ แต่จะเป็น ความรู้เจริญ เป็นคนจนมหัศจรรย์ ไม่เบียดเบียนใคร แต่จะเอื้อเฟื้อ แจกจ่าย เจือจานคนอื่น ไม่ใช่คนจน ที่เบียดเบียนคนอื่น
เมืองไทย ยังมีทฤษฏีตำราของพุทธ คือไตรปิฎกอันดีงาม มีปราชญ์ กษัตราธิราช ผู้ยิ่งใหญ่ ที่มีพระปัญญาธิคุณ มีอาริยธรรม และพยายามนำพาทำ แต่ก็ไม่ค่อยได้
มาถึงวันนี้ อาตมาว่า น่าจะได้ฟัง และใคร่ครวญไตร่ตรอง ถ้าเข้าใจเห็นดีงาม ก็มาช่วยกันทำ อาตมาว่า เมืองไทยจะฟื้นคืนได้ แม้ตอนนี้ การเมืองก็ก้าวหน้า ความเสื่อม ถึงที่สุดแล้ว จนหลายคนเห็นว่า ไม่มีทางออก และขอยืนยันว่ามี ทางนี้ เป็น เอเสวมัคโค นัตถัญโญ พพ.ตรัสไว้
แต่อาจารย์รุ่นหลัง ก็ไปรวบรวมผิดๆ เช่น กสิณ ๔๐ เป็นต้น เขาใช้ทำ เจโตสมถะ แต่เขาแยกไม่ออก ระหว่าง เจโตสมถะ กับโลกุตระ การสอนว่า ทางไปนิพพาน มีหลายทาง เป็นการสอน ที่ขัดกับพระพุทธเจ้าตรัส [๓๐] ทางมีองค์แปด ประเสริฐกว่าทาง (หรือมรรค)ทั้งหลาย ธรรมอันพระอริยะเจ้า พึงถึง ๔ ประการ ประเสริฐกว่า สัจจะทั้งหลาย วิราคธรรม ประเสริฐกว่า ธรรมทั้งหลาย ... ฯลฯ
ทางนี้เท่านั้น เพื่อความหมดจดแห่งทัศนะ ทางอื่นไม่มี (เอเสวมัคโค นัตถัญโญ) เพราะเหตุนั้น ท่านทั้งหลาย จงดำเนินไป ตามทางนี้แหละ เพราะทางนี้ เป็นที่ยังมาร และเสนามารให้หลง ด้วยว่าท่านทั้งหลาย ดำเนินไปตามทางนี้แล้ว จักทำที่สุด แห่งทุกข์ได้ (พตปฎ. ล.๒๕ ข.๓๐)
ทางเดินนี้ก็คือ โพธิปักขยธรรม ๓๗ หรือ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นต้น
การอธิบายศีล สมาธิ ปัญญา วิมุต วิมุติญาณทัสนะ ถ้าสัมมาทิฏฐิ ก็จะบรรยายตรงกัน ไม่ขัดแย้ง ก็ต้องตามหาคนถูกได้ ต้องตามหาคนถูก จึงไปได้ ผู้ที่ทำถูกเหมือนกัน จะตรงกันจริงๆ เพราะมีทางเดียว ส่วนจริตอีกส่วนหนึ่ง ไม่มีปัญหา
มีผู้ถามมาว่า ตากระทบรูป เกิดวิญญาณรวม เรียกว่า ผัสสะ ๓ การที่ท่านตรัสว่า ผัสสะเป็นนามรูป ก็เนื่องมาจาก ในผัสสะ มีวิญญาณ ร่วมอยู่ด้วยใช่ไหม?...ก็ใช่ คำว่านามรูป คำว่ารูปนี้ มี เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ
ผัสสะต้องมีการกระทบ สัมผัส และต้องมีนาม เป็นหลักด้วย การกระทบ วัตถุกับวัตถุ ไม่เกิดผัสสะ มหาภูตรูป กระทบกับ มหาภูตรูป ไม่เกิดผัสสะ ต้องมหาภูตรูป กระทบกับนามธรรม จึงเกิดผัสสะ มีวิญญาณ หรือนามธรรม กระทบกับ นามธรรม ก็เกิดวิญญาณได้ เรียกว่า นามกาย เป็นองค์ประชุม ที่มีนาม ที่มีรูป
งานปลุกเสกฯ จะมีการอธิบายสิ่งเหล่านี้ อาตมาจะเทศน์เช้า ทุกเช้า ๖ วัน ซึ่งวันแรก จะไม่ได้เทศน์ทีเดียว แต่จะพาเปิดงาน เทศน์ บรรยายนำก่อน และปฏิญาณ ศีล ๘ ในเวลาเก้าโมงเช้า การบรรยายธรรมะ ครั้งนี้ จะตั้งชื่อว่า “สัจจะที่ปรากฏ”
ก็มั่นใจในประเทศไทย ที่สามารถต่อเนื่อง ในคุณธรรม ของพระพุทธเจ้า มั่นใจว่า จะเป็นประเทศหลัก ไปจนสิ้น ศาสนาของ พระสมณโคดมนี้ ต้องดึงโลกุตรธรรม ฟื้นให้ได้ อาตมามั่นใจว่า ฟื้นแล้ว หลังจากที่สลบไสล ไม่มีฤทธิ์โลกุตระ ไปนาน จนบ้านเมือง อยู่ร้อนเป็นทุกข์ เหตุมาจาก ขาดธรรมะ ท่านพุทธทาสว่า ศีลธรรมไม่กลับมา โลกาจะวินาศ แต่ตอนนี้ อาตมา ก็ได้บอกไว้ว่า ศีลธรรมกลับมาแล้ว โลกาจะไม่วินาศ มาช่วยกันรังสรร สืบสานกันต่อเถอะ อาตมาเห็นว่า เราออกมา ทำงานการเมือง ก็ได้นำธรรมะ มาสถาปนาในการเมือง ตามที่ท่านคานธีว่า ถ้าการเมือง ไม่มีธรรมะ มาสถาปนา ไว้ในการเมือง จะไปไม่รอด เลวร้าย
เพราะการเมืองอ่อนแอ เป็นทรชน เลวร้ายอำมหิต ท่านก็เลย แยกธรรมะ ออกไปก่อน ไม่อย่างนั้น ทรชน ทำร้ายธรรมะ ไม่เหลือซาก ท่านก็เลยกันธรรมะ ออกจากการเมืองก่อน ท่านกันเอาไว้ถูกแล้ว แต่ผู้มีโลกุตรจิต สามารถทำให้เกิด พหุชนหิตายะ (เพื่อหมู่ชน เป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ (เพื่อความสุขของหมู่ชน เป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ (รับใช้โลก ช่วยโลก) จะมาสร้างสังคมการเมือง ประชาธิปไตยได้ แต่อย่าหลงผิด ว่าตนได้บรรลุธรรม แต่ไม่จริง แต่ถ้าไม่บรรลุ ก็ไม่กล้าหรอก แล้วจะพาคนหลงไป แต่ถ้าเป็นโลกุตรจิต อยู่เหนือโลกียะ แม้การเมืองโลกีย์ตัวร้าย ไปจมโลกีย์ลาภยศ สรรเสริญ กามอัตตา จมหนัก ที่ยื้อกันยากนี่ เพราะกลัวเสื่อมโลกธรรม เช่น ข้าราชการไม่ออกมา ก็เพราะกลัวเสียโลกธรรม เสียกาม และอัตตา เราจึงชื่นชม ถวิล เปลี่ยนสี และ พลเรือตรี วินัย กล่อมอินทร์ เป็นคนหายาก ข้าราชการ ที่ไม่เป็นทาส ของโลกธรรม ลาภสักการะ สรรเสริญ
อาตมาว่า ตอนนี้มีพลังค่อยฟื้นแล้ว สักวัน ก็ค่อยมารวมตัวกัน ไม่ว่าข้าราชการ หรือผู้มีอิทธิพลทางสังคม ก็มาช่วยสังคม ที่อึดอัด ทรมาน ทุกข์ฝีจะแตกระบมหนัก จะแตกมิแตกแหล่ สักวันก็ต้องคลาย ไม่แตกอย่าง ระเบิดทำลายกัน แต่คงจะแตก อย่างเรียบร้อย หัวหลุดไปง่ายๆ ฝีก็ฝ่อไป อย่างนั้น
สิ่งจริงอันถูกต้องดีงาม ปรากฎเยอะ แต่สิ่งเลวร้าย ก็ปรากฎเยอะ ทำให้คนเห็นได้ชัด เกิดอย่างหยาบคาย หน้าด้านหน้าทน ทำกันโต้งๆ คนมีหน้าที่ควรจัดการ ก็ไม่ทำ ไม่มีกำลัง แต่เชื่อว่า กำลังจะขึ้น มีสำเหนียก สักวัน ก็คงต้องพรึ่บ พลังกุศล รวมตัว เป็นปึกแผ่น ขจัดสิ่งเลวร้าย ตอนนี้ต้องรักษา ดีเข้าไว้ อย่าละเมิด สงบสันติ ปราศจากอาวุธ ให้ได้ เขาจะยั่วยุ ทำร้ายอย่างไร มีวิบากบ้าง ก็ต้องยอม ไม่ต้องตอบโต้ ปล่อยให้เขาทำร้าย หลีกได้ก็หลีก รักษาคุณงามความดีเอาไว้ ชนะ ถ้าชนะคราวนี้ สุดยอด
อาตมาย้ำว่า ความสงบ สยบความรุนแรง เป็นอำนาจ Sovereignty เป็นอำนาจปชช. เป็นรัฐาธิปัตย์ ยิ่งใหญ่ ทั่วโลกขานรับ ชนะอาวุธ รุนแรงเลวร้าย ชนะจริงๆ ความชั่วเลวร้ายรุนแรง เอาชนะไม่ได้หรอก ยกย่องไม่ได้ ต้องยกความดีงาม ในปัญญาชน ไม่ผิดสัจธรรม มาถึงวันนี้ เราก้าวหน้า ชนะรายทาง มาไกลแล้ว รักษาให้ตลอดรอดฝั่ง ใครผิดไปแล้ว ก็รักษาท่าทีใหม่ รักษาให้ดี จึงจะชนะ ไม่มีอาวุธอื่น นี่คือ ธรรมาวุธที่สุดยอด อย่าไปก่อหวอดเลวร้าย สงบเข้าไว้ เอาความจริง ถูกต้องดีงาม ไขความจริง มีตุลาการภิวัฒน์ และประชาภิวัฒน์ช่วยกัน มวลมาก เขาทำชั่วได้ยาก แต่มวลน้อย เขาทำชั่วได้ง่ายกว่า แต่อย่างวันที่ ๑๘ ก.พ. ที่ผ่านมา เป็นธรรมาภินิหาริย์
ยืนยันสรุปว่า อดทนอีกนิดเถอะน่า อดทนไปพอสมควร มันใกล้พอสมควรแล้ว จะเรียกทฤษฏี มะม่วงหล่น หรือ อึ่งอ่าง ท้องแตกก็ตาม ที่สำคัญ ต้องทำดี สงบ สันติ ปราศจากอาวุธให้ได้ แล้วทำให้มวลมีมาก คนมาเป็นล้าน ก็สงบได้ เหลือให้เป็นหน้าที่ของ กรรมาภิวัฒน์ คือการทำกุศลกรรม กรรมาภิวัฒน์ จะเป็นตัวตัดสินจัดการ ให้เกิดผล เป็นที่สุดเอง...