570406_พ่อครูเทศน์ เปิดงานปลุกเสกฯ ครั้งที่ ๓๘ ที่ผ่านฟ้าฯ |
พ่อครูพาตั้งนโม ๓ จบ....
วันนี้เป็นวันที่ ๖ เม.ย. ๕๗ เป็นวันแรก ของงานปลุกเสกฯ ครั้งที่ ๓๘ เป็นประเพณี ที่จะเป็น ประเพณี ชาวอโศก ตลอดไป ไม่ว่าจะมีการชุมนุม ร่วมประชุม เพื่อร่วมฝึกปรือ แต่ละปีๆ เป็นประจำปี เป็นจารีต ซึ่งทุกคน ก็รู้ว่างานนี้ จะให้อะไรแก่ชีวิต งานนี้ ก็จะให้ความรู้ ทั้งปริยัติ และปฏิบัติ ประพฤติ และทั้งจะมีตัวอย่าง เกิดจริง เป็นปรากฏการณ์จริง ของชีวิต ให้แก่สังคมด้วย เป็นชีวิตขององค์รวม ทั้งสังคม
ในสังคมก็มีมนุษย์ รวมกันเป็นสังคม เมื่อรวมกัน เป็นหมู่ใหญ่ ก็เรียกเป็นกลุ่ม จนเป็น ประเทศ เป็นรัฐ หรือก็มีซ้อนลงไป เป็นจังหวัด หรือสาธารณรัฐ ก็มีรัฐต่างๆ ซ้อนกัน อย่างนั้น อย่างของไทย เราปกครองอย่าง ประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข เป็นรัฐเดียว แบ่งแยกไม่ได้
ซึ่งจะต่างจากประเทศ ที่เป็นสาธารณรัฐ ที่มีหลายรัฐ และมีกฎหมาย ของแต่ละรัฐ แตกต่างกันไป แต่ของไทยเรามีรัฐเดียว ซึ่งก็มีคนเข้าใจผิด สร้างความแตกแยกว่า อำนาจรัฐาธิปัตย์นี้ เขาเข้าใจผิดไป
ผู้ที่เข้าใจรัฐาธิปัตย์ ในเรื่องของสหรัฐ ที่มีหลายรัฐรวมกัน เป็นสาธารณรัฐ คือรวมกัน เป็นส่วนกลาง ของสหรัฐ ก็ต่างกันกับรัฐ ที่เป็นประเทศ ที่มีรัฐเดียว จึงไม่มีกฎหมาย แยกความเป็นรัฐต่างๆ จะมีกฎหมาย ที่ต่างไปนิดหนึ่ง ก็คือ กฎหมายจังหวัด เช่น กทม. หรือ พัทยา
คำว่ารัฐาธิปัตย์ เมื่อไทยเราไม่ใช่สหรัฐ ความเป็นรัฐาธิปัตย์ จึงต่างไป ความเข้าใจอันนี้ ก็ยังไม่ละเอียดพอ ก็เข้าใจสับสนกันไป ไม่ถูกตรง
ประเทศไทย เป็นประเทศ มีรัฐเดียว อำนาจของประชาชน ในรัฐเดียว จึงเป็นอำนาจ ทั้งหมด ที่เรียกว่า รัฐาธิปัตย์ ไม่เป็นสาธารณรัฐ ที่มีหลายรัฐ และไทยเรามีรัฐเดียว ที่เป็นเอกรัฐ และมีราชาด้วย เป็นอำนาจที่ไม่แบ่งแยก จะบริหารอย่างเดียวกัน ทั้งประเทศ ด้วยกฎ หลักเดียวกัน ตอนนี้ ก็มีความเห็น ต่างกันไป ก็เลยต้องตีความ ด้วยมาตรา ๒ หรือ ๓
ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจ ที่ให้สถาบันทั้ง ๓ เป็นผู้ใช้อำนาจ มีส่วนท้วงตุลาการ ได้ แต่ก็ท้วงได้ซ้อนอีก เพราะว่า มันมีความลึกซึ้ง ที่ตุลาการ เป็นสถาบัน ที่ได้รับเลือกจาก พระมหากษัตริย์ ที่เป็นหัวหน้า ของประชาชนอีกที จึงต่างจากอีก ๒ สถาบัน อย่างลึกซึ้ง มีนัยสำคัญ ของประเทศ ที่เป็นประชาธิปไตย สองขา จึงต้องทำแบบ ประเทศประชาธิปไตย ที่มีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข และเป็นการยืดหยุ่น และอลุ่มอล่วยกัน ถ้าเข้าใจแล้ว จะอยู่อย่าง สงบสันติ
ถ้าเข้าใจชัดเจน อำนาจ ของประชาชน ที่เป็นรัฐ หรือเอกรัฐ อำนาจรัฐ จึงเป็นของ ประชาชน ไม่แบ่งแยก ในมาตรา ๑ และ ๒ ก็ยากที่จะแบ่งแยก ว่าอันนี้ เป็นเรื่องของแผ่นดิน หรืออันนี้ เป็นสิทธิมนุษยชน เป็นต้น
อำนาจรัฐ ที่เรียกว่า รัฐาธิปัตย์ โดยเฉพาะประเทศ ที่มีรัฐเดียว จะเรียกว่า สาธารณรัฐ ส่วนกลาง จึงยากจะเข้าใจ และคำว่า สาธารณะ หรือส่วนกลางน ี่เป็นเรื่องสำคัญมาก ถ้าจะบริหาร ร่วมกันใช้สอย อย่างไม่ยึดติด เป็นเรา หรือของเรา “บริหารอย่าง ไม่เป็นเรา ไม่เป็นของเรา” นี่มีธรรมะ เข้าไปเกี่ยวข้องแล้ว
ไม่ว่าทรัพย์ส่วนกลาง เช่น บ่อน้ำมัน หรือ แก๊ส เป็นต้น เป็นของประชาชน ใครจะไป ยึดเอา หาประโยชน์ส่วนตัว ประชาชน ถูกเอาเปรียบเอารัด หรือมีทรัพยากรอื่น ก็แล้วแต่ เช่น แร่ธาตุ เป็นต้น แต่น้ำมันกับแก๊ส นั้นชัดเจน
ความเป็นสาธารณะนั้น ใครมีความเห็นแก่ตัว แล้วเอาความฉลาด ได้ไปเอาเปรียบคนอื่น อันนั้น ไม่ยุดติธรรม ต่อสาธารณะ แต่ถ้าคน มีความเห็นแก่ตัวน้อย หรือลดกิเลสได้จริง ตามลำดับๆ โสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ ลดได้จริง จะมาปฏิบัติ สาธารณโภคี ที่จะอุปโภค บริโภค ขอยกตัวอย่าง ผู้ที่มีสาธารณโภคี ได้สูงสุด คือ ชาวอโศก แม้ไม่ดีสุด แต่ก็นำหน้า มนุษยชาติ เพราะมีระบอบ ระบบวิธีการบริหาร ทรัพยากร สาธารณะ อย่างเป็นกองกลาง มีผู้จัดสรรดูแล อย่างคอมมูนิสต์ หรือประชาธิปไตยก็ดี อย่างประชาธิปไตย ก็มีกระทรวง การคลัง หรืออื่นๆ เป็นต้น แล้วจัดสรรแบ่งแจก เพื่อให้ทั่วถึง เท่าเทียม ให้คนสรรถนะต่ำ หรือพิการ ได้รับสิ่งเป็นปัจจัยยังชีพ ได้เพียงพอไม่เดือดร้อนนัก รัฐก็ต้องแจกจ่าย ให้ทั่วถึง แม้แลกเปลี่ยน ก็ควรเป็นบุญนิยม ไม่ใช่ทุนนิยม
เมื่อสังคมใด ความเห็นแก่ตัวน้อยลง ก็จะมีพฤติภาพ Characteristic ที่มีองค์รวม ที่แสดงออก มีอาการบอกว่า เห็นแก่ตัวน้อยลง ต่างจาก องค์รวมของประเทศ ที่มีกิเลสมาก จะต่างให้เห็นเลย ใครสังเกต Character ของชาวอโศก กับกลุ่มประเทศ
อโศกมีมักน้อยสันโดษ เผื่อแผ่เจือจาน ทำงานรับใช้สังคม อย่างยิ่ง ขออภัย ที่ต้องพูด เหมือนเบ่งข่ม แต่เป็นเรื่อง การศึกษา ที่ต้องอ้างอิง ยืนยันได้
เมื่อชาวอโศก ได้ปฏิบัติตามธรรมะ พระพุทธเจ้า จนมีความเห็นแก่ตัวลด มีความเห็นแก่ตัว ในตนน้อยลงๆ ก็เลยเป็นพฤติกรรม รวมเป็นพฤติภาพ ออกไปสู่สังคม ร่วมเรียกได้ว่า เป็นการทำงาน รับใช้สังคม ถือว่าเป็นงานการเมือง งานรัฐศาสตร์ รัฐกิจ เป็นการช่วยรัฐประเทศ สังคมส่วนรวม
อโศกได้ออกมาทำงาน กับส่วนรวม ตั้งแต่อยู่เป็นชุมชน ก็ได้ผลิต อุปโภคบริโภค แก่สังคมแล้ว ผลิตของดี ไม่เป็นพิษ ราคาถูก การศึกษา เราก็ให้เรียนฟรี การสื่อสาร เราก็ทำโดย ไม่มีโฆษณา ไม่ได้ทำเพื่อเลี้ยงชีพ แต่เราใช้เรี่ยวแรง หาด้วยส่วนตัวเรา มาเป็นการสื่อสารต่างๆ ที่เราทำได้ สะพัด สู่สังคม เราทำแบบ บุญนิยม ไม่ได้เอาประโยชน์รายได้ จากงานนี้ ไม่ว่าจะเป็น สื่อสารต่างๆ
แม้แต่ศิลปะ ซึ่งทุกวันนี้ เขาก็ใช้ศิลปะ เป็นไปเพื่อ ทำงานหากิน เอาเปรียบ ขายแพงๆ แต่อาตมา เป็นศิลปิน เคารพเชิดชูศิลปิน จะไม่ทำเพื่อ ทำมาหากิน เอารัดเอาเปรียบใครๆ เช่น การได้ขาย งานชิ้นหนึ่ง ไปประมูล เป็นของตน ส่วนตัวไป ก็เป็นการเห็นแก่ตัว งานก็ไม่ได้ให้ คนหมู่มาก ได้ดู แต่ว่าให้คนๆเดียว เอาไปดู อย่างนี้ก็ขัดกับ บุญนิยม แต่เป็นทุนนิยม คือ ความเพิ่มกิเลส
ตอนนี้ เราจะสถาปนา บุญนิยม เข้าไปทดแทนทุนนิยม บุญนิยมคือ คนลดกิเลส เป็นพฤติกรรมจริง ในสังคม งานของมนุษย์ ที่รู้จักบุญยิ่งกว่า ทำทุน จึงเป็นพฤติกรรมกุศล หรือ อาริยะทำได้ ถ้าสังคม ไม่เป็นอาริยะ ทำไม่ได้ จะถูกทุน ครอบงำได้ เพราะเขา ไม่เข้าใจสัจธรรม ไม่เข้าใจ จิตวิญญาณ ที่เป็นประธาน ของสิ่งทั้งปวง จึงเป็นมนุษย์ ที่ทรงไว้ด้วยกิเลส เป็นเจ้าเรือน เป็นเจ้าของชีวิต กิเลสก็บงการชีวิต เห็นแก่ตัว ทุกประเทศ เอาไปเสพ เป็นของตน เสพก็คือราคะ เป็นของตนก็คือโลภะ ทำลายแย่งชิง เอาเปรียบคนอื่น ก็คือโทสะ
ทำร้ายเบ่งอำนาจ ให้คนอื่นยอม ให้ตนได้เปรียบ ก็คือโทสะ ไปบีบบังคับ เบียดเบียน พลังงานโทสะ ก็คือมีความรู้สามารถทำได้ จนได้เปรียบ หรือโลภะ คือเอามาเป็น ของตนได้ คนอย่างนั้น ไม่ใช่อาริยะ แต่เป็นเดรัจฉาน
แม้เดรัจฉาน ก็มีโลภ มีขอบเขตจำกัด แต่มนุษย์นี่โลภไร้ของเขต เลวกว่าเดรัจฉาน โลภมาก ทั้งที่ น่าแจกจ่ายออก ให้แก่คนอื่น เผื่อแผ่กระจาย ให้สะพัดแก่คนอื่น ได้ทั่วถึง ทำอย่างนี้ ถึงเป็นอาริยะมนุษย์
คนเห็นแก่ตัวน้อย หรือเป็นอรหันต์ จึงเป็นคน ช่วยมนุษยชาติ อย่างแท้จริง ทีนี้ทฤษฎี ที่จะทำให้ คนเห็นแก่ตัว น้อยลง อย่างแท้จริง เป็นอย่างไร? อันนี้ทุกคน ต้องแสวงหา ต้องค้นหา เอาเองว่า ใครหนอ เป็นเจ้าของทฤษฎี ที่ตรงกับพระพุทธเจ้า ทำแล้ว ทำให้คน ลดกิเลสได้ จนมา ร่วมเป็นหมู่ จนแสดงออก เป็นพฤติภาพ บุคลิคร่วม เป็นองค์รวม เป็นภาวะ ที่ปรากฏเห็นได้
Characteristic เป็นภาวะอาการ ที่เห็นได้ อ่านออกได้ว่า เป็นไปเพื่อเสียสละ ให้แก่คนอื่น ชัดว่า เป็นไปเพื่อเอา หรือ เพื่อพวกพ้องตนเอง แต่นี่เป็นไปเพื่อ ให้แก่คนหมู่มาก มากกว่า ยิ่งเข้าใจใน กายวิญญัติ หรือ วจีวิญญัติ ลีลาท่าทาง กายกรรม หรือวจีกรรม ที่ออกมาจากมโน เป็นประธาน ไม่ซ่อนแฝงเร้น หรือเห็นแก่ตัว มันเป็นพลังงาน ซ่อนแฝง potential มันก็ออกมา โดยไม่รู้ตัว เป็นโมหะ หรือควบคุม ไม่ให้แสดงออกได้จริง มันก็แสดงออกมา อย่างไม่เห็น แก่ตัวได้ แต่ถ้าควบคุมไม่ได้ อ่านไม่ออก ก็ทำอย่างโมหะ อวิชชา จากกายและวจี ที่เป็นองค์รวม ทั้งนัจจะคีตะวาทิตะ แสดงองค์รวม ของร่างกาย เป็นองค์ประกอบที่ คนมีภูมิปัญญา จะอ่านออก
แต่มีภาวะซับซ้อนว่า อรหันต์นี่ ทำอนุโลมแก่คนอื่นได้ คนเลยมองว่า ท่านมีกิเลส เหมือนคน เหล่านั้น ทั้งที่ไม่ใช่ ตัวจริงจิตท่าน ท่านทำเพื่ออนุโลม กับหมู่กลุ่ม ท่านหมด เห็นแก่ตัว แต่ต้องมาทำ ร่วมกับหมู่ ที่ยังเห็นแก่ตัวอยู่ ท่านก็อนุโลมได้ คนเลยนึกว่า ท่านมีกิเลสอยู่
เป็นภาวะซ้อนตีกลับ เป็น ปฏินิสสัคคะ คือการทวน ที่ไม่มีสวรรค์ ทำกลับ อนุโลม
ตอนนี้ อาตมามั่นใจว่า คนไทยมีธุลี ในดวงตาน้อย จะรู้โลกุตรธรรม อาริยธรรม ของพระพุทธเจ้า ได้จริง ทำงานมา กว่า ๔๐ ปี แม้ในวงการดารา อาตมาก็ยังเปิด คอลัมน์ธรรมะ อยู่ในนสพ. ดาราภาพ และในนสพ. ของโทรทัศน์ อาตมาได้พยายาม ทำงานทางธรรมะ ตั้งแต่เป็นฆราวาส จนบวชปี ๒๕๑๓ ก็ทำงานธรรมะเต็มตัว ทำงานได้ผล มีหมู่กลุ่มอโศก เป็นชาวบุญนิยม
บุญคือ การชำระออก ล้างกำจัดออก ไม่ใช่บุญคือได้มา ได้สิ่งของ ได้โลกธรรม อันนั้น ลงทะเล ยะเยือกเลย ทวนกลับ เรื่องบุญเลย ทุกวันนี้ คนเข้าใจบุญ ทวนกระแสกับ บุญของพระพุทธเจ้า ก็เลยลงนรก พังไปหมด ทั้งสังคม
การสอนที่คนไม่เข้าใจ คำว่าบุญ เข้าใจผิด ว่าเอาบุญคือได้มา ไม่ใช่ บุญคือได้ลดละ เสียสละ ลดกิเลส นี่คือบุญ แต่สอนกันผิด ก็เลยไม่ได้มรรคผล
เมื่อเราได้บุญ ชำระกิเลส ลดโลภ โกรธ หลง ได้ มาเป็นชาวสาธารณโภคีได้ ได้อย่างชัดเจน ในคนมีปัญญา จะเห็นได้ แต่คนไม่เข้าใจ หาว่าอโศกกระจอก ซำเหมา มาทำงานรับใช้ เช็ดถู ปัดกวาด ไม่สวยงาม ชั้นสูงไฮโซ ก็ใช่ พวกเราพวกโลโซ ไม่ได้แย่ง คุณเสกโลโซนะ เราทำงาน ความจริงโลโซจริงๆ แต่เราทำอย่าง มีความรู้สามารถ
แต่เราทำกับสังคม ระดับสูง เขายังไม่เชื่อ เพราะเราไม่ได้ทำ ระดับวิถีสะพัด เขาก็ยัง ไม่ยอมรับ เขาไม่เชื่อว่า การค้าแบบนี้ จะพาให้ทุน ที่เขามีเยอะนี้ ไปได้รอด แถมให้มา จนเขาก็ไม่เอา สำหรับ คนจะไปรวย
แล้วถามคุณว่า คนในโลกนี้ รักจะรวย หรือรักจะไปจน มากกว่ากัน ... คนส่วนใหญ่ ก็มักไปรวย จึงยาก แต่เราไม่ท้อ แม้น้อยเราก็ทำ เพราะเป็นแนวถ่วง ของสังคม สังคมแย่งจะเอา มากใหญ่ ก็เลยเดือดร้อน เราไม่เอาแบบนั้น สรุป เราไม่เอาแบบไปรวย เราก็ทำงานของเรา แม้โทรทัศน์ ก็ไม่ทำเป็นอาชีพ แม้การค้า ก็ไม่เอาเปรียบ ให้ขาดทุนของเรา คือกำไรของเรา ทำจริง ไม่ใช่แค่พูด ยถาวาที ตถาการี
จนวันน ี้คนทำได้ ตามลำดับ อาตมาจะพาทำ แบบนี้ต่อไป เป็นวิธีการ ที่มนุษย์สากล ลึกๆ ต้องการทุกคน แม้คนเห็นแก่ตัว ขนาดไหน ก็ต้องการ เพราะมันง่ายไง จึงไม่ขัดแย้ง กับสังคมใดๆ บุญนิยม ไม่ขัดแย้งกับ สังคมใดๆเลย
ความสามารถกับความพวกเพียร ไม่ได้เป็นปฏิปักษ์กับ ความรวยหรือจน
ทุกวันนี้ อาตมาก็ส่งเสริม ให้พวกเราได้เรียนปริญญา ตรี โท เอกได้ ว่าให้รู้ว่า คุณมีความรู้ สามารถอย่างไร เราก็จะมีหลักฐาน ผลงาน เพื่อยืนยัน ไม่ใช่แค่ว่า เอาไปสอบจำท่อง แล้วเอา ใบนี้มา อย่าง ไม่ได้มีความรู้สามารถจริงเลย แค่พยายามจำ และทำข้อสอบ ได้ใบรับรองมา ความรู้สามารถก็หด ไม่ใช่ เราจะมีความรู้ สามารถจริง เอาจริง ซื่อสัตย์ แล้วได้ใบรับรอง ประชาชนชาวอโศก จึงมีใบรับรองด้าน มัธยม ปวช. ปวส. ตอนนี้ จะทำให้มี ปริญญา ตรี ขึ้นมา ก็ยังดำเนินการอยู่ แม้ยาก เพราะทวนกระแส แต่ก็พยายามทำ พวกเรา บางคนก็ว่า ไปเรียนนี่ มันเมื่อย แต่ก็ว่า สังคมเขาต้องการอยู่นะ และเราก็สามารถ เอาความรู้ ฝึกหัดสมรรถภาพ ไม่เสียหลาย เติมเต็มได้ เราเอามาใช้งานจริง เมื่อเราได้ใบรับรอง เชื่อมกับสังคม ก็เลยดีขึ้น
มีผู้ให้ข้อมูลว่า มีคนน้อยกว่าทุกทีเลย แค่ ๔๙๕คน ที่มาฟังในเต็นท์นี้ คนมาลงทะเบียน ยิ่งน้อยกว่าอีก คือมีแค่ ๒๒๙ คนเท่านั้นเอง ผู้มาครั้งแรก ๒๘ คน เขามาร่วมกับเราได้ยาก เพราะอินทรีย์ พละอ่อน แต่คนที่พอทำได้ ปล่อยวางได้ เอาประโยชน์จาก สัมปวังโก สิ่งแวดล้อมนี้ได้ มันจึงคัดเลือกบุคคล ตามจริง คนร่วมได้ก็คือ ต้องเอาจริง สู้ได้ มีปัญญาเห็นได้ ก็เต็มใจมา หรือฝืนมาร่วม ก็ได้ประโยชน์ หรืออีกพวกว่า พ่อท่านพาทำ ก็ทำ แม้พาลงนรก ลงหลุมขี้ก็ไป แต่ไว้ใจอาตมา ไม่พาลงต่ำหรอก พาทำสิ่งดีทั้งนั้น ก็ได้ผลอยู่ เชื่อผู้นำ ชาติพ้นภัย ถ้าผู้นำดีจริง ประเสริฐสูง ชาติพ้นภัย แต่ถ้าไม่ดีจริง ชาติบรรลัย ไม่พ้นภัย
การมาจัดงานที่นี่ เป็นอุปสรรค ที่จะก่อให้เจริญ อุป คือเข้าใกล้ ส่วน สัคคะคือสวรรค์ คืออุปสรรคนี่ เข้าใกล้สวรรค์ เป็นสวรรค์ ทั้งโลกียะ และโลกุตระ แม้โลกีย์ เขาก็ต้องทน หนักหนา กับอุปสรรค เขาก็ได้โลกธรรม แต่โลกุตระ ได้ละโลกธรรม ละกาม ละอัตตา เป็นสวรรค์โลกุตระ รู้เนกขัมสิตเวทนา รู้เคหสิตเวทนา นี่ดีใจเพราะได้สมกิเลส หรือได้ล้างกิเลส จะมีญาณปัญญารู้ว่า จิตตนออกอย่างไร ออกจากโลกเก่า ไปสู่โลกใหม่
จิตวิญญาณ ลดกิเลสได้ หน่ายคลาย ไม่สุขทุกข์กับโลกีย์ อย่างเก่า ถ้าสมกิเลส ได้บำเรอ ก็เป็นเคหสิตะ หรือไม่ได้ตามกิเลสแล้วทุกข์ ก็เป็นเคหสิตะ แต่ถ้าไม่ได้สมกิเลส แต่ทุกข์ เพราะต้องการ ลดละกิเลส ก็เป็นเนกขัมสิตะ โทมนัสเวทนา ก็เรียนรู้ลดละไป จนได้ผลดี เกิดสุขที่เกิดจาก การได้ลดละกิเลส เป็น เนกขัมสิตะ โสมนัสเวทนา
การจะมาปลุกเสกฯ หรือพุทธาภิเษกฯ นั้นพากันเป็นอาริยะ มีปฏิบัติ และเชื่อว่า และมีปฏิเวธ ได้ตามจริง ของแต่ละคนๆ เป็นการสอบไล่ด้วย เราก็จะได้จริงๆ มีข้อสอบ เพราะทั้ง เข้มและเคร่ง ในการปฏิบัติ เช่น การกินมื้อเดียว ไม่ใช้เงินใช้ทอง เป็นต้น อาหารหมด ก็รู้จักพอ ไม่หมดเราก็พอ เผื่อคนอื่นด้วย ไม่เห็นแก่ตัว ให้คนข้างหลังบ้าง ไม่ใช่ชั่งหัวมัน Let it be เอาแต่พวกกู อย่างนี้จิตเลว เราก็ได้มาฝึกฝน
การสอบไล่ จึงสอบไล่ทั้งหลักเกณฑ์ ทั้งปริยัติ ปฏิบัติ ทั้งหลุดพ้นได้ ไม่เกิดทางกาย วาจา และที่ใจเราไม่มีกิเลส ที่เป็นสมุทัย เป็นเชื้อ ดันออกมาทาง กายกับวาจา เราก็จะรู้เห็นจริง ตามญาณปัญญา
อาตมานำธรรมะพระพุทธเจ้า ระดับโลกุตระ กันกลางถนน ราชดำเนิน เขาไม่รู้ตัวว่า อาตมาฉวยเอา เป็นห้องเรียน ไว้แพร่ลัทธิ ฉวยเอาของรัฐบาล ประเทศไทย เผยแพร่โลกุตระ ไม่ใช่โอกาส ที่เป็นง่าย แต่เป็นไปได้ ที่จริง ไม่อยากอยู่นานหรอก แต่ก็น่า จะอยู่เลย ๒๕๐ วัน แม้แต่ศาล ก็ออกประกาศว่า อย่ามาสลายเขานะ ให้เขาใช้ เป็นห้องเรียนต่อไป ศาลรธน. ก็ตัดสินแล้วนะ มีบุญขนาดไหนพวกเรา ให้พิสูจน์ปฏิบัติทดลอง ให้มนุษย์ได้ศึกษา ทั้งประโยชน์ตน-ท่าน พร้อมกัน ทั้งของประเทศชาติ และของตน หากรู้ตัว หากคนเห็นดี ก็ช่วยกันทำ
ไม่รู้ได้ว่า จะเลย ๒๕๐ วันไหม คงจะเลย คนเขาสังเกตว่า เสื้อแดง ชุมนุมวานนี้ ก็ไม่มีมาก ไม่ถึงห้าแสน หากเขาทำได้ มามากจริง ก็จะทำห่าม แต่นี่พระสยามเทวาธิราช ท่านทำได้ อย่างซื่อตรงที่สุด ความจริงคือความจริง เช่นเรามายึด ที่สาธารณะนี่ ประกาศ พุทธบุญนิยม กลางสถานที่ สาธารณะ นี่คือ สยามเทวาธิราชิทธิ์ ทางโน้น ก็พยายามทำ แต่ไม่มีฤทธิ์แห่ง สยามเทวาธิราชิทธิ์ช่วย ก็เลยได้น้อย
ส่วนอาตมาเห็นว่า เป็นความเจริญของไทย แม้ทางฝั่งโน้น ก็บอกว่า ต้องสันติ อหิงสา ของเรา ทำจริงๆเลย สันติอหิงสา แม้จะมีบกพร่องบ้าง แต่ว่าของเขา อาจมีแฝงซ้อน ไม่ซื่อตรง ขออภัย ที่อาจเป็นการดูถูก แต่ว่าของพวกเรานี่ สันติอหิสา จนเป็นพฤติภาพ ที่สานเป็นค่าจริงว่า ศาลตัดสิน ให้เป็นการชุมนุม ที่ถูกรธน. ไม่ให้รัฐ ประกาศสลายที่นี่
เราทำดี เพราะทำดี ยังไม่มากพอ เราก็ทำต่อไป จนทำให้ดีมากพอ หรือเกิน แต่ก็อย่า ไปยึดติด ต้องเอาดี แจกจ่าย เจือจานต่อไป
สรุปว่า ชาวอโศก จะตั้งใจปฏิบัติเช่นนี้ ไปนิรันดร จนกว่าจะหมดเชื้อ ให้อบอุ่น อย่าให้อบอ้าว เราก็จะพยายาม มีชีวิตอยู่ ตั้งใจประพฤติธรรม จนมีธรรม เป็นอำนาจ เรียก ธรรมาธิปไตย ในเรื่องการเมือง หรือบริหารประเทศ หรือช่วยประเทศ ต้องมีธรรมะ เป็นองค์ประกอบ อย่างสำคัญ ตามที่คานธีว่า ต้องเอาธรรมะ เข้าไปสถิต ในการเมือง ถ้าในการเมือง ไม่มีธรรมเข้าไปตั้ง เป็นหลักในการเมือง การเมืองนั้น ทำลายชาติ จะเรียกว่า ประชาธิปไตย หรือสังคมนิยม เผด็จการก็ตาม ถ้ามีแกนธรรมะเป็นหลัก สังคมดีทั้งนั้น ธรรมะคือ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่มีกิเลส อย่าหลงผิดหลงทาง เป็นแต่เพียง จะรู้กิเลส และทำกิเลสออก ได้จริงไหม ใครเห็นด้วย ก็มาเอา ไม่ได้บังคับ ไม่ล่อหลอก ไม่เรียกร้องเกินการณ์ ไม่เรี่ยไร ให้คนมาด้วย อาตมาไม่ทำ เป็นแต่เพียง บอกกล่าว บอกบุญ บอกสิ่งที่ดี ก็จบ มาก็มาด้วย ฉันทะเอง แล้วตั้งใจ ทำให้ได้ ฟรี ก็เป็นไปได้ตามธรรม เราจะทำดังนี้ต่อไป และต่อไป เมื่อเป็นธรรมะ ที่ทรงไว้ในตัวคน รวมกันได้มาก ก็สะพัดสู่สังคม ได้ตามธรรม
ผู้มาแล้ว ยังไม่ได้ลงทะเบียน ก็ให้ไปลงทะเบียน ให้ปฏิบัติให้ได้ มีศีลเคร่ง ขัดเกลา กินมื้อเดียว ในที่นั่งแห่งเดียว ไม่จุบจิบหลายมื้อ กินแต่น้ำได้ ทำธูตะ ก็จะได้อานิสงค์ ของศีลเคร่ง ขึ้นมา... จบ