570407_ทวช.งานปลุกเสกฯ เรื่อง สัจจะที่ปรากฎ ตอน ๑ |
วันนี้เราจะเริ่มสาธยายคาถา, มนต์, ภาษาคำพูด ที่จะต้องสื่อกันฟัง คนเหนือชั้นกว่า เดรัจฉาน ที่มีภาษา เป็นแสน เป็นล้านภาษา แม้หมู่กลุ่มเล็กๆ ก็มีภาษาสื่อกันได้ แต่สัตว์ มันก็พยายาม แต่ไม่ได้เท่าคน มันมีจิตวิญญาณ เข้าไปร่วม ในแต่ละคำ ที่ละเอียดละออ สื่อใช้ในกลุ่ม และพัฒนาไป จนแต่ละแวดวง แต่ละกลุ่ม แต่ละเผ่า แต่ละประเทศ
ประเทศใหญ่ๆ ก็มีหลายภาษา อย่างอินเดีย มีเป็นพันภาษา หรือจีนก็หลายภาษา อย่างอินเดียนี่ มีภาษาบาลี ,สันสกฤติ ตั้งมาสื่อจิตวิญญาณ อธิบายสภาวจิต จิต เจตสิก ลึกซึ้ง ให้เข้าใจกันได้ ถ้าไม่เข้าใจแต่ละคำ จำกัดความ หรือเข้าใจเพี้ยน ก็สื่อไม่รู้เรื่อง กำหนดต่างกัน หมายต่างกัน
เมื่อหมายกำหนดต่างกัน แม้ใช้คำเดียวกัน เช่นคำว่าทิฏฐิ แต่กำหนดหมาย ต่างกันไป ก็เอาไปใช้กำหนดต่างกัน กำหนดกาย ตามที่ตนเข้าใจ เช่นคำว่า สัตว์ คนเข้าใจคำว่าสัตว์ ที่มีทั้งเดรัจฉาน เทวดา คน แล้วเข้าใจว่า สัตว์นรก คือสัตว์ต่ำ หมายถึง นรก เปรต เดรัจฉาน อสุรกาย ก็เข้าใจเป็นตัวตน มีร่างกาย ถ้าเป็นเปรต อสุรกาย สัตว์นรก ถ้ามีความรู้ ศึกษาอธิบาย เท่าที่ตนรู้ ก็เข้าใจแค่นั้น
ซึ่งที่จริง นามธรรมนั้น มีรายละเอียดมาก ก็เข้าใจกันไป คนละอย่าง แม้อยู่ด้วยกัน ก็เหมือน อยู่คนละโลก คนเข้าใจว่า สัตว์นรก เป็นจิตวิญญาณ หากเป็นๆนี่ ไม่ใช้จิตวิญญาณ ต้องตายไป ออกจากร่าง ไปตกนรก แต่ในคนเป็นๆนี่ไม่มี สัตว์นรกอะไร ต้องตายตกนรก
ถ้าเข้าใจแค่นี้ ก็ไม่รู้ความเสื่อมต่ำของจิต แม้ตอนเป็นๆ ก็เป็นสัตว์นรก ตอนเป็นๆนี่ จิตวิญญาณ เป็นอย่างไร ตายไปก็เป็นนรกอย่างนั้น ไม่มีอะไรช่วย ไม่มีคนร่วม ไม่มีมิตรสหาย ไม่มีสัมปวังโก เป็นจิตของเราเดี่ยวๆ ไม่มีผู้ร่วมรับรู้ ทำ ช่วยด้วย ไม่มีสหายเลย จะเป็นความทุกข์ ทรมาน ยิ่งกว่า ไฟประลัยกัลป์ ยิ่งกว่าตกกระทะ ทองแดง หรือปีนต้นงิ้ว
ที่จริงนรกที่ตกนั้น มันยิ่งกว่า ไปปีนต้นงิ้ว ปีนหนาม ลงไม่ได้ มีหมาเขี้ยวทองแดง คอยกระโดดงับ หลายตัว ท่านอธิบาย เป็นปุคลาธิษฐาน ต่างๆนานา แล้วมันจะเป็น ความโหดร้าย รุนแรงน่ากลัว แล้วไม่มีรูปร่าง ร้ายแรงกว่าที่ปั้น หรืออธิบายให้ฟังนี้อีก ความจริงของ นามธรรมนั้น ทุกข์ทรมานยิ่งกว่า รูปธรรมที่อธิบาย
ขณะที่พยายามสร้างปุคลาธิษฐาน แต่ก็มีคนไม่เชื่อบาปบุญ คนไม่กลัวบาปกรรม ทำบาปกรรม ทั้งที่รู้ ทำชั่วทุจิต ทั้งที่รู้ แม้ร้ายแรงเท่าไหร่ก็ทำ แม้โกหกหยาบเท่าไหร่ก็ทำ เพราะยังไม่ออกผล แต่ทุกคำโกหก คือบาปที่สะสมไว้ทั้งสิ้น ไม่มีตกหล่น ทิ้งไม่ได้ ทำแล้ว เป็นของตน กัมมสกตา เป็นของตน สังเคราะห์ทั้งกุศล อกุศล อย่างอจินไตย อธิบายไม่ได้
อย่างเอาพริก น้ำปลา เกลือ มะนาวไปผสม ก็พอเรียนรู้ได้ เป็นฟิสิกส์ แต่นามธรรม ที่สังเคราะห์กันนั้น แม้พระพุทธเจ้า ก็อธิบายเป็นอภิธรรมได้บ้าง แต่ลึกยิ่งกว่านั้น ท่านอธิบายไม่ได้ ก็เรียก อจินไตย เป็นวิทยาศาสตร์ จิตวิญญาณ ที่อยู่ในสัตว์ในคน
พระพุทธเจ้าท่านตามถึง เหตุชั่วและดี จนท่านทำลาย เหตุชั่วได้หมด ไม่ทำพิษภัย เป็นสัตว์โลก ที่เป็นประโยชน์สูงสุด ผู้สามารถดับเหตุแห่งอกุศล ได้สนิทสุด จิตวิญญาณ ทรงไว้เช่นนั้น ถ้าไม่มีความรู้ ในการสลายเหตุ มันก็อยู่ไปเช่นนั้น เท่าที่มันมี อยู่ร่วมไป เท่าไหร่ ก็เท่านั้น ไม่มีหาย ของเก่าก็อยู่ ของใหม่ก็สะสมเข้าไป
เช่นคุณมีเหตุที่เป็น ธาตุสีดำ ใหญ่ แข็ง คุณเองมีอย่างนี้ ก็มีเช่นนี้ ไม่หายไปไหน แต่คุณ ไปสะสม ธาตุใหม่ หรือสีขาว ที่จะกลบสีดำ สมมุติว่าธาตุดำ เป็นอรหันต์แล้ว ไม่เพิ่ม ธาตุดำเลย คุณก็จะเพิ่มแต่ธาตุขาว ใส่เข้าไป กลบฤทธิ์ของ ธาตุดำสนิท หยุดได้สนิท สัพพปาปัสส อกรณัง แต่ธาตุดำ ก็ไม่หาย แต่คุณจะทำแต่ธาตุขาว จะช่วยกันทำแต่ธาตุขาว กลบธาตุดำ จนอีกนาน เท่าไหร่ ก็แล้วแต่ คุณหยุดการทำธาตุขาว ในกรรมปัจจุบันใด ถ้าเผลอไปสร้างธาตุดำ ดำก็จะไม่หยุด แต่เมื่อเราสร้างขาว ได้มากเท่าใด มันก็ห่างไกล เท่านั้น คุณละเว้นดำ ได้สนิท เท่าใด ก็ควบคุมเจตนาได้
เจตนามี ๓ อย่าง กุศล อกุศล และเป็นกลาง ของพระพุทธเจ้าให้รู้ชัด รู้ดำ หรือขาว รู้กุศล หรืออกุศล แล้วสามารถ สร้างพลังงานจิต ที่เก่ง เป็นทหารเอก ให้แก่ตัวเองได้ จะมีทั้ง รู้ และ แรง
รู้ คือรู้ทันว่า อันนี้เป็นกุศล หรืออกุศล
แรง คือสามารถจัดการได้ จัดการได้กี่ส่วน ก็แล้วแต่ หรือจัดการได้ถึงอุเบกขา ก็อยู่ที่ฝึกสร้าง ทหารเอกได้
สามารถเรียนรู้ได้ สร้างได้ ตามทฤษฎี เหมือนฟิสิกส์ ที่สามารถสร้าง วัตถุธาตุต่างๆได้ นามธรรม ก็เป็นเช่นนั้นได้ ทีนี้ผู้ที่จะรู้ หลักสูตรนี้ จนเกิดจริง เป็นจริง ต้องมีความรู้จริง เมื่อรู้จริง
เป็นสัมปวังโก แวดวงอโศก อยู่อย่างแก่น จนมีความเชื่อมต่อไป จนห่าง ห่างจนกระทั่ง เป็นหาง แล้วหางไหน ก็เป็นปลายหางเลย แล้วกว่าจะรู้สึกว่า หัวทำอะไร ปลายหาง ก็จะรู้ได้ยาก ยิ่งอโศก กว้างใหญ่ หางก็จะยิ่ง ห่างจากหัว
หัวทำอะไร จนตายไปสามชาติ แล้วหางยังไม่รู้เลยว่า หัวทำอะไร พวกเราระวัง จะไปห่าง มากนัก แต่ให้ใกล้ เข้ามาชิด จนรู้เห็นหัว นำพาไปให้ได้ เมื่อคุณเอง อยู่ในระดับไกล แต่ตนเองทำตน ไม่ตกหล่นจาก สัมปวังโก ก็พอได้ ก็ต้องทำให้ใกล้ มาเป็นสหายโย อย่าไปทิ้งวง อาตมาแปล สัมปวังโกว่า สิ่งแวดล้อมทั้งหมด ที่จะเป็นความเชื่อมโยงกันหมด
คุณจะจัดตนเอง อยู่ในรัศมีแค่ไหน พุทธเป็นศาสนา อิสรเสรีภาพ ใครจะมีฉันทะ เข้าในสายศีล ก็ปลอดภัยมากขึ้น มีพลังงานช่วยได้มาก
ผู้ใดยึดว่าเป็นศัตรูอยู่ ก็ยึดอยู่ เมื่อเราเลิกยึด เราก็ไม่มีศัตรู แม้คนนั้นจะพยาบาท จะฆ่าเรา แต่เรา ไม่มีการตอบโต้ อหิงสา ถึงอโหสิ เขาทำร้ายเรา เราก็ไม่ตอบโต้ อย่างคานธีนี่เป็นต้น ก็ถูกฆ่าตาย แต่ตอนก่อนตาย ก็พูดว่าพระเจ้า
จิตมีลักษณะต่างๆไป เช่น จิตพรหม จิตราม จิตศิวะ เป็นสามอย่าง
จิตช่วย แม้ตนจะถูกฆ่าตายก็ยอม จิตศิวะคือผู้ปราบ ไม่ให้คนฆ่ากัน ไม่ให้คนทำชั่ว ส่วนรามนั้น ก็ได้แต่ช่วยๆๆๆ ส่วนพรหมก็กลางๆ ใครจะอยู่ในน้ำหนัก ตระกูลไหนล่ะ แต่ที่จะถ่วงดุล ก็คือราม ส่วนพรหม ก็ต้องทำให้ได้ทุกคน ไม่เข้าข้างไหน ก็ช่วยทุกคน สูงสุดของ ศาสนาพุทธ คือพรหม คือ พระเจ้าองค์แรก แล้วมาแยก เป็นราม เป็นศิวะ ในโลก จะมีสามอย่างนี้ ช่วยกัน
สังเกตง่ายๆ สามกลุ่มใหญ่ คือ กลุ่ม กปท. กองทัพธรรมคือพรหม กลุ่มคปท. คือศิวะ กลุ่มสุเทพ คือราม แล้วสามกลุ่มนี้ จะร่วมกันทำ ให้สำเร็จได้ ตอนนี้ต่อสู้ โดยปากหอกเป็นหลัก เชื่อไหมว่า ฝ่ายเรานี่ เป็นฝ่ายที่สงบสุด
ฝ่ายสุเทพเป็นฝ่ายราม จะมีลักษณะมีพลลิง
จริงๆคปท.ไม่ใช่ยักษ์ แต่เป็นฝ่ายกลาง ของผู้มีตัวแรงอยู่บ้าง แล้วได้ฝ่ายยักษ์ มาช่วยบ้าง
ส่วนฝ่ายราม คือฝ่ายสุเทพก็ช่วยถ่วง มีออกแรงบ้าง แต่คปท. ก็แรงกว่า ทางกปท.ก็สงบ
ผู้มีปัญญารู้ จะมีสิ่งเหล่านี้ พลังงานอย่างใดแรง อย่างนั้นชนะ เมื่อความแรง ของยักษ์แรง ก็ชนะ ก่อฤทธิ์แรงในสังคม เป็นสังคมโหดร้ายรุนแรง ฆ่ากัน ยิงกัน
แต่ถ้าพระรามชนะ ก็เกิดสุขสงบ สงบจนค่อนไปทางอ่อนแอ ทางยักษ์นั้นเสื่อม เพราะแรงร้าย ทางด้านอ่อนก็เสื่อม เพราะอ่อนแอ ทางด้านแรงก็เสื่อม เพราะแรงร้าย เพราะฉะนั้น จึงยังมีสภาพ ทั้งแรงและอ่อน
แรงของกุศล หากแรงเกิน จะเป็นอกุศล แรงต้องใช้อย่างถูกสัดส่วน เช่น ไซยาไนด์ หากใช้พอดี ก็เป็นยา หรือใช้มาก ก็เป็นพิษ นอกจาก ความไม่มีก็สูญ แต่ว่าถ้ามีขึ้นมาแล้ว พรหมก็ต้อง ปรับสมดุล
กุศลแรงเกินไปก็พัง ดีมากไปก็เสีย เป็นภาษาสื่อให้ฟัง ส่วนมันจะเป็น นามธรรม รูปธรรม แค่ไหน ก็แล้วแต่ พวกคุณจะรู้ จะใช้ได้
ถ้าเราสามารถรู้ กิริยากาย หรือวจี ทุกอย่างของ องคาพยพ ออกแรงรวม และมีจิตใจร่วม เรียกว่า กาย
กายนี่ไม่ได้หมายถึง แค่วัตถุ แต่คนไทยซวย ไปเข้าใจ กายแค่ว่า ร่างโครงนอกวัตถุ ซึ่งผิดไปจากปรมัตถ์
แม้วัตถุก็ถูกรู้ได้ แม้นามธรรม ก็สามารถถูกรู้ได้
แต่ไปเรียก ดินน้ำไฟลมว่า “กาย” นี่ไม่ถูกต้อง เช่นร่างกายของ ขวดอันนี้ เรียกว่า “กาย” ไม่ได้
คำว่า นิรมานกาย ก็ไปเข้าใจว่า เป็นกายทิพย์ มีรูปร่าง คนมีตาทิพย์ จะไปเห็นเป็น รูปร่าง เส้นสีแสงอะไร ก็เป็นการเข้าใจ ที่ผิดไปจาก พระพุทธเจ้าสอน
คำว่า กาย คำต้นคือ สักกายะ เป็นตัวตนหยาบแรก ที่ต้องเรียนรู้เลย ไม่มีรูปร่าง แต่ต้องใช้จิต อ่านอาการนี้ ให้ออก เช่น กามหรือพยาบาท หรือ ในนิวรณ์ ๕ ก็ต้องอ่านอาการ ให้ออก เช่น อาการ กาม ไม่มีเส้นแสงสีรูป แต่เรารู้ได้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุทเทส
เช่นเห็นดอกไม้ ได้สัมผัสกลิ่น อ่อนแข็ง แล้วก็เกิดอาการชอบใจ ตามที่ยึดถือ อุปาทานไว้ แต่ทั้งที่รูปเสียงกลิ่น มันก็เป็นของมัน เช่นนั้น แต่ในองค์ประชุม หรือกายของคุณ ชอบหรือชัง คุณต้องรู้อันนี้ แต่ว่าดอกไม้ มันก็มีของมัน เช่นนั้น แต่คุณสัมผัสแล้วเกิดชอบ นี่แหละ ในกายของดอกไม ้คุณไปแถมประชุมร่วมว่าชอบ คุณต้องจับส่วน กายในกาย ที่ประชุม อยู่นี่แหละ นี่คือ สักกายะ ที่คุณต้องศึกษา
แต่เมื่อไม่เข้าใจ ก็จะไปรู้แต่ สภาพกายภาพ โคจรรูป หรือ ปสาทรูป ที่มันมีของมัน เป็นรูป เสียง กลิ่น เย็นร้อน อ่อนแข็ง ของมัน แต่คุณสัมผัสแล้ว เกิดชอบหรือชัง แต่เมื่อคุณ เกิดสัมผัสแล้ว เฉยๆ คุณก็ไม่มีกาย เข้าไปร่วม ไม่มีรู้สึกอะไรเลย ถ้าใครเข้าใจได้ว่า กายคือ รูปร่าง สีสัน มหาภูตรูป
เช่นคุณศึกษาว่า นั่งหลับตา แล้วเห็นกายทิพย์ เป็นรูปร่างตัวตน อย่างไม่มี มหาภูตรูปเลย คุณว่า คุณมีตาทิพย์ เห็นภายใน คุณก็พิจารณา เห็นแค่รูป แต่ไม่รู้เจโตปริยญาณ ๑๖ ไม่รู้อาการจิต ว่าชอบชังอย่างไร เพราะคุณไปติด แค่รูป พิจารณากายก็แค่ รูปในจิต
การไปนั่งสมาธิ ก็จะเพียงแต่ดึงสัญญา ออกมาศึกษาว่า สุข ทุกข์คืออย่างนี้ ไม่เหมือน สัมผัส ด้วยตาเนื้อ แล้วพิจารณา ชอบชัง เป็นเวทนา ที่มีองค์ประชุม พร้อมทั้ง ปสาทรูป โคจรรูป แล้วรู้ นาม เป็นเวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ คุณจะไม่รู้ได้ หากไปนั่งหลับตาทำ
คุณจะไม่รู้กาม ไม่รู้ภพ ที่เกิดจริงเป็นจริง ที่เกิดจากผัสสะ ทางทวาร ๕ แต่เอาแต่ไปนึกเอา ในสัญญา คุณเอาเท็จ มาเป็นจริง เอาจริงมาเป็นเท็จ แล้วมันไม่จริง แต่ถ้าคุณ ทำแบบ สัมผัสนอกมาก่อน ก็จะรู้เป็นจริงได้กว่า เมื่อไปนั่งดึงสัญญา เอามาศึกษา ก็จะจริงกว่า แต่ถ้าเอาแต่สัญญานึกเอา ก็จะไม่จริงได้มากเยอะเลย คาดคะเนเอา ไม่เกิดภาวะจริง ยากที่จะหมดกิเลสได้
อาตมาเป็นมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี ของพวกคุณ อาตมาไปล้อมคุณได้ยาก แต่คุณ มาล้อมอาตมาได้ง่าย เมื่อคุณไม่มาอยู่ ในสายศีล ก็ไม่เป็นสหาย และความเป็นมิตร ที่จะให้ประโยชน์กัน ก็ยาก บางคนมาใกล้ ก็ได้จิตวิญญาณน้อยก็มี ได้แก่นแกนนั้นน้อย ส่วนที่ได้ทั้ง รูปธรรม นามธรรมก็มี ส่วนที่ได้แค่ประโยชน์ ในวงกว้างก็มี
แล้วจะมีพลังงานทาง กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ไปจนเป็นหลักการ กฎเกณฑ์ ของสังคม เรากำลังสร้าง ทั้งกฎเกณฑ์ เช่น กฎเกณฑ์ประเพณี ที่มีในรัฐธรรมนูญ มาตรา ๗ ให้ทำไป ตามประเพณี คือ สิ่งที่เคยทำกันมา
เช่น ประเพณีในการปฏิวัติ คำว่าประเพณีนี้ มีปฏิวัติ คือการยึดอำนาจ ที่เคยทำมา ก็ทำโดย Force ใช้อำนาจ Potential เป็นอำนาจ อย่างทหารนี่ เขาเรียนรู้ฆ่าคน ปราบศัตรู ก็มีพลังแฝงอันนี้ ในตัว ทหารเขาไม่ต้อง ถืออาวุธมา คุณก็รู้สึกว่า มันฆ่าเก่งนะ เราสู้ไม่ได้ ไม่ต้องถืออาวุธมา คุณก็รู้สึกได้
อย่างนี้ไม่ต้องมีอะไรมาหรอก แม่ทัพสามเหล่า เดินไปบอกนายกฯ ว่าคุณหมดหน้าที่แล้ว เราขอเป็น ตัวแทนประชาชน มาบอก ให้ท่านหยุด เชื่อไหมว่า นายกฯจะหยุด ถ้าศาลตัดสิน ต้องติดคุก เขาก็ต้องหนี ออกไปนอกประเทศแน่
สรุปแล้ว ไปทำตามประเพณี ทำอย่างนี้ได้ อาตมาว่า ทำได้ทันที หากทำครั้งแรก ก็เป็นประเพณี แต่ทำปฏิวัติ มากี่ครั้ง ไม่สุภาพ แต่เรานี่ ทำด้วยสุภาพเลย ทหารออกมา ร่วมกับ ประชาชนเลย บอกนายกฯออกไป มาหมดทั้งข้าราชการ และทหาร มาหมด หากนายกฯจะอยู่ ก็ต้องตามระบิลเมือง
เราปฏิวัติได้ถูกรัฐธรรมนูญด้วย ควรทำได้ดีกว่า เอาอาวุธมาปฏิวัติด้วย
ของฝ่ายโน้นเขาก็ทำ แต่เขาก็ว่า เขามากกว่า ดีกว่า แล้วใครถูกต้องดีงาม ใครสุภาพ เรียบร้อยกว่ากัน ก็ต้องวัดกันดู
อาตมาเชื่อว่า คนที่หยุดรุนแรงนั้น หยุดแล้ว แต่อีกฝ่าย ยังไม่รุนแรง สุดท้ายแล้ว ฝ่ายสงบ ต้องชนะ เป็นการรบ ธรรมาธรรมะสงคราม ยึดอำนาจประเทศ ใครควรเป็นผู้ได้ โดยสากล ผู้ดีงาม ถูกต้อง ชอบธรรม สงบ หรือผู้ใช้น้อยสุด แม้ในสังคม ที่รบกันที่ไหน แต่ในไทยนี่ สงบถึงนั่งสวดมนต์ สู้ปืน ก็มีมาแล้ว
สังคมอโศกเรา แม้จะเชิงโทสะ หรือราคะมูล ในอโศกก็มี แต่ไม่จัดจ้าน ไม่มาก แย่งชิงไม่มาก ทำร้ายไม่มาก ไม่หยาบคายรุนแรง ไม่เล็กน้อย แม้ทิ่มแทง ด้วยปากหอก ก็มี ไม่หมด แม้สังคมอาริยะก็มี ท่านนับตั้งแต่ ไม่ทำร้าย กระทบร่างกายกัน การกระทบร่างกาย ให้เจ็บปวด ก็ไม่ใช่ สังคมอาริยะ แม้สังคมอาริยะ จะมีบ้าง ก็ไม่หนาคน มีหนึ่งคน ห้าคน แต่ก็ไม่ถึง หนักหนามาก ไม่รุนแรง ขนาดพอการ เลือกตก ยางออก อโศกมา ๓๐ กว่าปีมีน้อย ไม่ฆ่ากัน ถึงเลือกตก ยางออก มีไม่กี่ราย แล้วเขาก็สำนึก คนละอายหนีไป ก็มี
สิ่งเหล่านี้ ในมนุษยชาติเป็นได้ เราไม่มีโทสะ ราคะแรง เป็นธรรมะจริง จึงออกมา ทำงานกับสังคม เป็นแกน และช่วยเหลือเกื้อกูล สังคหะ นอกจากไม่วิวาทแล้ว มีเกื้อกูลสังคหะ เราก็ขยาย สัมปวังโก ด้วยการสร้างมิตร ให้มีจิต เป็นจิตแบบ เราร่วมประโยชน์ รู้โทษ
ทำอย่างมีจิตเป็นเอก วัตถุเป็นองค์ประกอบรอง ส่วนกำลังพฤติกรรม แรงงาน ก็ช่วยกันออก ส่วนจิตวิญญาณ แต่ละคนเป็นเอก ก็ช่วยกันไป เราช่วยตนเองได้ อโศก หากไม่ออกมาทำงาน มัวแต่สร้าง เวียงวังของตน ก็จะโอ่อ่าใหญ่โต แต่ประโยชน์ จากผู้อื่น ที่จะได้ ก็ไม่มาก จะได้แต่วัตถุ แต่มานี่ มาแพร่คุณธรรม นามธรรม จิตวิญญาณ มากระจายสินค้า เป็นผลผลิต ทางนามธรรมด้วย แต่คนไม่รู้ก็มี ผู้รู้ผู้ได้ ก็มีอยู่
คนพยายามเอาก็มา ตั้งแต่ได้กระแสข่าว เริ่มสดับตรับฟัง จนมาใกล้ พยายามติดตาม จากสื่อสาร แล้วเข้ามาร่วม จนร่วมวัตถุ แรงงาน จนมาร่วมใจ ก็มาตามลำดับ เขาทำตาม ที่เขาเห็นค่า เห็นควร คนที่มีจริต รสนิยมแบบ คปท. ก็ไปร่วม ใครมีจริตรสนิยม ขนาดกำนัน สุเทพก็ไป ใครจริตอย่างกปท. ก็มาร่วมที่ผ่านฟ้า
เป็นการจัดสรรของแต่ละคน ของเขาเอง ก็เกิดสร้างสรร ในสังคม เป็นงานที่เกิดสังคม แม้แต่งาน ของฝ่ายแดงก็ทำ ซึ่งเปรียบเทียบกัน
หากฝ่าย กปปส. ผิดก็แพ้ ส่วนฝ่ายนปช. ก็คือฝ่ายรัฐบาล ไม่ต้องเลี่ยง ตอนนี้มีสองฝ่าย เท่านั้น
นปช.ควรอยู่ควรชนะหรือ กปปส.ควรอยู่ควรชนะ แล้วไม่ต้องทำร้ายกัน เขาก็พยายาม สู่สันติ อหิงสา เมื่อวานนี้ อาตมาเห็นเลยว่า จตุพร ณัฐวุฒิ ก็ปลื้มใจ มีคนมาชื่นชม กอดจตุพร ก็คงจะเห็นดี มีแนวโน้ม มาทำเหมือน กปปส. อาตมาไม่รู้ว่า เป็นครั้งแรกของ จตุพร ณัฐวุฒิ หรือไม่ แต่สุเทพนี่ โดนกอดหอม มากมายเลย เขาก็จะมาทางหามิตร หาสหาย เป็นทิศทางที่ดี เป็นนิมิตดี ของสังคม ไม่ต้องกลัวหรอกว่า ประเทศไทย จะรุนแรง
จะเน้นขยาย กัลยาณมิตโต ว่า มิตรมีมากเท่าไหร่ ก็ไม่พอ ศัตรูมีคนเดียว ก็ไม่พอแล้ว เราต้องมาเป็นมิตร แม้ศัตรู เราก็ต้องไม่มองเป็นศัตรู เขาแก้ไขแล้ว ก็อนุโมทนา แล้วทุกอย่าง จะไปหาสิ่งดี อาตมาเชื่อมั่นว่า ไทยจะไม่ไปสู่ ความรุนแรง คนแรง ก็ลดความหยาบแรงลง ….