570410_รายการตอบปัญหาละดับชาติ ตอนที่ ๑
ในงานปลุกเสกฯ ครั้งที่ ๓๘ ณ เวทีผ่านฟ้าฯ |
อาตมาพูดไทยชัดนะ เป็นการตอบปัญหา ละ ดับ ชาติ , ชาตินี้เป็นการเกิด ของ โอปปาติกะ เป็นโอปปาติกโยนิ เป็นหนึ่งในการเกิด ๔ และการเกิดอย่างที่ ๔ นี้นักวิทยาศาสตร์ ไม่รู้ได้
๑. ชลาพุชโยนิ (กำเนิดของสัตว์ที่เกิดในครรภ์)
๒. อัณฑชโยนิ (กำเนิดของสัตว์ที่เกิดในไข่ -ทิชาชาติ)
๓. สังเสทชโยนิ (กำเนิดของสัตว์ที่เกิดจากการแบ่งตัว)
๔. โอปปาติกโยนิ (เกิดใหม่ทางจิตวิญญาณเปลี่ยนภพทันที เกิดนิโรธ ไม่มีอะไรมาคั่น เกิดแทนสิ่งดับโดยไม่มีซาก) (พตปฎ.เล่ม ๑๑ ข้อ ๒๖๓)
คำว่าอัตตานี้เป็นคำเรียกตัวตนทั่วไป เป็นคำกลางๆ ส่วน
สักกายะเป็นตัวตนที่ผู้มีทฤษฎีพระพุทธเจ้าจะอ่านรู้ รู้นามรูป ที่เป็น กาย หรือ องค์ประชุมพร้อม ในนามธรรม ถ้าเป็นโสดาบัน ต้องรู้สักกายะ ของตนเองก่อน มันไม่มีรูปร่าง แต่เป็นนามธรรม ผู้สามารถ อ่านลักษณะของมันได้ พิจารณาใน กายในกาย ให้มีดวงตาอ่าน กายในกาย ออก
กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ไม่แยกส่วน มีการกระทบสัมผัส ตั้งแต่นอกมา สัมผัสทางทวาร ๕ แล้วรู้สึกอยู่ในภายในจิต เป็นสุข ก็เป็นองค์ประชุม ของเทวดา หากอ่านแล้วทุกข์ ก็เป็นสัตว์นรก หรือเป็นเปรต เดรัจฉาน อสุรกาย เราก็อ่านลักษณะ ของสัตว์นรก นี่เป็นความหยาบ
เปรตคือความอยาก เดรัจฉานคือความโง่ อสุรกาย คือความกลัว กลัวในเรื่องที่ จะพัฒนาตน ให้เจริญ กลัวเสียลาภ ยศ สรรเสริญ สุขเป็นต้น
ผู้มีปัญญาทางธรรม จะอ่านออก ผู้มีวิชชาของ พระพุทธเจ้า จะอ่านออก เข้าถึงญาณปัญญา ระดับวิชชา เป็นวิชชาข้อแรก ในวิชชา ๘ เป็นวิปัสสนาญาณ
ถ้าจะนับเป็นสัตว์นรกเป็นเช่นนี้ เป็นอสุรกาย เป็นเช่นนี้ หรือ มันตกต่ำมาก เรียก อติวินิบาติ ความเป็น สัตตาวาส เราจะอ่านออก แล้วก็ตามหาเหตุ ก็คือจิตในจิต นั้นแหละ สราคจิต สโทสจิต สโมหจิต เราอ่านออก แล้วทำให้อาการนี้ มันดับ มันเป็น อกุศลเจตสิก เป็นอาการจิต เรียกเจตสิก เป็นตระกูลใหญ่ ๓ ตระกูล จับตัวมันได้เห็นจริง ก็ละมันได้ ดับมันได้ เรียก โอปปาติกสัตว์ ในร่างกายมนุษย์นี่แหละ มีสัตว์พวกนี้อยู่ เป็นของจริง เป็นเทวดาสมมุติ ถ้าเราทำให้ กิเลสลดได้ จะเกิดใหม่ โดยมีจิตส่วนหนึ่งตาย จิตส่วนหนึ่งเกิด
จิตที่เกิดใหม่เราเรียกว่า โอปปาติกโยนิ เกิดเอง ไม่ต้องแบบ ชราพุชะ หรือสังเสทชะ เรากำจัด เหตุปัจจัยมัน ฆ่าเหตุได้มันก็ตาย ฆ่าได้นิดหน่อย ก็เบานิดหน่อย ฆ่าได้มาก มันก็จวน จะตายเลย มันอ่อนแรง เมื่อมันตายแล้วก็ตายแบบไร้ซาก ส่วนสัตว์อย่างอื่น ตายแล้วเหลือซาก
แต่สัตว์โอปปาติกะนี้ตายแล้ว ไม่เหลือซาก เกิดก็ด้วยเหตุปัจจัย ครบก็เกิดเลย ใครสามารถ ทำให้ละหรือดับ การละ ให้จางคลายเรียก วิราคะ มันก็หมุนเวียน เกิดๆดับๆ เรียก อนิจจานุปัสสี เราเห็นมันดับได้แล้ว เราก็สบาย เจริญพัฒนาขึ้น ไม่รู้กี่อย่างเลย ทำให้กิเลสตาย เป็นสิ่งเจริญ จริงๆ ถ้าทำถูกสภาพ จะรู้เลยว่า มันวิเศษ เห็นความไม่เที่ยง มันไม่เกิด อาการชั่วคราวได้ ดับได้ชั่วคราว แล้วเราก็ทำอีก ให้มันไม่เกิดอีก นานเลย มันจะหายไป อีกนานไหม เราก็ทำไปเรื่อยๆ เรียกว่า ปฏินิสสัคคานุปัสสี เรียกว่า ดับขาด ปฏินิสสัคคะ เรียกว่า ดับสวรรค์ ทวนทำอาการ ไม่มีสวรรค์ชนิดนี้แหละ จะเรียกว่า นิรามิสสุข ก็ได้แต่สุขสงบ วูปสโมสุข หรือจะเรียก อย่างสมบูรณ์เลยว่า ปรมังสุขัง อาตมาแปลว่า ยิ่งกว่าสุข
กิเลสที่เป็นสัตว์ชั้นต่ำ ก็ดับก่อนเลย เป็นโสดาบัน ก็เอกราชทั่วทั้งแผ่นดิน เช่น เราดับอบายได้ เช่นเราดับเชื้อ ที่ติดพนัน ติดเหล้า ติดบุหรี่ ติดใส่ขนตาหนักๆ พอละได้ก็จะรู้ว่า เราได้เวลา ทุนรอนแรงงาน คืนมาได้ เราเจริญพัฒนา ทางเศรษฐกิจ ได้พัฒนาอื่นๆ อีกมากมาย ความสูญเสีย ที่เราได้บำเรอ เพื่อให้เกิดอาการอย่างนั้น แล้วเราได้เสพ อารมณ์สุข แต่หมดหายไป แล้วก็เหลือ แต่ความจำ อยากได้อีก ก็ระลึกถึง ความรู้สึกดีๆ ก็ดึงเอาสัญญามา ไม่ใช่ตัวจริง ไม่ใช่เรื่องจริง นี่คือ ความลึกซึ้งธรรมะ ที่เป็นของจริง พระพุทธเจ้าค้นพบแล้ว ดับชาติได้
ตอนนี้ก็มาสู้กับ คณะรัฐบาล มีคนเขียนมาว่า เมื่อพ่อท่าน มอบยุทธศาสตร์ ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมา ให้มากๆหมดๆ ทางรัฐบาล ก็ใช้ยุทธศาสตร์นี้ ได้เหมือนกัน คือ ดื้อให้นาน ด้านให้เป็น เข่นให้ตาย กูก็ไม่ออก กูจะตายคาสนาม ประชาธิปไตย เลยหน้าด้าน ดึงเกมไปเรื่อยๆ ตามข้อมูลใหม่ ทางวุฒิสภา จะขอเปิดสภา สมัยใหม่ เพื่อดำเนินการ ๓ เรื่อง คือ ถอดถอน นายนิคม ไวยรัชพาณิชย์ , แต่งตั้งบุคคล ไปเป็นประธาน แทนคนเดิม, พิจารณา ผู้ทรงคุณวุฒิ ของประธาน, แต่แทนที่นายกฯ จะดำเนินตามที่ วุฒิสภาส่งไป กลับให้สำนักนายกฯ ตั้งคำถามไปยัง สำนักกฤษฎีกา แล้วเลขา สำนักกฤษฎีกา สรุปว่า มีความเห็นว่า ไม่สามารถเปิดวุฒิสภา เพื่อดำเนินการ ดังกล่าวได้ เพื่อให้วุฒิสภา ไม่มายุ่งเกี่ยว กับการเมือง ฉากสุดท้ายได้ ...
อาตมาว่า เขาซื้อเวลา ...คือพยายาม ยืนหยัดไปอย่างนี้ เป็นเทคนิคของเขา เป็นความจริง ที่ปรากฏ ของเกมการเมืองนี้ ตอนนี้เป็นกลเกมการเมือง หนักหนา สาหัส ติดยึดอำนาจ ไม่มีอื่นเลย การแก้เกมนี้ เราแก้ด้วย ซื่อสัตย์สุจริต อย่างเอาความถูกความผิด มาตัดสิน เป็นการสู้อย่าง อาริยชน เรามาต่อต้าน ประท้วงล้มล้าง แต่เราสามารถ ยกระดับได้ ในมาตรา ๖๘ (วรรคหนึ่ง) "บุคคลจะใช้สิทธิ และเสรีภาพ ตามรัฐธรรมนูญ เพื่อล้มล้าง การปกครอง ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุขตาม รัฐธรรมนูญนี้ หรือ เพื่อให้ได้มา ซึ่งอํานาจ ในการปกครองประเทศ โดยวิธีการ ซึ่งมิได้เป็นไป ตามวิถีทาง ที่บัญญัติไว้ ในรัฐธรรมนูญนี้ ... มิได้"
และมาตรา ๖๙ (การต่อต้านโดยสันติวิธี) บุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้าน โดยสันติวิธี ซึ่งการกระทำใด ๆ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มา ซึ่งอำนาจ ในการปกครองประเทศ โดยวิธีการ ซึ่งมิได้เป็น ไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ ในรัฐธรรมนูญนี้
รัฐบาลได้ทำผิด มาหลายกระทงมากเลย ได้อำนาจแล้ว ทำในวิถีทางที่ ไม่ได้เป็นไป ตามรธน.นี้ เราจึงมาล้มล้าง ยกระดับ จากประท้วง มาต่อต้าน แล้วยกระดับ เป็นล้มล้าง ไม่ได้ปกปิดเลย แต่เขาก็ดื้อด้าน แล้วเราก็สุภาพ ไม่ได้ไปทำร้ายทำลาย เป็นแต่เพียง ไปประท้วง จนกระทั่ง ไปปิดสำนักงาน ไม่ให้ทำงาน ไม่ให้ไปเป็นไม้เป็นมือ ของคนผิด ก็จะยิ่งซ้ำเติม ให้ชาติไทย เสียหาย หากทำตามคำสั่งเขา ข้าราชการ ก็มีภูมิปัญญา ไม่ดึงดันดื้อด้านด้วย สำหรับข้าราชการ
พวกเราก็ออกมาช่วยกัน ให้มากๆ
ตอบปัญหา (ละ) ดับชาติ
- ผู้น้อยทำงานศิลปะ ลงทุนไปเกิน ๒๐๐ บาท และใช้เวลาทำ ประมาณ ๓ วันต่อชิ้น ส่งให้กลุ่ม กปปส. ประมูล ได้ภาพละ เป็นหมื่นบาท เพื่อช่วยชาติ ครั้งละ ๑๐ ภาพ หลายครั้ง ขอถามคำถามว่า เป็นการ เอาลาภแลกลาภ และเอาเปรียบเขาหรือไม่? จะเป็นบาปหรือไม่ อย่างไร? ผู้น้อยไม่ได้เปิดเผยชื่อ ให้ใครทราบ
- ตอบ...ถ้าจะว่าแล้ว ต้องขยายความว่า เป็นการเอาลาภที่ได้ มาบำเรอตน เสพกาม ซื้อของกินใช้ ส่วนตนหรือไม่ เขาไม่ได้ทำเพื่อส่วนตน ก็พ้นประเด็นนี้ไป ก็ไม่บาป และแลกมาแล้ว ได้เป็นเจตนากุศล ช่วยบ้านเมือง เอาไปทำด้วยวิธีการ พาณิชย์ธุรกิจ ขยายจากน้อยไปมาก แต่ไม่ได้เพื่อตน แต่เอาไปใช้ในงาน กอบกู้ชาติ เป็นประโยชน์ ต่อคนที่แชร์เงินมาซื้อ หรือซื้อคนเดียว เพราะเขาให้ด้วยเสียสละ แม้ราคาเกินจริง เรียกว่า ประมูลการกุศล ราคาจะสูงกว่าตลาด เพราะเป็นการส่งเสริมกุศล แต่มีพวกซ้อน หากินเหมือนกัน อ้างการกุศล เป็นเห็นแก่ตัว ไว้ค้าขาย องค์กรหลายองค์กร ชอบทำกัน แล้วได้เงินไป แต่อันนี้ เมื่อดูแล้ว เมื่อได้เงินมา ก็ไม่มีคอรัปชั่น เอาเงินมา เพื่อประโยชน์ ประชาชน การใช้ลาภแลกลาภ ไม่ได้เพื่อตน แม้คนประมูล ก็ไม่ได้ทำเพื่อตน แต่ทำเพื่อชาติ นี้ยิ่งใหญ่ แทนที่จะได้บาป ก็ได้บุญ ด้วยประการฉะนี้
- จากพระชาดี ตรีหนึ่ง ….. การปฏิรูป การปกครองคณะสงฆ์ไทย ให้เป็นไปตามสมัย ซึ่งเป็นองค์กรเดียวจริงๆ ที่มีความสามารถเหมาะ ครบบริบูรณ์ เช่น ชาวพุทธ ๙๔ % วัดมากมาย ภิกษุมากมาย กราบเรียนพ่อครู และหมู่สงฆ์ แสดงความเห็น อย่างจัดเต็ม ใช้เวลาให้มาก
๑.เราจะปฏิรูปสงฆ์อย่างไร ให้ถูกธรรมวินัย เหมาะแก่สมัย เช่น การเลือกเจ้าอาวาส เจ้าคณะอำเภอ หรือตำแหน่งอื่นๆ จะทำอย่างไร
๒.เรื่องยศตำแหน่งต่างๆ ควรมีหรือไม่ มันไม่ใช่ธรรมวินัยหรือไม่? ผมคิดว่าไม่ควรมี
๓.เรื่องทรัพย์สินสมบัติ ที่มีการลักขโมยของสงฆ์ จะทำอย่างไร
๔.เรื่องการใช้อำนาจหน้าที่ ในการแต่งตั้งโยกย้าย มีการลุแก่อำนาจ
๕.การเผยแผ่ธรรมวินัย ให้ได้ประสิทธิภาพ
๖.การกระจายอำนาจ
๗.การจัดระเบียบพุทธพาณิชย์
๘.ปรับปรุงองค์กรสงฆ์ ให้เกิดประโยชน์สูงแก่ไทย
กราบพ่อครูและหมู่สงฆ์ ร่วมกันปฏิรูป ประเทศไทยด้วยเทอญ....?
- ตอบ... อาตมาขอตอบรวมๆ เช่นนี้ ๑.อาตมาไม่มีหน้าที่ ไปปฏิรูป สงฆ์หมู่ใหญ่ ขืนไปปฏิรูปเขา ก็ดีดอาตมาออกมา ด้วยอวัยวะส่วนใด อาตมาก็ไม่ทำ ในเรื่องสังคมสงฆ์ อาตมาเห็นใจ สังคมสงฆ์ ที่ได้เสื่อมถอย บานปลาย มาถึงวันนี้ หมักหมม จนแก้ไม่ได้ ศัพท์สำนวน ฝ่ายคอมมิวนิสต์ว่า พวกนี้ต้องปล่อย ให้ตายเอง เป็นไดโนเสา ให้สูญพันธ์ ไปเอง อาตมาไม่ได้ใส่ความ หาความ ไม่ได้ไปลงโทษ ไม่โกรธเกลียดชั่ว ได้แต่สงสาร อย่างนี้จริงๆ แต่สุดวิสัย ที่จะช่วยได้ ถึงช่วยได้ ก็ไม่ไหว เพราะเน่าเกิน แก่เกินแกง ต้องโยนทิ้งลูกเดียว พูดชัด อาจแรงจริงๆ เพราะความจริง เป็นอย่างนั้น ไม่มีประโยชน์ต่อชาติ วงการศาสนา ไม่มีประโยชน์ต่อชาติ ลูกศิษย์ ของสงฆ์หมู่ใหญ่ ก็ปกครองประเทศอยู่ เป็นพลังงานรวม ที่มิจฉาทิฏฐิ ทำให้สังคม ไม่มีคนมีธรรม ที่เป็นกุศล เป็นอกุศล ไม่ได้ช่วยได้ และเป็นอบายมุขด้วย ลูกศิษย์ไปบริหารในพฤติกรรม ของอบาย โลภในลาภจัดแรง โลภในอำนาจยศศักดิ์แรง แรงจนห้ำหั่นทุจริต เละไปหมดเลย บริหารอย่างนั้น แม้ในด้านธุรกิจ ก็เต็มไปด้วยโลภ เอาชนะคะคาน หนังจีน ในประเด็น ที่เขาทำธุรกิจ มันก็ห้ำหั่นกัน อย่างในหนังเลย เป็นอบายมุข สมัยใหม่ สมัยพระพุทธเจ้า ไม่มีอบายทางการเมือง แล้วสมัยนี้ อบายมุข รุนแรงกว่า ยุคพระพุทธเจ้า มันเป็น มหาบรมอภิอบายมุข แต่เขาไม่รู้กัน เมื่ออาตมา ไม่สามารถ อาจเอื้ออะไรได้ ก็ขอลา นานาสังวาส ไม่ให้กระทบกระเทือน ตามธรรมวินัย พระพุทธเจ้า เห็นว่า ศีล ทิฏฐิ พฤติ อุเทศ ต่างกัน อย่างนี้ ทางโน้นทำอย่างโลกีย์ มีศักดิ์ฐานะ อย่างที่ท่าน ชาดีเขียนมา มีซื้อตำแหน่งหน้าที่ มันเกินกว่า อบายมุขแล้ว ไม่มีทาง จะไปทำอะไร แก้ไขได้ ต้องปล่อยให้เป็น ไดโนเสาร์ ต้องกราบขออภัย มหาเถรสมาคม อย่างมาก ไม่ได้พูดด้วยอคติ ๔ อาตมา อ่านจิตเป็น มนสิการเป็น เชื่อว่าอย่างที่ทำนี้ สัมมาทิฏฐิ แล้วมาบรรยาย ประกาศ ขยายความ พากันปฏิบัติ จนมีผู้รู้เห็น เข้าใจปฏิบัติตาม มาบวชตาม เหมือนน้ำไหลไปหาน้ำ น้ำมันไหลไปหาน้ำมัน เป็นสังคม ชาวอโศก จนเป็นหมู่บ้าน มีสังคมมีชีวิต มีระบบ การเป็นอยู่เป็น ลาภธัมมิกา ถึงขั้นระบบ สาธารณโภคี เมื่อสงฆ์หมู่ใหญ่ ทำไม่ถูกหลักเกณฑ์พระพุทธเจ้า จึงยาก ที่จะแก้ไข อาตมาจึงพาแยก ลาออก เป็นนานาสังวาส แล้วจะมาอธิกรณ์ประท้วง อาตมาไม่ได้ ฟ้องร้องอาตมาไม่ได้ แต่จะตำหนิ (ปฏิโกสนา) แต่อย่าให้ถึง รบราฆ่าฟันกัน ถ้าทำเกิน ปฏิโกสนา ก็ผิด ทางหมู่ใหญ่ มาประท้วงอาตมา ที่ลาออกนานาสังวาส ตั้งแต่ ๒๕๒๗ มีรายลักษณอักษรด้วย แต่ท่านก็กลับมาฟ้องร้องอาตมา ซึ่งผิดธรรมวินัย หากทำเช่นนี้ ในปี ๓๒ อาตมาก็พาพวกเราทำ ปฏิบัติมา แล้วก็ได้ผล จะตรวจสอบได้ ในหลักธรรมของพระพุทธเจ้า เช่น กถาวัตถุ ๑๐, วรรณะ ๙ เป็นต้น ซึ่งก็พาทำอยู่ กับสังคม ไม่ได้หนีไปจากสังคม มีการกระทบสัมผัส ทางทวารนอก ซึ่งคนที่ปฏิบัติได้ จิตก็สงบ เพราะกิเลสตาย กิเลสถูกกำจัดไปแล้ว คนปฏิบัติได้ ก็มาร่วมกัน เป็นชุมชนอโศก เป็นบุญนิยม ถึงขั้นสาธารณโภคี ถามว่าปฏิรูปไหม ก็ปฏิรูป จนเป็นหมู่บ้าน ที่เป็นนิตินัย ตามราชการก็มี แต่ไม่เป็นนิตินัยก็มี ก็ดำเนินกันไป บริหารปกครอง อย่างสาธารณโภคี เป็นระบบสังคม หมู่บ้านนี้เสียภาษี ๑๐๐ % ไม่เอาไว้ ส่วนตัวเลย มีคณะบริหาร เผื่อแผ่ใช้สอยกัน เราพึ่งตนเองได้ ก็ออกมาช่วยสังคม เรามีการพาณิชย์ มีการศึกษา สัมมาสิกขา และอื่นๆ เรามีไตรสิกขา ศึกษาและปฏิบัติ ได้ผลจริง ได้คนเช่นนี้มา ประเทศชาติ ไม่ได้ขาดทุนอะไร ในแต่ละด้าน เราไม่ได้ เอาเปรียบ สังคมเลย แต่ช่วยสังคมอีกด้วย นี่ขออภัยนะ ที่พูดเหมือนคุยตัว พูดด้วยใจจริง
- การสวดมนต์ นะโม ทำไมกล่าว ๓ ครั้ง ในบทพาหุงฯข้อที่ ๗ หรือ ๘ เป็นปุคคาธิษฐาน หรือธรรมาธิษฐาน?
- ตอบ... พุทธเรานับถือถึง ๓ ครั้ง เพราะหลักสามเส้า เป็นหลักสำคัญมาก ของวัฏฏะ ตอนนี้ เราประท้วง มีอยู่ถึง ๓ เส้า คือ กปท. คปท. และอนุสาวรีย์ แล้วรวมเป็น กปปส. แล้วก็มี แยกเวทีไปเยอะ ต่อมาก็ยุบไป เหลือ ๔ กลุ่มหลัก คือกลุ่มที่ผ่านฟ้าฯ ที่ชมัยฯ และที่สวนลุมฯ และยังมีที่ แจ้งวัฒนะ เป็น ๔ เป็นเลข ๔ ที่ขยายกัน เป็นเรื่องลึกซึ้ง ละเอียด เป็นพลังงานของ มนุษยชาติ คือลักษระ ๓ ที่สำคัญ พระพุทธเจ้า ท่านจะท้วงใคร ก็ท้วง ครั้งที่ ๑ ครั้งที่ ๒ และครั้งที่ ๓ ตามมหาปเทส แล้วบทสวดมนต์ พาหุง บทที่ ๗ และ ๘ เป็นนันโทปนันทะ หมายถึง นาคใหญ่ นาค คือผู้ประเสริฐ ซึ่งจริงๆแล้ว ธรรมะของพระพุทธเจ้า เป็นธรรมาธิษฐาน ทั้งนั้น แม้มีตัวตนร่างกาย ก็จะเอานามธรรม เป็นหลัก เป็นที่สุด
- วันก่อน พ่อครูเทศน์บอกว่า การชุมนุมของ มวลมหาประชาชนว่า มีทั้งกลุ่มที่มีจิต ราม ศิวะ และพรหม , คปท.เป็นศิวะ , กปท.เป็นพรหม, กำนันเป็นราม แล้วการทำงานของ กองทัพธรรม จำเป็นไหมว่า ต้องมีคนที่มีจิตทั้ง ๓ นี้ไหม งานจึงสำเร็จ
- ตอบ...ใช้ ครบตรีมูรติ มีภาษาง่ายๆว่า ฝ่ายปราบ ฝ่ายสร้าง ฝ่ายเป็นกลาง นี่คือ ตรีมูรติ ฝ่ายปราบคือศิวะ ฝ่ายสร้างคือราม ฝ่ายกลางคือพรหม ,ปราบคือปราบอธรรม ในสังคม ต้องมีทุจริต ต้องมีชั่ว และผิด ก็ต้องมีผู้ปราบ ส่วนผู้สร้าง ก็ต้องมี ส่วนพรหม เป็นตัวเชื่อม ตัวช่วย ในลักษณะที่เกิดนี้ ไม่ผิดฝาผิดตัว
- ดิฉันเป็นคนร่าเริงช่างคุย มองโลกแง่ดี แต่บางครั้ง ก็ตรงกันข้าม เป็นคนเฉยๆ ไม่อยากคุย เบื่อโลก แต่อารมณ์หลังนี้ นานๆครั้ง ทำอย่างไร จึงทำให้หายไป อย่างเด็ดขาด ...
- ตอบ...ระวังเป็นโรคไบโพล่านะ ตอบกำปั้นทุบดินว่า ปฏิบัติธรรม ให้สัมมาทิฏฐิ คุณยังดีนะที่บอกว่า ยังมีเวลาวาระ ที่มันหยุดไม่เป็น เลยพัก ที่เบิกบานแจ่มใสร่าเริง พอไม่เบิกบาน ก็เซ็งๆ ทุกข์ ก็ยังดี มีเบิกบานมาก แต่ถ้าเผื่อว่า ปฏิบัติธรรมจริง จะรู้เหตุแห่งทุกข์ หรือหลงสุข เป็นเคหสิตโสมนัสเวทนา ก็เรียนรู้ใจ ไม่ออกมา เป็นสุขทุกข์ ภายนอกก็ดี จะเหลือแต่ภายใน ก็เป็นอนาคามี ก็ต้องเรียนธรรมะ ให้สัมมาทิฏฐิ จะเป็นกลาง ที่ไม่จืดชืด เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน ไม่ใช่ผู้หลับ ไม่รู้เรื่อง ศาสนาพุทธ คือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน หากผู้ใดมี สัจจานุโลมมิกญาณ และมีอเนญชา จนเกิด สังขารุเปกขาญาณ จิตมีญาณรู้วางเฉย ต่อสังขาร วางเฉยต่อการสังขาร แม้ปรุงแต่งอยู่ จัดจ้าน เรากระทบสัมผัส โลกธรรมจัดจ้าน เราก็ไม่สุขทุกข์กับเรา เราก็รู้ก็เห็นกับเขา รู้โลกวิทู แต่เราสัมผัสแล้ว ผุฏฐัสสะโลก ธัมเมหิ จิตตัง ยัสสะ น กัมปติ จิตวางเฉยได้ ไม่หวั่นไหว ต่อโลกธรรมใดๆ เป็นจิตมัชฌิมาแล้ว อุเบกขาวางเฉย อย่างรู้ๆ จึงอนุโลม กับโลกเขา ช่วยโลก ด้วยจิตที่มีอำนาจเหนือโลก เหนือเท่าไหร่ ก็อนุโลมได้เท่านั้น ช่วยประมาณหนึ่ง ตามควร หย่อนมือ เอื้อมลงไปช่วย คนตกบ่อได้ โดยตนไม่ตกบ่อ ถ้าคุณมีแรง ยึดฐานตนได้มากเท่าไหร่ ก็ดึงช่วยเขาได้มาก ตามฐานานุฐานะ ผู้ที่บรรลุแล้วจบ ท่านจะอ่อนน้อม ถ่อมตน จะไม่พยายาม ทำเกินตัว อรหันต์ทุกองค์ ไม่ทำเกินตัว ไม่คะนอง ไม่ฮาร์ดคอร์ ท่านก็ทำตามเหมาะควร ท่านก็ช่วยได้ตามควร จึงมีสัจจานุโลมมิกญาณ ท่านมีสังขารุเปกขาญาณ ทนต่อสังขารภายนอกได้ แม้อนุโลม ก็ช่วยเขาได้ ทำทีปรุงแต่ง เล่นกับลูก หรือเหมือนแม่ครัว ปรุงอาหาร ให้คนกิน แต่ตนเป็นผู้เสียสละ ยอมให้คนอื่น ทำประโยชน์ต่อสังคมได้ มีโลกวิทู และ มีโลกานุกัมปา อาตมาเรียก ๓ ลักษณะนี้
- เมื่อวานนี้ พล.ต.อ.วศิษฐ์ได้กล่าวว่า หลังชุมนุม องค์กรของกปท. คปท.และกปปส. ยังจะคงอยู่ พ่อครูว่าอย่างไร
- ตอบ...ถ้ามนุษย์มีปัญญารู้ว่า อะไรควรอยู่ ก็ไม่ต้องจดทะเบียน เช่น อเมริกา มีสองพรรค เขาก็ไม่มีกฎหมาย ให้ตั้งพรรคนะ คุณรู้ไหมว่า อโศกนี่พรรคการเมืองนะ มาทำงาน อย่างไม่แย่งอำนาจ จะต้องหาเสียงอะไร ไม่ต้องเลย นี่คือพรรคการเมือง โดยธรรมชาติ มารวมตัวโดยทฤษฎี ทำงานร่วมกันด้วยเลย ไม่มีจุดมุ่งหมาย เพื่อตัวตน แต่อย่างใด ไม่ได้หาเสียง ในอนาคต ประชาชน เห็นเองว่า ควรให้เป็นผู้แทน ก็จะมาขอ ไม่ต้อง หาเสียงด้วย สมัครแล้ว ไม่ต้องหาเสียง หากหาเสียง ก็ไม่เป็นประชาธิปไตย เรามีอุดมคติ ทางการเมือง ถ้ายังหาเสียง ก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย อยู่ตามระบบระเบียบ ของชาวอโศก สิ่งเหล่านี้ เกิดเองเป็นเอง ตามจริง เลิกงานนี้ คนอื่น จะทรงอยู่หรือไม่ ก็ไม่มีปัญหา ส่วนกองทัพธรรม ชาวอโศก ก็มีอยู่แล้ว และจะพยายาม ให้กลุ่มโตขึ้นด้วย ส่วนคปท. กปปส. จะทำก็เห็นด้วย ให้เกิดกลุ่ม เป็น NGO เป็นพวกที่เป็นเอกชน ก็เอาสิ ทำได้ เขาทำเพื่อพรรคเดียว กลุ่มเดียว หัวหน้าเขา ประกาศเลยว่า ผู้จะเป็นนายกฯ ต้องมาจาก ชินวัตร เท่านั้น แบบนี้ไม่ใช่ ประชาธิปไตย แต่เป็นประชาธิป แล็ดแต็ดแต๋ ตามฉายา นายกฯ
- ลูกยังฝึกตนอยู่ไกลพ่อ แม้มีท้อ แต่ไม่ถอย ขอถามปัญหา ให้พ่อท่านอธิบาย วิมุติกับนิโรธ ต่างกันอย่างไร?
- ตอบ.... วิมุติเป็นเชิงปัญญา ส่วนนิโรธ เป็นเชิงโจโต นิโรธคือ จิตดับกิเลส ส่วนนิโรธ มีปัญญารู้ว่า หลุดพ้น ออกจากกิเลส เช่นอบาย เช่นกาม เช่นรูปภพ อรูปภพ ไม่เหลือภพเลย เป็นวิมุติสมบูรณ์ เป็นอรหันต์ นิโรธเป็นตัวจิตที่ดับ ไม่ได้หมายถึง จิตดับไปหมด และเขาเข้าใจกันมากเลยไปทำ จิตดับหมด แล้วเรียกว่า นิโรธ แต่เป็นนิโรธ มิจฉาทิฏฐิ เรียกอีกอย่างว่า อสัญญีสัตว์ ดับเวทนา และสัญญา แต่ถ้าดับได้ถูกต้อง ที่ดับกิเลส ก็จะเรียกว่า ละ ดับชาติได้...
www.asoke.info