570411_รายการตอบปัญหาละดับชาติ ตอนที่ ๒
ในงานปลุกเสกฯครั้งที่ ๓๘ ณ เวทีผ่านฟ้าฯ |
การละ จนถึงดับชาติ คำว่าชาตินี้ ถ้าไม่ศึกษา อาจเข้าใจว่า คือการเกิดตาย ทางร่างกาย เป็นกายัสสะ เภทา ปรัมมรณา จิตออกจากร่าง ไปรับวิบาก
ในพระไตรฯล.๑๖ ว่าไว้เกี่ยวกับ ปฏิจจสมุปบาทว่า
[๒] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิจจสมุปบาท เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอวิชชา เป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะวิญญาณ เป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะนามรูป เป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะ เป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ เพราะผัสสะ เป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เพราะตัณหา เป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและ อุปายาส ความเกิดขึ้น แห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ นี้เราเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท ฯ
ผู้รู้จักปฏิจจสมุปบาท คือผู้รู้จักศาสนาพุทธ ซึ่งเป็น อวิชชา ข้อที่ ๘
ในพระไตรฯล.๑๖ ก็มีแจกแจงเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท
๒ วิภังคสูตร
[๔] พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถ บิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดง จักจำแนก ปฏิจจสมุปบาท แก่พวกเธอ พวกเธอจงฟัง ปฏิจจสมุปบาท นั้น จงใส่ใจให้ดีเถิด เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้น ทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว ฯ
[๕] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิจจสมุปบาท เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะวิญญาณ เป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะนามรูป เป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ เพราะผัสสะ เป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะเวทนา เป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เพราะตัณหา เป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทาน เป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ โสกปริเทวทุกข์โทมนัส และอุปายาส ความเกิดขึ้น แห่งกองทุกข์ ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ
[๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ชราและมรณะเป็นไฉน ความแก่ ภาวะของความแก่ ฟันหลุด ผมหงอก หนังเหี่ยว ความเสื่อมแห่งอายุ ความแก่ หง่อมแห่งอินทรีย์ ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่าชรา ก็มรณะ เป็นไฉน ความเคลื่อน ภาวะของความเคลื่อน ความทำลาย ความอันตรธาน มฤตยู ความตาย กาลกิริยา ความแตกแห่งขันธ์ ความทอดทิ้งซากศพ ความขาด แห่งชีวิตินทรีย์ (ชีวิตินทรีย์ คือ สิ่งที่ถูกรู้ทางนามธรรมแล้ว คือความดับ ความไม่มีชีวิตของ จิตวิญญาณ ชีวิตทางร่างกาย ก็ยังอยู่ แต่ชีวิตินทรีย์ คือชีวิตในจิตวิญญาณ ) จากหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่า มรณะ ชราและ มรณะ ดังพรรณนามา ฉะนี้ เรียกว่า ชราและมรณะ ฯ
[๗] ก็ชาติเป็นไฉน ความเกิด ความบังเกิด ความหยั่งลง เกิด เกิดจำเพาะ ความปรากฏ แห่งขันธ์ ความได้อายตนะครบ ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของ เหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่าชาติ ฯ
[๘] ก็ภพเป็นไฉน ภพ ๓ เหล่านี้คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ นี้เรียกว่าภพ ฯ
[๙] ก็อุปาทานเป็นไฉน อุปาทาน ๔ เหล่านี้คือ กามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน สีลพัตตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน นี้เรียกว่า อุปาทาน ฯ
มนุษย์ชมพูทวีป มนุษย์ชาวชมพูทวีป ประเสริฐกว่าพวกมนุษย์ ชาวอุตร-กุรุทวีป และเทวดา ชั้นดาวดึงส์ ด้วยฐานะ ๓ คือ เป็นผู้กล้า (สุรภาโว) เป็นผู้มีสติ (สติมันโต) เป็นผู้อยู่ ประพฤติ พรหมจรรย์อันเยี่ยม (อิธ พรหมจริย วาโส) ดูกรภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ชาวชมพูทวีป ประเสริฐกว่า พวกมนุษย์ ชาวอุตรกุรุทวีป และพวกเทวดา ชั้นดาวดึงส์ ด้วยฐานะ ๓ ประการ นี้แล (พตปฎ. ล.๒๓ ข.๒๒๕)
ต้องสัมผัสวิโมขก์ ๘ ด้วยกาย ผู้ไม่มีความสำคัญ ในรูปภายใน (๑๐/๖๖) ย่อมเห็น รูปทั้งหลาย ในภายนอก (อัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทธา รูปานิ ปัสสติ) (พ่อครูแปลว่า มีสัญญาใส่ใจในอรูป คือรู้ทั้งรูปภายนอก ไปจนถึง รูปภายใน ต้องเห็นทุกเวลา แม้ขั้นอรูป ก็ต้องใส่ใจกำหนด)
ถ้าไม่บรรลุปัญญาวิมุติ พระพุทธเจ้าไม่รับรองว่า เป็นอรหันต์ เพราะไม่ได้ อุภโตภาควิมุติ
จะดับชาติได้ ก็ต้อง เรียนรู้ภพ ๓ คือ กาม-ภว-วิภวภพ เรียนรู้อปาทาน ๔ และเรียนรู้ ตัณหา ๖ อาตมา ตั้งข้อสังเกตว่า ท่านให้เรียนรู้ตัณหา ๖ , เวทนาก็ให้เรียนรู้ เวทนา ๖ หมายความว่า ต้องปฏิบัติธรรม แบบลืมตา เปิดทวารทั้ง ๖ เพื่อรับวิถีรับผัสสะ จึงปฏิบัติ ปฏิจจสมุปบาทได้
จากเวทนา ๖ ก็มีผัสสะ ๖ และมีสฬายตนะ ๖ เป็นตัวยืนยันชี้บ่งว่า ปฏิบัติธรรม ที่ไม่ผิด ต้องลืมตาเปิด
[๑๐] ก็ตัณหาเป็นไฉน ตัณหา ๖ หมวดเหล่านี้คือ รูปตัณหา สัททตัณหา คันธตัณหา รสตัณหา โผฏฐัพพตัณหา ธัมมตัณหา นี้เรียกว่าตัณหา ฯ
[๑๑] ก็เวทนาเป็นไฉน เวทนา ๖ หมวดเหล่านี้คือ จักขุสัมผัสสชา เวทนา โสตสัมผัสสชาเวทนา ฆานสัมผัสสชาเวทนา ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา กายสัมผัสสชาเวทนา มโนสัมผัสสชาเวทนา นี้เรียกว่า เวทนา ฯ
[๑๒] ก็ผัสสะเป็นไฉน ผัสสะ ๖ หมวดเหล่านี้คือ จักขุสัมผัส โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัส กายสัมผัส มโนสัมผัส นี้เรียกว่าผัสสะ ฯ
[๑๓] ก็สฬายตนะเป็นไฉน อายตนะคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้เรียกว่า สฬายตนะ ฯ
[๑๔] ก็นามรูปเป็นไฉน เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ นี้เรียกว่านาม มหาภูตรูป ๔ และรูปที่อาศัย มหาภูตรูป ๔ นี้เรียกว่ารูป นามและรูป ดังพรรณนา มาฉะนี้ เรียกว่า นาม
รูป ฯ
[๑๕] ก็วิญญาณเป็นไฉน วิญญาณ ๖ หมวดเหล่านี้คือ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ นี้เรียกว่า วิญญาณ ฯ
[๑๖] ก็สังขารเป็นไฉน สังขาร ๓ เหล่านี้คือ กายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร นี้เรียกว่าสังขาร ฯ ที่เรียกว่า กายสังขาร ก็คือองค์รวมทั้งหมด ทั้งกายและจิต ส่วนจิตสังขารนั้น ก็เป็นแต่จิต ไม่มีกาย ส่วนวจีสังขาร นี้อยู่ในสังกัปปะ ๗ เป็นนามธรรม คนเข้าใจไม่ละเอียด จะเข้าใจ ไปเป็นวจีกรรม ซึ่งมันหยาบมากแล้ว แต่นี่เป็นเรื่องละเอียด
ต่อไปตอบปัญหา(ละ)ดับชาติ
- ทำไมพรรคเพื่อฟ้าดินของชาวอโศกถึงจนจัง แล้วจะช่วยสังคมได้อย่างไร?
- ตอบ... การบริหารของเรานี่ ไม่มีตำแหน่ง ก็บริหารได้ ตั้งแต่บริหารตนเอง ให้มีการงาน มีชีวิตสร้างสรรอยู่ได้ มีเหลือเจือจานแจกจ่าย ไม่เป็นภาระใคร พึ่งตนรอดสำเร็จ เมื่อบริหาร ตนเองได้ ก็บริหารคนข้างเคียง ให้เขาบริหารตนเองได้ ก็ร่วมกัน บริหาร ส่วนกลาง แล้วสร้างสรร ผลิตสิ่งเกินกินเกินใช้ เหลือเผื่อแผ่สังคมต่อไป แล้วเราบริจาค สะพัด เราไม่เอาเปรียบ ขาดทุนคือกำไรของเรา เราไม่หัดสะสมด้วย ไม่กักตุน มีไว้พอ หมุนเวียน ไม่ขาดตอน แล้วประมาณ คงคลังให้ดี เราจะไม่มีมาก เราไม่นิยม ส่งเสริม ปรารถนาจะมีมาก เราดำเนินรอยตามพระพุทธเจ้า และพระเจ้าแผ่นดิน มีชีวิตมักน้อย สันโดษ อปจยะ สังคหะ เราจึงไม่มีมาก ส่วนตน แต่ถ้าหลายคน รวมเป็นหมู่บ้าน เป็นอำเภอ เป็นจังหวัด มีคนชนิดนี้มาก เราจะมีส่วนเกินมาก ก็สะพัด ไปสู่คนอื่น สู่สังคมได้มากขึ้นอีก ไม่ได้ลำบากลำบน ไม่เบียดเบียนตนเองด้วย เศรษฐศาสตร์ บุญนิยม เป็นของพระพุทธเจ้า ที่ไม่เกิดในสังคม แต่ตอนนี้เกิดแล้ว ในชุมชน ชาวอโศก แม้กำลังพัฒนา ให้คนอื่นรับรู้ ร่วมทำด้วย ในอนาคต เผยแพร่ได้ มีคนเข้าใจได้ ลดกิเลสได้ เราจะเรียกว่า Pyramidal web เป็นเครือแห เป็นระบบบุญนิยม สร้างมาก เผื่อแผ่ ขยายเป็นเศรษฐกิจ ขาดทุนแบบเรา คนมีอาชีพแบบนี้ ทำแบบนี้ จะรวยไม่ได้ส่วนตัว แต่ส่วนรวม จะอุดมสมบูรณ์ หากเป็นได้ทั้งประเทศ ประเทศนี้ จะอุดมสมบูรณ์ จะไม่ร่ำรวยก้าวหน้า เหมือนประเทศอื่น เพราะเงินคงคลัง จะไม่มากล้นเกิน ไม่ทำ ระบบทุนนิยมแบบนั้น เราไม่ทำ เรามีแต่จะทำให้เกิน แล้วสะพัด สู่คนอื่น เป็นอุดมคติ ของบุญนิยม จิตวิญญาณสามารถ เป็นคนมี วรรณะ ๙ ได้จริง เป็นสังคม มนุษยชาติ ที่เจริญได้จริง ขอให้เราพัฒนา ให้มีคุณภาพและปริมาณมากขึ้น เป็นมหาอำนาจ ที่ไม่กดขี่บังคับใคร แต่จะเป็นมหาอำนาจ ที่ช่วยเหลือเกื้อกูลประเทศอื่น ไม่ใช่เรื่อง เหลือบ่ากว่าแรง เป็นไปได้นะ Possible จะต้องทำให้ได้
- การขายสินค้าตลาดอาริยะ ที่เป็นสินค้าจากโรงงาน ทำไมบังคับให้ลด ๓๐ % เพราะถ้าเราลดมาก เราก็กระจายสินค้า ได้น้อยลง
- ตอบ...ถ้าลดราคามาก ก็กระจายให้คนได้น้อยกว่า ลดราคาน้อย เพราะสินค้า จะมีจำนวน มากขึ้น เราเสียสละมากขึ้น จะลดจำนวนที่สละ เราก็ปรึกษากันอยู่ สุดท้าย เราก็แล้วแต่ ใครจะเลือกเอาแบบไหน ก็เอา
- หลวงปู่คะ หลวงปู่บอกว่า หลวงปู่มีความรู้เอง ไม่ได้เรียนรู้จาก ครูบาอาจารย์ที่ไหน รู้ได้เอง แล้วพวกหนู ก็ต้องเดินตามหลวงปู่ ก็ต้องเรียนรู้เอง ใช่ไหม?
- ตอบ....หลวงปู่เป็นโพธิสัตว์ มีสยังอภิญญา มีความรู้ ที่ได้มาจาก ชาติก่อนๆ การรู้สิ่งที่ มีจริงในตน เป็นปรมัตถธรรม รู้จักจิต เจตสิก รู้กิเลส ทำกิเลสลดจริง รู้แจ้งจริง ก็เริ่มมี ปัจจัตตัง มีคุณอันสมควรแล้ว ได้แล้ว ก็สั่งสมเป็นปัจเจก เมื่อเกิดปัจเจก ถ้าได้ถึงขั้น นิยตะขึ้นไป อย่างโสดาบัน ก็มีขั้นที่จะสะสมถึง นิยตะ ไม่เวียนกลับ ไม่กลับไปกลับมา เที่ยงแท้ มั่นคงแน่นอน คือนิยตะ เป็นสัจจะความจริง ตั้งแต่โสดาบัน ก็มีปัจเจกของตน แล้วจะมี สัมโพธิปรายนะ ได้ใส่อัตภาพ ชาติหน้าก็มีอยู่ เป็นของตน โดยไม่ต้องอาศัย ครูบาอาจารย์ มาแนะนำ ก็มีของตนเอง ถึงขั้นมากพอเป็น สยังอภิญญา ๑.ปัจจัตตัง ๒.ปัจเจก ๓. ปัจเจกสัมมาสัมโพธิ คือปัจเจก ที่ใกล้ถึง สัมมาสัมพุทธะ คือยังไม่ประกาศ ศาสนา เป็นพระพุทธเจ้า ก็ยังไม่เรียกว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า บางองค์ ท่านก็ปรินิพพานไป โดยไม่ได้สร้างศาสนา แต่ก็มีภูมิ ปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ ซึ่งปัจเจก สัมมาสัมพุทธะ มีสองชนิด คือผู้ที่ไม่สร้างศาสนา กับผู้ที่มี อนันตริยกรรม เช่น พระเทวฑัต ที่เคยทำผิดมาก มากจนไม่สามารถเป็น พระพุทธเจ้าได้ แต่ที่สอน กันมานั้น เขาว่า ปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ นั้นสอนคนไม่ได้ ทำไมจะไม่ได้ เพราะขนาด โสดาบัน ก็ยังสอนคนได้เลย เพราะฉะนั้น ปัจเจกฯ ก็สอนคนได้ สรุปว่า พระโพธิสัตว์ ที่มีภูมิในตนจริง ก็ไม่ต้อง มีอาจารย์ผู้รู้ใดๆ มาสอน หรือไปเรียนรู้ด้วย อย่างหลวงปู่นี่ รู้ขัดกับเขาด้วย จะไปเป็นลูกศิษย์เขาได้อย่างไร หลวงปู่ก็เอาความรู้ ที่หลวงปู่มี มาสอน มีคนนับถือแค่นี้ คือชาวอโศก คนอื่น ก็เห็นด้วยบ้าง แต่หลวงปู่ไม่เดือดร้อน อธิบายแล้ว เขาเข้าใจไม่ได้ เราก็ไม่เก่งเอง ที่จะอธิบาย หลวงปู่ไม่มีครูบาอาจารย์นั้นจริง แต่ผู้ไม่มี ปัจเจกภูมิ ก็เป็นสาวกภูมิ ต้องรับจากผู้รู้ก่อน
- พระเจ้าพิมพิสารทรงสุบินว่า มีผีเปรตน่ากลัว มาหลอกหลอน ในเวลาบรรทม ก็ไปทูลถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าว่า เปรตเหล่านั้น คือญาติที่ตายแล้ว มาขอส่วนบุญ จึงให้องค์ราชาอุทิศส่วนกุศลให้ แต่พ่อท่านว่า ใครทำใครได้ อุทิศส่วนบุญกุศล ให้คนตายแล้วไม่ได้?
- ตอบ... คำว่า จิตวิญญาณที่เป็นเปรต ต้องการส่วนบุญ ส่วนได้ คืออยากได้จากคนอื่น คนที่ตายไป จิตวิญญาณตน จะตกนรกสวรรค์ ของตนเอง ไม่รับรู้กับคนอื่น ไม่มีใครเจอใคร ไม่รู้ใคร ไม่เห็นใคร แต่เอาเองว่า ไปอยู่เมืองนรกด้วยกัน มียมบาล ว่าไปนั่น แต่ที่จริง จิตเปรตคือจิตอยาก จิตตกนรก คือเร่าร้อน เดือดร้อน ตายไปแล้ว ไม่รู้ว่าตนตาย ไม่รู้ว่า ตนไม่มี ตาหูจมูกลิ้นกาย เหมือนคุณนอนฝัน ลองนึกตามดีๆ มันนึกว่า คุณเป็นๆอยู่ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ แล้วเมื่อคุณไม่ได้ มันก็จะไม่ได้ อธิบายยาก แล้วไม่มีของจริง คุณไม่ได้พบ สัมผัสกับใคร ตายไปแล้ว ใครจะเอาอะไรไปให้ มันไม่มี ท่านว่า มีเปรตชนิดเดียวเท่านั้น ที่จะถึงได้ คำว่าอุทิศ คือจงใจมุ่งหมายให้ จิตมุ่งหมาย คือสัญจิต คำว่า ปรทัตตูชีวกเปรต เปรตที่สามารถรับ ส่วนกุศลได้ คือเปรตเป็นๆ ไม่ใช่เปรต ที่ตายแล้ว ถ้าจะให้แม่ ก็ต้องให้ตอนเป็นๆ คำว่าบุญนี่คือ การชำระกิเลส ต้องเรียนรู้จิตตน ที่เป็นเปรต ในขณะเป็นๆ มีกระทบสัมผัสทวาร แล้วมีจิตเปรต คุณก็เรียนรู้ ชำระกิเลส โปรดเปรต ของคุณเองได้ กิเลสก็ลดไป หมดไป นี่คือ ปรทัตตูชีวกเปรต นี่คือ เปรตที่ได้รับ จากคนอื่น อาศัยคนอื่น ถ้าคุณจะช่วยแม่ โดยให้ของ ก็ได้ของ แต่ว่าถ้าจะให้แม่ ได้ลดกิเลสได้ นี่คือโปรดเปรตในตัวแม่ได้ นี่คือ เปรตได้รับ ส่วนบุญ ส่วนตายแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้ ไม่มีสติมันโต สุรภาโว อิธ พรหมจริยวาโส จะโปรดเปรต ต้องเข้าใจปรมัตถ์ เข้าใจสัตตาวาส ลดกิเลส ในขณะเป็นๆ นี่แหละ คนไม่รู้ ก็ต้องอาศัย คนอื่นสอน ตอนเป็นๆนี่แหละ อย่างพระพุทธเจ้า เข้าพรรษา โปรดเทวดา ในดาวดึงส์ แล้วหายไปไหน พระพุทธเจ้า จำพรรษาอยู่กับภิกษุ แล้วไปอยู่กับเทวดา สามเดือน ได้อย่างไร คำว่ามารดา หมายถึง ผู้เป็นโอปปาติกสัตว์ มาตา ปิตา สัตตา โอปปาติกา เขาเข้าใจ ความเป็นแม่เป็นพ่อ ทางจิตวิญญาณไม่ได้ ก็พระพุทธเจ้าตรัสชัด ว่าพระสารีบุตร เป็นแม่เลี้ยง พระโมคคัลลานะเป็นแม่นม ส่วนพระพุทธเจ้าเป็นพ่อ ช่วยสร้างภิกษุ ให้เกิดทางจิตวิญญาณ ไม่ได้หมายถึง ตัวตนร่างกาย , หรือว่าจะเป็น พระสารีบุตร เป็นปุริสภาวะ ส่วนพระโมคคัลลานะ เป็นอิตถีภาวะ
- รักมากก็ทุกข์มาก ฉะนั้นทุกวันนี้ ที่ดิฉันรักสามีมากอยู่ จะทำอย่างไร
- ตอบ...ก็ไม่รักมาก ก็ไม่ทุกข์มาก แต่อย่าทะเลาะกันนะ ยากเรื่องอจินไตย เรื่องเมถุน เรื่องวิบากเป็นเรื่องทรมาน มีวิบาก แต่ชาติหลายชาติ มันเป็นทุกข์ แต่หลอกว่าเป็นสุข สัตว์โลก ก็จะมีสภาวะเช่นนี้ ผู้จะเรียนรู้หลุดพ้น จากสภาวะสัตว์ ไม่ง่าย ต้องเรียนรู้ ความรักอย่างคู่ เมถุน เป็นความรักสัมผัสเสียดสี หลงรส เรียกว่า กามรส เป็นเรื่องหลอก ความจริงแล้ว เป็นเรื่อง สืบพันธ์ ต่อเผ่าพันธ์ เป็นเรื่องสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉาน หลายชนิด สืบพันธ์ด้วยทุกข์ ฆ่ากันตาย หลายชนิด ส่วนมากตัวผู้ตาย บางชนิด ตัวเมีย กินตัวผู้เลย เป็นเรื่องอจินไตย มากมาย แต่เดรัจฉาน มันต้องต่อเผ่าพันธ์ ไม่ใช่เสพรส เรื่องของผู้วิตถาร เสพรสสัมผัสเสียดสี ไม่ใช่เพื่อสืบพันธ์ เอาเชื้อไปผสมไข่ แต่สัมผัส เสียดสี พวกนี้เป็นวิตถาร ธรรมดาสามัญ สัตว์มันไม่ค่อยมีหรอก แต่ในสัตว์ บางชนิด ก็มีกระเทยบ้าง แต่น้อย มีลิง มีบ้าง ก็ชักจะใกล้คน แต่ก็ทำ อย่างไร้เดียงสา แต่สัตว์คน เกิดจากติดยึดสมมุติ การหลงสัมผัส เสียดสีมาก หากไปติด อุปาทาน ไม่ว่า ชายกับชาย หญิงกับหญิง เพศใดได้หมด ก็เห็นว่า การมีลูกเป็นภาระ ก็ว่าอย่าไปมีลูกดีกว่า ก็เลยไม่เอา มีเพศสัมพันธ์ กับเพศตรงข้าม ก็เลยไปสัมผัส เพศเดียวกัน มันเป็นเรื่อง ไม่ใช่สืบพันธ์ กระเทย จึงเป็นพวก กิเลสหนามาก พระพุทธเจ้าว่า พวกกระเทยมาบวช ให้สึกไป ไม่เสียเวลาสอน เป็นภาระ ไม่ใช่ว่า ไม่สงสาร แต่สอนไม่ไหว เพราะเป็นมา ข้ามชาตินะ สั่งสมมามาก กระเทยบางคน มีชำนาญพิเศษ ส่วนมาก ฉลาดแกมโกงจัดจ้าน เรื่องตกแต่ง กระเทยหากินกับ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสมาก อาตมาขออภัย ต่อกระเทย ทั้งหลาย ไม่เจตนาว่า เห็นใจ แต่บอกให้รู้ว่า พากเพียรปฏิบัติธรรมเถอะ แต่อย่าแสดง ให้จัดจ้าน กระเทยนี่ฉลาด เล่เหลี่ยมลึก สามารถหลอกคนได้มาก ไม่ดี เพราะฉะนั้น เรื่องเพศ ต้องค่อยๆลด ต้องแข็งใจไว้ ไม่อนุโลม หากคู่ของเรา ปฏิบัติด้วยก็ดี แต่ถ้าอีกฝ่าย ไม่ปฏิบัติธรรมด้วย ก็ต้องทนกันหน่อย ก็จำนน ให้เขาสัมผัสเสียดสีไป ก็เรียนรู้ว่า สัมผัสเสียดสี ไม่ได้สุขทุกข์หรอก เป็นอุปาทาน ให้เราสุขทุกข์ มันไม่ใช่อัสสาทะ สุดท้าย คุณก็จะต้อง มีสัมผัสเสียดสี อย่างจิตกลาง เฉยว่างๆ คุณก็อาศัย เหตุปัจจัยอันนั้น เรียนรู้ได้ แต่พระพุทธเจ้า ไม่ส่งเสริม แม้ในวงการศาสนาพุทธ ก็มีลัทธิกาม ว่าจะต้อง สัมผัส เสียดสีกาม จนเบื่อนี่แหละ พระพุทธเจ้าไม่สอน แต่เขาคิดเอง เหมือนที่อ่าน ให้ฟังว่า เมถุนนี่ ต้องเสตุฆาต ไม่ต้องอาศัย เมถุนละเมถุน แต่มานะ ยังต้องอาศัยมานะ เพื่อล้างมานะ แต่กามนี่ ต้องให้ตัดขาด แต่นี่คุณว่า คุณไปรักเขามาก ก็รักมาก ก็ทุกข์มาก เท่านั้น รักน้อยเท่าไหร่ ก็ทุกข์น้อยเท่านั้น ไม่รักเลย ก็ไม่ทุกข์เลย สรุปแล้ว ต้องเรียนรู้ เวทนาในเวทนา จิตในจิต เรียนรู้ลดราคะ จนได้จริงเป็นจริง จะบรรลุได้
- จิตวิญญาณที่ถูกพัฒนาแล้ว จะสามารถฟื้นฟูมันสมองได้ไหม?
- ตอบ...หมายความว่า ถ้าลดกิเลส จิตมีพลังงานสูง แล้วสมองชำรุด จะให้จิตวิญญาณ ไปพัฒนาสมองได้ไหม เท่าที่มีประสพการณ์ มีบางคนว่า ช่วยได้บ้าง บอกตายตัวไม่ได้ จิตวิญญาณ มีพลังงานไปช่วย ให้ส่วนสมองรูปธรรม พัฒนาได้บ้าง แต่จะได้จริง หรือมาก จนเห็นผลได้ เพราะอาตมาเชื่อว่า พลังจิตยิ่งใหญ่กว่า แต่เสี่ยงว่า มันมีอุปาทาน คนนึกว่า ตนได้มีพลังจิต มันหลอกซ้อน โกหกตนเอง ก็เป็นตัวตลกเสียหาย ไม่ค่อยดี
- คนยังไม่กระจ่าง อ้างจากหนังสือ ดอกหญ้า ดูกร พราหมณ์ ๖ ประการต่อไปนี้ ไม่มีประโยชน์คือ ๑.การนอนตื่นสายเกิน ๒.เกียจคร้าน ๓.ความดุร้าย ๔.การนอนมาก ๕.การเดินทางไกลคนเดียว ๖.การคบหาภรรยาของผู้อื่น
- ตอบ...ข้อที่ ๖ นี่ชัดจริง เดี๋ยวตายโดย ไม่ต้องบอกนะ ไม่ค่อยเข้าที ก็ระมัดระวัง ส่วนการนอน ตื่นสายเกิน คือความเสื่อมวิบัติ ทุกวันนี้ คนเราก็มีแสงอาทิตย์ เป็นสัญญาณ ให้ตื่นนอน แต่บางแห่ง บางประเทศ กลางวันเหงา แต่กลางคืน สดชื่นตื่นเต้น เป็นเรื่อง ผิดธรรมชาติ สรุปแล้ว การนอนตื่นสายเกิน ก็วิบัติ ส่วนเกียจคร้านนั้น เสื่อมวิบัติแน่ ส่วนความดุร้าย ก็เป็นความเสื่อมวิบัติ ไม่ต้องอธิบาย การนอนมาก มันเสื่อมทั้งไร้สาระ ทั้งสรีระ นิสัยใจคอ ความติดยึด พระพุทธเจ้าว่า ความไม่อิ่มเต็มนั้นมี การนอน เมถุน ต้องศึกษาว่า การนอนคือการพักผ่อน ไม่ใช่ให้ไปเสพ นอนให้พอ แล้วตื่นมาทำงาน การนอนมากเสียนิสัย เสียสุขภาพประโยชน์ การเดินทางไกลคนเดียว ก็เป็นความเสื่อม อย่างพระ ที่เข้าป่า อยู่คนเดียว ก็ไม่ดี แม้ออกป่า ก็ควรมีอาจารย์ เป็นผู้บอกกล่าว การปฏิบัติ เดี่ยวๆเดียว ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าสอนเลย คำว่าไม่มีเพื่อนสอง ก็คือ ไม่มีกิเลส เป็นเพื่อนสอง แม้นิดแม้น้อยเลย พระพุทธเจ้าสอนแต่ว่า อย่าไปอยู่เดียวเดี่ยว ให้มีมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี ไม่ใช่ออกป่าไปเดี่ยว แบบพระธุดงค์ ที่ตายไป ก็มากมาย ออกป่าเขาถ้ำ ถูกสัตว์พิษสัตว์ร้าย กัดตาย ตกเหว อวดด ีนั่งสมาธิปากเหว ก็วูบไปตาย ก็มาก ละลายไปในเหวก็มาก จริงๆปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ โลกไม่ว่าง จากอรหันต์
ภิกษุมีปกติอยู่ด้วยรูป ที่พึงรู้แจ้งด้วยตา.. (จักษุวิญเญยยา) มีอยู่ ธรรมารมณ์ ที่พึงรู้แจ้งด้วยใจ (ธัมมาวิญเญยยา) อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ให้เกิดความรัก ชักให้ใคร่ ชวนให้กำหนัด มีอยู่ ถ้าภิกษุ ไม่ยินดี ไม่กล่าวสรรเสริญ ไม่หมกมุ่นในธรรมารมณ์นั้นอยู่ ฯลฯ เมื่อไม่ยินดี ความเพลิดเพลินย่อมดับ เมื่อไม่มีความเพลิดเพลิน ก็ไม่มีความกำหนัด เมื่อไม่มี ความกำหนัด ก็ไม่มีความเกี่ยวข้อง (น โหติ นันทสัญโยชนสัง) แม้จะอยู่ปะปนกับ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา พระราชา มหาอำมาตย์ ของพระราชา เดียรถีย์ สาวกของ เดียรถีย์ ในที่สุด-บ้านก็จริง ถึงอย่างนั้น ก็ยังเรียกว่า มีปกติอยู่ผู้เดียว (เอกวิหารีติ) มิคชาลสูตร ล.๑๘ ข.๖๗ ประเทศไทย ก็เป็นเมืองพุทธ แต่ว่าปฏิบัติผิดทาง มีแต่หลงจม ในกิเลส ลาภยศ สรรเสริญ สุข ขนาดซื้อ ตำแหน่งยศกัน ถ้าท่านได้ยินก็โกรธ
- ช่วยอธิบายมงคล ๓๘
- ตอบ...อธิบายตัวต้น กับท้าย ก็แล้วกัน ข้อแรกของ มงคล ๓๘ ก็คือ อเสวนา จ พาลานัง พาลชนเดี๋ยวนี้ เป็นโจรบัณฑิต มีภาพที่ดี เก็กท่า น่าดูเลย แต่ที่ไหนได้ ฉลาดแกมโกง แย่งอำนาจ ลาภยศสรรเสริญ นี่คือพาลชน อย่าไปคบค้าร่วมมือ ทุกวันนี้ เป็นทาส พาลชนอยู่ ก็เลยเป็นอย่างนี้แก้ปัญหาประเทศไม่ได้ ส่วนอโศก นั้น เป็น อโสกัง และวิรชัง ไม่ถึงเขมัง เราต้องเรียนรู้ว่า จิตเรา ต้องไม่คบคนพาล แต่คบบัณฑิต จะถึงรู้ลดละกิเลส ถึงสูงสุด ก็รู้จักกิเลส ลดกิเลส ว่าเราไม่โศก แล้วก็ยินดี จนปฏิบัติไม่โศก ไม่ยินดี ก็คือเขมัง อย่าไปแปลเป็น ปุคคลาธิษฐาน ที่จริงเป็นปรมัตถ์ลึกซึ้ง
- อาการของการต่อสู้ราคะ อาการต่อสู้แต่ว่า ภูมิใจที่ได้ต่อสู้ แต่ไม่ดับสนิท อย่างนี้ ประสพผลสำเร็จไหม
- ตอบ...ก็ได้ผลระดับหนึ่ง คุณรู้จักอาการ จางคลายไหม เช่น ชอบดอกไม้ ชอบน้ำหวาน เมื่อวาน หมอบุญชัย ดื่มน้ำหวาน ได้พิษภัย ใส่ตัวไปเท่าไหร่ มากมาย ๘ ช้อนแน่ะ มากมายมหาศาล เราไปติดน้ำติดสี ติดรส เราอ่านใจว่า เราอยากได้เสพรส นั้นละกิเลสที่สะสม คุณเรียนรู้อาการ อ่านจิตได้ ชั่วคราว หรือทำได้ ดับขาดจริง แล้วทำได้ อย่างซ้อนทวน เป็นปฏิปัสสัทธิ คุณก็ทำทวนไป แล้วจะรู้ด้วยตนว่า เด็ดขาดไหม สัมผัสเมื่อไหร่ ก็ไม่เกิด เป็นเรื่องรู้แจ้ง เห็นจริง คุณจะเกิดญาณปัญญา มันไม่มีตัวตนรูปร่าง มันรู้ได้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส อย่างนี้มันมาก น้อย จาง อย่างนี้ไม่มี ก็จะกำหนดรู้ได้ ด้วยปัญญา ของคุณเอง
www.asoke.info