570412_ทวช.งานปลุกเสกฯครั้งที่ ๓๘ โดยพ่อครู เรื่อง สัจจะที่ปรากฏ ตอนที่ ๖ |
เรามาชุมนุมเป็นการยืนหยัด มวลมหาประชาชน เป็นเรื่องไม่น่าเชื่อ ยาวนาน ๘ เดือนแล้ว ๒๕๒ วัน ของกปท. และ ๒๔๙ วันของกองทัพธรรม ซึ่งอยู่กันได้ยาวนาน และก็เรียบร้อย เป็นการชุมนุมต่อต้าน อย่างสันติวิธี ปราศจากอาวุธ และมีคุณธรรม อย่างสูงส่งวิเศษ
มีทั้งแสดงปริมาณ อันเป็นเครื่องบ่งชี้พื้นฐาน ทั้งมั่นคงเหนียวแน่น ยืนนานไม่ลดละ ไม่ทรุดโทรมถดถอย ได้มวลปริมาณขนาดนี้ ชี้วัดชัดเจน แสดงออกความเป็นคุณค่า หลากแง่หลายเชิง ของความเป็นอำนาจ ของมวลมหาชน แท้ๆชัดเจน
เรามีชีวิตชุมนุมผ่านไปขนาดนี้ มีความมุ่งหมาย เราขอให้รัฐบาล วางอำนาจ หยุดการบริหารได้แล้ว ประชาชนจำนวนมาก ออกมาแจ้งความเห็น ความต้องการชัดเจน ส่งเสียงดังกึกก้อง กัมปนาท คณะกปปส. ออกเคลื่อนที่ ไปกระทรวงต่างๆ เมื่อวาน ไปกระทรวงสาธารณสุข คนมากเบียดเสียด จนกำนันเกือบแบน
ผู้ที่ควรได้ยินได้ฟัง อย่าทำเป็นหูหนวก ตาบอด ไขหูเสียบ้าง ยอมรับผิดเสียดีๆ นี่คือการแสดงออก ทางประชาธิปไตย ที่สวยสดงดงามเลอเลิศยิ่ง ในความเป็นสังคม ประชาธิปไตย เท่าที่เกิดจริงเป็นจริง ของสัจจะในโลก เป็นการชนะ อย่างสดสวย สง่ายิ่งแล้ว เป็น Best Record ทำลายสถิติโลก เท่าที่มีภูมิธรรมเท่านี้ ในรัฐศาสตร์สากล
เป็นการแสดงตัวตน ของคำว่า อธิปไตย เป็นความมีอำนาจ ของประชาชน แสดงตังตนโต้งๆ นี่แหละ ตัวประชาธิปไตย เป็นองค์ประกอบของ ดินน้ำไฟลม กับจิตวิญญาณ สื่อออกคำว่า ประชาธิปไตย เป็นความเป็นปรากฎการณ์ใหม่ ก็เลยทำให้คนยังงง ไม่เข้าใจ ไม่รู้ได้ว่า ประชาธิปไตยเป็นตัวๆ อย่างนี้ นี่หรือคือ ประชาธิปไตย มันเป็นตัวอรูป เป็นนามธรรม
เป็น กายสังขาร แสดงออกมาเป็นองค์รวม ต่างจริต ต่างที่ทาง ร้อยพ่อ พันแม่ มารวมตัวกันช่วยกัน มุ่งหมายเดียวกัน ประท้วงต่อต้าน ไล่รัฐบาล ปฏิวัติ จนต้องขานชื่อว่า นี่คือ ประชาชนปฏิวัติ และขานชื่อได้ว่า เป็นสันติปฏิวัติ แต่นี่เขายังเข้าใจไม่ได้
เราชุมนุมสันติอหิงสา ปราศจากอาวุธจริงๆ อาจมีคนมีจิตรุนแรง ทำบกพร่องบ้าง แต่ก็ไม่ไปรุกรานเขา นอกจาก ป้องกันตัวบางคน น้อยมากเลย ถือว่าองค์รวม สอบผ่าน ความรุนแรง ไม่ได้เกิดที่เรา ที่เกิดบาดเจ็บ ล้มตายอยู่นี่ ไม่ได้เกิดจากเรา เราป้องกันตัว ก็หลบเลี่ยง ตามสัญชาติญาณ สัตวโลก ระวังเต็มที่ สุดวิสัย บกพร่องบ้าง ก็มีตาย มีเจ็บบ้าง แต่จะเอาสิ่งเหล่านั้น มาลบล้างว่า ที่ทำนี่ ไม่สันติอหิงสาไม่ได้ ไม่มีหลักฐานเพียงพอ
ขอยืนยันว่า การประท้วงครั้งนี้ ของประชาชนคนไทย ทำได้อย่างถูกต้อง ชอบธรรม วิเศษ วิสุทธิ์ วิศิฏฐ์ จริงๆ หากไม่รู้ไม่เข้าใจ ก็ไม่เห็น ไม่รู้จักความเป็นประชาธิปไตย ที่ปรากฏนี้ได้ เหมือนคนตาบอด ทั้งที่มีของวิเศษ ปรากฏต่อหน้า ก็ไม่เห็น แต่คนตาดีมีปัญญา ก็จะรู้ เหมือนคนมีภูมิปัญญา
ที่เขาทำนี้ จริงๆแล้ว เขาก็รู้ว่าเขาผิด และรู้ว่าประชาชนออกมานี้ ถูกต้อง แต่ด้วยความยึดติด ทั้งที่ หมดความชอบธรรม ก็ไม่ปล่อยวาง ก็แสดงความต่ำทราม เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน ที่ร้ายลึกกว้าง เข้าไปอีก แล้วเขาก็หลงว่า ตนเองชนะอีกนะ เขาว่าเขาไม่ได้แพ้ ทั้งที่ความผิด ของคนทำบาป ด้วยอวิชชา ทำบาปซ้ำซ้อน เลวร้ายทับทวี ด้วยอวิชชา เกิดจริงเห็นได้ เป็นสัจจะปรากฎจริงๆ เลวร้าย เช่นว่า ทำให้คน ต้องฆ่าตัวตาย ไปตั้งไม่รู้กี่คนแล้ว ก็ไม่รู้สึกรู้สา ว่าตนเป็นเหตุทำร้าย ให้ประชาชนต้องฆ่าตัวตาย ก็เฉยเหมือนม้าตด ตดดังขนาดไหน กลิ่นเหม็นตลบ ก็ไม่รู้ว่า ตนทำเลวร้าย
เขาทำให้หลง คนยึดประชาธิปไตยผิดๆ อาการหนัก ถึงคลั่งใคล้ประชาธิปไตย ใครมาแตะประชาธิปไตยไม่ได้ เราจะตายคา ประชาธิปไตย ไม่รู้ว่าประชาธิปไตย ขี้หมาอะไร ไม่ใช่ประชาธิปไตย สักนิดเดียว ก็จะตายคา คนบ้าก็เอาตามอีก ใครมาแตะไม่ได้ จริงๆแล้ว คุณไม่ใช่ประชาธิปไตย คุณก็หอบประชาธิปไตยของคุณ ไปตั้งประเทศเองเลย แบบคุณ เขาไม่ได้แย่งเลยประชาธิปไตยของคุณ เขาก็ว่า เขาออกมา รักษาประชาธิปไตย คนไม่รู้ก็มาร่วม ดีไม่ดี ก็ล่อลวงกันมา ซื้อกันมา บางทีรวมตัวกัน ทำให้คนต้องโกหก ต้องสับปรับกลับกลอก ให้คนต้องคิดคำโกหก เป็นไฟ ปั้นน้ำเป็นตัว สร้างโรงน้ำแข็งกันเลย ทำให้คนก่อบาป ใส่ตนหนักและนาน ทำให้ประเทศเสียหาย ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง เลวร้ายตกต่ำที่สุด ถึงขั้นรัฐบาลนี้ ไม่รับอำนาจศาล แสดงออกมา อย่างโต้งๆเลย กล้าแสดงออกมา เป็นการแสดงจริงด้วย เป็นกรรมแล้ว กบฏแล้ว มีคนไปฟ้อง เป็นกบฏแล้ว
ทำให้คนอึดอัด ทรมานถ้วนหน้า ทั้งฝ่ายถูกและฝ่ายผิด อึดอัดถ้วนหน้าเลย แต่งง ไม่รู้ว่าประชาธิปไตยสวยงาม เป็นอย่างไร
ถ้าประชากรไทย ออกมาร่วมกันเป็นสิบ หรือยี่สิบล้าน อาตมาว่า มีกำลังแรงพอ ที่เขาจะกลัว ออกมาสันติ ไม่ทำอะไรรุนแรง ก็มีพลังพอ แสดงออกว่า ไล่คุณออก ให้ออกไปเสียดีๆ ชัดเจน เราจะเห็น อำนาจอธิปไตย ชัดเจน เป็นปฏิวัติ โดยประชาชน เป็น Authority เป็น Sovereignty เป็นเอกราชที่แท้จริง ถ้าออกมาได้มาก ขนาดนั้น
คนคิดยังไม่ออก ถ้าคิดออก มารวมกันได้ ยิ่งได้ ๓๐ ล้านเลย ยิ่งทำได้สำเร็จทันที พรึ่บทั้งประเทศเลย แสดงมวลลักษณะ พรักพร้อมพรึ่บ วันเวลาเดียวกัน สื่อออกไป ทางการสื่อสารทั่วโลก จะมีพลัง แห่งความสงบ เป็นพลังวิมุติ
วิมุติคือพลัง มีฤทธิ์อำนาจสวย ถ้าไทยทำได้ อย่างที่คุณภาพปริมาณ ที่อาตมาว่า สักวันคงได้ ตอนนี้ ข้าราชการ ก็ออกมาร่วม แม้ประชาชน ก็จะออกมาสมทบ หากชุมนุมไปสัก สามปี อาตมาว่าถึงแน่ ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมา ให้มากๆหมดๆ ทางโน้นร้ายแรงมาก ควรออกมาช่วยกัน มีทั้งรูปธรรม และมีนามธรรมที่มุ่งหมาย เป็นมโนสัญเจตนา ที่ตรงกันว่า ไล่คุณออก อาตมาว่าเผด็จศึก ได้แน่นอน
ตอนนี้ก็เลย งงงง ไม่รู้ทำไง ก็พะอือพะอม คาราคาซัง เหมือนฝีมันอ้วนระบม เกือบแตก ปวดอยู่อย่างนั้น เป็นเรื่อง ผลของมันร้ายแรง ทำให้สังคมแตก เศรษฐกิจตก การเมืองต่ำ ได้หนักหนาสาหัส ฉกาจฉกรร
แม้ทำให้เกิดเสียหายปานนั้น เขาก็ไม่รู้ตัวเลยว่า นี่เป็นความผิดร้าย มันก็เลย ยิ่งกลายเป็น ความไม่รู้ที่ดำมืด ที่อะไรหรือ??? ฉันทำตามกฎหมายนะ จะไม่ให้มีที่ยืน เชียวหรือ? หนูไม่ได้ผิดอะไรนี่? ทำไมไม่ทำตามกฎหมาย โอ้โห สุดสะเหล่อเลย มันก็เลย ยิ่งเห็นชัดเจนว่า เรามีผู้บริหารบ้านเมือง เป็นผู้ที่ มอบหน้าที่ ให้ช่วยดูแล บริหารบ้านเมือง แล้วมีความรู้ เข้าใจ แค่นี้หรือ ก็ยิ่งแสดงความต่ำทราม ของผู้ที่ ยืนบนฐาน ที่เขาคิดว่า เขาชนะอยู่ แล้วเสล่อเด๋อด๋า อย่างนี้หรือ ขายหัวหน้า นายกฯของไทยนะ
ที่สำคัญคือ ประชาชน ไม่ได้ทำหยาบทำแรง ก็เลยยิ่งเห็น ความตรงกันข้าม
ที่อาตมาบอกอธิบาย ลักษณะต่างๆ ให้เอาไปตรวจสอบให้ดีๆ พวกเราต้องยิ่งสำนึก สำเหนียกต้องทำให้ดีสุภาพ เอกภาพ มีปริมาณคุณภาพ ดียิ่งขึ้น คนมาร่วมมากขึ้นๆ แม้ข้าราชการ ก็มีคนมาร่วม มากขึ้นๆ อย่างเวที กปปส.กลาง พอตกเย็น ก็มีมวลมาร่วม มากขึ้นๆ บอกให้ทราบว่า ที่อยู่ประจำ มีมากขึ้น ขาจรก็มีมากขึ้น เป็นตัวชี้วัดตรงนั้น แต่ทีนี่ก็ชี้วัด ในแนวลึกๆ เป็นคุณธรรม คุณภาพซ้อน ถ้ามีดวงตา จะชัด ตาทางปัญญา จะเห็นว่า ยิ่งหนักไปทางอวิชชา ฉายานายกฯคนนี้ ตอนแรกเป็น อีโง่ จากนั้นก็มี อีโง่ ฉายา นายกนกแก้ว แม่นางโพย ตีกรรเชียง แตล็ดแต็ดแต๋ แด๊ะๆ นางดอกไม้ นางดอกงิ้ว
เป็นความถัมภะ สารัมภะ อุปกิเลสทั้ง ๑๖ เป็นเทวฑัตสมัยใหม่ ที่เลวกว่าเทวฑัตเสียอีก แต่ประชาชน กลับทำดีงาม จนให้คนตาบอดเห็นได้ พระพุทธเจ้าสอน ให้เราทำความดี เราชนะความชั่ว ด้วยความดี เขาเลวร้าย เราก็ยิ่งต้อง ทำดีให้มาก ไม่ใช่แรงมาแรงตอบ ชั่วมาก็ชั่วตอบ อย่างนี้ไม่เอา เขายิ่งแรงชั่ว เรายิ่งงาม ยิ่งสงบ มันต้องเป็น ปฏิภาคทวีซับซ้อน ต้องทำอย่างนี้ เราก็เจริญ เราได้ทำสิ่งดี ทั้ง กาย วาจา ใจ เราได้นะเจริญนะ เขาจะยิ่งทำชั่วหนัก ก็เป็นวิบากเขา
อาตมาเห็นว่า เขาก็รู้ตัว และพัฒนาขึ้นเหมือนกัน เป็นธรรมาธรรมะสงคราม เขาลดความรุนแรงลงนะ และรับผิด ไปตามลำดับ นี่เป็นเครื่องชี้วัดว่า เราเจริญไปทั้งประเทศ แม้คนผิด ก็ยอมสำนึก เปลี่ยนแปลงตนเอง แต่เขาควรรู้ตัว รวมค่าว่าผิด ก็ควรแพ้ควรเลิกเสีย เราก็เลย จำเป็นต้อง หนักหนา เหน็ดเหนื่อย
ความหยาบชั่ว ก็ทับทวีแบบหนึ่ง ความดีก็ทับทวี อีกแบบหนึ่ง เป็นความซ่อนซ้อนที่เกิด ต้องมีปัญญารู้ ประชาชนที่รู้แล้ว ก็ต้องทำดียิ่งขึ้นอีก ให้สูงส่ง ประเสริฐงดงาม จนขีดสุด สัจธรรมจะตัดสิน ชนะแพ้ ด้วยธรรมะตัดสิน ไม่ใช่เอาความดื้อด้านดึงดัน รุนแรง มาแข่งกัน ตัดสินกัน อย่างนั้นเก่ามากเลิกเสีย ทำกันมานาน และล้าสมัยแล้ว อย่างที่เราทำนี่ ทันสมัย ใหม่เสมอ การชนะต้องชนะด้วย ถูกต้องดีงาม จนความผิดชั่วนั้น หยุดทำ หรือทำไม่ออก ก็ต้องเลิกทำ วิธีนี้ก็อาจถึงได้ แต่ตอนนี้ ยังไม่ถึง
เราก็ทำไปเถอะ ทั้งยาวนาน แต่ละคน ทำดียิ่งขึ้น อาตมาอยากเห็น ความดีชนะความชั่ว ได้อย่างวิเศษ วิสุทธิ์ วิศิฏฐ์ จะทำได้ ก็ต้องทำด้วย คนช่วยกันทำ ช่วยสังคมประเทศไทยเถอะ
การต่อสู้ด้วยความสงบสะอาด สันติ อหิงสา ปราศจากอาวุธ ถ้าทำได้ จะระบือไปไกล ผู้ปราศจากอาวุธ สงบสันติกว่า ควรชนะ ไม่มีแรงไม่ร้าย มีแต่เมตตาเกื้อกูล เอื้อเฟื้อสงบ แล้วจะชนะได้อย่างไร สำลีไปจัดการ หนามทุเรียน เรียบวุธได้อย่างไร ด้วยมหัศจรรย์ปาฏิหาริย์ได้อย่างไร ไม่ใช่เพ้อฝันนะ ความสงบ สยบความรุนแรง จนความสงบชนะได้ อย่างนี้ มีในโลกด้วยหรือ พลังแห่งความประเสริฐ ชนะความผิด ไม่ชอบธรรม เป็นความชนะที่รู้ได้ยาก เป็นได้ยาก เห็นได้ยาก เป็นได้ยาก นี่คือปรากฏการณ์ใหม่ ที่ยังไม่สิ้นสุดในไทย
ผู้รู้ต้องมาช่วยกัน เช่นตุลาการภิวัฒน์ หรือประชาภิวัฒน์ ก็น่าจะได้พิจารณาดูว่า นี่คือธรรมะ เป็นคุณลักษณะของ ธรรมาธิปไตย ที่เข้ามาผนวก สถาปนา เข้าไปในการเมือง ด้วยธรรมะ เข้าไปผนึกกับการเมือง
ต้องใช้สัปปุริสธรรม ๗ ประการในการประการ
๑. ธัมมัญญูตา (รู้จักทุกองค์ประกอบ)
๒. อัตถัญญูตา (รู้จักเนื้อหาเป้าหมาย)
๓. อัตตัญญูตา (รู้จักตนเอง)
๔. มัตตัญญูตา (รู้จักประมาณสัดส่วน)
๕. กาลัญญูตา (รู้จักกาลสมัย)
๖. ปริสัญญูตา (รู้จักหมู่กลุ่มบริษัทอื่น)
๗. ปุคคลปโรปรัญญูตา (รู้จักบุคคลอื่น) (พตปฎ. เล่ม ๒๓ ข้อ ๖๕)
เราทำได้อย่างประมาณ ได้สัดส่วน พัฒนาตนได้ เห็นอัตราก้าวหน้า ในการประท้วง มีพฤติกรรมมนุษย์ ที่บ่งจิตวิญญาณเจริญ ก็จัดแจงดูสัดส่วน ประมาณค่า ก็ยิ่งเห็นว่า เป็นยุคกาลที่พิเศษ มีอะไร กำลังดำเนินอยู่ เกิดสภาพเป็นไป เกิดทั้งปริสัญ เป็นกลุ่มหมู่บุคคล เปรียบเทียบสองฝ่าย
อีกฝ่ายหนึ่ง ไม่ยอมแพ้ยะย่ายพ่ายจะแจ แต่เห็นลีลาเสียสภาพ
ในรธน.ไม่มีบทบัญญัติภาษาว่า ให้ประชาชนปฏิวัติได้
๑.สิ่งใดที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่า สิ่งนี้ไม่ควร
หากสิ่งนั้น เข้ากับสิ่งที่ไม่ควร ขัดกับสิ่งที่ควร
สิ่งนั้นไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย
๒. สิ่งที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่า สิ่งนี้ไม่ควร
หากสิ่งนั้น เข้ากับสิ่งที่ควร ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร
สิ่งนั้นควรแก่เธอทั้งหลาย
๓. สิ่งใดที่เราไม่ได้อนุญาตไว้ว่า สิ่งนี้ควร
หากสิ่งนั้น เข้ากับสิ่งที่ไม่ควร ขัดกับสิ่งที่ควร
สิ่งนั้นไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย
๔. สิ่งใดที่เราไม่ได้อนุญาตไว้ว่า สิ่งนี้ควร
หากสิ่งนั้น เข้ากับสิ่งที่ควร ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร
สิ่งนั้นควรแก่เธอทั้งหลาย. (พระไตรฯ ล.๕ ข.๙๒)
มันควรจะตัดสินได้แล้ว เหตุการณ์ที่เกิดนี้ มันต้องช่วยกันใช้ มหาปเทสแล้ว ท่านข้าราชการ ตุลาการ และประชาชน กรุณาใช้ดุลยพินิจ ต้องตัดสินแล้ว ใช้มหาปเทศแล้ว ต้องตัดสินแล้ว เช่นข้าราชการ ควรเข้าข้างใคร ประชาชนนี่แหละ ช่วยกันตัดสินให้ได้ ตอนนี้ มีสองข้างเท่านั้น ประชาชนมีสองกลุ่ม เท่านั้น มีมวล กปปส. หรือนปช. เท่านั้นแหละ
ของกปปส.นี้มีดอกไม้หลากสี หลายกลุ่มแต่เป็นหนึ่ง แต่ทางโน้นเขาก็มี แสดงจริงเลย ไม่มีการบังคับ ควรต้องรีบมาด้วย ข้าราชการ ประชาชน ตุลาการ ควรตัดสินได้ ใช้มหาปเทศ แม้ไม่มีในรธน.ไม่มีทั้งห้าม และไม่มีอนุญาต ก็ว่าอะไรควร ชี้ว่าอันนี้ถูกหรือผิด ก็มาช่วยตัดสิน จะได้เกิดกรรมาภิวัฒน์ ทำตามหน้าที่ให้ดี
ออกมารวมตัว แสดงคะแนนเสียง แต่ละวันๆ ออกมาเป็นล้าน นับมวลแต่ละแห่ง รวมกัน ต่างจังหวัดก็มี ชุมนุมเป็นของจริง
มาเข้าเรื่องธรรมะ ...มาเข้าเรื่อง แสงเงินแสงทอง
[๑๒๙] มิตรดี เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค . .
[๑๓๑] สีลสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .
[๑๓๒] ฉันทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .
[๑๓๓] อัตตสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .
[๑๓๔] ทิฐิสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค . .
[๑๓๕] อัปปมาทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค
[๑๓๖] โยนิโสมนสิการสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค .
มิตรดีคืออาริยบุคคล คือ พุทธบริษัท ๔ จึงคือผู้ถือศีล ๘ แต่ผู้อยู่ในชุมชน ก็ถือศีล ๕ อาจบกพร่อง ต้องชำระกันบ้าง ผู้ถือศีล ๕ ได้สบายแล้ว ก็ถือศีล ๘ คนฝืนอยู่ในศีล ๕ ก็เป็นโสดาปัตติมรรค หากสบายได้ ก็เป็นโสดาปัตติผล ก็ขึ้นสกิทาคามีมรรค ในโสดาบัน ที่บรรลุเต็ม ก็จะถือศีล ๘ จากศีล ๘ ก็ไปถือศีล ๑๐ ในฆราวาส ก็ถือศีล ๑๐
แต่นักบวชของอโศก ก็ถือศีล ๑๐ ขึ้นไปได้บริบูรณ์ ได้มรรคผล มีตัวบุคคลจริง เป็นไปได้
ในแสงอรุณ เรามีมวลชน เป็นชุมชน เป็นมิตรดี ทั้งหมู่กลุ่มมีศีลได้ ตามลำดับ ไม่มีเดรัจฉานวิชชา ไม่มีอบายมุข มีบกพร่องบ้างนิดหน่อย ค่ารวมใช้ได้ อโศกไม่มีรดน้ำมนต์ ดูหมอ ทำนายทายทัก มีบกพร่องบ้าง แต่ค่ารวมเกิน ๘๐ %
สีลสัมปทา ทั้งชุมชนมีศีล และมีฉันทะ หากไร้ฉันทะ ก็หนีกลับหมดแล้ว ชัดเจนแม้ฝืน ยินดีที่จะทำ แต่ต้องทนต้องฝืน ต้องสู้ แต่จิตฉันทะมี อย่างนี้เอา ทั้งที่หลายคนเก่ง ออกไปหาเงินทอง แย่งเขาได้ แต่อาตมา ก็ดึงมาอยู่กับหมู่นี้ ให้สังคมเขาเบาคู่แข่งแย่ง เพราะทำให้คน เกิดฉันทะ อยู่ในโลกุตระต้องการนิพพาน ต้องการธรรมะ ตามวิธีที่อาตมา นำพาอย่างนี้ จนมาเรียนรู้อัตตา เข้าถึงความเป็นอัตตา
อัตตาต่างๆ ที่อธิบาย มีอัตตา ๓ ก็เข้าใจไปตามลำดับ
มีทิฏฐิ ก็มีหลากหลาย ตั้งแต่
ทิฏฐิ ๒ สามารถเกิดสัมมาทิฏฐิได้ต้องมี ปรโตโฆษะ และโยนิโสมนสิการ เทน้ำออกจาก ถ้วยชาได้ ก็รับจากคนอื่นได้ อย่างน้อย ฟังอาตมาได้ เปิดจิตว่าท่านเป็น สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันณา รู้โลกนี้โลกหน้า รู้วิธีออกจากโลกียะ พิสูจน์ได้จริง เพราะมีวิธีปฏิบัติ พ้นอัตตาได้ ตามการละทิฏฐิ ๓
๑. รู้เห็นด้วยองค์แห่งสัมผัส รูป->ตา->จักขุวิญญาณ รู้อยู่ เห็นอยู่แม้สุข-ทุกข์-ไม่สุขไม่ทุกข์ ที่เกิดโดยจักขุสัมผัส ฯลฯ ซึ่งเห็นโดยความไม่เที่ยง (อนิจจโต) จึงละมิจฉาทิฏฐิได้.
๒. ซึ่งรู้-เห็น ฯ โดยเป็นทุกข์ (ทุกขโต) จึงละสักกายทิฏฐิได้
๓. ซึ่งรู้-เห็น ฯ โดยอนัตตา (อนัตตโต) จึงละอัตตานุทิฏฐิได้ .
(พตปฎ. เล่ม ๑๘ ข้อ ๒๕๔ - ๒๕๖)
สัมมาทิฏฐิ ๑๐ ที่ยังเป็นสาสวะ
เป็นส่วนแห่งบุญ (ปุญญภาคิยา) ให้ผลวิบากแก่ขันธ์ (อุปธิเวปักกา).
๑. ทานที่ให้แล้ว มีผล (ให้กิเลสลด) (อัตถิ ทินนัง)
๒. ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว มีผล (อัตถิ ยิฏฐัง)
๓. สังเวย (เสวย) ที่บวงสรวงแล้ว มีผล (อัตถิ หุตัง)
๔. ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว มีแน่
(อัตถิ สุกฏทุกกฏานัง กัมมานัง ผลัง วิปาโก)
๕. โลกนี้ มี (อัตถิ อยัง โลโก) หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ .
๖. โลกหน้า มี (อัตถิ ปโร โลโก) หมายถึง โลกโลกุตระ
๗. มารดา มี (อัตถิ มาตา) . อสีติสาวก อัครสาวกเป็นแม่, มรรคองค์ ๘
๘. บิดา มี (อัตถิ ปิตา) . .พระพุทธเจ้า เป็นพ่อ โพชฌงค์ ๗
๙. สัตว์ที่ผุดเกิดอุปปัติเอง มี (อัตถิ สัตตา โอปปาติกา) . . .
๑๐. สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ -ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่ง ด้วยตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ) . . . . .
(พตปฎ. เล่ม ๑๔ ข้อ ๒๕๗)
จนเจริญไปเป็นสัมมาทิฏฐิ ๖ ที่เป็นอนาสวะ
๑. ปัญญา-รู้เห็นจริงตามสัจจะของจริง (ปัญญา) .
๒. ปัญญินทรีย์ (ปัญญินทริยัง)
๓. ปัญญาพละ (ปัญญาผลัง) . . มีพลังงาน static แฝง
๔. ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ (ธัมมวิจัยสัมโพชฌังโค) . .
๕. ความเห็นชอบ (สัมมาทิฏฐิ) ทิฐิรอบในที่เจริญขึ้น .
๖. องค์แห่งมรรค (มัคคังคะ) มีพลังงาน Dynamic แฝง
(พตปฎ. เล่ม ๑๔ ข้อ ๒๕๘)
ที่สำคัญ คือ อปมาทะ ในแสงเงินแสงทอง ข้อสุดท้าย เพราะข้าวมีกิน ดินมีเดิน พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ ฯ ต่อไปนี้ อย่าประมาท อย่าตีกิน ถ้าแสงอรุณข้อนี้ไม่มี คุณติดแป้น ต่อให้จ่อใน อรหัตตมรรค แล้วประมาท ก็ไม่ไปไหน ต้องเร่งรัด พัฒนาตนเองขึ้น ตรงนี้แหละเตือน แสงอรุณข้อนี้ ไม่มาก็ไม่ได้
ถ้าไม่ประมาท พากเพียรเราจะเจริญ อรหันต์ ๙ รูปน่าจะได้ ตอนนี้ได้รูปเดียว เสร็จงานการเมือง อาตมาจะบรรยาย เทศน์แหลกเลย เคี่ยวใน