570413_พ่อครูเทศน์วันสงกรานต์ เรื่อง ทนอีกนิดเถอะน่าธรรมะชนะแน่ |
วันนี้ ๑๓ เม.ย. ๕๗ ครบ ๒๕๐ วันของการชุมนุมกองทัพธรรม
พรปีใหม่วันนี้ อาตมาคงจะพูดถึงปีใหม่ไทย ที่รดน้ำบ้าง พรของอาตมา คงเป็นคำตำหนิเสียแล้ว ตั้งใจพูดตรงนี้ ถ้าจะพูดหนัก ก็คือด่า คือการว่า สิ่งที่ผิด
เรื่องของรดน้ำดำหัว แล้วบานปลาย เป็นการรดน้ำ ที่สกปรกจกเปรต ไปทุกวันนี้ แม้กระทั่งที่สุด กำนันสุเทพ ได้ปราม ที่สวนลุมฯ ที่จัดงานสงกรานต์ แต่ห้ามรดน้ำ โดยเอา ปืนฉีดน้ำมายิง เป็นต้น แม้เอาน้ำมาจากข้างนอก ก็ห้ามไว้ เพราะกลัวจะแฝงน้ำพิษ เข้ามาเกิดเรื่อง
ประวัติของรดน้ำดำหัว อาตมาเคยเทศน์ไว้แล้ว เป็นความผิดพลาดทของสิ่งไม่เที่ยง เป็นการปรุงแต่งประยุกต์ ให้เกิดความผิดพลาด เสียหาย ของดีกลายเป็นของเสีย เป็นโทษ การรดน้ำ ทุกวันนี้มองเผิน เหมือนมีประโยชน์ ทางทุนนิยม ได้ค้าขาย เป็นการโฆษณาท่องเที่ยว หาเงินในการขายของ ได้บ้าง
แต่จริงแล้ว เป็นการทำลายเสียหาย เป็นการสาดน้ำกัน อย่างฉวยโอกาส ลามกจกเปรต ไม่ขยายความน่าเกลียด เป็นกิเลสกาม และแก้แค้นก็มี เสียหายต่อความเป็นสังคม
สิ่งเสียหายคือ เริ่มต้น เดือนเม.ย. หน้าแล้ง น้ำน้อย น้ำไม่มี กิเลสคน มันทำให้เกิด ความเสียหายเลวร้าย ได้อย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งที่หน้าแล้ง หน้าร้อน หากได้อาบน้ำ พรมน้ำก็เย็น แต่น้ำก็หายาก แล้วก็เกิดลัทธิ ค่านิยม เอาน้ำมาเททิ้ง สาดทิ้ง รดทั่วไป ก็เกิดความฉิบหาย เห็นชัดๆเลย
ไม่เป็นเรื่องน่ายินดี สอดคล้องกับความเจริญ แต่อย่างใด แต่โบราณการณ์ การได้รดน้ำหน้าแล้ง ก็คือน้ำมันน้อย คนมีน้ำ ก็เอาน้ำมาใส่จอกมา คนมีน้อย ก็รวมกับคนมีมาก ใส่อ่างโอง ร่วมกัน เป็นสามัคคีร่วมใจกัน เป็นน้ำในโอ่งในอ่าง ภาชนะใหญ่ อันเดียวกัน
ผู้ที่สมควรได้อาบ ได้พรมน้ำเย็นๆ สมัยโบราณ เขาราดเลย อาบทั้งตัว หากมีน้อย ก็รดแค่มือ แค่ตัว เป็นวิธีรดน้ำดำหัว ไม่เสียเศรษฐกิจ สอดคล้องกับความจริง ผู้ที่มีค่า มีประโยชน์ ต่อสังคม ควรได้รับรางวัล ได้อาบน้ำเย็น ก็คัดหรือเชิญ ผู้ที่เหมาะควร เห็นดีเห็นพร้อมว่า ท่านผู้นี้มีคุณค่า ก็ควรได้รับเกียรติ ควรได้รับการรดน้ำ ก็เชิญมา อย่างที่พวกเรา ทำกันนี่ ก็ถูกแล้ว
น้ำก็ไม่สูญเสียมาก เพราะน้ำหายาก ไม่น่าไปสาดเสียเท เสียเลย
เขาก็ทำ จนมีจิตอยากใหญ่โต คนที่ได้รับการรดน้ำนั้น เป็นผู้ที่ได้รับการยกย่อง นับถือ เป็นคนได้หน้า ก็เลยเกิด มีคนอยากได้หน้า ก็พยายามทำที ให้เราได้รับการรดน้ำ เสนอตัว แทรกตัวมา ก็บานปลายไป จนกระแสจิตอย่างนี้แพร่ไป
ตอนเด็กๆ อาตมายังคิดเลยว่า เขาไม่รดน้ำเรา ทำไม? เราอยากให้เขารด เราจะได้รับเกียรติ เราไม่ได้รับการรด ก็รู้สึกน้อยใจ เป็นกระแสสังคมอย่างนั้น จนเดี๋ยวนี้บานปลาย เสื่อมต่ำ เป็นการผิดพลาด ที่ควรปรับปรุง แก้ไขเสีย
บางแห่ง ก็พยายามปรับ ให้เข้าที่เข้าทาง ก็ลดลงได้ยาก แต่ของเรารักษาได้ดี ไม่ตกไปถึงลามก ก็ไม่เกิด ถ้าสามารถดึงกลับ สู่สภาพมีคุณค่า ของการรดน้ำดำหัว ในหน้าแล้ง จะเป็นประเพณี ที่สวยงาม มีคุณค่า
นี่คือพร จะเรียกว่า ตำหนิหรือด่าก็ได้ ถ้าผิดก็ควรแก้ไขเสีย นี่คือพรขึ้นต้น
การจัดงานหรือเกิดอะไร ตามสังคมขณะนี้ พวกเราออกมาชุมนุม ก็เลยติดอยู่บนถนน หรือที่สวนลุมฯ แจ้งวัฒนะ หรือชมัยฯ เป็นต้น ก็คือ มวลประชาชนมาประท้วง เหตุการณ์บ้านเมืองขอขอบคุณทุกคน ที่เอาภาระ ไม่ดูดาย เอาใจใส่บ้านเมือง เสียเวลา ทุนรอนแรงงาน มาชุมนุมยาวนาน เพราะเราเจอ คนที่ดื้อด้าน
เขาสะสมค่ายกลเลวร้าย ทางสังคม การเมือง จนเดี๋ยวนี้ เราก็ยังแก้ได้ ไม่หมด
เราชุมนุมอย่าง สันติอหิงสา สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ จนศาลบอกมาชัดเจน หักล้าง แม้เจ้าหน้าที่รัฐ ก็ตัดไม้ตัดมือ โดยศาลรัฐธรรมนูญ ออกมาถึง ๙ ข้อ ไม่ให้ศรส.ทำ เป็นการหักหน้าเขาเลย เขาเอาไปตีกลับว่าศาลรัฐธรรมนูญ ลำเอียง สองมาตรฐาน เข้าข้างอีกข้างหนึ่ง
อาตมาได้สาธยายว่า ท่านที่ไม่อคติ ก็ตัดสินไปตามสัจธรรม สิ่งถูกต้อง ก็ถูกต้อง ความผิด ก็เลยกลายเป็นผู้ผิดไป ผู้ที่ตกเป็นผู้ผิด ก็ไม่ชอบใจ หาว่าศาลลำเอียง ศาลที่ซื่อสัตย์ ก็ต้องตัดสินความถูก เป็นความถูก แต่ผู้ไม่มีปัญญา เห็นความถูกของคนถูก เป็นความผิด ก็ถูกแล้วล่ะ คนโง่ก็ต้องเห็นความถูกของคนถูก เป็นความผิด ศาลก็ตัดสินความผิด ก็ต้องเป็นความผิด ก็เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ว่าอันนี้เป็นความผิด ของคนผิด แต่คนผิดไม่ยอมรับ ก็เลยประท้วงต่อต้าน ด่าทอ หนักเข้าเป็นกบฏ ไม่ยอมรับอำนาจศาล ผิดรัฐธรรมนูญ เลย
อาตมาก็เทศน์ไปแล้ว ประเทศไหน ก็มีศาลเป็นผู้ตัดสิน เมื่อไม่ยอมรับศาล ก็เป็นกบฏ ก็ต้องถูกจับ แต่นี่เขามีอำนาจรัฐ ก็ออกบทบาทไม่จับ แม้ผิดก็ไม่จับ นี่คือเกิดวิกฤติ จะรู้หรือไม่รู้ ก็เลยแก้ขวย พูดเรื่อง รัฏฐาธิปัตย์ นี่ไปกันใหญ่
คำว่าอธิปัตย์ คืออำนาจใหญ่ Sovereignty ซึ่งอำนาจนี่คือ แรงหรือพลังงาน หรือกำลังงาน เป็นแรงฤทธิ์ ทางนามธรรม ออกบทบาท ทาง กาย วาจา จนเป็นค่ายกล
อำนาจที่เป็น Force เป็นอำนาจไม่ดีงาม ไม่ชอบธรรม ต่างกับอำนาจ Authority ที่เป็นอำนาจชอบธรรม เป็นความดีงาม เกื้อกูลกัน ไม่บังคับ
เรามาอย่างตามประชาธิปไตย มาออกเสียงสดๆ แต่การเลือกผู้แทน ก็เพราะว่า จะเอาคนมาทั้งหมดประเทศ มาเลือกทีเดียวไม่ได้ ก็ต้องเลือกผู้แทน ของแต่ละกลุ่ม ไปทำการแทน ตามถนัด เลือกไปรวมเป็น คณะบริหาร เรียกว่า รัฐบาล ไปบริหารดูแล เป็นอำนาจแรงงาน รับใช้ประชาชนประเทศชาติ ไม่ใช่อำนาจเดียวกันกับ เจ้าของรัฐชาติ หรือรัฐประเทศ หรือ รัฏฐาธิปัตย์
สำหรับอำนาจรัฐบาล คืออำนาจให้ไปทำงาน ไม่ใช่อำนาจของเจ้าของ อำนาจรัฏฐาธิปัตย์ คืออำนาจของ เจ้าของประเทศ เหมือนเจ้าของบ้าน ที่ทรัพย์สมบัติทั้งหมด ก็คือ ของเจ้าของบ้าน หรือเป็นเจ้าของประเทศ สวนผู้ที่ได้รับเลือก ไปก็ทำหน้าที่ แต่ละอย่าง ที่เจ้าของบ้าน จ้างให้มาทำ แต่ละหน้าที่ ไม่ใช่ sovereignty ที่เป็นอธิปัตย์
แต่คนที่ไปเป็นรัฐบาล กลับเผลอ ว่าเป็นเจ้าของ ประเทศเลย บางคนเผลอบอกว่า นายกฯเป็นประมุข ของชาติเลย คือคุณธาริต ที่จริง ประชาชนเป็นประมุข แต่เรายกให้กษัตริย์ เป็นประมุข ไม่ต้องเลือกเลย ทรงเป็นประมุขโดยอัตโนมัติ ไม่ใช่นายกฯ เป็นหัวหน้าประเทศ
อันนี้ต้องพูดให้ชัด จะเอาอำนาจ แค่คนรับใช้ ต่อให้เป็นหัวหน้าใหญ่ ของคนทำงานในบ้าน ก็ไม่ใช่ เจ้าของบ้าน สามารถถูกเอาออกได้ ถูกจับเข้าคุก ถูกประหารชีวิตได้ หากทำผิดหน้าที่ หรือละเว้นการทำหน้าที่ ก็ถูกฟ้องได้ ทำอย่างมีเงื่อนไขนะ
แต่เขาก็ยึดอยู่ แม้ทำผิด ก็ว่า กูไม่ออกๆ ทั้งที่เลย ๓ เม.ย. ๕๗ ก็โมฆะแล้ว ศาลตัดสิน หลักเกณฑ์ทุกอย่าง ก็ไม่เหลือแล้ว เหลือแต่เส้นใย ก็ดูไม่เหลือ ซักอย่างแล้ว หยิบมาโมเมว่า เหลืออำนาจอยู่ บอกแค่ว่า รัฐธรรมนูญ ก็ไม่บอกให้ออกนี่ ที่จริงมีบอกไว้ว่า ออกได้ คือลาออก , ตาย, ถูกตัดสินไล่ออก หรือจำคุก ตอนนี้ประชาชน ก็ออกมาไล่แล้ว เป็นล้านเลย แล้วบอกว่า ไม่มีในรัฐธรรมนูญ แล้ว
ประเพณีเคยมีมา ก็คือทหารใช้อาวุธ กำลังพล เข้ายึดอำนาจ เขาก็กลัว สั่งให้มามอบตัว ก็ยอมหมด แล้วทูลเกล้า ตั้งนายกฯ กับพระเจ้าอยู่หัว ท่านก็ลง พระปรมาภิไธยให้ นี่คือ ประเพณีที่ทำ แบบใช้ทหาร บางทีก็ใช้ราษฎรทำก็มี เรียกว่าคณะราษฎร์ แต่เป็นอำนาจที่เป็น Force เป็นอำนาจไม่ชอบธรรม รัฐธรรมนูญ ก็ไม่เขียนไว้ แต่ก็ยอมให้ทำได้
แต่วันนี้ ประชาชนมาประท้วง ขออำนาจคืน แต่ไม่มีปากกระบอกปืน มีแต่อำนาจ Authority ศาลตัดสินแล้วว่า ทำอย่างถูกรัฐธรรมนูญ ด้วย ศาลว่า ห้ามสลายเขาด้วย
แต่รัฐบาลนี้ก็อ้างว่า ตนไม่ผิด ก็อยู่ต่อ ประชาชนก็บอกว่า คุณผิดออกได้แล้ว แต่ไม่ใช้อำนาจบังคับ เขาก็ไม่กลัว ไม่ออก ดีไม่ดี มีซ้อนว่า ข้าราชการก็กลัวถูกย้าย ก็เลยต้องจำนน ไปกับรัฐบาล ก็ต้องยอม ให้เขาต่อไป ทำตามสั่งของเขา ก็เลยมีมือมีไม้ รับใช้อยู่ นี่คือส่วนหนึ่ง ที่ไม่สำเร็จ
ข้าราชการ คือผู้ทำงานให้ประชาชน คือข้า ของ ราชะ หรือฝ่ายแดงเขาว่า คืออำมาตย์ของราชา ทำงานช่วย พระเจ้าอยู่หัว พอมาเป็นประชาธิปไตย ก็ยังเรียกข้าราชการ แต่เขาก็พยายาม เปลี่ยนไปเรียกอย่างอื่น
สรุปแล้ว ประชาชนทำอย่างดี ชนะแล้ว ได้อำนาจแล้ว เป็นแต่เพียงว่า ยังงง คนยังไม่รู้ หลงผิดว่าไม่ได้ ไม่มีคำว่าปฏิวัติ ในรัฐธรรมนูญ ไม่มี แต่มันมี โดยการเกี่ยวเนื่อง ในเนื้อแท้ มีเกี่ยวพันถึงกัน ไม่ได้ขาด อำนาจประชาชน ก็ยังมีอยู่ มีสิทธิประท้วง ตามรัฐธรรมนูญ ม.๖๓ หรือ ม.๖๙
เราออกมารวมกัน แต่ครั้งก็มากมาย แต่ทางฝ่ายแดงเขาก็ว่า เรามาไม่มาก ดังนั้นตอนนี้ ก็แข่งกันว่าใคร จะมีคนสนับสนุน มากกว่ากัน ซึ่งวัดกันทั้ง ปริมาณและคุณภาพ ด้วยว่าใครมี Sovereignty มากกว่ากัน วัดกันในคุณภาพแล้ว เราก็ชนะอยู่ดี ทั้งปริมาณ ก็จะไม่แพ้ด้วย ถึงอาจแพ้ในปริมาณ แต่ว่าคุณภาพ เรามั่นใจว่า ถูกต้องกว่าแน่ เราต่อสู้อย่าง สวยสดงดงาม
เรานี่ถือว่าเป็นพวกบุกเบิก รุ่นแรก เป็นหัวเจาะ สู้ หมุนร้อนจี๋เลยนะ ถ้าไม่แข็งจริง ละลายเลยนะ แต่พวกเราก็อยู่ดี ไม่ละลาย ไม่หมาบ้าหน้าแล้ง พวกเราไม่ใช่ ยังสงบเย็นอบอุ่น
ที่เราทำนี่ถือเป็น Supreme เป็นยอดเลิศ เป็นเอกัคคตา Independence เลย ทำได้อย่างงาม เห็นได้ชัดเจน
ถ้าเผื่อว่า อำนาจที่เราได้ทำ ถึงขนาดนี้แล้ว เปรียบเทียบได้กับอำนาจ อีกฝ่ายหนึ่ง ที่เป็นทางรัฐบาล และมีผนังกลุ่มแดง นปช. เป็นผนังยันหลัง แต่ของเรานี่ ยันหลังประชาชน หลากสี ไม่มีสีชัดเจน แต่ของเขา กำหนดสีชัดเจน
ของพวกเราเป็น Unity of Diversity ของพวกเราอิสระ ไม่ถูกสั่งการ แต่มีทิฏฐิสามัญตา ความเห็นเป็นหนึ่งเดียว ถึงเวลา บอกให้มาก็มา บอกให้อยู่ก็อยู่ โดยเฉพาะ พวกไม่มี ปริโพธะ (เครื่องห่วงหาอาวรณ์) อย่างกองทัพธรรม ก็เลยอยู่ได้สบาย ปกติ
เมื่อประชาชนมายืนยันว่า คุณออกไป รับรองว่า เขามีคนไปจัดการ ดูแลต่อได้แน่ คุณอยู่ก็ทำหน้าที่ ไม่ได้แล้ว
มาถึงขนาดนี้แล้ว อำนาจต่างๆ ที่ทำหน้าที่อยู่ ไปไม่รอดแล้ว เหลือแต่อำนาจศาล ทำได้อย่างงดงาม แต่ถูกตู่ท้วง แต่ไม่ว่า DSI หรือ อัยการสูงสุด ก็เป๋ไปแล้ว เหลือแต่ศาล ที่ซื่อตรงอยู่ อาจมีรายบุคคล ได้รับห่อขนมบ้าง ก็ได้ข่าวว่าอย่างนั้น อาจมีได้เป็นได้ แต่ก็ไม่ล้มละลาย เหมือนสภา หรือบริหาร
ประชาชน จึงสมควรเอาอำนาจคืนไหม เพราะอำนาจ ที่เลือกไปจาก ประชาชนโดยตรง มันพังไปแล้ว ล้มละลาย หมดความชอบธรรม อำนาจประชาชน เป็นของประชาชน ประชาชน ก็เอาคืนได้ แล้วก็ไม่ให้ระคายเคือง พระยุคลบาท ของในหลวง ซึ่งท่านเหมือนพ่อ มีทั้งลูกเลวและดี ลูกที่ดี ก็ต้องจัดการลูกชั่ว แล้วก็ทูลเกล้า คนที่เหมาะสม ไปเป็นผู้บริหารใหม่ ท่านจะได้ ไม่ลำบากพระหฤทัย ทำอย่างเรียบร้อย ไม่เกิดสงครามกลางเมือง ตายกันเป็นเบือ
แต่ถ้าตายกับเป็นเบือ ท่านก็ลำบากพระหฤทัยสิ นี่เราทำนี่ ก็มีบกพร่องบ้าง เราทำประท้วงมา ตั้ง ๘ เดือนแล้ว ตายไปแค่นั้น ก็ดีแล้ว ตอนนี้อำนาจ ควรมาสู่ประชาชน จะได้ทูลเกล้าฯ ให้เกิดขนบใหม่ ที่เกิดได้เป็น Best Record แล้วใครจะมาทำอย่างนี้อีก ก็ทำได้ยาก เอาความสงบ ไปสยบความรุนแรงนี่นะ ยกตัวอย่าง วันที่ ๑๘ ก.พ. ๕๗ ที่เขามาสลาย ที่ผ่านฟ้าฯ แต่ว่าไปเจอเอา พลังงานศักดิ์สิทธิ์เข้าให้
คนเรามีจิตวิญญาณ มีความรู้สึกนะ อย่างหมาตัวที่แพ้นอนคราง หมาตัวที่ชนะ ก็ไม่ทำร้าย ตัวที่แพ้ แต่คนนี่ รู้ได้ยิ่งกว่าหมาอีก แล้วเราเอง เราก็ไม่ได้ไปทำร้ายแรง ขนาดตำรวจ บาดเจ็บ เราก็ยังต้อง ไปช่วยตำรวจเลย เอาตำรวจบาดเจ็บ ไปใส่รถพยาบาลให้เลย อำนาจพลัง ทางจิตวิญญาณ เป็นเรื่องจริงไม่ฟลุ๊ก แต่เป็นสัจจะ ทุกอย่างมาแต่เหตุ ตำรวจก็มี จิตวิญญาณเห็นดี สู้ความดีไม่ได้ ประชาชนมีความดีจนชนะตำรวจ นายสั่งก็ไม่เอาแล้ว แพ้ยะย่ายพ่ายจะแจ ไปเลย นี่คือความสงบ สยบความรุนแรง อาตมาเคยอธิบาย ตอนที่ ผู้การแต้ม จะมาสลาย แต่ครั้งนั้น สุภาพกว่า ไม่มีใครตาย หรือเจ็บเลย พวกเราก็สงบเรียบร้อย ตำรวจมาคุมเชิง อยู่หลายชั่วโมง สุดท้าย ก็งัดข้าวห่อมากิน แล้วกลับ นั่นคือสงบ สยบความรุนแรง อย่างเป็นรูปธรรม นี่คือ การสู้รบอย่าง ธรรมาธรรมะสงคราม อย่างความดี ชนะความชั่ว แต่เป็นได้จริง
ค่ารวมของไทย ยังไม่อำมหิต หากตำรวจพวกนี้ อำมหิต พวกเราไม่เหลือ วันนั้น ไม่ใช่หัวหน้าเป็นตัวสั่งการ ให้ถอยนะ แต่ตำรวจมวลพื้นๆ ระดับล่าง เป็นคนถอยเอง จนหัวหน้า ต้องหยุดสั่ง ต้องยอมแพ้ไป หรือหัวหน้าอาจมีใจรู้ว่า พลทัพถอยแล้ว จะไปสั่งใครได้อีก นี่คือสัจธรรม เป็นการพ่ายแพ้ในธรรมาธรรมะสงคราม
ควรต้องช่วยกันให้เสร็จสิ้น มีประเด็นคือ
๑.อำนาจของประชาชน คือรัฏฐาธิปัตย์ ๒.อำนาจของใครผิดใครถูก
อำนาจมวลประชาชนคือ Quantity ส่วนอำนาจ ใครผิดหรือถูกนี่เป็น Quality
เพราะฉะนั้น ประชาชน ก็ออกมาแสดง ปริมาณของตน ยืนยัน คะแนนเสียง ของประชาชน มาแสดง อธิปัตย์ของเรา ๑ คน ๑ เสียง ล้านคนล้านเสียง ออกมานี่ ไม่ง่ายเท่า ไปลงคะแนนเลือกตั้ง แล้วการเลือกตั้งนี่คือกิจ เลือกประชาชน ไปทำงาน แต่นี่เป็นกิจ ออกมาแสดงคะแนนเสียง ไล่คนไปทำงานนั่น แม้จำนวนจะน้อยกว่า แต่ก็ปริมาณ พอสมควรแล้ว อย่างการออกมานี่ ไม่ได้บังคับใคร หรือถูกบังคับเลย แต่ไม่ไปเลือกตั้ง ก็มีกฎหมายบังคับ หรือทำตามกันมานาน แต่นี่การออกมาอย่างนี้ ก็งงด้วยซ้ำ แต่ผู้ที่รู้ทั้งรู้ ว่าควรออก แต่ก็ทนลำบาก ทนร้อนไม่ได้ ก็เห็นแก่ตัว แต่คนเต็มใจ หรือฝืนออกมานี่มันยาก ไม่ง่าย ไม่มีบังคับ อิสรเสรีภาพ เต็มร้อย คนออกมาห้าล้านคน ก็ต้องเทียบกับ ๒๐ ล้าน ของการเลือกผู้แทนนะ นี่เป็นเรื่อง คอขาดบาดตาย
เราเลือกให้เขามาทำงาน แล้วฉิบหาย ทำพัง แล้วทำไม พวกที่เลือก ๑๕ ล้าน ไม่ออกมาช่วยกันรับผิดชอบ หรือออกมาซัก ๑๐ ล้าน ก็ไม่เห็นออกมากัน
๑ คนออกมาประท้วง นี่ควรเท่ากับ ๕ คนของผู้ทื่ ไปเลือกตั้งนะ
อำนาจควรมากกว่า การไปเลือกตั้งนะ
ส่วนประเด็นความผิด น่าจะรู้กันมากแล้วนะ
ในสังคมที่แย่จริงๆมี อธรรมชนะธรรมะได้ แต่ที่เราทำนี่ มันเลยแล้ว มันธรรมะชนะอธรรมนะ ต้องไปให้สุด จะมีผู้ที่เกิดปัญญา รู้ว่าต้องช่วยพวกนี้หรือ เมื่อได้ปัญญา ได้สติ และพวกที่เขารู้แล้ว ว่าเรา ควรหยุดเห็นแก่ตัว หยุดเห็นแก่ลาภยศเถอะ พวกนักธุรกิจ ทำมาหากินส่วนตัว ที่เคยหลงไม่เสียสละ เห็นแก่โลกธรรม เขารู้ว่า พวกเราถูก หรือข้าราชการที่รู้ แต่ติดในยศ เขาก็ต้องปลดกิเลส ในอนาคต สำนึกคน ก็ต้องมีบ้าง ไม่อย่างนั้น ก็ต้องชั่วต่อไป
พวกที่ทำตัวเป็นกลาง มีหลายจำพวก
๑.เขาไม่รู้ว่าข้างไหนดีหรือข้างไหนชั่ว ก็เลยไม่รู้ จะเข้าข้างไหน?
๒.คนรู้ แต่เห็นแก่ตัว กลัวเสียลาภยศ ก็ไม่มา
๓.พวกมิจฉาทิฏฐิ เข้าใจผิด ว่าคนเป็นกลาง ต้องไม่เข้าข้างคนไหน แม้รู้ว่าฝ่ายไหน ถูกหรือผิด เขาจะฆ่ากัน ก็ช่างเถอะ นี่คือ ความเข้าใจผิด แต่ว่าพระพุทธเจ้า สอนให้ไม่คบพาล ให้คบบัณฑิต อย่างนี้กลางไหม? แล้วพระพุทธเจ้า ยังสอนให้ตำหนิคนผิด ยกคนถูก คนดี
พระพุทธเจ้าให้ใช้ปัญญา เหมือนมองลงจากที่สูง Bird Eye View ให้เห็นถ้วนรอบชัดเจน แล้วเลือกสิ่งถูก ความเป็นกลางนี่ลึกซึ้ง ความเป็นกลาง ของการปฏิบัติธรรม เป็นต้น เช่นคำว่ามัชฌิมาปฏิปทา แปลกันว่า เป็นทางสายกลาง แต่ว่าถ้าขยายเป็น ทางที่พาไปสู่ ความเป็นกลาง อย่างนี้ถูก แต่ว่าแปลว่า ทางสายกลางนั้น ต้องรู้ว่า ทางที่ปฏิบัติต้องรู้ว่า ให้ลดกาม และอัตตา จนหมดไม่เหลือไม่มีอันตา ไม่มีปลายข้างไหนเลย ไม่มียึดในกาม และอัตตาเลย ให้ปฏิบัติกามก่อน กามนี่เป็นตัวติดยึดทางทวารนอก
ตั้งแต่โอฬาริกอัตตา ไป ตามลำดับ ลดกามได้ ก็ลดอัตตาได้ หมดกามภายนอก ก็เหลือแต่อัตตาภายใน เป็นรูปอัตตา อรูปอัตตา หมดอัตตา หมดกาม จิตก็เลยกลาง ไม่ไปข้างไหน เป็นปรมัตถ์ ไม่ได้หมายความว่า พิณสามสาย
พิณสายกลาง คือการประมาณตน อย่าให้เคร่งตึง หรือหย่อนเกินไป ทำศีล ๘ ไม่ไหว ก็ทำศีล ๕ ก่อน เป็นต้น แล้วค่อยๆ เพิ่มไปตามลำดับ ไม่ได้หมายความถึง มัชฌิมา มันคนละเรื่องเลย ทุกวันนี้สับสนไปหมด
อนาคามี เหลือแต่เศษ สังโยชน์เบื้องสูง มัน Guilty มันไม่ได้สุขหรอก มันรู้แล้วว่า เราจะไปหมดกิเลส มันน่ารังเกียจ แต่มันสู้อำนาจกิเลสไม่ได้ ปรุงแต่งในภพตนเอง แต่ข้างนอก ไม่เอาแล้ว ทำของตน ก็เสียของตน ทำความหนาใหญ่เพิ่ม ของตนเอง ถ้าไม่ทำ ก็ไม่เพิ่ม ของคุณเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับใคร อนาคามีก็ต้อง รับผิดชอบของตน อย่าประมาท
ที่คาราคาซังก็คือ ยังไม่เข้าใจแท้จริง หรือเข้าใจแล้ว ก็เหลือแต่ขี้เกียจ และเห็นแก่ตัว อยู่นั่นเอง อาตมาเลย ต้องพูดวน ให้เข้าใจ ส่วนเข้าใจแล้ว จะไปหรือไม่ ก็อยู่ที่เขาแล้ว จะออกมาช่วยหรือไม่ ก็ให้เข้าใจไว้ก่อน ว่าถึงเวลา ต้องออกมาช่วยกันแล้ว เราต้องการแรงปริมาณด้วย
เรามาไขความจริง ความรู้ออกไป อย่างนี้ให้มาก ดูสิว่า จะทนได้แค่ไหน ทุกวันนี้ มันเป็นโลก ฟ่า บ่ กั้นแล้ว สารสนเทศน์สมัยนี้ แม้คนต่างประเทศก็รู้ แม้ไม่ใช่หน้าที่ แต่กระแสแห่งสัจธรรม เป็นพลังงานไร้กำแพง เกิดจริง
ความถูกต้อง เขาก็จะแสดงออกมา บางคนก็แสดงออกมาโต้งๆ ก็จะช่วย มีพลังงานพวกนี้ ทุกวันนี้ รู้ทั่วโลก
ทำไปเถอะ สักวันจะชนะ ขอให้ไม่ทำผิด ก็แล้วกัน ให้ทนอีกนิดเถอะน่า อาตมาว่า เราต้องชนะอย่างงดงามเลยนะ อย่าชนะอย่างชั่ว ต้องชนะความชั่ว ด้วยความดี ทำไมพระเจ้าอยู่หัว เอาพระมหาชนก มาเป็นเรื่อง ที่ท่านเขียน
I will Try ให้ทุกคนตั้งใจ...สาธุ