570501_พ่อครูที่ป้อมมหากาฬ เรื่อง ประชาชนมีอำนาจอยู่จริงหรือ |
รัฐบาลเหมือนผู้ใช้ธนบัตร แต่ประชาชนคือเจ้าของธนบัตร ตอนนี้ รัฐบาลใช้ธนบัตร แบบผิดๆ เสียหาย โกงกิน ประชาชนก็มายืนยันหลักฐาน ว่ารัฐบาลแพ้นะ จนรัฐบาลถอย ตอนนี้ ก็ยุบสภาฯ ก็เหมือน ให้ถือธนบัตรไว้ก่อน ประชาชนก็ออกมาบอกว่า เขาจะจัดให้มี ผู้รับช่วงเอง แต่รัฐบาลก็บอกว่าจะให้เลือกตั้ง ประชาชนก็ว่า จะปฏิรูปก่อน เพราะโครงสร้างเก่า ใช้ไม่ได้ มันเป็นค่ายกล ที่พิกลพิการแล้ว เป็นค่ายกลที่มีพิษ
อำนาจอธิปไตยเป็นเช่นไร... มีคนบอกว่า การเมืองคือ การแย่งชิงอำนาจ คือการแย่ง อำนาจบาตรใหญ่ ใครได้อำนาจก็คือ มีบทบาทใหญ่ในประเทศ ... มันก็มีส่วน เป็นเช่นนั้น ซึ่งอำนาจแบบนี้ ก็มีอยู่ในอดีต จนปัจจุบัน แต่อาตมาว่า อำนาจบาตรใหญ่แบบนี้ มันตกรุ่น ไปแล้ว มันสู้อำนาจแห่งคุณงามความดีไม่ได้ เป็นอำนาจที่เป็นโลกุตระ ทวนกระแส ซึ่งอำนาจ แบบกดข่ม บังคับนั้น ใช้กันมา แต่โบราณมา
คนสุภาพไม่รุนแรงนี่ต้องชนะ คนรุนแรงต้องแพ้ นี่คือ กติกาของ อาริยชน คนเจริญเห็น รู้ ทำเช่นนี้ เรารวมความรู้ ร่วมแรงร่วมใจ รวมคุณธรรม เอามาทำให้จริงใจ ทำได้เท่าไหร่ ก็ออกมา ทำออกมา ก็เป็นพลังร่วม รวมกัน พลังโดยชอบธรรม ทำจนเกิดพลังอำนาจนี้
คนไทยก็ยังดี โดยเฉพาะฝ่ายรัฐบาลนี่ ก็ยังดี เขาเข้าใจขึ้นว่า อำนาจสุภาพ ไม่รุนแรง ปราศจาก อาวุธนั้นดี เขาก็พยายาม ทำไม่รุนแรง แต่ก็เผลอ ออกมาบ้าง ตามประสา คนไม่หมด ต่างคน ต่างรวม หมู่กลุ่มกันทำ
๑.รวมกันแล้วใครได้มากกว่า
๒.ใครทำแล้วสงบ ดีงามกว่า เรียบร้อยกว่า
ตอนนี้ มีสองหมู่ มีนปช. กับ กปปส. ใครจะทำได้ดีกว่า ลักษณะเรียบร้อย ไม่รุนแรง ไม่ทำให้ใคร บาดเจ็บ จะมีบ้างก็คือ ใช้ปากหอก หยาบแค่ปาก ส่วนกระทำ ทางกายกรรม ทำให้ บาดเจ็บร่างกายถึงตาย ใครทำน้อยกว่ากัน หรือไม่ทำเลย ใครไม่ทำได้ หรือแม้แต่วาจา หรือมุขสตี ให้น้อยกว่ากัน ก็นับเป็นคะแนน
อาตมาว่า ยืนยันได้แล้วนะ ทำมาเป็น เกือบปีแล้ว
อำนาจอธิปไตย หากเป็นอำนาจ แห่งคุณธรรม จะดีกว่าอำนาจที่ ตกอยู่ภายใต้ ความกลัวไหม?
ประเด็นสำคัญ
ประเทศไทย ในคราครั้งนี้ ถ้าแม้นว่า ไม่หยั่งรู้ความเป็นจริง อันเป็นปรากฏการณ์ แสนวิเศษ วิสุทธิ์ วิสิฏฐ์ แล้วที่ได้เกิดขึ้น ในชาติไทย
ถ้าหากทุกหน่วยงาน ทุกองค์กร ทุกกรมกอง ทุกผู้คน โดยเฉพาะ คนผู้มีทุน ทางสังคม ที่มีหน้าที่ อันมีผลต่อ สังคมประเทศ ไม่ได้ร่วมมือ ช่วยกันกระทำ ให้เกิดความเป็นจริงนี้ ให้บรรลุผลเกิด วัฒนธรรม ของสังคมชาติประเทศ เกิดขนบประเพณี แก่ประเทศชาติ จนกระทั่ง เป็นผลสำเร็จ แล้วไซร้ ประเทศไทย ก็คงจะจมอยู่เป็น อนาริยชาติ เป็นอนาริยชน ไปอีกนานเท่านาน ในความเป็น ประชาธิปไตย
นั่นคือ มวลมหาประชาชน ได้อุตสาหะ ร่วมกันออกมา ทำหน้าที่ ตามสิทธิที่มี ของความเป็น มนุษยชาติ ในระบอบ ประชาธิปไตย ซึ่งประชาชนคนไทย ได้ใช้สิทธิชอบธรรม ปฏิบัติหน้าที่ อันเป็นไป ตามวิถีทาง แห่งรัฐธรรมนูญนี้แล้ว เช่น มาตรา ๖๓-๖๙-๗๐ เป็นต้น ได้อย่าง วิเศษ วิสุทธิ์ วิสิฏฐ์ ออกปานนี้ ขนาดนี้
มวลมหาประชาชน ได้ใช้ทั้งความลำบาก ยากเย็น แสนเข็ญ ทั้งสูญเสียชีวิตไป ไม่รู้เท่าไหร่ ทั้งบาดเจ็บ พิการ กันเท่าไหร่ ทั้งลงทุนลงแรง ใช้เวลา หมดทุนรอน จ่ายแรงงานกัน ร่วมมือ ร่วมใจกัน อย่างเป็นเอกภาพ แห่งมวลมหาชน เสียสละ ต้องทุกข์ทน อุตสาหะ มานานมาก ถือได้ว่า มากจน ทำลายสถิติโลกแล้วที่ทำได้ วิเศษวิสุทธิ์วิสิฏฐ์ กันอย่างนี้ ยืนหยัด ยืนยัน ประท้วง ต่อต้าน เพื่อทวงอำนาจของ ประชาชน คืนมาจากรัฐบาล ที่ได้ผิดพลาด อย่างชัดแจ้ง รัฐบาล หมดความชอบธรรม ที่จะอยู่บริหาร ต่อไปแล้ว อย่างสิ้นเชิง
มวลมหาประชาชน ได้เสียสละ ทั้งทุนรอน เสียสละ ทั้งเวลา และเสียสละ ทั้งแรงงาน ได้ร่วมแรง ร่วมใจกัน อย่างพากเพียร วิริยะอุตสาหะ จนถึงขนาดนี้ ซึ่งปฏิบัติกัน ชนิดที่ทำลาย สถิติโลกแล้ว ซึ่งสุดยอดไปด้วย ความอดทน สู้ลำบากยากเข็ญ ทั้งมากมีไปด้วย ปริมาณมวลมหาศาล ทั้งอยู่ได้ อย่างยืนหยัดยืนยัน กันต่อเนื่อง ยาวนาน ใกล้จะเป็นปีแล้ว ต้องนับว่า ทำได้ดีขั้น วิเศษ วิสุทธิ์ วิสิฏฐ์ จริงๆ
ถ้าผู้คนที่มีฤทธิ์ มีแรง มีอิทธิพล หรือที่ถูกต้อง คือ มีอำนาจอันชอบธรรม ตามหน้าที่ ในประเทศไทย ไม่ช่วยกัน ไม่ตัดสิน ไม่พิจารณา ให้เห็นแจ้ง ไม่ร่วมมือ ไม่ระดมแรง ช่วยให้ มวลมหา ประชาชน ได้ชื่อว่า เป็นผู้ "มีอำนาจ"จริง ตามระบอบ ประชาธิปไตย ที่ประชาชน เป็นเจ้าของ อำนาจแท้ๆ
ที่สำคัญมากยิ่งก็คือ อำนาจอันชอบธรรม ของประชาชน คืออะไร? อย่างไร? ใช้ได้เมื่อไหร่?
ความเป็น ประชาธิปไตยนั้น อำนาจที่ว่า เป็นของประชาชนนั้น มันมีแค่ ใช้ในการเลือกตั้งผู้แทน เท่านั้นหรือ คืออำนาจอธิปไตย ของปวงประชาชน ในความเป็นประชาธิปไตย...?
ในเมื่อ มวลมหาประชาชน ได้แสดงตัวว่า เป็นเจ้าของอำนาจ และออกมา แสดงอำนาจ ที่ถูกต้อง ตามรัฐธรรมนูญ นี้แท้ๆ และปฏิบัติ อย่างมีคุณธรรมได้วิเศษ อย่างไม่น่าเชื่อ สงบ ไม่มีอาวุธ ไม่รุนแรง เป็นนิติธรรม ที่มีครรลอง ครองธรรม สุดวิเศษ อีกด้วย ปานฉะนี้
อำนาจเช่นนี้ มวลมหาประชาชน ได้แสดงออก ทั้งตัวตนเป็นๆ สดๆ ทั้งเจตนารมณ์ เป็นอันหนึ่ง อันเดียวกัน ปานฉะนี้ ไม่สามารถปฏิวัติ เหตุการณ์ของประเทศ ปฏิวัติรัฐบาล เปลี่ยนแปลงจาก ความวิปริต หรือความเสื่อมต่ำ ให้ประชาชน ได้จัดการบูรณะ ได้จัดการปฏิสังขรณ์ หรือได้ จัดการปฏิรูป พัฒนาประเทศเอง... บ้างกระนั้นหรือ?
ถ้าปานฉะนี้แล้ว ก็ยังเห็นไม่ได้กันว่า อำนาจอันเป็นของ ประชาชน คืออะไร? อยู่ที่ไหน? แล้วในอนาคต ประชาชน ยังจะเป็น ผู้มีอำนาจได้อย่างไร? ประชาชนมีอำนาจอยู่ จริงหรือ? อยู่ที่ไหน? เขาได้รวมกัน ออกมาขนาดนี้ ทำกัน ด้วยความเสียสละ ปานฉะนี้ ก็ยังไม่เห็นว่า ประชาชน "มีอำนาจ" อยู่ตรงไหน? เป็นอย่างไร? ประชาชน จะไม่เข็ดหลาบหรือ? เขาจะออกมา ทำหน้าที่พิทักษ์ รักษาประเทศ กันอีกหรือ?
ลงทุนลงแรง ใช้เวลา หนักหนา สาหัสสากรรจ์ ขนาดนี้แล้ว ก็ยังไม่มีสิทธิ ไม่มีอำนาจ
แล้วเมื่อไหร่ ประชาชน จะได้อำนาจอธิปไตยจริง
สิทธิอยู่ที่ไหน? เป็นอย่างไร? อำนาจของประชาชน อยู่ที่ไหน? เป็นอย่างไร?
ระบอบ ประชาธิปไตยนั้น สิทธิและหน้าที่ ของประชาชน อำนาจของประชาชน มีแค่ใช้ ลงคะแนนเสียง เลือกตั้งผู้แทน เท่านั้น เท่านี้ จริงๆหรือ? อำนาจประชาชน ในระบอบ ประชาธิปไตย?
อำนาจอธิปไตยที่ว่า เป็นของประชาชนนี้ ที่มันไปตกเป็นของ รัฐธรรมนูญบ้าง ไปตกเป็นของ รัฐบาลบ้าง
ยิ่งในกรณีขณะนี้ ก็ตกเป็นของรัฐบาล ที่เหลวเละ และหมดสิ้นลงไปแล้ว เหลือแต่ซากกาก คือรักษาการอยู่นี้ กระนั้นหรือ?
หรือไปตกอยู่กับ นักวิชาการผู้รู้ ที่ยังรู้ไม่ชัดเจนไม่จริงบ้าง? และหรือ ไปตกอยู่ที่คนไทย คนใด คนหนึ่งบางคน ผู้มีอภิสิทธิ์ พิเศษอย่างนั้นหรือ?
คือ อะไร? อำนาจอันเป็นของประชาชน คืออย่างไรกันแน่?
อยู่ที่ไหน?
แล้วเมื่อไหร่จะได้?
อย่างไร? เมื่อไหร่? จะแสดงว่า ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจจริง เป็นเจ้าของ อธิปัตย์จริง
ประชาชนออกมา แสดงตน กันอย่าง วิเศษ วิสุทธิ์ วิสิฏฐ์ ปานฉะนี้แล้ว
ยังไม่มีสิทธิ์ เป็นเจ้าของอำนาจ
แล้วเมื่อไหร่? อำนาจจะเป็นของ ประชาชนจริง กันสักที?
เมื่อวาน กำนันสุเทพ ประกาศ ๓ ขั้นตอน เผด็จศึก
ประกาศ 3 ขั้นตอน วันเผด็จศึก
๑. เกี่ยวกับกษัตริย์ โดยทำในวันที่ 5 พ.ค. ใส่เสื้อเหลือง ห้อยนกหวีด ทำพิธี ตั้งสัตยาธิษฐาน หน้าวัดพระแก้ว
๒.เกี่ยวกับศาสนา ทำในวันวิสาขบูชา วันที่13 พ.ค. ทำบุญประเทศ ครั้งใหญ่ ขับไล่เสนียด จัญไร ถัดไป
๓.เกี่ยวกับชาติ ทำในวันที่ 14 พ.ค. เดินหน้าเต็มสูบ เรียกคืน อำนาจอธิปไตย ตาม รัฐธรรมนูญ มาตรา 3 ตั้งรัฐบาลประชาชน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ แก้กฎหมาย ปฏิรูปประเทศ
ซึ่ง นปช. ก็ปรับทัพลุย ๕ พ.ค. นี้ ยึดถนนอักษะ พุทธมณฑล ต่อต้านนายกฯ ม.๗ ยืดเยื้อ ไม่เคลื่อนมวลชน เผชิญหน้า มีตำรวจทหารออกมา....
อาตมาว่าดี ใครคุณงามความดีมากกว่า อันนั้น ก็ควรชนะ ทางตุลาการ ท่านก็สามารถตัดสิน ประชาชน ก็ทำหน้าที่ ประชาชนเลย ทำตามสิทธิ์ ในรัฐธรรมนูญ
มาตรา ๗๐ บุคคลมีหน้าที่ พิทักษ์รักษาไว้ ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครอง ในระบอบ ประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข
มาตรา ๗๑ บุคคลมีหน้าที่ป้องกันประเทศ และรักษา ผลประโยชน์ชาติ และปฏิบัติ ตามกฎหมาย
ประชาชนที่ดูดาย หลับไม่รู้ คู้ไม่เห็น หรือสนุกรื่นเริงไป ไม่สนว่า จะมีประชาชน กลุ่มหนึ่ง ออกมา ทำหน้าที่ ที่ควรทำ ตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งประชาชน ก็ควรกตัญญู อย่าปล่อยปละ ละเลย กันนัก ปล่อยไป ดีไม่ดี ใครทำดี ก็ว่าเขายุ่งอีก
สมมุติว่า ประเทศไทยนี้ มีคุณคนเดียว ในประเทศนี้ คุณจะไม่เอาตาดูหูแล ใครก็ตามที เพราะมีคนเดียว แต่หากมีสองคน อีกคนหนึ่ง จับจองแผ่นดิน เอาทรัพยากร อะไรไป ก็ช่างเขาเถอะ ของเรามีเยอะแยะ สองคน ก็ไม่หมด ของเหลือเฟือ จะจับจอง ก็ทำไปสิ
แต่ทีนี้ ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะประชากรไทย มีตั้ง ๖๐ กว่าล้าน ก็จับจอง อาศัยที่ดิน ทรัพยากรแล้ว จนกระทั่ง แย่งชิงกันแล้ว มันไม่พอ ไม่เหมือนมีสองคน ที่มีเหลือเฟือ และ หลายคน แย่งไปได้มาก เหลือเฟือ ใช้ไม่หมด แต่ดีไม่ดี เอาที่มีมาก ไปออกฤทธิ์ จ้างคน ใช้คน ให้แย่งชิง เอามาอีกๆ ทำไมทำได้อย่างนั้น ที่มีอยู่ กินใช้หลายชาติ ไม่หมด ก็ยังตะกละ มาเอาอีกๆ
แม้ถูกตัดสินว่าแพ้ โดยตุลาการ ว่าที่เอาไปนั้น โกงรัฐไปตั้ง สี่หมื่นกว่าล้าน ศาลตัดสินแล้ว ก็ยังจะมาเอาคืน ใช้เงินทองมาจ้าง บังคับคน จนคนก็ยอมรับจ้าง มาช่วย เพื่อให้เขา ได้เข้าไปอีก มันอะไร กันนักกันหนา ....โว้ย
นี่คือ เหตุการณ์ประเทศไทย ที่เกิดในขณะนี้
อาตมาก็เห็นแล้วก็ว่า ทำไมคนเรา ตะกละตะกลาม เห็นแก่รวยแก่ได้ หลงลาภยศ สรรเสริญ โลกธรรม ทำคนให้เดือดร้อน แล้วก็มาเรียนวิชา เศรษฐศาสตร์ คนที่ทำได้เยอะ ก็แบ่งแจก ให้คนทำได้น้อย
อย่างเด็กนี่ สร้างอะไรไม่พอไม่เป็น
สอง คนแก่ ที่หมดเรี่ยวแรงกำลัง ทำไม่คุ้มกินคุ้มใช้
สาม คนพิการ
สี่ คนป่วย
ห้า คนไร้สมรรถนะ
ห้าสภาพนี้ เราก็จำนน ต้องทำเผื่อเขา
คนทำได้มาก เกินตนกินตนใช้ ก็นำส่วนเหลือ ไปช่วยแบ่งแจก เด็ก คนแก่ คนป่วย คนพิการ คนไร้สมรรถนะ บ้านเมือง ก็อยู่เป็นสุข ไปได้ดี หรือมันจะแบ่ง แจกกัน คนที่ทำได้มาก มีความรู้ ความสามารถมาก ก็แบ่งแจก คนสามารถน้อยกว่า ความรู้ด้อยกว่า ก็เกื้อกูล แบ่งแจก นี่คือ ความรู้เศรษฐศาสตร์ แท้จริง
แต่นี่ทำทวน พระพุทธเจ้าเลย ทำมากก็ว่า ต้องเอามาเพิ่มอีก ให้คนมาซื้อ แล้วก็เอากำไร มากๆ ตีราคามาก คนทำไม่ได้ ก็จำนน ต้องนำสิ่งของ มาแลก หรือมาซื้อ นี่คือ ความเอาเปรียบกัน ในสังคม สังคมก็ไปไม่ออก
นี่คือ สัจจะที่พระพุทธเจ้าค้นพบ ศาสดาต่างๆ ก็ค้นพบ ให้ทำให้มาก แล้วแบ่งแจก พระพุทธเจ้า ก็สอนเช่นนี้
ผู้บรรลุธรรมของศาสนาพุทธจะเป็นคนที่
พหุชนหิตายะ เป็นประโยชน์แก่หมู่ชนทั้งหลาย
พหุชนสุขายะ เกิดเป็นสุขแท้แก่หมู่ชนทั้งหลาย
โลกานุกัมปายะ เป็นไปเพื่อรับใช้อนุเคราะห์โลก
พตฎ. เล่มที่ ๔ ข้อที่ ๓๒
ลัทธิอื่น ก็มีในโลกหลากหลาย เราก็รู้เท่าทัน และอยู่ร่วมกัน อย่างมีปัญญา อยู่กันด้วยดี รู้โลกวิทู
อาตมา ไม่พยายามหลอกล่อ อย่างการมี FMTV เราเอาพฤติกรรมของเรา ออกไปแสดง เขาก็หาว่า เราโฆษณาตัวเอง เขาหาว่านะ เพราะเราไม่ได้เจตนาอวด (อวดคือ แสดงออก เพื่อต้องการ ให้เขาเอาอย่างเราไป แล้วเอาอะไร มาแลกเปลี่ยนให้เรา โดยเราได้เปรียบ) นั่นคือ การโฆษณาสินค้า ในโลกนี้ เขาโฆษณาให้คนรู้สึก น่ามีน่าได้น่าเป็น เมื่อคนมาเอา เขาก็แสวง ประโยชน์ จากคนที่มา แต่เรานี่ เขามาแล้ว เราไม่ได้เอาอะไรจากเขา เราไม่เอาเปรียบเอารัด ตรงกันข้ามเลย ใครจะมาเอา ก็มาเลย
สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ เราไม่เสียแรงสร้าง เราจะสร้างแต่ สิ่งมีประโยชน์คุณค่า เราสร้าง แล้วก็ได้อาศัย กินใช้ ที่เราสร้าง แม้แต่งานสื่อสาร เราพูดไปแล้ว ที่ฉายภาพเรา ออกไป เราไม่ได้ทำ เพื่อได้มา แม้แต่สินค้า ที่เราผลิต ก็ทำเพื่อให้ประโยชน์สังคม เราไม่ได้ทำสะสม ไม่เอาเปรียบ สร้างแล้ว ก็สะพัดอีกด้วย
พระป่า จะถูกธรรมวินัยตื้นๆ แต่ผิดธรรมวินัยลึกๆ
พระบ้าน จะผิดธรรมวินัยตื้นๆชัดๆ ผิดข้อที่ว่า มาลาคนฺธวิเลปนธารณมณฺฑน วิภูสนฏฺานา
คือผิดข้อที่ เอาดอกไม้ มาโรยให้เหยียบ เสริมความใหญ่ คนหลงหรูหรา ฟู่ฟ่า ใหญ่โต หลง คนก็ชอบ ใหญ่โตหลง ก็เลย ได้พวกนี้มาก รวยใหญ่ เละเทะเลย เขาเอาสิ่งที่ คนมีกิเลส ยึดมั่น ถือมั่น มาปรุงแต่ง เรียกว่า มัณฑนะ ออกนอกทางพุทธ
หลงหรูหรา ฟู่ฟ่า ผิดธรรมวินัยเยอะ
แต่พระป่านี่หลงป่า.... เป็นความเสื่อม ในศาสนาพุทธ มี ๔ ข้อ ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้
๑. ผู้ยังไม่มีวิชชาและจรณะ แต่ไปแสวงหาอาจารย์ในป่า โดยเก็บผลไม้หล่น กินบำรุงชีพ อย่างมักน้อย มากๆ
๒. ไม่เก็บผลไม้กิน แต่ถือเสียม ตะกร้า หาขุดเหง้าไม้ หาผลไม้กิน ระหว่าง ออกแสวงหา อาจารย์ ในป่า
๓. สร้างเรือนไฟไว้ใกล้หมู่บ้าน แล้วบำเรอไฟ รออาจารย์
๔. สร้างเรือน มีประตูสี่ด้าน ไว้ที่หนทางใหญ่ สี่แพร่ง แล้ว สำนักรอท่านผู้อยู่ มีวิชชา และจรณะอยู่ (อัมพัฏฐสูตร เล่ม ๙ ข้อ ๑๖๓)
ผู้ถืออยู่ป่าเป็นวัตร ๕ จำพวก
๑. โง่ เขลา
๒. ปรารถนาลามก เพราะถูกความอยากครอบงำ
๓. พราะเป็นบ้า
๔. เพราะจิตฟุ้งซ่าน
๕. เพราะคิดว่า พระพุทธเจ้า และสาวก สรรเสริญ
ยังมีในอุบาลิสูตรอีก ที่ว่าด้วยคุณธรรมของผู้ควรอยู่ป่า
พระอุบาลี ปรารถนาจะไปอยู่ป่า และราวป่าอันสงัด
พระพุทธองค์ตรัสว่า... ป่าและราวป่าอันสงัด อยู่ลำบาก ทำความวิเวกได้ยาก ยากที่จะอภิรมย์ ในการอยู่ผู้เดียว. ป่าทั้งหลาย เห็นจะนำใจ ของภิกษุ ผู้ไม่ได้สมาธิไปเสีย
ผู้นั้น จำต้องหวังข้อนี้ คือ จักจมลง หรือจักฟุ้งซ่าน เปรียบเหมือน กระต่าย หรือเสือปลา ลงสู่ห้วงน้ำใหญ่ หวังจะเอาอย่าง ช้างใหญ่ สูง ๗ ศอก หรือ ๗ ศอกกึ่ง กระต่าย หรือเสือปลานั้น จำต้อง หวังข้อนี้ คือ จักจมลง หรือจักลอยขึ้น !! (พตปฎ. เล่ม ๒๔ ข้อ ๙๙)
ถ้าคุณเป็นอนาคามี หรืออรหัตตมรรค จะไปเช็ค อรหัตตผล ก็ต้องมีจิต เป็นสมาธิก่อน จึงควรไป ถ้าไม่อย่างนั้น คุณจะจม คือติดการอยู่ป่า แล้วจักลอย ก็คือคุณจะฟุ้งหาโลก เพราะว่า อยู่ในนั้น ไม่มีกามคุณ ไม่มีรูป รส กลิ่นเสียง สัมผัส ไม่มีโลกธรรม คุณยังไม่ได้ล้างกิเลส ก็ฟุ้งออกมา คุณก็กดข่ม ได้แค่นั้น ทำสมาธิ นั่งหลับตา ได้แค่นั้น
การปฏิบัติธรรม ต้องอยู่ในบ้าน ในเมือง ได้สมาธิ อย่างนั้น อรหัตตมรรค หรือว่า อนาคามี ก็ค่อยไปอยู่ป่า
แต่ถ้าไม่ได้สมาธิ ไปออกป่าก็ติดป่า อย่างอินเดียมีมากเลย แม้มีกายสักขี ก็ไม่ได้เป็นอรหันต์ จะต้อง มีการสัมผัส วิโมกข์ ๘ ด้วยกาย
ความหลงผิด ที่เป็นของชาวกรุง...
ซึ่งเข้าใจกันไม่ง่าย ขณะที่อาตมาพาทำนี่ ทำลักษณะเมือง ... เพื่อประโยชน์ ของสังคม ช่วยกันทำงาน ที่อาตมาเปิดเผย อาตมามาทำงาน ไม่ได้ต้องการอามิส แลกเปลี่ยน ฝ่ายที่เขา ไม่เชื่อก็มี ด่าอาตมาก็มาก โดยเฉพาะ ช่องแดง เช่น คุณสะอาด จันทร์ดี เขาด่าอาตมาว่า มีหมอ ที่รู้จักกันนี่ เขาตรวจเลือดโพธิรักษ์แล้ว พบว่ามีหมู เป็ด ไก่ อยู่ในนั้นเลย ... อาตมาก็ว่า ถามหมอ พยาบาล ว่าสามารถตรวจได้ว่า เป็ดไก่ อยู่ในเลือด ตรวจเลือดแล้วรู้เลยว่า กินไก่ กินเป็ด อาตมาก็ว่า ไม่มีหมอคนไหน บอกอย่างนี้หรอก …
อันนี้ชัดเจนเลยว่า โกหก จะไปตรวจสอบได้อย่างไร เขาก็โกหกไม่รู้กี่ที แต่ว่า อันนี้ชัด
ถ้าคนเราไม่มีธรรมะจริง (คือธรรมะของพระพุทธเจ้า ที่สัมมาทิฏฐิแท้) แล้วปฏิบัติ จนบรรลุ อย่างแท้ ถ้าปฏิบัติไม่ได้จริง โลกุตรธรรม ไม่มีจริง แต่ในพุทธศาสนิกไทย ยังมีเนื้อแท้ โลกุตรในใจ จึงสามารถปฏิบัติ โลกุตรธรรมได้ ฉะนั้น ผู้ที่มาช่วยกันทำงาน อย่างบริสุทธิ์ใจ อย่างทวนกระแส ไม่ได้ทำอย่าง Force กดขี่เขา แต่เอาแบบสงบ สยบเคลื่อนไหว เอาคุณงาม ความดี ความผิดถูก ตัดสินให้คนถูกชนะ
ผู้เป็นคนไทย น่าจะยอมรับ ความผิดว่าแพ้ อย่าตะแบง ไปมากนักเลย มันบาปนะ ถ้าคุณดันทุรังไปผิด มันก็ดันทุรังไป เป็นวิบาก ติดในจิตไป เป็นอกุศลวิบาก อย่างแท้จริงเลย
แม้คุณไม่มีปัญญารู้ ก็ขอเตือนเลยว่า อย่าทำดีกว่าน่า แต่คุณจะทำ ก็บังคับไม่ได้ แต่กรรม เป็นอันทำ ทำบาปก็ได้บาป ทำบุญก็ได้บุญ คุณโกหก ทั้งๆที่รู้ อย่างคุณสะอาด อาตมาว่า แกเจตนาโกหก อาตมาไม่เชื่อว่า หมอคนไหน มาบอกแก ว่าตรวจเลือดได้ว่า เลือดนี้มีเนื้อสัตว์