570503_พ่อครูที่ป้อมมหากาฬ
เรื่อง ถ้าไม่มีคนกล้า สิ่งวิเศษไม่เกิด

           ใน ๑๐๐ คนจะมีคนกล้าสัก ๑ คน
ในพันคน จะมีนักปราชญ์ สัก ๑ คน
ในแสนคน จะมีคนพูดจริงสัก ๑ คน
แต่คนทำดี โดยไม่หวังผลตอบแทน ..ไม่รู้จะมีไหม? ...ที่นี่ไง
           อาตมาเรียบเรียงเรื่องนี้มา ลองฟังกันดูนะ

ถ้าไม่มีคนกล้า สิ่งวิเศษไม่เกิด

           ถ้าไม่มีคนกล้าทำ สิ่งที่ใหม่ ที่แปลก แม้สิ่งนั้น จะยังไม่เคยมี ไม่เคยปรากฏ แต่เป็นสิ่งที่ วิเศษ วิสุทธิ์ วิสิฏฐ์

           ก็จะไม่มีสิ่งวิเศษ วิสุทธิ์ วิสิฏฐ์ อุบัติขึ้นในโลก โลกก็จะไม่ได้ใช้ ไม่ได้อาศัย ความจริงที่ วิเศษ วิสุทธิ์ วิสิฏฐ์ นั้น

           ถ้าไม่มี กาลิเลโอ ออกมาประกาศยืนยันว่า โลกกลม คนก็จะอยู่กันแบบ ที่คำนวณดาราศาสตร ์กันแบบโลกแบน นั่นแหละ ใช้งานกันต่อไปในโลก อาศัยโลกแบนนี้ ต่อไป

           แต่เพราะมีคนกล้าประกาศว่า โลกกลม ในยุคที่คนทั้งโลก เชื่อสนิทว่า โลกแบน และไม่เชื่อว่า โลกกลม

           เมื่อสัจจะคือ โลกกลม สังคมมนุษย์ถึงเวลา จึงได้รู้แจ้งว่า โลกกลม กันถึงปัจจุบันนี้ เพราะความจริง ความรู้ ความมั่นใจ ความกล้าหาญ ของกาลิเลโอ จึงเกิดความรู้ จากความมั่นใจ และความกล้าของ กาลิเลโอ จึงมีความจริง เกิดขึ้นในโลก ให้มนุษย์โลก จึงเจริญไปกับ ความจริงนี้

           ฉันใด เมื่อประชาชนเจ้าของประเทศ เป็นเจ้าของอำนาจ อธิปไตยแท้ๆ ถ้าไม่มีสิทธิ์ ในการจะได้ใช้ อำนาจอธิปไตยนั้น ก็จะมีอำนาจอื่น ที่ไม่ใช่อำนาจอธิปไตย ของประชาชน เข้ามายึดครอง บงการ หรือบริหารประชาชน อยู่ตลอดไป เช่น

           อำนาจเป็นของคณะทหาร ปฏิวัติด้วยอาวุธ เป็นต้น ซึ่งใช่อำนาจของประชาชน แน่หรือ?

           หรือหลงผิดว่า อำนาจรัฐบาล เป็นอำนาจรัฐทั้งรัฐ หรือเป็นอำนาจของประชาชน เบ็ดเสร็จ
สิ้นเชิง สัมบูรณ์

           มันใช่? มันเป็นจริงหรือ?

           เพราะไปหลงเข้าใจว่า ประชาชนเลือกให้รัฐบาล เป็นเจ้าของสิทธิ ทั้งประเทศไปแล้ว ประชาชน จะประท้วง ทวงอำนาจอธิปไตยนั้น คืนไม่ได้!!! ไม่มีสิทธิแล้ว หมดสิทธิ์แล้ว จริงเช่นนั้นหรือ?

           รัฏฐาธิปัตย์ ของประชาชน คือ อำนาจเลือกตั้ง เท่านั้น จริงๆหรือ?
           รัฐบาลาธิปัตย์ คือ รัฏฐาธิปัตย์ จริงๆหรือ?
           มันเป็นอำนาจเดียวกันแน่หรือ?
           รัฐบาลาธิปัตย์ มีอำนาจเท่าใด? อย่างไร? แค่ไหน?
           ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจ ที่เรียกว่า รัฏฐาธิปัตย์ หรือประชาธิปไตย คืออะไร?
           อย่างไร? แค่ไหน?
           เมื่อถึงวาระที่สุด แห่งที่สุด ที่"ควร"ได้พิจารณา ตามหลัก มหาปเทส ๔ ชัดเจนแล้วว่า ควร ในสิ่งที่ควร
           เช่น ประชาชน ณ ลมหายใจเฮือกนี้ ควรจะได้อำนาจอธิปไตย คืนมาเป็นของ ประชาชน ได้หรือยัง?

           สังคมที่ถูกการบริหารปกครอง จนคนต้องฆ่าตัวตาย กันเป็นสิบๆคน ปานฉะนี้ เพราะฝีมือ การบริหาร ปกครอง ของรัฐบาลนี้ และบริหารเงินทอง เสียหายป่นปี้กันไป แสนๆล้าน

           รัฐบาลปล่อยให้ผู้คน ทั้งประชาชน และทั้งเจ้าหน้าที่รัฐบาลเอง ออกมาประกาศ ทั้งประพฤติ ซ่องสุมผู้คน ฝึกกำลังที่จะแยกแผ่นดิน ตั้งรัฐใหม่ กันโจ่งแจ้ง ปานนี้

           ยังไม่ถือว่า มีฝีมือพอ ที่จะตัดสินได้บ้างหรือ?
           ว่า รัฐบาลนี้เป็นกบฏ เป็นเพชฌฆาตประชาชน ผลาญพร่าประเทศชาติ สุดอำมหิต เสียหายแล้ว ขนาดนี้
           ประชาชน ควรได้อำนาจอธิปไตย คืนมาจัดการเองหรือยัง?
           ตุลาการภิวัตน์ ก็ได้ทำหน้าที่ ชี้ชัดกัน ยืนยันออกแน่นหนา ปานฉะนี้แล้ว
           และได้เห็น ความดื้อด้าน ดันทุรังของรัฐบาล ก็ชัดจัด จนไม่รู้จะชัดจัด กันแค่ไหนแล้ว

           ประชาภิวัตน์ มวลมหาประชาชน ก็ได้ร่วมรวมตัว แสดงตนออกมา ประท้วงยืนยัน ยืนหยัดกัน ทั้งปริมาณ มวลมหาประชาชน ทั้งคุณภาพ คุณธรรม สุดบริสุทธิ์ อุตสาหะ ยืนยาวกันมา จนป่านนี้

           คนไทยช่วยกันออกมาปฏิวัติชนิดใหม่ คือ ปฏิวัติด้วยความสงบ ไม่รุนแรง ไม่ใช่อาวุธ กั นออกอย่างนี้

           ซึ่งถูกต้องตามรัฐธรรมนูญนี้ อย่างสวยงามวิเศษ วิสุทธิ์ วิสิฏฐ์ กันได้ ปานฉะนี้ ถึงอย่างนี้ ผู้รู้ก็ยังไม่รู้ ประชาชน ก็ยังไม่เห็น ว่านี่คือ ความจริงที่ชื่อว่า อำนาจอธิปไตย ที่ประชาชน ออกมาแสดงตัว กันขนาดนี้ เช่นนี้นี่แหละ คือ อำนาจของประชาชน ที่สามารถ จะเป็น เจ้าของอำนาจ

           และที่สำคัญ ประชาชนสามารถ แสดงสมรรถนะ ความเป็นอำนาจอธิปไตย กันออกปานฉะนี้แล้ว

           ผู้รู้ก็ดี ประชาชาก็ตาม ยังไม่รู้ ไม่เห็น ไม่เข้าใจว่า นี่คือ อำนาจอธิปไตย เป็นของ ประชาชน ทำเพื่อประชาชน โดยประชาชน ร่วมกันทำแท้ๆ แล้ว
           เมื่อใด? ประเทศไหน? จะสามารถเป็นประเทศแรก ที่ชื่อว่า
           ประชาชนปฏิวัติ อย่างสันติ สงบ ไม่มีอาวุธ สำเร็จกันได้สักประเทศ

           ประเทศไทย ทำมาได้กันถึงปานนี้แล้ว ซึ่งพิสูจน์ความรู้ ความมั่นใจ กันขนาดนี้แล้ว เหลือความกล้าอีกนิดเดียว... ความจริงที่ประชาชน เป็นเจ้าของ อำนาจอธิปไตย

           ประชาชนเป็น รัฏฐาธิปัตย์ ก็จะเกิด"ความจริง" อัน Supreme-Absolute-Ultimate กันในอีก... ในไม่กี่อึดใจนี้แล้ว

           การใช้อำนาจแม้ในคน ก็รู้ว่าอำนาจที่เป็นคุณธรรม หรือเป็นพระคุณ ไม่ใช่ประเดช ก็พอรู้ว่าดีกว่า แต่มันยาก เพราะสัญชาติญาณสัตว์ อันเดิม ก็ใช้อำนาจพระเดช Force ครอบงำ กดกันต้องยอม แต่พอฉลาดกันหน่อย คนก็ไม่ได้ใช้เขี้ยว เล็บแล้ว แต่เขาเลี่ยงไปใช้ อำนาจ ลาภ ยศ สรรเสริญ แม้เลี่ยงไม่ใช้เรี่ยวแรง แต่ก็จะเห็นได้ว่า ได้ใช้เครื่องมือ ปืน อาวุธ ในการทำร้ายเขา หรือใช้เงินทอง ไปฟาดหัวเขา เขาก็ยอม ใช้ลาภไม่พอ ก็ใช้ยศ ที่คนเขาติดยึด ไม่พอ ก็ใช้สรรเสริญ ยกย่องเชิดชู แกล้งยกยอก็ทำ ใช้สิ่งเหล่านี้ดัน เพื่อให้เขาเป็นทาส เขาก็ยอม หรือแม้แต่ จะใช้สุขทางกาม สุขทางอัตตา ให้เขายอมสยบ รับใช้ทำตาม ให้เราเป็นเจ้าของได้ เอาสิ่งเหล่านี้ เป็นอำนาจ เท่าที่พูดมานี้เป็นโลกธรรม ไม่ได้ประเสริฐ เลิศเลอจริง

           อำนาจของผู้ประเสริฐแท้ หรือโลกุตรธรรม เราไม่ใช้อาวุธ แน่อยู่แล้ว แต่แม้อามิสก็ไม่ใช้ ไม่ใช้ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข จนสามารถเป็นไปได้

           คนสามารถเข้าใจ มีปัญญาเพิ่ม เรามาทำเพื่อสิ่งดีงาม เสียสละอดทน ร่วมมือร่วมใจ ร่วมแรง เพื่อประโยชน์ต่อ สังคมส่วนรวม ประเทศชาติ คนมีปัญญา ก็ออกมา โดยไม่หวัง สิ่งตอบแทน

           นี่คือธรรมะ ทวนกระแสโลก ซึ่งโลกใช้โลกธรรม ตอบแทน แต่โลกุตระนั้น ไม่ได้ทำเพื่อ สิ่งเหล่านั้น บริสุทธิ์ใจเท่าไหร่ ก็เป็นอาริยชน ที่แท้จริง เท่านั้น

           กิเลสที่เป็นตัวหลัก โง่หลงโลกธรรม เป็นธรรมดา ของปุถุชน ซึ่งตกใต้โลกธรรม ทั้งสิ้น ผู้ใดมาเรียนรู้ ธรรมะดังกล่าว มาเรียนรู้ ปฏิบัติโลกุตรธรรม ล้างละโลกียะออก ให้มีโลกุตรธรรม

           โลกียะนั้น ไม่ต้องไปเรียนศึกษา ก็มีกัน คนในโลก สัตว์โลก ที่ไม่รู้ธรรมะ ที่พระพุทธเจ้า ตรัสรู้ จะแย่งชิงโลกียะ ที่จริงศาสนาอื่น เขาก็ประกาศโลกุตระ แต่เราจะพูดถึง ศาสนาพุทธ

           ศาสนาพุทธ เรียนรู้ชัดเจน ในโลกียะและโลกุตระ โลกธรรมนั้น มีเหตุที่จิตเรา ไปหลง ติดยึด ก็เลยหลงโลก ทุกวันนี้ เราจะเป็นผู้มีความกล้า จนกล้าออกมาปฏิวัติ ซึ่งแม้ใน รัฐธรรมนูญ ก็ไม่กล้าพูดว่า ให้ประชาชนปฏิวัติได้

           แต่อาตมาว่า ปฏิวัติก็คือ เปลี่ยนแปลงอำนาจใหม่ อย่างทหาร ใช้อำนาจพระเดช คนก็กลัว ก็ยอม เขาก็ได้อำนาจ เป็นประเพณี มาตรา ๗ ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติ แห่งรัฐธรรมนูญนี้ บังคับ แก่กรณีใด ให้วินิจฉัย กรณีนั้นไปตามประเพณี การปกครอง ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข ซึ่งคณะทหาร ก็ทำกันมา อยู่ตลอด แล้วก็ล้าง รัฐธรรมนูญ

           เหมือนกับประชาชน กำลังปฏิวัติ ​แต่มีนัยสำคัญที่ว่า เราไม่ได้ใช้ อำนาจพระเดช เราใช้พระคุณ แล้วพระคุณ ไม่ผิดกฎหมาย แต่พระเดชนี่ ผิดกฎหมาย ตามมาตรา ๗ เขาก็ยัง จำนน ยอมให้ใช้อำนาจ ต่อมาเรื่อยๆ จะมาเล่นแง่ อย่างฝ่ายแดงที่ว่า ปฏิวัติ ปี ๔๙ ไม่ถูกต้อง แต่ที่จริง คณะตนเอง ก็สืบต่อจาก แหล่งเดียวกัน นั่นแหละ ก็พูดไป ก็รับถ่ายทอดกันมา เป็นขนบ ที่มาบริหารประเทศ

           คุณใช้พระเดช ก็ยังจำนน เป็นประเพณี แต่ครั้งนี้ เราก็ทำแบบพระคุณ เหมือนกาลิเลโอ ที่บอกว่า โลกกลม เขาก็ติดว่า โลกแบน เหมือนเราบอกว่า ประชาชนปฏิวัติได้ แต่เขาก็บอกว่า ไม่ได้ สงสัยจะต้องตาย เหมือนกาลิเลโอหรือนี่ ... ตายก็ตาย(วะ)

           แล้วประชาชนมาปฏิวัติ นี่ถูกต้อง ตามรัฐธรรมนูญด้วย …. ถูกต้อง ตามรัฐธรรมนูญ ม.๖๓ หรือ ๖๙ หรือ ๗๐

มาตรา 63 ว่า "บุคคลย่อมมีสิทธิเสรีภาพ ในการชุมนุมโดยสงบ และ ปราศจากอาวุธ โดยไม่มี การสร้างข้อมูลเท็จ เอามากล่าวหา ไม่ปลุกระดม ประชาชน ให้หลงผิด ไม่ใช้สื่อโฆษณา ชวนเชื่อ ไม่บังคับ และไม่จ้างวาน กลุ่มบุคคลใดๆ ให้มาร่วมชุมนุม"

มาตรา ๖๘ (วรรคหนึ่ง) "บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพ ตามรัฐธรรมนูญ เพื่อล้มล้าง การปกครอง ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุขตาม รัฐธรรมนูญนี้ หรือเพื่อ ให้ได้มา ซึ่งอํานาจ ในการปกครองประเทศ โดยวิธีการ ซึ่งมิได้เป็นไป ตามวิถีทาง ที่บัญญัติไว้ ในรัฐธรรมนูญนี้ ... มิได้"

           แต่เราต่อต้านโดยสันติวิธี
ตาม มาตรา ๖๙ (การต่อต้านโดยสันติวิธี) บุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้าน โดยสันติวิธี ซึ่งการกระทำใด ๆ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มา ซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการ ซึ่งมิได้เป็นไป ตามวิถีทาง ที่บัญญัติไว้ ในรัฐธรรมนูญนี้

           เราปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ จนศาลคุ้มครองเรา
           หรือมาตรา ๗๐ บุคคลมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และ การปกครอง ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข

มาตรา ๗๑ บุคคลมีหน้าที่ ป้องกันประเทศ และรักษาผลประโยชน์ชาติ และ ปฏิบัติตามกฎหมาย

           เรามาประท้วง เพราะเขาใช้อำนาจ อย่างไม่เป็นธรรม ไม่เป็นไปตามวิถีทาง ตามรัฐธรรมนูญนี้ ซึ่งศาล ก็ตัดสินไปแล้ว และมีอีกหลายคดี ที่ยังไม่ตัดสิน หรือ แม้ในองค์กรอิสระอีก

           อาตมาพูดเรื่อง มหาปเทส ๔ หรือ สัปปุริสธรรม นี่คือ นิติรัฐ นิติธรรม

           หลักเกณฑ์ซ้อนเข้าไป เสริมเข้าไป เป็นหลักที่ถูกต้อง ตามธรรม ถูกทั้งกฎเกณฑ์ของรัฐ มันก็เสริมกัน เราต้องเอาธรรมะ มาร่วมประกอบด้วย ส่วนหลักนิติรัฐนั้น เราก็พยายาม ทำตามอยู่แล้ว ตามกฏหมาย

           ส่วนวิถีทาง นั้น เราทำตามรัฐธรรมนูญนี้ แม้ในม.๗ ที่ว่า ไม่มีบทบัญญัติ แห่งรัฐธรรมนูญนี้ บังคับแก่กรณีใด เพราะฉะนั้น คำว่า ประชาชนปฏิวัตินั้น ไม่มี แต่มันมีแนว หรือวิถีทาง ที่เราทำ ปราศจากอาวุธ สันติ นี่คือสิ่งที่ควร หรือไม่ควร แม้ไม่มีพยัญชนะบัญญัติ แต่ก็พอมีอยู่บ้าง คำว่า ไม่มีบัญญัติแก่กรณีใด หรือวิธีการ วิถีทาง เราก็ทำตาม ที่เขาอนุญาต

           แม้ภาษาบัญญัติ ไม่มีตรงๆ แต่มีแนวโน้ม หรือแนวทาง หรือวิถีทาง ...มันนำทาง ไปสู่จุดประเสริฐ ถูกต้องดีงาม นั้นมีไหม แต่อาตมาว่าเป็นนะ ไม่ได้กล่าวตู่เกินไป

           อาตมายืนยันว่า มหาปเทส ๔ นั้น ตรงกับ รัฐธรรมนูญ มาตรา ๗ นะ
๑. สิ่งใดที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่า สิ่งนี้ไม่ควร หากสิ่งนั้น เข้ากับสิ่งที่ไม่ควร ขัดกับสิ่งที่ควร สิ่งนั้นไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย
๒. สิ่งที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่า สิ่งนี้ไม่ควร หากสิ่งนั้น เข้ากับสิ่งที่ควร ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร สิ่งนั้น ควรแก่เธอทั้งหลาย
๓. สิ่งใดที่เราไม่ได้อนุญาตไว้ว่า สิ่งนี้ควร หากสิ่งนั้น เข้ากับสิ่งที่ไม่ควร ขัดกับสิ่งที่ควร สิ่งนั้นไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย
๔. สิ่งใดที่เราไม่ได้อนุญาตไว้ว่า สิ่งนี้ควร หากสิ่งนั้น เข้ากับสิ่งที่ควร ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร สิ่งนั้นควรแก่เธอทั้งหลาย (พระไตรฯ ล.๕ ข.๙๒)

           เมื่อไม่ได้ห้ามหรือไม่ได้อนุญาต แต่เข้ากับสิ่งที่ควร ฝีมือบริหารสุดห่วย แสดงกรรมกิริยา สุดห่วย เลี้ยวลด ปด สารพัด

           การปฏิวัติโดยประชาชน จึงงดงาม อดทน สุภาพ เรียบร้อย ชี้แจงความถูกผิด ให้ยอม เพราะความถูกต้อง ประชาชน ต้องออกมาร่วมแสดงด้วย

           คำว่า มะม่วงหล่น ก็คือ จะปล่อยให้งอมให้เน่า แล้วหล่นเอง ก็สุดวิสัย เพราะเราไม่รุนแรง

           จบด้วยวิธีนั้น ก็คือความจริง ที่จริงว่า ผิด คือผิด ถูกคือถูก ดีคือดี ชั่วคือชั่ว คนผิด จะยิ่งทำชั่ว ยิ่งแสดงออก ต่างๆนานา ก็ทำไป เราใจเย็นๆ ไม่ต้องใจร้อนหรอก ช่วยกันทำไป

           ถ้าเผื่อว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ผ่านไป จบด้วยประชาชนชนะ จะเป็นประเพณี ธรรมเนียม จะเป็น Best Record เป็นสิ่งบันทึกไว้ในโลก เป็นครั้งแรก ที่ปฏิวัติโดยพลังของ ประชาชน​ ไม่ใช้อำนาจอาวุธ จนรัฐบาล ที่แสนดื้อด้าน  แพ้ไป

           มาถึงวันนี้แล้ว เราทำมานี่ มีสิ่งปรากฏ ชัดเจนนะ ว่าเราชนะ อันนี้ต้องขอบคุณ ทางด้าน อีกฝ่ายหนึ่ง คือนปช. ส่วนเราก็เป็นกปปส.​ ส่วนนปช.คือ ผนังทองแดง กำแพงเหล็ก ของรัฐบาล

           เขาก็พิสูจน์ตัวเขา เราก็พิสูจน์ตัวเรา เมื่อพิสูจน์ไปแล้ว เขาก็จำนน ต้องขอบคุณเขา ที่มีปัญญารู้ว่า ถ้าทำแบบประเสริฐ ต้องไม่รุนแรง ไม่ใช้อาวุธ เขาก็ทำเหมือนกัน

           แต่ที่ทำรุนแรง ก็จับไม่ได้ มีภาวะซับซ้อน หาว่ามือที่ ๓ ที่จริงฝ่ายไหนนะ มือที่ ๓ แล้วเป็นฝ่ายไหน? นี่ถือเป็นผนัง ที่กั้นให้รัฐบาล เรียกว่า หนังหมา

           สมมุติว่า ทางโน้นก็สำนึก ม่รุนแรง สงบลงเรื่อยๆ จนกระทั่ง ไม่ใช้อาวุธเลย แล้วต่อไป จะต่อสู้กันด้วยอะไ? ก็เงิน เขาก็จะทุ่มซื้อคน มาเป็นผนังกั้น เหมือนหนังหมู

           หรือต่อมา เขาจะสำนึกอีกว่า ไม่ต้องใช้เงิน ไม่ต้องใช้โลกธรรม หรือ อามิสบังคับ ใครหนอ จะเป็นฝ่ายชนะ... ฝ่าย กปปส.ชนะแน่ ... เพราะฉะนั้น กัดแข่ว ย่มก้น สู้ไว้

           ชนะรายทาง มาถึงวันนี้ ใครจะถอยบ้าง ...ไม่มียกสักครึ่งมือ ก็ไม่มี มันต้อง กัดฟันสู้ กันจริงๆ ตายเป็นตายนะ เหตุปัจจัยที่ว่านี้ คนที่ทำแล้ว ก็ทำผิด เป็นคนเสีย เขาก็ลงทุนนะ ต้องขอบคุณเขา ที่ลงทุน จนเขาจับได้ ด่าทอก็ว่าไป

           อุปกิเลส ๑๖
๑. อภิชฌาวิสมโลภะ (เพ่งเล็งอยากได้)
๒. พยาปาทะ (ปองร้ายเขา)
๓. โกธะ (โกรธ)
๔. อุปนาหะ (ผูกโกรธ)
๕. มักขะ (ลบหลู่คุณท่าน)
๖. ปฬาสะ (ยกตนเทียบเท่า, ตีเสมอท่าน)
๗. อิสสายะ (ริษยา ไม่อยากเห็นคนอื่นได้ดี)
๘. มัจฉริยะ (ตระหนี่)
๙. มายายะ (มารยา, มารยาทเสแสร้ง)
๑๐. สาเฐยยะ (โอ้อวด, การโอ่แสดง)
๑๑. ถัมภะ (หัวดื้อ, เชื่อมั่นหัวตัวเองมาก)
๑๒. สารัมภะ (แข่งดี, เอาชนะคะคาน)
๑๓. มานะ (ถือดี-ยึดดี จนถือสา)
๑๔. อติมานะ (ดูหมิ่นท่าน)
๑๕. มทะ (มัวเมา)
๑๖. ปมาทะ (ประมาทเลินเล่อ)
(พตปฎ.เล่ม ๑๒ ข้อ ๙๓)

เราละล้างได้จะปีติ ซึ่งเป็นปีติที่เกิดจาก การลดกิเลสได้ แต่ถ้าโลกๆ เขาปีติ ที่ได้สมใจกิเลส กิเลสก็ยิ่งหนา ดีใจที่ได้ชั่วได้เลว ดีใจที่กิเลสเพิ่ม เป็นคนอวิชชา ดีใจที่ตัวเองได้ชั่ว ไม่รู้ว่าตนเอง ดีใจไปทำไม แทนที่จะสยองใจว่า ตนได้สิ่งเสียหาย เลวร้าย สั่งสมลงไป เป็นสัจธรรม ที่น่าสงสาร

           เป็นอัตราที่ทำให้เกิดวิบาก ทับทวี เป็นลักษณะยิ่งกว่า ทวีคูณ แม้เขาจะชนะทางโลก แต่อกุศลกรรม สั่งสมในจิตเขา เป็นของแท้เลยนะ ซึ่งน่าสังเวชใจ

           ผู้ใดเรียนรู้ อกุศลจิตตนได้ ก็เรียนรู้ ลดละเสีย อย่าให้มันครอง ในจิตเรา ให้มันออกไป ไม่เอากิริยาแบบนี้ เอาชนะคะคาน หยิ่งผยองเช่นนี้ ไม่เอา เราต้องละล้าง คุณจะเกิดปัญญา เห็นจริงๆเลยว่า เราไม่เอา แม้เราชนะทางโลก แต่เรากิเลสเพิ่ม เราไม่เอา

           คุณไปโกงเขาชนะ ได้เงินทอง แต่จิตคุณทุจริต จิตคุณได้ความทุจริต แล้วคุณยังดีใจ ที่ได้ โกงเขาชนะอีก แล้วคนถูกโกงไปฟ้อง ก็สู้คดีอีก สู้คดีชนะอีก กิเลสก็ทับถมลงไป เพิ่มๆ ปฏิภาคทวี จ้างทนายอย่างดี ว่าความให้ ว่าความชนะอีก ดีใจอีก กิเลสทับทวี ก็ได้แต่ กิเลสผิด ชั่วโกง แล้วไปได้เปรียบ จิตคุณก็ไม่รู้ว่า ทำผิด มีเงินจ้าง แล้วชนะอีก ในทางโลกนี่ดี แต่ทางธรรมนี่ ฉิบหายแล้ว ฉิบหายอีก อย่าทำเป็นอันขาด ถ้าคุณมีโอกาส ชนะเขาแบบนี้ ก็อย่าทำ เพราะการชนะ ในชาตินี้ ก็หายไป แต่กิเลสสั่งสม หมักหมม เป็นอนุสัย อีกนาน เท่านาน ไม่ได้ล้าง เพราะยิ่งแน่น ยิ่งผูก หลงชั่วว่าดีก็ผนึก แม้ความดี พระพุทธเจ้า ก็ไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น คำว่ายึด พระพุทธเจ้า ให้แค่สมทาน หรือสม อย่างผู้ฉลาด ผู้สงบแล้ว รู้ยึดพออาศัย แต่ท่านสอน ให้อย่าไป โง่ยึดหลง เป็นอุปาทาน

           รู้แล้วปฏิบัติให้ได้ อันนี้สิสุดยอด อาตมาล้างมา ไม่รู้กี่ชาติ แต่ชาตินี้ อาตมายังถูก ลิงลม อมข้าวพอง ยังไปแย่งชิง เอาชนะคะคานเขาอยู่ แต่อาตมา มีของเก่า อาตมามี สยัง อภิญญา ที่อาตมา เคยอธิบายว่า ได้เริ่มจาก ปัจจัตตัง การบรรลุนั้น มีทั้งจิตทำให้ กิเลสอ่อน ออกไปได้ แล้วมีตัวรู้ด้วยว่า กิเลสออก แล้วออกอย่างยั่งยืน เที่ยงแท้ ถาวรหรือไม่ แล้วก็พิสูจน์ไป ตามกาละเวลา ว่าแน่นอนแล้ว นิจจัง (เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสสตัง (ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง (ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง (ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง (ไม่กลับกำเริบ) สั่งสมใส่ตนเอง ก็เป็น ปัจจัตตัง เป็นปัจเจกภูมิ มากขึ้น สั่งสมเป็น สยังอภิญญา แต่สูงสุดก็คือ สยัมภู ยกศัพท์นี้ ให้พระพุทธเจ้า อาตมาได้แค่ สยังอภิญญา ซึ่งอาตมา ไม่ได้มี สยังอภิญญา ที่สูงเท่าไหร่หรอก แต่เขาก็หาว่า อาตมาพูดเอง แต่มันเป็นพุทธธรรม เป็นหน้าที่ของอาตมา ที่จะมาประกาศในโลก หากไม่ประกาศ ก็จะสูญหาย ซึ่งอาตมาพูดนี่ มีสภาวะ มีพยัญชนะ ที่สื่อสภาวธรรม

           คนที่มีสภาวะ แต่ไม่รู้ว่าคืออะไร? ก็ไม่ได้บรรลุสิ ดีไม่ดี ได้แล้วก็ไม่ชัดเจน ปล่อยให้ เวียนกลับไปอีก แต่ที่จริง ควรทำให้ได้ ตลอดกาลเลย ปัญญาเป็นตัวกำหนดรู้ ให้ยึดไว้ อย่างมั่นคง มีแล้วก็ยึดไว้ แต่อย่าให้ติด ดีให้ไม่เปลี่ยนแปลง ด้วยปัญญาไปควบคุม ปัญญา ที่ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรล้มล้างได้

           อย่างคุณสุเทพ ที่มีคนเคลือบแคลงสงสัย แต่อาตมาว่า สมมุติว่า แม้คุณสุเทพ มีจิตไม่ดี แต่ว่า กายวิญญัติ วจีวิญญัติ ที่ออกมา แสดงออกมาอย่างนี้ ทำได้ดีมากเลย ให้ทำไปเลย อย่างเดินนี่ เดินสามเท่า ของคนอื่นเชียวนะ... น่ายกย่อง ให้ทำไปเลย ซึ่งจิตลึกๆ อาตมาไม่เชื่อว่า คุณสุเทพ ไม่ได้ทำแฝง หรือทำหลอก ที่จะทำไม่ดีงาม ในอนาคต

           สมมุติว่า ชนะเสร็จ (ไม่ได้ตีปลาหน้าไซนะ) เสร็จแล้ว คนก็โหวต ให้สุเทพเป็นนายกฯ ประชาชน โหวตเลย ใช้ ประชามติ ก็ได้ ให้สุเทพเป็นนายกฯ เหมาะสมที่สุด อาตมาก็ว่า ไม่ใช่ความเลวนะ ส่วนตัวคุณสุเทพ จะรับหรือไม่รับ ก็อีกทีนะ ถ้าประชาชน ประชามติ ให้สุเทพ เขาไม่ผิดนะ แต่อาตมาว่า สุเทพเขาพูดจริงนะ ต้องปฏิรูปให้เสร็จ ไม่ให้เสียของ

           โอกาสครั้งนี้ ถ้าไม่ได้ จะมีโอกาสอีก ยากมากๆเลย เพราะฉะนั้น วันที่ ๕ วันที่ ๑๓ และ วันที่ ๑๔ นี่ให้รวมกัน ให้มากเลย โดยเฉพาะ ข้าราชการผู้ใหญ่ น่าจะมาผนึกกัน เป็น Final แล้วนะ ครั้งสุดท้ายแล้วนะ

           ทางฝ่าย นปช.ก็แข็งนะ ยิ่งทำให้ฝ่ายประชาชนอดทน ใช้ปัญญา สุภาพ เรียบร้อย ดียิ่งขึ้น จึงเป็นโอกาสที่ดี อาตมาว่า มันพอทนได้นะ ว่าไหม? ใช่ไหม? แม้หนักหนา เหน็ดเหนื่อย ก็ กัดแข่ว ยุ่มก้น ใส่เข้าไป อีกหน่อยนะ
          
           อาตมาเชื่อว่า ผู้ที่มาต่อสู้กับเรา เขาก็ต้องสู้ แต่เขาขี่หลังเสือแล้ว ก็ต้องตายคาหลังเสือ ให้เสือกัดตายไป ลงมาก็เสีย ขอตายบนหลังเสือ

           แต่เราจะรบ อย่างอาริยชน เป็นอาริยกะ เป็นการรบของ คนประเสริฐรบกัน สุดยอดแล้ว จะบันทึกเป็นประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์การเมือง ช่วยกันเก็บหลักฐาน ข้อมูลกันนะ ส่วนผู้สร้างหนังนั้น น่าจะถ่ายไว้ หมดเลยนะ ไปตัดต่อ ได้หลายภาคเลย รับรองว่า ยาวกว่า มังกรหยก แน่นอน

           ธรรมะชนะอธรรม แต่อธรรมก็ต้องหาวิธี ขึ้นมาอีก แล้วธรรมะ ก็จะมาล้างอธรรมอีก จนอธรรมมีมาก จนเข้ากลียุค ก็จะเกิดการล้างโลก ก็จะเหลือแต่คนดี

           พระพุทธเจ้าไม่อุบัติ ในสองยุค คือ ยุคคนดีมาก จนไม่ต้อง อาศัยธรรม ของพระพุทธเจ้า เช่น ในศาสดาบางองค์ ก็เกิดมาช่วยโลก ในยุคที่ไม่มีพระพุทธเจ้า เพราะคน ไม่เลวมากนัก แต่ว่าในยุคที่ คนเลวมาก สมควรที่พระพุทธเจ้า จะมาช่วยได้ จนต่อมา ศาสนาพุทธ ก็จะถูกบิดเบี้ยว ไม่เหลือ ยุคที่ศาสนาพุทธไม่เหลือ มีแต่ความเลวร้าย ของสังคม พระพุทธเจ้า เกิดไม่ได้ ในยุคเช่นนี้ เช่น องค์สมณโคดม ก็เป็นองค์สุดท้าย จากนี้ไป ไม่มีพระพุทธเจ้าเกิด จะมีแต่โพธิสัตว์ และศาสดาบางองค์เกิด แล้วจะเกิด กลียุคเลวร้ายที่ พระพุทธเจ้า ไม่มาเกิด ถ้าเกิดมา ก็เสียหาย ทำหยาบไม่ได้ แต่อย่างโพธิรักษ์ ทำหยาบได้ ต้องการผล ไม่กลัวเสียรังวัด หยาบบ้าง ก็ต้องทำ ให้เหมาะกับ คนที่เกิดในยุคนี้ แต่ก็ต้อง ประมาณ หยาบเกินไม่ทำ เช่น พระโมคคัลลานะ ก็ยอมตาย ไม่ทำหยาบไปเอาชนะเขา แต่ถ้าหยาบ ก็ชนะเขาได้ แต่ท่านไม่ทำ สรุปแล้ว พุทธันดร คือช่วงที่ พระพุทธเจ้า ไม่อุบัติ มีแต่สาวก หรือไม่มีสาวก มีแต่อัญญเดียรถีย์ กับยุคที่ดีที่สุด ไม่เดือดร้อนมาก ไม่ต้องใช้ศาสนาพุทธ ศาสนาทั่วไป ก็ช่วยได้แล้ว ไม่ต้องถึงมือ อเทวนิยม

   www.asoke.info