_570516_พ่อครูที่เวทีผ่านฟ้าฯ เรื่อง ใจถึง ใจอดทน ใจฉลาด จะไม่พลาดชัยชนะ |
อาตมาเห็นว่า ชีวิตคนเราต้องมีธรรมะ ใครก็ตามเกิดมาแล้ว ถ้าใครไม่เอาธรรมะ ไม่พยายามพากเพียร ที่จะเอาธรรมะ ไปใส่ใจแต่เงินทอง ลาภยศ สรรเสริญสุข ไม่สนใจธรรมะ คนนั้น อาตมาตีทิ้งได้เลยว่า ชีวิตโมฆะ แปลว่า สูญเปล่า เกิดมาชาติหนึ่งๆ ไม่ใช่ว่า อาตมา คลั่งใคล้ธรรมะ
มนุษย์เกิดมา จิตวิญญาณนี่ เป็นคลังชีวิต เราได้ชีวิตมาแล้ว ตัวจิตวิญญาณนี่แหละ เป็นชีวิตแท้ และพาเรา ให้ทำกรรม จะรู้ตัวหรือไม่ เมื่อทำแล้ว ก็เป็นกรรม สั่งสมเป็นวิบากจิต สังเคราะห์ เป็นคลังของอัตตา ของใครก็ของใคร มีวิบากจิต เป็นของตนเอง จะเกิดมากี่ชาติ จะสั่งสม เป็นคลังชีวิต หรือวิบากจิต อะไรๆ ก็ไม่จริงเท่ากรรม วัตถุ ข้าวของ เงินทอง ก็ไม่ใช่ของเรา ตายแล้ว ก็ไม่รับรู้แล้ว มีแต่วิบากจิต มีแต่คลังชีวิต เป็นทุกข์สุข ก็เกิดจากเรา สั่งสมกรรม กรรมเป็นกำเนิด เผ่าพันธ์ ที่พึ่งอาศัย เราเป็นทายาท ต้องรับมรดก กรรมของเรา ที่ทำไว้ ไม่เอาไม่ได้ด้วย ทำแล้วบอกไม่เอา แบ่งเอาก็ไม่ได้ ทำในที่ลับหรือแจ้ง ทำโดยคนรู้ หรือไม่รู้ จะรู้ตัวหรือไม่ ทำด้วย กาย วาจา ใจ ก็สะสมหมด เป็นกรรม วิบาก หมดเลย ในคลังชีวิต
ไปแย่งโลกธรรม ก็เป็นกรรมไปแย่ง แล้วการแย่ง ดีหรือไม่ดี? ไม่ดี ก็รู้กันได้ง่าย ไม่ยาก ชีวิตหรือแต่ละอัตภาพ สิ่งที่ประเสริฐเลิศยอด คือกุศลกรรม หายใจเข้าออก ทุกเวลา ให้ระลึก สังวรไว้ว่า เราจะให้ความคิด เป็นกุศล ต้องฝึกอ่านความคิด การกระทำต่างๆ ก็เกิดจากจิต ฝึกอ่านจิต ให้ทุกเวลา อ่านให้เร็ว มันต่อเนื่องกัน ระหว่าง กาย วาจา ใจ ถ้าเราสามารถฝึกดีๆ มีสติตามรู้ว่า ตอนนี้ ต้นทางจิตเรา กำลังบงการ ด้วยอะไร เป็นตัวใคร่อยาก ประสงค์ ต้องการ แล้วต้องการอะไร ต้องการเห็นแก่ตัว แย่งชิงเขา หรือจะแก้แค้น มันคือ กุศลหรืออกุศล จะไปแย่งชิง สิ่งที่ไม่ใช่ของเรา มาเป็นของเรา ก็คือทุจริต
ต้องพิจารณาให้ชัดเลยว่า อะไรเป็นความถูก หรือผิด เป็นความดี หรือชั่ว นี่คือ รากฐาน ที่ฟังแล้ว เข้าใจแล้ว เอาไปฝึกตนให้ได้ ถ้าปฏิบัติได้ ก็จะบริบูรณ์ ได้ประโยชน์ ได้ธรรมะ
ธรรมะคือการทรงไว้ คือมันต้องมีอยู่ มีอยู่ที่ไหน ก็อยู่ที่จิต ที่อัตภาพ ของคุณ ซึ่งคือ คลังสมบัติ คือธาตุจิตวิญญาณ ตัวนี้ ทุกคน ตัวนี้คือเรา อัตตานี้คือ ตัวเรา ถ้าเรามีอะไร เป็นตัวเรา ตั้งแต่คลังชีวิต สะสมมา มหาศาล ไม่รู้กี่ชาติๆ เป็นคลังมหาศาล ไม่มีใครรู้ว่า เราตายเกิด มาแล้วกี่ชาติ สั่งสมกรรม มาอย่างไร รู้ไม่หมดหรอก แต่ถ้าศึกษาธรรม ฝึกฝนธรรมะ จะสามารถเข้าใจ ระลึกรู้ได้
เหมือนอย่างที่ อาตมายกตัวอย่าง พระพุทธเจ้า บ่อยๆว่า ทรงระลึกชาติ ใต้ต้นโพธิ์ แล้วรู้ได้ว่า เคยปฏิบัติบรรลุมา ไม่รู้กี่ชาต ิจนชาตินี้ จะต้องเป็น พระพุทธเจ้าได้
ถ้าคุณไม่เคยเกี่ยวข้องเลย จะระลึกไม่ได้ ถ้าจะระลึกได ้ก็ต้องเคยเกี่ยวข้องมา ไม่รู้ชาติไหน มาก่อน แล้วสั่งสมมา เป็นคลังชีวิต ของคุณ อย่างพวกคุณ ได้มาพบหน้า พบตาอาตมา ได้มาฟังธรรม ได้มาสำนึก รับซับซาบ แม้คนอยู่ที่นี่ เยอะแยะ แต่ไม่สนใจ ไม่ฟัง นอกจาก ไม่ฟังแล้ว ก็ไม่ซึมซับ คุณก็มา เหมือนไม่มา อยู่ใกล้ เหมือนไม่อยู่ใกล้ ไม่ได้อะไร แต่ถ้าคุณ ซับซาบเอา ก็ได้เข้าไป ในสัญญา ยิ่งได้มาตั้งใจฟัง มาใกล้ ได้เห็นองค์ประชุม กาย ได้ครบ หมดเลย ตากระทบรูป เห็นทุกอิริยาบท ทุกกิริยา เห็นธรรมราศี เหมือนรังสี สิ่งละเอียดบางเบา เป็นสภาวะ ละเอียด ออกไปอีก เยอะเลย พระพุทธเจ้าว่า ให้ฟังธรรมเข้าใกล้ เงี่ยโสตสดับ จะได้ยิ่งกว่า ห่างๆไกล สมัยนี่ ยิ่งมีเครื่องมือ ดูโทรทัศน์ได้ แต่ไม่เหมือนสดๆ ที่จะได้ครบ มากกว่า เกินกว่าจะบรรยาย มากกว่าจริงๆเลย ถ้าผู้ใด ใส่ใจธรรมะ ผู้นั้น มีความไม่เสื่อม
สิ่งอะไร ก็ไม่ใช่ทรัพย์ที่ควรได้ ควรมีควรเป็น ยิ่งกว่าธรรมะ สิ่งใด ก็ไม่ประเสริฐ เลิศเลอ เท่าธรรมะ ใครจะหาว่า คลั่งใคล้ธรรม ก็ไม่ว่า แต่อาตมาว่า แนะนำได้ถูกทุกคน เพราะฉะนั้น เอาให้ได้ โดยเฉพาะ โลกุตรธรรม ให้คนพ้นทุกข์ได้ ไม่หลงโลกธรรม
อย่างคนที่แย่งชิง ลาภ ยศ สรรเสริญ มีคนหนึ่ง ที่อาศัยลาภ ยศ สรรเสริฐ แย่งชิงอำนาจ มาได้แล้ว ก็เอามาบังคับ จ้างวาน ให้คนมาอยู่ในอำนาจ แล้วก็ไม่ปล่อยวาง อยู่ปัจจุบัน ก็เห็นๆอยู่ อำนาจนี้ ใหญ่มหาศาล อาตมาไม่แยแสเลย จิตอาตมา ไม่มีความอยากได้ อำนาจนี้เลย และ อาตมา เหยียดด้วย คนที่หลงอำนาจ แบบนี้ อะไรกัน ไปหลงใหลกันทำไม จิตใจ ไม่ได้ริสยาเลย เป็นความจริง ที่อาตมารู้สึก อำนาจใหญ่ขนาดนี้ อาตมายังไม่ยี่หระ ไม่เอา แล้วอำนาจน้อยกว่านี้ อาตมาจะไป อยากได้ทำไม?
อย่างผู้ชาย ที่ไม่มีจิตเป็นกระเทย พอเห็นผู้หญิง แต่งหน้าแต่งตา ทาลิปสติก คุณเห็นได้ ไม่ได้หลงใหล อยากไปทำอย่างเขา ดีไม่ดี ก็สงสารเขาว่า เขาไปเสียเวลา ไปหลงสุขอย่างนั้น ทำไม หรือผู้หญิง ที่ล้างตัวจิต ที่อยากสวยงามได้ แต่ก่อน อาจเคยริสยาเขา อยากสวยอย่างเขา แต่ตอนนี้ หลุดพ้นมาแล้ว ก็จะสงสารเขา ที่ติดยึดหลงใหล อยู่ในโลกเก่า แต่เราหลุดพ้นแล้ว จิตเราสะอาด สว่าง สงบ เอาแรงงาน ทุนรอน เวลา ไปทำประโยชน์ดีกว่า ไม่ต้องไปเสียเวลา ทุนรอน แรงงาน ไปกับเรื่องอย่างนั้น
สามอย่างนี้ เวลา ทุนรอน แรงงาน เราจะได้คืนมา ไม่ต้องไปแวบ คิดไปให้สูญเสียเลย ไม่ต้องเสีย แรงงานทางกาย ความคิด แวบหนึ่ง ก็ไม่ต้อง ไม่ต้องเสียเงินทอง ไปแลกมา ผ่านไปเลย แต่คนที่ติดยึด จะต้องลงทุน ลงแรง ใช้เวลากับ เรื่องที่ติดยึด มากมาย เราเอาสิ่ง สูญเสียนี้ คืนมาได้ คือ เวลา ทุนรอน แรงงาน
แล้วจะร่ำรวย เพราะได้คืนกลับมา เอามาใช้กับ สิ่งกุศล มีประโยชน์ นี่คือสัจจะ ที่มาปฏิบัติ ธรรมะพระพุทธเจ้าแล้ว จะมาเป็นคนเช่นนี้ ทุกวันนี้ อาตมาทิ้งชีวิต ให้คนอื่น เขาช่วยดูแล จะไปจะมา จะกินอยู่ ก็ไม่กังวล ให้เขาทำให้เรา เราทำงานให้สังคม ก็แล้วกัน เราก็กิน ถ่าย เดิน ทำธุระส่วนตัวเอง แต่ถ้าต่อไป อาตมาเดินไม่ไหว ก็ต้องให้คนช่วย หรือไม่ช่วย ก็นอนตายไปเลย เป็นชีวิตที่ ปรปฏิพัทธา เม ชีวิกา ชีวิตนี้ เนื่องด้วยผู้อื่น อาตมามีแล้ว ชีวิตเช่นนี้ ให้คนอื่นดูแลไว้
ผู้ใดเกิดมา ไม่ระลึก ไม่ปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าว่า จะมีความเสื่อม ๗ ประการ ของมนุษย์ เสื่อมคือ ธรรมะพร่องลง ธรรมะคือสิ่งทรงไว้ ไม่เพิ่ม แต่เสื่อม เอาอธรรมใส่เข้าไปๆ เช่น โลภเพิ่มขึ้น โกรธเพิ่มขึ้น พยาบาทเพิ่มขึ้น โมหะสับสนเพิ่มขึ้น นี่คือ กุศลจิต เป็นทรัพย์นะ แต่เป็นอธรรม เพราะฉะนั้น สิ่งควรได้ คือธรรมะสิ่งไม่ควรได้ คืออธรรม แต่คุณทำแล้วเป็นกรรม คุณต้องรับ อะไรเป็นศัตรูของจิตอยู่ เรียกว่า สรณะ
รณ คือสงคราม ส คือประกอบอยู่ ชีวิตใครมีอกุศลจิตอยู่ เราก็ต้องรบกับ อกุศลจิต เป็นข้าศึก แก่ตัวเอง แต่ถ้าคุณไม่รู้ ไม่รบ แต่ไปเข้าข้างข้าศึก ก็สะสมกิเลสใส่ตน เป็นความเสื่อมอธรรม ไม่ควรทรงไว้ แต่คุณโง่เอาไปสะสม ใส่ใว้เอง คุณมีแล้วโง่เอง ไปทำอะไรมันไม่ได้ คุณต้อง สะสมของใหม่ ของเก่า ก็อยู่ในวิบากจิต คุณต้องสะสม ทุกวินาที
ความเสื่อม ๗ ประการของชาวพุทธ
๑. ขาดการเยี่ยมเยียนภิกษุ (ภิกขุทัสสนัง หาเปติ)
๒. ละเลยการฟังธรรม (สัทธัมมัสสวนัง ปมัชชติ)
๓. ไม่ศึกษาในอธิศีล (อธิสีเล น สิกขติ)
๔. ไม่มากด้วยความเลื่อมใสในภิกษุ ทั้งที่เป็นเถระ ผู้ใหม่ และปานกลาง
๕. เพ่งโทษฟังธรรม (ธัมมัง สุณาติรันธคเวสี)
๖. แสวงบุญนอกเขตศาสนานี้ (พหิทธา ทักขิเณยยัง คเวสติ)
๗. ทำสักการะก่อน ในเขตบุญนอกศาสนานี้ (ตัตถะ จ ปุพพการัง กโรติ)
(พตปฎ. เล่ม ๒๓ ข้อ ๒๗)
จะต้องพบกับ ผู้รู้ธรรมะ อย่างพุทธ มีภิกษุ เป็นผู้สืบทอดศาสนา ผู้ใด ไม่มาพบภิกษุ เป็นความเสื่อม ข้อที่ ๑ ไม่ใส่ใจพบภิกษุเลย มีแต่คำนึง จะไปแสวงหา โลกธรรม มีแต่ไปหา ความเสื่อม
ยิ่งอรหันต์ตลอดนิรันดร ท่านจะไม่รับ ไม่ทำอกุศลจิตอีกเลย ไปตลอดนิรันดร ผู้ใด ไม่ถึงอรหันต์ ก็ต้องพยายามฝึก และควรเข้าใกล้ ฟังธรรมจากท่าน
แต่ถ้าไม่ไปพบภิกษุ ก็ไม่ได้ฟังธรรมจากท่าน หรือว่าพบ แต่ไม่ได้ฟังธรรม ไม่ใส่ใจ ก็เป็นความเสื่อม เช่นกัน เมื่อไปพบ ก็ต้องมีเจตนา ไปฟังธรรม เพื่อให้เข้าใจ หลักปฏิบัติ หรือศีล มาปฏิบัติ
แต่ถ้าไม่เจริญอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา คุณก็ไม่เพิ่มธรรมะ ให้แก่ตน ก็ไม่เจริญ คนไปฟังธรรม พบภิกษุ ก็จะได้เจริญในธรรม
เมื่อไม่เจริญในอธิศีล ก็ไม่เลื่อมใสในภิกษุ ไม่ว่าฐานะไหนๆก็ตาม เพราะอธิศีล - จิต - ปัญญา คุณไม่มี มีแต่อธรรม ก็ไม่เลื่อมใส อาจหยามเหยียดด้วย
อาจตั้งใจเพ่งโทสฟังธรรม จับผิดด้วย
แสวงหาเขตบุญ นอกศาสนาพุทธด้วย นี่เกือบสิ้นซาก ของศาสนาพุทธด้วย ไม่เอาแล้ว ไม่เลื่อมใส ศรัทธาด้วย ตั้งใจติเตียน เพ่งโทสด้วย แสวงหา เขตบุญอื่น ยกตัวอย่าง เหมือนผู้ชาย ที่มีภรรยา แล้วนอกใจ มีกิ๊กแล้ว หมดศรัทธา กับเมียคนนี้แล้ว แม้จะอยู่ด้วยกัน แต่จะไปเห็นดี เห็นงามกับกิ๊ก นี่คือ หมดสิ้นแล้ว ขาดกันสนิทแล้ว ถ้ามีพฤติกรรม จิตวิญญาณ เป็นอย่างนี้
แม้นับถือพุทธ แต่จิตคุณวิปลาส นับถือแบบอื่น คุณภาพสาระสัจจะอื่น คุณก็มีแต่ชื่อว่า เป็นพุทธ แต่จิตคุณ ไม่เป็นพุทธ ไม่สักการะ ไม่ไหว้แล้ว เหมือนคน ไม่เคารพธงชาติ ซึ่งเป็นสัญญลักษณ์ ของประเทศแล้ว ก็ไม่ได้เป็น คนชาตินี้แล้ว หรืออย่างที่เขายกย่อง สมมุติว่า นี่คือรูปปั้น รูปเขียน แทนพระพุทธเจ้า เราก็ต้องเคารพ หรือแม้แต่ พระบรมสาทิสลักษณ์ ของในหลวง เราก็เคารพบูชา จะเคารพอย่างไร ก็ตามควร เราก็ถือเป็น สัญญลักษณ์ คนมีปัญญาเข้าใจ ก็ไม่เป็นปัญหา แต่ถ้าใจออกห่าง แล้วก็ไม่เคารพ ทั้งตัวจริง และรูปแทน อยู่ด้วยกัน ก็เหมือน ไม่อยู่ด้วยกัน แม้ชื่อว่าคนไทย ก็ไม่เคารพชาติ ศาสน์ กษัตริย์ของไทย
แม้แต่มีใจที่จะออกจาก ระบอบประชาธิปไตย ที่มีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข คือจะเอา ประชาธิปไตยขาเดียว ที่มีปธน. ก็คือเอาใจออกห่าง คุณก็ควร จะออกจาก ประเทศไทยเสีย หากคุณพยายาม เปลี่ยนแปลง ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข คุณก็ต้อง ล้มล้างราชวงค์ ซึ่งเป็นงานใหญ่มาก คุณก็อยู่ในประเทศนี้ ยากแล้ว
ทุกราชวงค์ไม่ว่าราชวงค์ไหน ราชวงค์ต้องควบคุม ผู้ที่จะมาเป็น พระเจ้าแผ่นดิน หรือราชวงค์ ให้เป็นผู้ที่มี มารยาทดี เป็นคนดี ให้ทำงานให้ประชาชน อยู่เย็นเป็นสุข รวมทั้ง เชื้อพระวงค์ ด้วยต้องช่วยกัน เพื่อประโยชน์สุข ของคนในชาติ ต้องทำกันมา ยาวนาน สืบสันตติวงค์ มายาวนาน มีการสั่งสม จิตวิญญาณ ที่ทำเพื่อประชาชน มายาวนาน ต่างกับ ผู้ที่เวียนกันมา บริหารบ้านเมือง ชั่วคราว อย่างปธน. หมุนเวียนไป การสั่งสม จิตวิญญาณ ที่จะช่วยเหลือ บ้านเมือง ประชาชน จึงไม่มาก ไม่ยาวนานเท่ากับ ระบอบกษัตริย์
แบบคอมมิวนิสต์ ก็รักษาอำนาจกันแค่ ในคณะหนึ่ง แคบไม่กระจายเท่า ประชาธิปไตย ถ้าคณะนั้น เป็นผู้เสียสละ เป็นคนดี ก็จะดี แต่ถ้าไม่ดีก็แย่ แต่แบบประชาธิปไตยนี้ กระจายกว้าง กิเลสคน ก็กระจาย ได้คนดีมาทำงาน เพื่อบ้านเมือง จะเอาอรหันต์หมด ก็ไม่ได้แน่ เอาปะปนกันไป สรุปแล้ว จิตวิญญาณเป็นประธาน นี่สำคัญสุด ที่จะทรงธรรม เป็นพลังงาน ดีวิเศษแท้ จะทรงไว้ ช่วยเหลือมนุษยชาติ
แบบปธน.ขาเดียว เป็นประชาธิปไตย ไม่สมบูรณ์ คอมมิวนิสต์ ได้ฉายาว่า Materialism เพราะเอาแต่วัตถุ ไม่เข้าใจ จิตวิญญาณ ไม่เข้าใจกิเลส วิธีของคอมมิวนิสต์แคบ ไม่กระจายอำนาจ คนไม่รับได้นาน ตอนนี้ คอมมิวนิสต์ ล่มสลาย ไปมากแล้ว เพราะส่วนใหญ่ คนต้องการ อิสรเสรีภาพ แม้สัตว์ก็ต้องการ การใช้วิธี กดข่มไว้มากๆ จึงไปไม่รอด ส่วนประชาธิปไตย ที่ต้องการ กระจายอำนาจ แต่กลับหลอกลวง ด้วยวาทกรรม ครอบงำความคิด ให้คน ตกเป็นทาสไป
อาตมาว่า การต่อสู้ระหว่าง นปช. กับ กปปส. นี่ให้นปช. เขาทำไปเลย เขาจะต้องใช้อำนาจ ทั้งในรัฐบาล ใช้เงินจ้าง หรือใช้การชมเชิด อวยกันไป หรือบำเรอ ด้วยกามคุณ ก็บำเรอกันไป จะใช้โลกธรรม เลี้ยงคนเหล่านั้นไว้ ก็รักษาไป ประคองอำนาจ ของเขาไป ส่วนกปปส. จะเอาธรรมะ เข้าหาธรรม มักน้อยสันโดษ มีอดทน สามัคคี ไม่มากไปด้วย โลกธรรม ไม่มากด้วยกาม ด้วยอัตตา ก็อยู่ไปเถอะ อันนั้น จะหมดทุนก่อน แต่อันนี้ อยู่แบบคนจน ไม่ต้องมีทุนมาก ก็อยู่ได้ แต่ของเขา ต้องจ่ายอยู่ตลอดเวลา แล้วเขาก็ไม่ได้ฝึกฝน ในการไม่ติดยึด ในโลกธรรม เราฝึกมาทางลดละ แต่เขาฝึกมักใหญ่ หรูหรา สังเกตสิ เขาจะใช้ทุนรอน มากมาย เช่น พัดลมต้องใหญ่ ประดับประดา มากมาย มีการ์ด มีตำรวจยืนเลย เต๊ะแข็ง สั่งได้ เพราะจ่ายหมดเลย บังคับกันหมดเลย เหมือนธรรมกาย ทำเป็นรูประเบียบเลย สั่งด้วยอำนาจ ด้วยเงิน ไม่ใช้ตัวจิตวิญญาณ สมัครใจทำ ซึ่งจะหลากหลาย ไม่มีกรอบระเบียบ ซะทีเดียวหรอก มีน้ำใจช่วยกัน ไม่ได้บังคับ ไม่อยู่เวร ไม่ตีกรอบ แต่รู้หน้าที่ควรทำ สรุปแล้ว ทำอย่างนปช. ธรรมกาย จะดูใหญ่ หรูหรา ของเราก็ใหญ่ได้ เล็กได้ ในเวลาอันยาวนาน ธรรมะ ย่อมชนะอธรรม
ขอให้พวกเรา ใจถึง ใจอดทน ใจฉลาด เข้าใจรู้ความจริง เอาให้ถึงเถอะ ถ้าคุณมี ๓ อย่างนี้ ไม่มีวันแพ้ ไปได้เรื่อยๆเลย
เราไม่ได้มานั่งบังคับกัน มากมายอะไร ไม่แข็งเป๊ก อย่างประชาธิปไตยขาเดียว ต้องใช้กฎระเบียบ ลงโทษแรงมาก ส่วนของ ประชาธิปไตยสองขา มีอลุ่มอล่วยกัน อย่างในหลวงตรัส หลากหลาย มีชีวิตชีวา อบอุ่น ขัดแย้งกันพอเหมาะ เป็นสิ่งธรรมชาติ ที่เป็นที่มี แต่ประชาธิปไตยขาเดียว มันเกินธรรมชาติ อาจดีกว่า คอมมิวนิสต์หน่อย จะว่าไป ประชาธิปไตยก็คือ เผด็จการชนิดหนึ่ง เผด็จการด้วย กรอบกฎหมาย ถ้าเป็นประชาธิปไตยขาเดียว กรอบกฎหมาย จะแข็งมากเลย แต่ถ้าประชาธิปไตยสองขา จะยืดหยุ่นได้ อย่างอเมริกา กรอบแข็งมาก ใช้อำนาจ อาชญาบังคับ การบังคับกับมนุษย์นี่ ไปได้ไม่นาน
ตอนนี้จะเห็นว่า ประชาธิปไตยขาเดียว กำลังรุ่งเรือง ส่วนประชาธิปไตยสองขา ถูกริดรอน พระราชอำนาจ เยอะเลย เพราะไปหลงว่า พระเจ้าแผ่นดิน เป็นศักดินา ให้ประชาชนเป็นไพร่ เขาก็อยาก ให้เสมอภาค ยุคนี้กำลังเห่อ ประชาธิปไตยขาเดียว แต่ต่อไป จะเห็นความทุกข์ร้อน เบ่งอำนาจ เป็นประชาธิปไตย ที่ไม่สมบูรณ์เท่า ประชาธิปไตยสองขา ยิ่งเป็นประชาธิปไตย ที่เป็นโลกุตระ ยิ่งมีพระเจ้าแผ่นดิน และนายกฯ เป็นอาริยะ นี่ยิ่งดีมากเลย
ตอนนี้นปช. เขาต่อสู้ด้วย หลักกฎหมาย ไม่เอารัฐศาสตร์ เอาแต่นิติศาสตร์ ไม่เป็นธรรมชาติ รัฐศาสตร์นี่ เป็นธรรมชาติ ยิ่งกว่านิติศาสตร์ ต่อไปลัทธิ ประชาธิปไตยขาเดียว จะรุ่งเรือง ขนาดหนึ่ง แล้วสุดท้ายไม่นาน ก็เสื่อมลง เหมือนคอมมิวนิสต์ ประมาณ ๕๐๐ ปี ประชาธิปไตยสองขา ก็จะเจริญ คนมานิยมเพิ่มขึ้น
ประเทศไทย จะเป็นประเทศ ประชาธิปไตยสองขา แม่แบบของโลก นี่กระซิบนะ บอกให้ประเทศอื่นรู้นะ
ตอนนี้คนที่จะมีศักดิ์มีสิทธิ์ มากกว่ากัน ระหว่าง คุณสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย กับ คุณนิวัฒน์ธำรงค์ บุณทรงไพศาล ใครจะมีอำนาจเต็ม มากกว่ากัน อ.บรรเจิด สิงคเนติ เปรียบไว้ว่า นายกฯ เหมือนดาวฤกษ์ เมื่อดาวฤกษ์ดับไป ดาวเคราะห์ก็ดับแสงไปด้วย ซึ่งคุณนิวัฒน์ธำรงค์ เป็นดาวเคราะห์ ย่อมดับแสงไปแล้ว แต่คุณสุรชัย เป็นรองประธานสภาฯ เป็นเหมือนดาวฤกษ์ ที่มีแสงในตัวเอง ย่อมมีอำนาจมากกว่า แล้วใคร ควรได้เป็น ผู้ตัดสิน อาตมาก็ว่า คุณสุรชัย เป็นดาวฤกษ์ มากกว่า ตามสัจจะกว่า
นปช. เขาก็ครอบงำคนตื้นๆว่า มาตรา ๗ ใช้ไม่ได้ จะเอาแต่เลือกตั้งๆ เท่านั้น ซึ่งการเลือกตั้งนั้น ทำไม่ได้แล้ว เพราะไม่มีคนทูลเกล้าฯ พระราชกฤษฎีกา เลือกตั้งแล้ว ตอนนี้ ก็ควรมีเหลือแต่ คุณสุรชัย ทำได้เท่านั้น ถ้าไม่ทำ อำนาจก็ยังอยู่กับ ประชาชน แต่ตอนนี้ ไม่ให้ระคายเคือง เบื้องพระยุคลบาท ประชาชนต้องทำ ให้เรียบร้อย เรามาเปรียบเทียบ กันเลย ใครมากกว่า และดีกว่า แต่เขาเก่งนะ เขาว่าเขาเรียก ชุมนุมแล้ว มีขยะมากกว่า แสดงว่า ประชาชนเขา มีมากกว่า เขาหาว่าพวกเรา ชุมนุมนี่ มามากอย่างไร ทำไมขยะไม่มี
อาตมาว่า มนุษย์ขยะ จะว่าเอาขยะมาก ก็เอาเถอะ แต่พวกเรานี่ จะเป็นคนมักน้อย ไม่เลอะเทอะ รีบเก็บกวาด จัดการ เป็นมนุษย์อาริยะ เจริญแท้ ก็ไม่มีขยะสิ เป็นสิ่งที่ส่อสื่อ ชัดเจนเลย
ตอนนี้ยังไม่ชัด สำหรับผู้ที่มีปัญญารู้ว่า อะไรควรชนะ ความดีควรชนะ แต่ก็ยัง ไม่ออกมาช่วยกัน เช่น ทหาร มี Potential energy ถ้าออกมา แสดงตัวชัดๆ มาช่วย ไม่จำเป็น ต้องเอาอาวุธ มาข่มขู่ทำลาย เอาแต่พลังอำนาจแฝง ที่มีอยู่ในตนมาใช้ มาเป็นตัวบุคคล มาทำหน้าที่ รวมกับประชาชน
เป็นอำนาจ อันชอบธรรมดีงาม ไม่มีโลภ โกรธ หลง เข้าไปปน ไม่เห็นแก่ตัว แก่พรรคพวก บริสุทธิ์ เป็นอำนาจ Authority เป็น Supreme สุดยอด ทุกคนก็พยายามทำ ให้เป็นเช่นนี้
ที่เรามาฝึกฝนเรียนรู้ ทำนี่ เป็นการปฏิบัติจริง ไม่ใช่แค่นึกเอา ตรรกะเอา แต่มาทำจริง เป็นปรากฏการณ์จริง ไม่ใช่เรื่องลึกลับด้วย และไม่เป็นอำนาจ แค่ตรรกะ แต่เรามาทำ ทั้งใช้ปัญญา ใช้พฤติกรรม ให้ครบ ทั้งรูปและนาม
เรารู้ความเป็นไปของสังคม แล้วเราอยู่ในสังคม ช่วยสังคม กลุ่มไหน เราควรร่วมช่วย เป็นมวลรวม เป็นองค์ประชุม เป็นกาย ใครไปรวมหมู่ไหน ก็ไปรวมกัน มีสองอย่าง คือ
ธรรมกาย กับ อธรรมกาย
ใครแน่จะเป็นธรรมกาย หรือ อธรรมกาย
อาตมาเห็นชัด ว่าเราไม่ได้มีฉายา ธรรมกาย แต่เรามีเนื้อ เป็นธรรมกาย
ส่วนคนที่มี ฉายาว่า ธรรมกาย แต่ไม่ได้มีเนื้อหาเป็น ธรรมกาย แต่อย่างใด
สรุปลงไปว่า ขณะนี้ไทยเรา มีการสังเคราะห์กัน ระหว่างประชาธิปไตยแท้ กับ ประชาธิปไตยเทียม ต่างคนตู่ว่า ตนเป็นประชาธิปไตยจริง คือระหว่าง นปช. กับ กปปส.
ฝ่ายนปช. เคยมีอำนาจของ รัฐบาลาธิปไตย เขายังนึกว่า เขามีสส. อยู่มาก แต่ตอนนี้ ถูกปิด หมดแล้ว เพราะหัวหน้า เพื่อไทย ยุบสภาฯไป สส.ก็หมดไปด้วย หลายคนคงหลงว่า ตนเป็นสส. เป็นนายกฯ อยู่ทั้ง ครม.ก็ล่มไปหมด เขาก็ยังหลงว่า ตนมีอำนาจอยู่ ทั้งที่ขาดแล้ว คำว่า สุญญากาศ มันไม่มีหรอก หากอำนาจบริหาร ล้มไปแล้ว ก็เหลืออำนาจ นิติบัญญัติ และ ตุลาการ เหลืออยู่
อำนาจตุลาการ ได้ตัดสินว่า กปปส. ชุมนุมถูกต้อง ฝ่ายนปช. ก็ว่าฝ่ายตุลาการ ลำเอียง เข้าข้างกปปส. ก็ใช่ เพราะตุลาการ ต้องเข้าข้างคนดี อำนาจที่เหลือ เราก็ต้องเคารพ แต่เขาไม่เคารพ ใครขบถ ไม่เคารพ ก็แพ้แล้ว
สมมุติว่า อำนาจ ๓ อำนาจนี้ หยุดจบ ก็เหลือ อำนาจของในหลวง กับอำนาจของ ประชาชน ตามรธน. มาตรา ๓ อำนาจเป็นของ ปวงชนชาวไทย มีพระมหากษัตริย์ ทรงใช้อำนาจนี้ ผ่านสาม สถาบัน
ตอนนี้ต้องเป็น ราชประชาสมาสัยแล้ว ประชาชน เป็นเจ้าของอำนาจ จะมาจัดการ ให้เกิด ๓ อำนาจ นี้ใหม่ แล้วทูลเกล้าฯ สู่ในหลวง เป็นวิธีเดียว ตอนนี้ แต่ว่านปช. ก็ว่าไม่ให้ทำ แล้วอำนาจที่เหลือ ใหญ่กว่ารัฐบาล ที่รักษาการณ์ ก็คือ รัฐสภา ก็มีคุณสุรชัย อาตมาก็ว่า คุณสุรชัย มีอำนาจชัดเจน เหนือกว่า ควรเป็นผู้รับสนอง พระบรมราชโองการ ถ้าทางตุลาการ สภา บริหารไปแล้ว ก็ยังเหลือประชาชน ต้องทูลเกล้าฯเอง ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจรัฐ ประเทศ ที่แท้จริง ก็เหลือเท่านี้ ตอนนี้ก็รออยู่ เพราะยังไม่เคยมีประเพณี อาตมาก็เคยว่าแล้ว ถ้าอำนาจทหาร ใช้อาวุธรัฐประหาร ก็ยังทำได้เลย ทูลเกล้าฯ ได้ ก็ผ่านมา ไม่รู้กี่ครั้ง ต่อกี่ครั้ง แล้วเป็นอำนาจ ไม่ชอบธรรม ไม่เป็นประชาธิปไตยด้วย คุณยังรับกันได้ แต่อำนาจประชาชน ที่ดีอย่างนี้ ทำไม ไม่ให้ประชาชน ทำให้สำเร็จ ให้ประชาชน ทูลเกล้าฯได้
ประเทศไทย ณ ลมหายใจเฮือกนี้ ต้องทำเช่นนี้แหละ เมื่อคืนวาน ก็ตายไปแล้วอีก ๓ ศพ อยู่ใน ICU อีกหลายคน จะให้ตายอีกกี่ศพ ก็ควรต้องมาช่วยกัน ทำให้สำเร็จ เราไม่ได้ทำผิด รธน.เลย มาสร้างอำนาจ อธิปไตยนี้ด้วยกัน เชิญๆๆๆ ประชาชนคนไทย ตอนนี้ เราต้องการ มวลประชาชน ต้องการน้ำใจ ความกล้า อดทน เหน็ดเหนื่อย ที่จะมาโถมช่วยกัน ร่วมกันคิดทำ ให้เกิดฤทธิ์แรง พุ่งสู่เป้าหมาย ธงไชย อันสวยงาม วิเศษ วิสุทธิ์ วิสิฏฐ์ วันสองวันนี้ เคี่ยวข้นมาแล้ว รอฟังสัญญาณ แล้วจงใช้ นกหวีดและส้นตีน ของท่าน ออกมาทำงาน ให้สำเร็จ เตรียมให้แข็งแรง ถ้าได้สัญญาณ จงมาพร้อม นกวีดและส้นตีน ของท่าน ให้พรักพร้อมเต็มที่ ทั้งมวลปริมาณ และคุณภาพ เพื่อให้ทำงาน ให้สำเร็จลุล่วง