คาถาธรรม ๓
ลดละ ขยัน กล้าจน ฯ พวกเราผู้ที่ได้มา ลดละ ขยัน กล้าจน ทนเสียดสี หนีสะสม นิยมสร้างสรร ซึ่งได้กระทำกันมา พยายามที่สุดที่จะให้ครบถ้วน การเลิกละเรารู้อยู่ และการขยันเราก็กระทำกันโดยเพียร โดยพยายามกันอยู่ ที่จะเป็นคนที่เลิกขี้เกียจให้ได้ อ่านจิต อ่านทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เราเอง เราสามารถจะอ่านตนเองได้ พยายามลดละจุดที่มันไม่ดี จุดที่มันบกพร่อง และเราก็จะพยายามกระทำ แม้จนกระทั่ง ในสภาพกล้าจน ซึ่งเป็นสภาพที่เดินทางไปสู่ จุดพิสูจน์ถึงความเป็นมนุษย์ ผู้อยู่ได้ในโลกนี้ การอยู่ได้อย่างร่ำรวย ไม่มีใครสงสัย แต่การอยู่ได้อย่างคนจน จนตลอดชีวิต เป็นผู้ที่ไม่สะสม ทนเสียดสีแก่คนที่เขาว่าเขากล่าว ซึ่งไม่เหมือนกับคนทั่วไปในโลก ที่เขามีค่านิยม เพราะฉะนั้น เราไม่ได้เป็นคนเหมือนเขา ค่านิยมของเราเป็นคนสร้างสรร แต่ว่าเราก็จะเป็นคนจน เป็นคนให้ เป็นคนไม่เอาเปรียบ เป็นคนที่มอซอ แต่เป็นคนขยันสร้างสรร สภาพทั้งมวลนี้ จะต้องทำความเข้าใจให้จริง และปรับตนเองอย่างจริง อยู่ได้อย่างที่มีความจริงต่างๆ ที่เราได้พยายามบอกกันไว้นี้ และเป็นผู้ที่ยินดีพอใจ เห็นความจริงได้ว่า เรามีความลดละ กิเลสเบาบาง จิตของเราสะอาดขึ้น เราสว่างจริง ชัดเจนจริง และความสงบอันที่แสวงหากัน เราก็ปรากฏได้ เราปรับตัวเราเองอยู่กับสังคม เกิดความสุภาพ เข้ากันได้ สมานกันได้ เรียบร้อยในความเป็นอยู่ เรามีสมรรถนะ สามารถสร้างสรร สามารถที่จะอยู่อย่าง คนมีคุณค่าประโยชน์ และเราเป็นผู้ก่อความสามัคคี อยู่ในโลก ๒๑ มกราคม ๒๕๒๗
๗ ก้าวสู่ความเป็นพุทธะ ผู้มีสติ รู้ตัวทั่วพร้อมอยู่เสมอ รู้กายซึ่งเป็นกายกรรม ที่เราจะกระทำออกไป รู้วาจาที่เรากำลังพูด พิจารณา มีธัมมวิจัย พยายามระมัดระวังให้สำคัญ เราได้ปรับกายกรรม ปรับวจีกรรม จริงๆอยู่เสมอ นั่นแหละคือ เรากำลังหัดมีอำนาจทางจิต และมีปัญญา เราธัมมวิจัยอยู่ตราบใด พยายามรู้ความจริงตามความเป็นจริงว่า กายกรรมเช่นนี้ยังไม่งาม ยังไม่เป็นกุศลที่ดีพร้อม เราก็ปรับเสีย วิจัยให้รู้ว่าอย่างไรจะดีกว่า แล้วเราก็ทำให้ดีขึ้น อยู่เสมอๆๆ นั่นคือ การกระทำสติปัฏฐาน ๔ การกระทำโดยแท้จริง ได้ฝึกใจด้วย แม้เราจะปรับกาย ปรับวจีนั่นเอง เราได้มีปัญญา และเราก็ได้สร้างกำลังใจ เพราะการปรับในขณะที่เรามีผัสสะ มีการเป็นอยู่ประจำวัน เรารู้ตัวทั่วพร้อม แล้วก็รู้กายรู้วจีของเราอยู่เสมอจริงๆ ธัมมวิจัยจริงๆ วิริยะพากเพียรให้รู้ แล้วเราก็ปรับไปจริงๆ ให้ดีขี้นๆ อยู่เสมอๆๆ อย่าเหนื่อยหน่าย มีวิริยะอุตสาหะจริงๆ นั่นคือเราได้เดินโพชฌงค์ ๓ เมื่อมันมีผลดี ก็เป็นโพชฌงค์ ๔ เมื่อมีการกระทำได้โดยง่ายขึ้น ไม่ฝืดไม่ฝืน คล่องแคล่วขึ้นเรื่อยๆ ก็มีโพชฌงค์ ๕ ทำได้อย่างแข็งแรงมั่นคง ก็มีโพชฌงค์ ๖ ทำได้อย่างดีวิเศษ ก็เป็นโพชฌงค์ ๗ นี้คือ ทางก้าวสู่นิพพาน โดยหลักของโพชฌงค์ ๗ ที่ ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าอุบัติ โพชฌงค์ ๗ ก็ไม่เกิด เพราะมีพระพุทธเจ้าอุบัติ โพชฌงค์ ๗ หรือการเดิน ๗ ก้าว สู่ความเป็นพุทธะจึงเกิด ๒๒ มกราคม ๒๕๒๗
หลักในการปฏิบัติธรรม ผู้มีหลักในการปฏิบัติ คือ มีสติอยู่ รู้ตัว การมีสติ ได้เตือนเสมอ ว่าการรู้ตัวนั้น เรารู้ตัวอยู่ ๒ แง่ รู้ตัวเป็นไปตามโลกย์ นั่นเรียกว่าโมหะ คือรู้เหมือนกันว่า ไอ้นี่อร่อย แล้วก็พยายามเสพย์ความอร่อย ตามอำนาจของกิเลส เราก็รู้ ไม่อร่อยเราก็ยังรู้ และเราก็ไม่ชอบด้วย แล้วเราก็จะเอาตามใจที่อร่อย ดังนี้ เป็นต้น นั่นเหมือนกับเรามีสติ เรารู้อะไรทุกอย่างเหมือนกัน แต่ว่า ไม่ใช่รู้ตัวทั่วพร้อม มีธัมมวิจัย มีวิริยะ มีความเป็นนักปฏิบัติธรรม ถ้าผู้ใดมีความเป็นนักปฏิบัติธรรมแล้ว จะมีสติ รู้ตัวทั่วพร้อม และมีธัมมวิจัย อย่างพากเพียรที่จะแบ่งกุศล-อกุศล แยกกุศล-อกุศลออกจริงๆ วิจัยวิจารณ์อยู่เสมอ แล้วก็พยายามวิริยะอุตสาหะ ที่จะละจากอกุศล มีให้เราได้กระทำ มีให้เราได้ประพฤติ สู่กุศลที่ดีขึ้นๆ ยิ่งๆขึ้น เสมอๆ ดังนั้น การมีสติ จึงจะต้องมีธัมมวิจัย มีวิริยะ จึงเรียกว่า เป็นสติสัมโพชฌงค์ และมีธัมมวิจัยเป็นตัวตาม มีวิริยะเป็นตัวเพียร ที่จะต้องกำหนดรอบเป็นวงจักร ที่ทำงาน ปฏิบัติเป็นเดินอยู่ๆ เรียกว่าโพชฌงค์ เราจึงจะก้าวไปสู่ความดี เมื่อได้ความดี ละล้างได้ ลดได้ ก็เดินไปสู่ความสงบ ซึ่งเรียกว่า ปีติสัมโพชฌงค์ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ เมื่อเราทำได้ตามที่เรามีหลัก มีศีล มีกรรมฐาน อันเป็นของตนๆ เราก็จะได้ปฏิบัติสะสมภูมิธรรมขึ้นไปเรื่อยๆ ตั้งมั่นเรียกว่าสมาธิ ทำได้ยิ่งขึ้นๆแข็งแรง จนมีกำลังตั้งมั่น เรียกว่าสมาธิ และที่สุดก็บริสุทธิ์บริบูรณ์ หรือดีเป็นเยี่ยม จึงเรียกว่าอุเบกขา ผู้ที่ได้ใส่ใจ เข้าใจตนเอง มีองค์แห่งการตรัสรู้ หรือองค์แห่งการเดิน ก้าวสู่ความเป็นพุทธะ ๗ ก้าว ๗ หลัก ด้วยประการฉะนี้ ผู้นั้นชื่อว่า มีหลักในการปฏิบัติธรรม เมื่อขยายออกอย่างกว้าง ก็จะเป็นโพธิปักขิยธรรม ๓๗ นี้คือหลักปฏิบัติ หรือทางก้าวเดิน หรือมรรคแท้ๆ เต็มองค์ของศาสนาพุทธ ๒๓ มกราคม ๒๕๒๗
การติเตียน คือการขัดเกลา คำว่า การมีมิตรดี สหายดี ผู้สนับสนุนดีนั้น เป็นหลักการที่เป็นการปฏิบัติ เพื่อสู่ความตรัสรู้ คือเป็นสัมโพธิอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้น เราควรจะได้ระลึก ได้เห็นความสำคัญ ของการมีหมู่มวล ที่เป็นมิตรห้อมล้อม เป็นผู้ที่ช่วยเหลือเฟือฟายกัน เป็นตัวอย่างแก่กันและกัน และเป็นตัวงาน ที่ช่วยกันขัดเกลาแก่กันและกัน จิตของคนที่มีมานะอัตตานั้น จะรู้สึกว่าตัวเอง ได้รับประโยชน์จากผู้อื่นเมื่อขัดเกลานั้น, น้อย จนกว่าเราจะได้ฝึกหัด เล่าเรียน ศึกษาอบรม ปลดปล่อย วางตัวตน วางอัตตามานะลงเรื่อยๆ และเห็นจริงจากประโยชน์ ที่เพื่อนฝูงช่วยขัดเกลา ช่วยติงเตือน นำพา โดยเฉพาะติงเตือน หรือว่าติเตียน ท้วง โต้ต้าน ห้าม ในสิ่งที่เราชอบ ในสิ่งที่เราถนัด และเราจะเคยตัวทำอยู่เสมอ นั่นเป็นการขัดเกลา เป็นการช่วยเหลือเฟือฟายกันโดยธรรม อยู่ในความหมายว่า เรามีมิตรดี เพื่อนดี ผู้สนับสนุนดี หรือช่วยกันขัดเกลา ช่วยกันส่งเสริมให้ดี เพราะผู้ที่เรียนด้วยกัน จะ รู้ว่าสิ่งใดดี ไม่ดี ผู้ที่ศึกษาร่วมกันจะเข้าใจว่า เราควรติควรติงกัน แม้จะด้วยความไม่ชอบใจ ที่ผู้นั้นผู้นี้ทำไม่ดี ในขณะที่ได้ติเตียนผู้อื่น ก็ติเตียนด้วยความไม่ชอบใจ ก็ตาม ที่ไม่ชอบใจเพราะเห็นว่า มันเป็นความไม่ดี แต่แม้จะติเตียนด้วยความไม่ชอบใจ ก็ยังเป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้น ผู้ที่ได้รับการติเตียน จึงควรรู้ตัวเข้าใจอยู่เสมอๆ ว่าผู้ติเตียนเรานั้น เรากำลังได้รับขุมทรัพย์ เมื่อผู้ใดได้รับการติเตียน ก็จะต้องพยายามตั้งรับอย่างมีสติ และพยายามตั้งใจลดมานะและอัตตา แม้จะด้วยเจตนาไม่ดีก็ตาม เราจะไม่ขาดทุนเลยสักทางเดียว นี้เป็นประโยชน์อันยิ่งใหญ่ ของการมีมิตรมีมวล มิตรดี สหายดี ผู้สนับสนุนดี เมื่ออยู่รวมกันร่วมกัน จะขัดเกลากันโดยธรรมชาติ ที่หาไม่ได้จากที่อื่นใดๆเลย ๓๐ มกราคม ๒๕๒๗
เรียนรู้ชีวิต จิตวิญญาณ ผู้เรียนรู้ชีวะ ภูตะ ปาณะ เรียนรู้ชีวิต เรียนรู้จิตวิญญาณ เรียนรู้ความลึกซึ้งของเยื่อใย ของจิตวิญญาณ และเราก็จะเข้าใจความจริง จะเป็นผู้เห็นชัดเจนว่า สัตวโลกเกิดมา มีกิเลสเป็นตัวบงการ เมื่อเข้าใจกิเลสแล้ว ก็จะเห็นใจสัตว์ที่ยังมีกิเลส ผู้ปฏิบัติศีลข้อ ๑ จะเป็นผู้ที่รู้จักตัวตน จะรู้จักมานะ แล้วที่สุดก็จะลดละตัวตน ลดละมานะ เป็นผู้เอื้อเอ็นดู เป็นผู้ปรารถนาดีต่อสรรพสัตว์ ผู้ที่ปฏิบัติศีลข้อ ๑ เป็นอธิศีลได้อย่างดียิ่งๆขึ้น จะเป็นคนที่เห็นใจผู้อื่น เห็นแก่ชีวิต เห็นแก่วิญญาณผู้อื่น เพราะมีความลึกซึ้งในปาณะ และเยื่อใยของชีวิต ละเอียดแยบคายถ่องแท้ เข้าใจความละเอียดของจิตและกิเลส เข้าใจตัวกิเลส ที่มันอาศัยจิตบงการชีวิตมนุษย์ ชีวิตสัตวโลก ทั้งที่เป็นสัตว์นรก และสูงขึ้นมาเป็นเทวดา ที่หลงตัวหลงตน หลงยิ่งหลงใหญ่ ตั้งแต่ชั้นเทวดาธรรมดา จนถึงชั้นพรหม จนถึงชั้นอรูปพรหม จะเข้าใจความจริง ในความหมายเหล่านี้ อย่างแท้จริง ผู้ที่เป็นพรหม มีมานะใหญ่ นี้ยังหลงตัวหลงตน ผู้ถอดถอนละล้างความมีมานะใหญ่ได้ ก็จะเห็นว่านั่นคือกิเลส ที่มันไม่ได้ทำให้ตัวผู้มีกิเลสนั้น ดีแต่อย่างใด เมื่อถอดถอนตัว รู้ชัดรู้เจนได้ จึงจะเข้าใจว่า ชีวิตผู้อื่นที่มีมานะ ที่มีความยึดตัวยึดตน ยึดดีก็ตาม ก็เพราะตัวยังตกเป็นทาสของกิเลสตัวนั้น ผู้ที่ละล้างออกได้แล้ว เมื่อปรับตนไม่ให้มีกิเลสซ้อน ในตัวถือดีที่เป็นอติมานะได้จริง จึงจะเป็นผู้ที่เห็นใจเขา เพราะเขายังไม่รู้ อำนาจของกิเลสตัวนั้น เขายังอยากเป็นทาส เหมือนเด็กๆที่ยังไม่รู้ ยังไม่เดียงสา น่าสงสาร น่าช่วยเหลือ น่าเอ็นดู ที่เราจะอุ้มชู พยายามช่วยเขาให้รู้ ได้ช่วยเขาให้ละ ปานฉะนั้น เพราะเหตุนี้เอง ผู้ที่ยังไม่รู้กิเลสสิ้นเกลี้ยง จนถึงขั้นมานะดังกล่าวนี้ จึงยังมีตัวตน จึงยังมีความแรง จึงยังมีความไม่เกื้อกูล หรือไม่ช่วยเหลือ ไม่สามารถที่จะโอบอุ้มกอบกู้ ทำให้ผู้อื่นมีชีวิตจิตวิญญาณ อันสะอาดบริสุทธิ์ได้ ผู้ที่มีจริงเป็นจริงในสิ่งใด ก็จะทำสิ่งนั้นอยู่อย่างนั้น ผู้ที่สะอาดบริสุทธิ์จริง ในจิตวิญญาณจริง ก็จะช่วยคนให้หมดกิเลส มีจิตวิญญาณสะอาดจริง ได้เช่นนั้นบ้าง ขอให้ทุกคน ตรวจจิตตรวจใจตนเอง ตัวมานะนี้เป็นตัวร้ายตัวแรง ตัวยืนนานมาก แม้แต่ศาสนาหลายศาสนา ถอดถอนมานะอันยิ่งใหญ่นี้ออกไม่ได้ ยกเว้นศาสนาพุทธ ที่มีความรู้รอบ ในจิตวิญญาณอันถ้วนถึง จึงสามารถทำให้เกิดสุญญภาพ เป็นอนัตตาธรรมได้ แต่เพียงศาสนาที่มีทฤษฎีของมรรคองค์ ๘ หรือ โพธิปักขิยธรรม ๓๗ แต่เพียงศาสนาเดียว ๓๑ มกราคม ๒๕๒๗
ทำตนให้เบิกบาน แจ่มใส สดชื่น ทำตนให้เบิกบานแจ่มใสสดชื่น ในการอ่าน การรู้จิตใจจริงๆ ชีวิตจะได้กำไรก่อนอื่น ความหม่นหมอง ความไม่ชอบใจ ความขัดเคือง เราต้องขจัดออกอย่างไม่มีข้อแม้ เมื่อเรามีความแจ่มใส เบิกบาน สดชื่นอยู่ และเราก็มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมทุกขณะ ต่อสัมผัส หรือต่อการเป็นอยู่ของจิตวิญญาณ เราอย่าห่างใจอย่าห่างจิต อย่าเผลอใจอย่าเผลอจิต ทำความเข้าใจให้ตนเองอยู่เสมอว่า เรามีสติสัมโพชฌงค์ เรามีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ เรามีวิริยสัมโพชฌงค์นั้น คืออย่างไร เคยย้ำให้ฟังเสมอ ว่ามีสติรู้ ไม่ใช่สักแต่ว่ารู้ แล้วก็ระเริงไปตามอารมณ์กิเลส ถ้ามีสติสัมโพชฌงค์นั้น จะเป็นการรู้ ระลึกรู้ตัวอยู่เสมอต่ออิริยาบถ ต่ออารมณ์จิต ต่อกายกรรมวจีกรรม และเราก็รู้ต่อผัสสะ และจะมีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์เข้าควบ เข้าผสมอยู่เสมอๆ ด้วยความเพียรให้เป็น ด้วยความพยายามให้เป็น ให้รู้ และให้วิจัยอยู่เสมอๆ แยกกุศลอกุศลให้ออก ต่อสภาพกระทบสัมผัสสัมพันธ์อยู่นั้นๆ เมื่อวิจัยออก และเลือกเฟ้นออกแล้ว เราก็เลือกกระทำตามความสามารถ ตามศีล ตามกรรมฐาน ที่เราได้สมาทานแก่ตนๆ เมื่อทำได้ดี ลดละลงไปได้สงบ ปีติสัมโพชฌงค์ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ย่อมเกิดย่อมได้ตามจริงเป็นจริง ที่เราได้พากเพียรปฏิบัติตนอยู่เสมอๆ และเราก็จะถึงสมาธิสัมโพชฌงค์ เกิดความตั้งมั่นยั่งยืน คงทนขึ้นได้เรื่อยๆ ในศีล ในจิต ในปัญญา ที่เราสามารถเจริญพัฒนาขึ้นไปได้ จนถึงอุเบกขาฐาน หรือเป็นอุเบกขาสัมโพชฌงค์ ตามคุณธรรมองค์ธรรม ที่เราได้ศึกษามาแล้ว การก้าวเดินเช่นนี้ๆ ทวนอยู่เสมอ ย้ำอยู่เสมอ และเราต้องมีจริงเป็นจริง ผู้ไม่รู้จักโพชฌงค์ ๗ ไม่รู้จักโพธิปักขิยธรรม ๓๗ อยู่ในตน โดยการปฏิบัติให้เต็มครบให้ได้ เมื่อเราไล่เอารายละเอียด ผู้ที่ทำขาดทำตกทำหล่น ก็ย่อมช้า ก็ย่อมไม่ได้ผล ผู้ที่ทำได้ครบ ได้เต็มที่เสมอ โดยคล่องแคล่วขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่เคร่งเครียด แต่ทำอย่างเคร่งครัด เราก็จะทำได้อย่างแคล่วคล่อง และเจริญไพบูลย์ เดินทางไปได้มากและเร็ว วันหนึ่ง เราก็ก้าวถึงจุดหมายปลายทางนั้นได้ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๗
ผู้ที่เข้าใจและเห็นจริง ผู้ที่เข้าใจและเห็นจริงในชีวิตที่ดำเนินไปอยู่ อย่างได้ฝึกฝนแล้ว จะเห็นชัดเจนว่า ชีวิตนั้นจะต้องมีสติ มีธัมมวิจัย มีวิริยะอย่างมั่นคง จึงจะมีผลในการปฏิบัติประพฤติ หรือดำเนินไปอย่างมีกำไร ผู้ที่ยังไม่เคยฝึกตน หรือยังไม่ได้เรียนรู้ธรรมะเลย ก็จะอยู่อย่างหลง เป็นไปกับโลกีย์ มีความตื่นเหมือนกัน มีสติเหมือนกัน แต่ก็เป็นไปกับโลกที่พาเป็น สังคมที่พาเป็น ซึ่งเราเรียกว่าหลงไปตามโลก จะไม่รู้จักกำไรที่แท้จริง จะไม่รู้ขาดทุนที่แท้จริง จะเห็นกำไรอย่างโลกๆ และจะเห็นว่าขาดทุนอย่างโลกๆ ซึ่งเป็นการสั่งสมความเห็นแก่ตัว สั่งสมความโลภ สั่งสมความโกรธ ไปอย่างไม่รู้แล้วไม่รู้จบ เห็นแก่ตัว มีอัตตาหนักหน้า ยิ่งมีมานทิฏฐิ ถือดีถือตัว ยิ่งอายุมาก ยิ่งมีความสามารถ ยิ่งมียศศักดิ์ ยิ่งมีเงินทองมาก ในขณะที่อายุมากแล้ว จึงเป็นผู้ที่ถือตัว ยิ่งสร้างสมกิเลสให้แก่ตนมากยิ่งขึ้น เป็นชีวิตที่น่ากลัว เป็นชีวิตที่ขาดทุนมหาศาล เมื่อเรามาศึกษาธรรมะแล้ว เราจะเห็นโทษภัยอันนี้ได้เด่นชัด ว่าเราเป็นผู้ที่จะต้องสังวรระวัง เรายิ่งอายุมาก ยิ่งมีคุณความดีมากขึ้นเท่าใด อันเป็นสัจธรรมที่แท้จริง เรายิ่งจะเป็นผู้ที่(อ่อน)น้อมถ่อมตน ยิ่งจะเกรงใจโลก ยิ่งจะเกรงใจมิตรสหาย ว่าเราจะต้องเป็นผู้ที่มีคุณค่า มีประโยชน์ เมื่ออายุมากขึ้น คุณค่าและประโยชน์ของเรา ที่จะสร้างสรรให้แก่โลก ยิ่งจะน้อยลง เรายิ่งจะเกรงใจ ผู้ที่จะต้องช่วยเหลือเกื้อกูลเรามากขึ้น เพราะเรารู้กำไรและขาดทุน ที่ถูกต้องยิ่งขึ้น การฝึกตน มีสติสัมโพชฌงค์ มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ มีวิริยสัมโพชฌงค์ จะสั่งสมให้เราเกิดดี ปีติสัมโพชฌงค์เกิดสงบ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์สามารถตั้งมั่น แข็งแรงและยิ่งขึ้น สมาธิสัมโพชฌงค์ ขึ้นไปสู่จุดสูงสุด เป็นฐานอาศัย เรียกว่า "อุเบกขาสัมโพชฌงค์" ถ้าเป็นจริงแล้ว ถ้าได้จริงแล้ว ผู้นั้นจะเป็นผู้ที่น่าเอ็นดู น่านับถือบูชายิ่งๆขึ้น ยิ่งแก่ยิ่งมีเวลาฝึกตนอย่างถูกทางยิ่งขึ้น อายุมากยิ่งขึ้น จึงยิ่งจะเป็นผู้ที่ละตัวละตนยิ่งขึ้น จึงเป็นผู้ที่น่านับถือบูชา คนแก่ที่มีธรรมะ จะเป็นผู้ที่ได้รับการเคารพบูชา แม้จะมีเรี่ยวแรง ทำงานให้แก่สังคมได้น้อยก็ตาม แต่จะเป็นผู้ที่ได้รับความเคารพนับถือบูชา ด้วยประการฉะนี้ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๗
พากเพียรให้สู่ดี บัดนั้นปัจจุบันนั้น เรากำลังอยู่ในอาการ อยู่ในอารมณ์ดีหรือชั่ว เมื่อเรารู้ว่า เราอยู่ในอารมณ์ที่ชั่วหรือไม่ดี เราก็จะปรับเปลี่ยน เริ่มริ ดำริ ตั้งแต่ดำริมาทีเดียว เริ่ม ริเริ่มมาทีเดียวให้สู่ดี ตั้งใจให้สู่ดี พากเพียรให้สู่ดี พยายามบากบั่นอุตสาหะ ตั้งให้จริงๆ ให้สู่ดีจริงๆ เราจึงจะดำเนินสภาพขึ้น เจริญขึ้น นี่เป็นจุดสำคัญที่สุด ที่เราจะแก้ไข ความสู่ถีนมิทธะ หรือความไม่กระปรี้กระเปร่า ไม่ร่าเริงเบิกบาน ไม่แคล่วคล่อง จะกลายเป็นความหรี่ความหลบ เป็นความซึมความเซื่อง ซึ่งเป็นสภาพตรงกันข้ามกับพุทธะ ที่ชื่อว่า รู้ ตื่น เบิกบาน แจ่มใส หากเราไม่แก้ และเราไม่สังวรระวัง ไม่สำเหนียก กระทำให้แก่ตนสม่ำเสมอ เราก็จะกลายเป็นผู้ที่ ตกไปในสภาพหลีกหลบลี้ หรือซึมเซื่อง จะกลายเป็นคนมีถีนมิทธะใหญ่ และแก้ยาก ยิ่งอยู่ในหมู่กลุ่มที่เป็นศิษย์ตถาคต เป็นหมู่กลุ่มที่มีปฏิปทา อย่างพุทธศาสนาแท้แล้ว มันยิ่งจะค้านแย้งกัน นับวัน ยิ่งจะรู้สึกปลีกแยก รู้สึกแตกต่าง และไม่ลงรอยกัน เพราะฉะนั้น ต้องสังวรให้ดี ฝึกหัด กระทำอาการ ที่จะแก้สภาพนี้ ตามที่พระพุทธเจ้าท่านให้สูตร ว่าเราต้องริเริ่ม เราจะต้องพากเพียรพยายาม แล้วเราจะต้องบากบั่น ดังที่กล่าวแล้วเสมอ เพื่อเข้าสู่ความเป็นพุทธะ เจริญยิ่งๆๆๆ ขึ้นไป ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๗
อินทรีย์พละ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ ซึ่งหมายถึงความเกิด ความเป็นจริงของผู้ปฏิบัติธรรมแท้ๆ เรียกว่า ภูมิธรรม มีศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา ซึ่งเป็นเนื้อหาสาระของการอบรม เมื่ออบรมได้ เราจึงจะเกิด เราจึงจะเป็น เราจึงจะมีที่แท้ ศรัทธานั้นเป็นความเชื่อ เชื่อถือ เชื่อมั่น เมื่อเราปฏิบัติ เริ่มแรกเราจะเชื่อถือ เมื่อเราได้เชื่อถือแล้ว เราก็ได้บำเพ็ญเพียร ตั้งใจอบรมตน เราจะมีวิริยะ วิริยะใส่ใจพากเพียร ถ้าความเพียรผู้ใดดี ความเชื่อถือนั้นก็ยังดี เราก็จะเพิ่มสติ ตัวสตินี้เป็นตัวที่จริง เคยย้ำให้ฟังเสมอว่า สติของปุถุชนนั้น มันเป็นสติเมา ส่วนสติของพระอริยะนั้น เป็นสติตื่น เป็นสติรู้อริยสัจ รู้กุศลและอกุศล มีธัมมวิจัยประกอบอยู่ทุกเมื่อ มีวิริยะอยู่ก็คือ พยายามกระทำตามที่เราวิจัย รู้ดีและชั่ว และพยายามมีวิริยะ ให้ตนสู่กุศลเสมอๆ สติจึงจะเป็นตัวนำพา ให้เราเกิดอินทรีย์เกิดพละ สั่งสมขึ้น อินทรีย์คือ เริ่มมีอำนาจ เริ่มมีฤทธิ์ พละ คือสภาพกำลังที่มีจริง โดยไม่ต้องเร่ง ไม่ต้องเสริมแรง แต่เป็นแรงเสียเอง เป็นกำลังในตัวเอง เมื่อเริ่มปฏิบัติ เราก็จะต้องพยายามอุตสาหะวิริยะ แต่เมื่อมีอินทรีย์ และเริ่มถึงคำว่าพละแล้ว เราก็จะไม่ต้องขับดัน ไม่ต้องโหมแรง แต่จะเป็นแรงในเนื้อในตัวเสียเอง นั่นคือภูมิธรรม เมื่อได้มากขึ้นก็เป็นสมาธิ เป็นความเป็นอธินั่นเอง อธิศีล อธิจิต และเริ่มเป็นอธิปัญญา จากสมาธินทรีย์ ก็จะเป็นปัญญินทรีย์ เป็นปัญญา มองเห็นสิ่งจริงที่เราเกิด ที่เราเป็นที่เรามี ปัญญาก็คือ ตัวรู้ที่เป็นภาวนามยปัญญา เป็นยถาภูตญาณทัสสนะ ของจริงตามความเป็นจริง ที่เราเห็นผล ที่เราได้ และเราก็จะมั่นใจ เป็นความเชื่อมั่น เป็นศรัทธินทรีย์ เป็นศรัทธาพละ ที่เป็นความเชื่อมั่น ไม่ใช่ความเชื่อถือเท่านั้น มันจะหมุนเวียนเป็นวงกลม สอดร้อยกัน เป็นอินทรีย์ เป็นพละยิ่งๆขึ้น เมื่อเต็ม ศรัทธาพละก็คือความเชื่อมั่น วิริยะก็เป็นตัวแรงที่เป็นคนขยันเพียรอยู่ในตัว สติก็เป็นตัวตื่นที่ตื่นแท้ เป็นอัตโนมัติ รู้ตัวว่าตัวยังทรงอยู่ในสภาพดีเสมอๆ และยิ่งสมบูรณ์เต็มที่แล้ว เราจะมีสติรู้ว่า เรายืนอยู่ในฝ่ายกุศล จะทำอกุศลนั้นไม่ได้ง่ายๆ เป็นคนดีที่จะทำชั่วได้ยาก อย่างเด็ดขาด และเราก็มีความแข็งแรง เป็นสมาธิ เป็นสมาธินทรีย์ เป็นสมาธิพละ อย่างเต็มภาคภูมิ ปัญญา ปัญญินทรีย์ ก็จะเป็นวิชา เป็นความจริงที่รู้ยิ่ง ตรัสรู้ สภาพของอินทรีย์พละ จึงเป็นตัวภูมิธรรมแท้ ที่เนื่องหนุน เพราะเราอบรม เพราะเราได้พากเพียรปฏิบัติ และสุดท้าย ก็เป็นความสมบูรณ์ครบครัน มีฤทธิ์ มีอำนาจ เป็นคนมีเรี่ยวแรงกำลังอย่างแท้จริง ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๗
เมื่อปฏิบัติธรรม ผู้มาปฏิบัติธรรมนั้น เมื่อปฏิบัติธรรมไปเรื่อยๆแล้ว จะรู้สึกตนเองได้ว่า ตนเองเป็นผู้หมดปัญหาลงเรื่อยๆ แม้ปัญหาที่เป็นอยู่ประจำวัน ปัญหาชีวิต ทั้งที่สุด ปัญหาอื่นๆใดๆ กระทั่งปัญหาโลกแตก ที่เราเคยข้องใจ สงสัย ในเรื่องถึงขั้นวิญญาณ ขั้นโลกต่างๆ นานา เราจะเข้าใจหรือไม่ ก็จะไม่ข้องใจ จะบรรเทาเบาบาง จะเป็นคนโปร่ง ว่าง สบาย จิตใจไม่ห่วงหา ไม่กังวล จะมีชีวิตอยู่เช่นนั้นเอง ที่เราเรียกว่าสงบ ความเป็นอยู่ จะรู้สึกว่าเป็นไป เพียงวัน เพียงวัน แต่มิใช่ว่าจะซังกะตายอยู่ กลับกัน เมื่อปฏิบัติถูกทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ผู้นั้นปราศจากปัญหา ปราศจากความกังวล ปราศจากความข้องใจ และจะเป็นคนกระปรี้กระเปร่า เบิกบานแจ่มใส เป็นผู้สร้างสรรอยู่อย่างสดชื่น และเป็นคนขยัน ขวนขวาย ถ้าผู้ปฏิบัติตรง ปฏิบัติถูก ปฏิบัติดีแล้วถึงจริง จะเป็นผู้ที่เจริญ สุขทั้งตน สบายทั้งตน และช่วยทั้งสังคมประเทศชาติ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๗
ความตั้งใจ เมื่อเราตั้งใจเช่นไร สังวร สำรวม หรือฝึกใจเช่นไร ใจเราก็จะได้ถูกฝึกอยู่เช่นนั้นๆ ในสิ่งแวดล้อมที่เฉื่อยเนือย สิ่งแวดล้อมที่มันพาให้สงบอยู่แล้ว เราจะสงบง่าย พร้อมกันนั้น เราก็จะเฉื่อยง่าย จึงต้องพยายามตั้งใจ ทำความรู้สึกในใจ ให้เป็นผู้สดชื่นกระปรี้กระเปร่า เป็นผู้ตื่น เป็นผู้พร้อมที่จะรู้ แววไว ไม่ใช่เป็นผู้ที่จะปล่อย ไปตามบรรยากาศที่ห้อมล้อมเรา ในสถานที่ ที่มีสิ่งแวดล้อมปลุกเราอยู่เสมอ เราจะต้องตั้งใจอีกชนิดหนึ่ง เป็นผู้ที่จะต้องหยุดอยู่ สงบอยู่ ตั้งรับ พร้อมที่จะรู้ พร้อมที่จะไม่สับสนวุ่นวาย จึงอยู่ในสภาพสงบ อยู่ที่ตัวเอง ได้ง่ายๆ เพื่อที่จะรับสิ่งที่แวดล้อม หรือมีห้อมล้อมที่มากหลาย ซึ่งตรงกันข้ามกันกับ อยู่กับสิ่งแวดล้อมสงบ เราก็จะต้องเป็นผู้ที่ทำให้ตื่น ทำให้รู้รอบ รู้เร็วอยู่เสมอๆ เรามีความรู้ที่ถูกต้อง กระทำให้ถูกต้อง เราก็จะเป็นผู้ที่ไม่ขาดทุน ดังนั้น การฝึกใจ ฝึกอย่างรู้ ฝึกอย่างผู้ที่เข้าใจ ผู้นั้นก็จะได้สิ่งที่เจริญไพบูลย์ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๗
ประคองจิต-ประคองใจ แม้แต่เราจะประคองใจ ฝึกหัดตน ทำให้เป็นผู้มีจิตใจสดชื่น เบิกบานร่าเริงอยู่เสมอๆ
เพียงเท่านั้น ก็ยังเป็นความมีกำไรให้แก่ตนเอง ถ้าผู้ปฏิบัติธรรม มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม อยู่กับการประคองจิต การทำในใจของตนเอง เมื่อมีอะไรกระทบ ตาหูจมูกลิ้นกายใจ เราก็พยายามที่จะเป็นคนสดชื่น เบิกบานแจ่มใส ทำจิตไม่ให้หม่นหมอง ไม่ให้หวั่นไหว ไปกับอารมณ์ที่เป็นโทสโคตร ทุกๆกระแส เป็นเบื้องต้น หรือเป็นแกนใหญ่แกนหนึ่ง ของการปฏิบัติธรรม เพราะในสายโทสโคตร ทุกๆอารมณ์ แม้แต่ความไม่ยินดี เราสามารถขจัดออกจากจิตได้ อย่างไม่มีข้อแม้ ไม่ต้องธัมมวิจัย ไม่ต้องพิจารณาเป็นอื่นเลย หากเพียรรู้ว่า เป็นสายโทสโคตร ความหม่นหมอง ไม่สบายใจ อึดอัดขัดเคือง ป่วยการกล่าวไปไยถึงความโกรธแค้นเคือง อาฆาตมาดร้าย ที่เป็นความหยาบ เพราะฉะนั้น ผู้ที่ได้ประคองจิตประคองใจ รู้สึกตัวทั่วพร้อม และได้ขจัดอาการ ในสายโทสโคตรออกเสมอ หรือทำตนให้มีอารมณ์จิตเบิกบาน สดชื่นแจ่มใสอยู่เสมอๆ นั่นคือ ผู้ได้ทั้งความสบายใจ เป็นสุข และทั้งได้ลดกิเลส ให้แก่ตนเองๆอยู่ เป็นอานิสงส์อย่างยิ่ง แล ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๗
มีจิตอันแยบคาย ความมีญาณมีปัญญา หรือมีจิตอันแยบคายละเอียด ที่ลึกซึ้งซับซ้อน เป็นชั้นอธิ เป็นอธิจิต อธิปัญญา สูงขึ้นๆนั้น ถ้าเผื่อว่า เราได้สามารถปฏิบัติพากเพียรขึ้นจริง เราได้ผลของการปฏิบัติขึ้นจริง จิตของเราจะลึกแหลม จะมีทั้งกำลัง มีทั้งปัญญาขึ้นแท้จริง เป็นอินทรีย์เป็นพละ ปัญญาจะเป็นปัญญินทรีย์ จะเป็นปัญญาผลที่สูงขึ้น หรือเป็นปัญญาพละที่สูงขึ้น และความมั่นคง เป็นศรัทธินทรีย์ เป็นศรัทธาพละ เป็นความแน่นอน มั่นใจ ก็จะสูงขึ้นๆ เราจึงจะเป็นผู้ที่สามารถเห็นกิเลส ที่ละเอียดลึกซึ้งสูงขึ้น มีหิริ มีโอตตัปปะ มีความละอาย มีความเกรงกลัว ต่อสิ่งที่แม้น้อย แม้ละเอียด เราก็เห็นเป็นน้ำหนักของบาป ที่หยาบที่ใหญ่ เป็นสิ่งที่น่าจะเลิกละ หลุดพ้นของเราเอง เพราะฉะนั้น ผู้ที่เป็นผู้มีภูมิสูงขึ้นไปแล้วเรื่อยๆ จะเป็นผู้ที่กำหนด เห็นบาปเห็นนรก หรือเห็นสิ่งที่ควรละเลิกของตนเอง ด้วยตนเอง ตามมโนธรรมสำนึกของตนเอง แม้ผู้อื่นจะเห็นว่าเป็นสวรรค์ของเขา เป็นบุญของเขา เป็นกุศลของเขาแล้วก็ตาม แต่ผู้ที่มีภูมิ มีมโนธรรมสำนึก มีความรู้ยิ่งรู้จริงของตนเองๆนั้น จะเป็นผู้สำนึก และเป็นผู้สังวร เป็นผู้ลด งดเว้น ละเลิกออกไปเอง ตามความเป็นจริง ถ้ามีมานะ มีความยึดในตัวในตน มีความประมาท ในการที่จะเป็นเทวดาองค์ใดองค์หนึ่ง ที่จะติดอยู่แต่เพียงเท่านั้น ผู้นั้นรู้แม้รู้ และไม่ทำออกเอง ก็จะเป็นผู้ที่ติดชั้น ไม่สูงขึ้น ไม่มีอธิศีลอธิจิตอธิปัญญา ก็ไม่มีอธิวิมุติของตนเองขึ้น เพราะฉะนั้น ผู้จะกระทำการเพิ่มภูมิ ก็จะต้องกระทำให้แก่ตนเองอย่างยิ่ง เอาจริง ไม่ประมาท จึงจะเป็นผู้ที่สุขุมประณีตละเอียด และสามารถที่จะถอนตัวตน ในระดับอัตตาและอาสวะ จนถึงที่สุดเองได้ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๗
เพียรให้หนัก-พักให้พอ เพียรให้หนัก พักให้พอ ประมาณให้จริง พยายามให้รู้สึกตัวทั่วพร้อม แล้วก็พิจารณา พยายามระลึกเสมอ ทุกขณะทุกเวลา ว่าเราเอง บัดนี้กำลังสบายๆ อยู่อย่างเสพย์ หรือกำลังสบายๆอยู่ แล้วเราก็กำลังได้มีความเพียร ได้มีสิ่งที่ได้อุตสาหะวิริยะอยู่ ให้เป็นประโยชน์คุณค่า ทั้งประโยชน์ตน และประโยชน์ท่านในโลก ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๗ สมณะโพธิรักษ์
|